มรรคาสู่สวรรค์ 124 หนึ่งคืนยาวเหมือนชั่วชีวิต (2)

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 124 หนึ่งคืนยาวเหมือนชั่วชีวิต (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แต่ไม่นานความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องนั้นก็หายไป กลายเป็นความโกรธเกรี้ยว เพราะเขาพบว่าตนเองออกมาเป็นคนที่หก

ยังมีผู้แสวงมรรคาอีกยี่สิบคนที่ยังอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ตนเองพรสวรรค์โดดเด่น ฝีมือยอดเยี่ยม เหตุใดจึงตกรอบออกมาเร็วขนาดนี้?

ชิวเฉิงเต้ามองคนที่ยังหลับตาอยู่เหล่านั้น ในสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธแค้น เขากล่าวตะคอกว่า “นี่มันไม่ยุติธรรม! ทำไมพวกเขาเข้าไปแล้วถึงได้เป็นรัฐทายาทของจิ้งอ๋อง เป็นคุณชายแห่งเป๋ยไห่ เป็นฮ่องเต้ปัญญาอ่อน แต่พวกข้ากลับต้องปีนขึ้นไปจากล่างสุด?”

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ บนใบหน้าของผู้บำเพ็ญพรตที่ตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน

เมื่อคิดถึงความยากลำบากและความอับอายภายในวังและในนิกายเจ็ดเทพในช่วงเวลาสิบห้ามาปีนี้ ชิวเฉิงเต้าก็แค่นหัวเราะออกมา สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย เกิดเป็นลมแผ่วเบาลอบโจมตีไปยังที่ที่หนึ่ง

จิ๋งจิ่วนั่งหลับตาอยู่ตรงนั้น

ถ้าจะบอกว่าชิวเฉิงเต้าอิจฉาและเกลียดชังผู้แสวงมรรคาคนไหนมากที่สุด คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นฮ่องเต้ปัญญาอ่อนแห่งแคว้นฉู่ผู้นั้น

เชื่อว่าผู้แสวงมรรคาส่วนใหญ่ต่างก็คิดเช่นนี้

เขาย่อมไม่กล้าฆ่าจิ๋งจิ่ว เพียงแต่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากดินแดนแห่งความฝัน สติยังคงเลอะเลือน รู้สึกอับอายและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก จึงอยากหาที่ระบาย หากปล่อยให้ลมจากแขนเสื้อของเขาไปกระทบถูกตัวจิ๋งจิ่ว ดวงจิตของจิ๋งจิ่วที่อยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่างจะต้องถูกรบกวนอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็เป็นได้

ทันใดนั้นพลันมีเสียงกระดิ่งดังสดใสขึ้นมา

กระดิ่งเครื่องเคลือบอันเล็กอันหนึ่ง ทำให้ลมจากแขนเสื้อสายนั้นสลายไป

ในเวลานี้ชิงเอ๋อร์บินออกมาจากในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ปีกโปร่งแสงสองข้างกระพือไปมา เกิดเป็นลมรุนแรงสายหนึ่งม้วนเอาร่างกายของชิวเฉิงเต้าลอยออกไปจากโพรงถ้ำด้านบน

ในท้องฟ้ามีเสียงร้องโหยหวนของเขาดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาจะไปตกอยู่ที่ไหน ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในสภาพแบบไหน

ชิงเอ๋อร์มองไปทางผู้บำเพ็ญพรตที่เหลืออีกห้าคนที่ตื่นขึ้นมา สายตาเย็นชาเป็นอย่างมาก

ผู้บำเพ็ญพรตห้าคนนั้นสีหน้าสงบเสงี่ยมทันที เพื่อบอกว่าเรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับตน

ชิงเอ๋อร์ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ นั่งมองไปทางกระดิ่งเครื่องเคลือบที่อยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่วอันนั้น สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นี้ช่างแปลกเสียจริง เหตุใดข้างกายถึงได้มีของดีเยอะขนาดนี้

……

……

แม่นางชิงเอ๋อร์กลับเข้าไปยังคันฉ่องฟ้ากระจ่างอีกครั้ง กลายเป็นนกชิงเหนี่ยวตัวนั้น บินกลับไปกลับมาระหว่างแคว้นฉินและแคว้นฉู่ บางครั้งก็จะแวะไปดูแคว้นจ้าว

เวลาค่อยๆ ไหลไปอยู่ในการโบยบินของมัน เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกสามปี

ในช่วงเวลาสามปีนั้นเกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมาย เมื่อได้รับการช่วยเหลืออย่างลับๆ จากทหารของชาวหูและจิ้งอ๋อง เมืองเป๋ยไห่ก็ทำการก่อกบฏได้สำเร็จ กองทัพบุกเข้าไปในเสียนหยาง

เจ้าเมืองเป๋ยไห่ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ พระราชโองการฉบับที่สองที่ประกาศออกมาก็คือการแต่งตั้งไป่โจ้วเป็นรัชทายาท

เรื่องนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของผู้คน เทพแห่งการต่อสู้ไป๋โจ้วเป็นบุตรชายอันดับสอง แต่ในตอนที่ยกทัพทำศึกได้ทำความดีความชอบต่างๆ เอาไว้มากมาย

พี่ชายของเขาผู้นั้นได้เอ่ยปากอาสาที่จะเฝ้าเมืองเป๋ยไห่ก่อนที่จะยกทัพออกไปรบ แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่ายอมแพ้ หรือพูดอีกอย่างก็คือเปิดทางให้น้องชายของตน เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกน่าเศร้าใจก็คือหลังจากที่พระราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทฉบับนั้นประกาศออกมาได้ไม่นาน คนผู้นี้ก็ตายลงไป ว่ากันว่าป่วยตาย แต่ใครจะรู้บ้างว่าจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือว่าถูกฆ่าตายกันล่ะ?

องค์หญิงตกยากผู้นั้นก็ถูกเชิญเข้าไปยังเมืองเสียนหยาง ถูกฮ่องเต้องค์ใหม่แต่งตั้งให้เป็นจ่างกงจู่ระดับชั้นฮู่กั่ว ดูคล้ายมีตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นอย่างยิ่ง แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ทุกคนที่อยู่ในเมืองเสียนหยางต่างรู้ว่าองค์หญิงจากราชวงศ์ก่อนผู้นี้ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ได้ออกมาอีก

สถานการณ์ของแคว้นฉินยังไม่สงบเรียบร้อย มีกองทัพกบฏหลายสายที่ทยอยบุกโจมตีเมืองเสียนหยางโดยอ้างว่าจะแต่งตั้งสถาปนาองค์หญิง ไป๋โจ้วยกทัพออกไปสู้รบ ฝีมือการรบยังคงแข็งแกร่งดุจเทพ วิธีการนับวันจะยิ่งโหดร้ายทารุณ ฆ่าล้างหมู่บ้านและฝังทหารที่ยอมแพ้อยู่บ่อยๆ ไม่มีใครเรียกเขาว่าเทพแห่งการต่อสู้อีก หากแต่เรียกเขาว่าเทพสังหาร

……

……

ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนของฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งแคว้นฉิน จิ้งอ๋องแห่งแคว้นฉู่เองก็ได้รับผลประโยชน์อย่างมากเช่นกัน แผ่นดินขนาดใหญ่ของแคว้นหลัวตกเป็นของชางโจว ปัญหาเรื่องพืชผลที่สร้างความลำบากใจให้แก่พ่อลูกคู่นั้นมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับการคลี่คลาย แล้วก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ อารมณ์ของรัฐทายาทของจิ้งอ๋องในช่วงหลายวันนี้จึงไม่เลวทีเดียว

ในตอนที่หิมะแรกตกลงมา เขาให้ลูกน้องเข็นรถเข็นของตัวเองออกมาชมหิมะริมทะเลสาบ

ความจริงอารมณ์ของเขาไม่ดีเท่าไรนัก ภายในม่านตามีเงามืดและความไม่สบอารมณ์อยู่

สถานการณ์ของแคว้นฉินอยู่ในการควบคุมของเขามาโดยตลอด ผลงานการรบของไป๋โจ้วเหนือไปจากแผนการและสิ่งที่เขาได้เคยแนะนำเอาไว้ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าสถานการณ์เหมือนจะค่อยๆ ห่างออกจากทิศทางที่วางเอาไว้ มิใช่เพราะองค์หญิงถูกขังเอาไว้ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาทั้งสามคนตกลงกันเอาไว้แล้ว หากแต่เป็นเพราะเรื่องที่ไป๋โจ้วทำในช่วงนี้ เขามองว่าวิธีการของศิษย์พี่ไป๋นั้นโหดเหี้ยมเกินไป ถึงแม้ที่นี่จะเป็นดินแดนแห่งความฝัน ผู้คนที่อยู่ข้างในก็มิได้มีชีวิตจริงๆ แต่มันก็ยังไม่เหมาะอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นหากศิษย์พี่ไป๋หลงทางแม้แต่นิดเดียว มันจะก็ส่งผลเสียต่อสถานการณ์โดยรวม

บนทะเลสาบที่มีหิมะตกยังคงมีเรือแล่นอยู่ อีกทั้งดูแล้วยังมีจำนวนมากกว่าเวลาปกติด้วย เห็นทีคนที่อยากดูหิมะตกจะไม่ได้มีเขาแค่เพียงคนเดียว เมื่อหญิงสาวและนักท่องเที่ยวที่อยู่บนเรือเหล่านั้นมองเห็นรถเข็นที่อยู่ริมทะเลสาบ จากนั้นมองเห็นทหารยืนคุ้มกันอยู่รอบๆ พวกเขาก็คาดเดาสถานะของคนที่อยู่บนรถเข็นได้ จึงส่งเสียงอุทานตกใจขึ้นมาพลางคารวะ

หญิงสาวเหล่านั้นโบกแขนเสื้อไม่หยุด ด้วยหวังจะให้รัฐทายาทพลันเกิดอารมณ์ชั่ววูบแล้วขึ้นมาหาบนเรือ

ทันใดนั้นพลันมีนกพิราบตัวหนึ่งที่ไม่หวาดกลัวต่อความหนาวเย็นบินมายังริมทะเลสาบ จากนั้นเกาะลงบนเก้าอี้แล้วถูกมือข้างหนึ่งจับออกไป

ถงเหยียนมองดูคนที่อยู่บนเรือเหล่านั้น ยิ้มทักทายเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “รัชทายาทฉินกล่าวอะไรกับหว่านซูกันแน่?”

ลูกน้องแกะจดหมายที่นกพิราบนำมาด้วยออกมา สีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านเซี่ยง…ตายแล้วขอรับ”

สายตาถงเหยียนเปลี่ยนเล็กน้อย แต่บนใบหน้ากลับยังมีรอยยิ้มอยู่ เขากล่าวว่า “รัชทายาทฉินเป็นคนลงมือ?”

ลูกน้องคนนั้นกล่าวว่า “ไม่ขอรับ น่าจะเป็นคนชุดดำผู้นั้น”

ถงเหยียนโล่งใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ…ดูเหมือนเป้าหมายต่อไปของเขาน่าจะเป็นข้า”

ในอดีตผู้แสวงมรรคาที่เขาหาเจอเป็นคนแรกก็คือเซี่ยงหว่านซูที่เป็นศิษย์น้องของตัวเอง

เซี่ยงหว่านซูแอบซ่อนตัวเอาไว้อย่างดีมาโดยตลอด คอยรับผิดชอบเรื่องการส่งจดหมายระหว่างเขา ไป๋โจ้วและองค์หญิง ไม่ว่าจะเป็นเรือนจิ้งอ๋องหรือว่าหน่วยข่าวกรองของเขาก็ล้วนแต่ไม่ทราบถึงการมีอยู่ของเซี่ยงหว่านซู แต่คนชุดดำผู้นั้นกลับหาตัวเซี่ยงหว่านซูพบ แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้มิใช่แค่รอให้ข่าวกรองจากทางเขาหลุดออกไป หากแต่ยังมีแหล่งข้อมูลจากที่อื่นด้วย

“เจ้าจงใจออกมาจากเรือนก็น่าจะเพื่อรอให้ข้ามาฆ่าเจ้า แต่เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะโผล่ออกมาจากในน้ำแล้วทำให้เจ้าตกใจหรือ?”

ท่ามกลางหิมะพลันมีเสียงที่ฟังดูเนือยๆ ดังขึ้นมา

เหล่าทหารยามของเรือนอ๋องพากันชักอาวุธออกมา สีหน้าขึงขัง เหมือนว่ามีศัตรูจำนวนมากบุกเข้ามา

ในช่วงสองสามปีมานี้มีคนชุกดำผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาบนโลก สภาวะสูงส่ง ความสามารถในการต่อสู้น่าตกตะลึง เที่ยวท้าสู้กับยอดฝีมือไปทั่ว สังหารคนไม่เลือก ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่ามีความแค้นกับทางเรือนอ๋องด้วย

เหล่าทหารยามของเรือนอ๋องคอยป้องกันคนผู้นี้อยู่ตลอดเวลา ใครจะไปคิดบ้างว่ายังปล่อยให้อีกฝ่ายจะเข้ามาใกล้อย่างไร้ซุ่มเสียงแบบนี้ได้

ถงเหยียนกล่าวโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “เจ้าไม่เคยแอบลอบสังหาร ทุกครั้งล้วนแต่เป็นการสู้ซึ่งๆ หน้า ข้ายังมีอะไรให้กลัวอีก?”

“เจ้าเป็นรัฐทายาทของจิ้งอ๋อง ไม่เหมือนเจ้าพวกที่น่าสงสารพวกนั้น หากข้าจะฆ่าเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรมากขนาดนั้น”

คนที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นั้นเดินออกมาจากในพายุหิมะ ร่างกายแผ่กลิ่นอายเกียจคร้าน แต่กลับแฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันรุนแรง คล้ายกับกระบี่ที่อยู่ในฝัก

ถงเหยียนมองดูคนผู้นั้นพลางกล่าว “ข้าเคยคิดว่าเจ้าคือจิ๋งจิ่ว วันนี้ดูแล้วเจ้าก็ค่อนข้างคล้ายเขาอยู่ทีเดียว”

คนผู้นั้นเลิกหมวกลี่เม่าไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าธรรมดาและแปลกหน้า กล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าข้ามิใช่เขา”

ถงเหยียนมองดูดวงตาคนผู้นั้น ก่อนถามอย่างไม่มั่นใจว่า “จัวหรูซุ่ย?”

คนผู้นั้นรู้สึกแปลกใจ พลางกล่าวว่า “ยังจะเป็นใครได้อีก?”

…………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *