มรรคาสู่สวรรค์ 165 ตกเย็นอยากดื่มสุรา

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 165 ตกเย็นอยากดื่มสุรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าล่า​เยวี่ย​เลิกคิ้ว​ขึ้น​ ใน​ใจคิด​ว่า​นั่น​มัน​แน่นอน​อยู่แล้ว​ แต่​นาง​ก็​ยัง​รู้สึก​ไม่ค่อย​เข้าใจ​ จึงกล่าวถาม​ว่า​ “แต่​เหตุใด​นาง​ถึงยัง​คิด​จะใช้ยันต์​เซียน​กลับมา​อีก​?”

นี่​ก็​เป็นเรื่อง​ที่​หลิ่ว​ฉือ​ไม่เข้าใจ​เช่นเดียวกัน​ สิ่งที่​ผู้​บำเพ็ญพรต​ปรารถนา​ก็​คือ​การ​บรรลุ​กลายเป็น​เซียน​ ใน​เมื่อ​เป็น​เซียน​แล้ว​ เหตุใด​ถึงยัง​จะกลับ​มายัง​โลก​นี้​อีก​?

จิ๋งจิ่ว​กล่าวว่า​ “เป็น​เพราะว่า​หวาดกลัว​”

เจ้าล่า​เยวี่ย​กล่าวว่า​ “นาง​กังวล​ว่า​หาก​นักพรต​จิ่งหยาง​ยัง​มีชีวิต​อยู่​ เมื่อ​พบ​ความจริง​เข้า​จะมาแก้แค้น​เหล่า​ศิษย์​ของ​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​ ดังนั้น​จึงคิด​จะแบ่ง​ร่าง​กลับมา​จับตาดู​เจ้าเอาไว้​?”

จิ๋งจิ่ว​กล่าวว่า​ “นั่น​มิใช่ความหวาดกลัว​อย่าง​แท้จริง​ การ​ที่​นาง​ทิ้ง​ยันต์​เซียน​เอาไว้​ ก็​เหมือน​เป็นการ​ทิ้ง​ทาง​หนี​ที​ไล่​เอาไว้​ หรือ​ก็​คือ​ทาง​กลับมา​”

เจ้าล่า​เยวี่ย​ถามอย่าง​จริงจัง​ว่า​ “สิ่งที่​นาง​หวาดกลัว​คือ​อะไร​กัน​แน่​?”

จิ๋งจิ่ว​กล่าวว่า​ “มหาสมุทร​และ​ท้องฟ้า​ดูเหมือน​กว้างใหญ่​ไพศาล​ แต่​สุดท้าย​แล้วก็​ยังมี​ขอบเขต​ แต่​ใน​โลก​นั้น​คือ​ความว่างเปล่า​ที่​ไร้​ขอบเขต​อย่าง​แท้จริง​ เมื่อ​อยู่​ที่นั่น​เจ้าจะหา​จุด​ให้​เจ้าปักหลัก​ไม่พบ​ ไม่มีสิ่งให้​ใช้อ้างอิง​ ไม่มีสหาย​ ไม่มีที่มา​และ​ไม่มีที่​ไป​ นี่​คือ​จุดเริ่มต้น​ของ​ความหวาดกลัว​อย่าง​แท้จริง​”

เจ้าล่า​เยวี่ย​นิ่งเงียบ​ไป​ครู่​ ก่อน​กล่าวว่า​ “ใจแห่ง​เต๋า​ค่อยๆ​ เงียบสงัด​ ความอ้างว้าง​โดดเดี่ยว​ค่อยๆ​ เกิดขึ้น​?”

“ถูกต้อง​ เมื่อ​อยู่​ที่นั่น​ เงาของ​ตัวเอง​ที่​สะท้อน​อยู่​ใน​โลก​แห่ง​จิตใจ​จะถูก​ขยาย​ใหญ่​ขึ้น​นับ​หลาย​ร้อย​หลาย​พัน​เท่า​ จากนั้น​ค่อยๆ​กลืน​กิน​ร่าง​ของ​ตัวเอง​ไป​”

จิ๋งจิ่ว​กล่าวว่า​ “สิ่งที่​นาง​หวาดกลัว​ก็​คือ​ความ​ไร้​ขอบเขต​และ​ตัวเอง​ที่อยู่​ใน​ความ​ไร้​ขอบเขต​”

เจ้าล่า​เยวี่ยพอ​จะเข้าใจ​ความหมาย​ของ​เขา​ จึงกล่าวถาม​ต่อว่า​ “ทำไม​ถึงต้อง​มาพูด​เรื่อง​เหล่านี้​กับ​ข้า​?”

เรื่อง​เกี่ยวกับ​การ​บรรลุ​เป็น​เซียน​ของ​นักพรต​จิ่งหยาง​ ความลับ​เกี่ยวกับ​เซียน​และ​โลก​ใบ​นั้น​ นาง​เชื่อ​ว่า​จิ๋งจิ่ว​ไม่เคย​พูด​กับ​คนอื่น​มาก่อน​ ยกเว้น​นาง​

ความเชื่อมั่น​หรือ​ก็​คือ​ความคาดหวัง​เช่นนี้​ได้​สร้าง​ความกดดัน​ให้​แก่​นาง​อย่าง​มาก​

“สักวัน​เจ้าจะได้​ไป​ยัง​โลก​นั้น​ รู้เรื่อง​พวก​นี้​เอาไว้​ก่อน​บ้าง​มัน​ก็​ไม่เสียหาย​อะไร​”

น้ำเสียง​ของ​จิ๋งจิ่ว​คล้าย​กำลัง​บอ​กว่า​นาง​จะได้​บรรลุ​กลายเป็น​เพียง​อย่าง​แน่นอน​

เจ้าล่า​เยวี่ย​ยิ่ง​รู้สึก​กดดัน​มากขึ้น​กว่า​เดิม​

ใน​ช่วงเวลา​พัน​กว่า​ปี​ที่ผ่านมา​ บน​แผ่นดิน​เฉาเทียน​มีเพียง​ไป๋​เริ่น​และ​จิ่งหยาง​สอง​คน​เท่านั้น​ที่​บรรลุ​กลายเป็น​เซียน​ นาง​เป็น​เมล็ดพันธุ์​แห่ง​เต๋า​แต่กำเนิด​ มีความมั่นใจ​ใน​การ​บำเพ็ญพรต​ของ​ตัวเอง​อย่าง​มาก​ แต่​นาง​ก็​ยัง​ไม่กล้า​ที่จะ​คิด​ถึงขั้น​นั้น​

จิ๋งจิ่ว​วาง​หวี​ไม้จันทรา​ลง​แล้ว​เริ่ม​ถัก​เปีย​ให้​นาง​ เขา​ใช้มือขวา​เพียง​มือ​เดียว​ การเคลื่อนไหว​ดู​ง่ายดาย​

การ​ที่​เขา​เล่าเรื่อง​เหล่านี้​ให้​เจ้าล่า​เยวี่ย​ฟังเพียง​คนเดียว​ย่อม​ต้อง​เป็น​เพราะ​ยัง​มีเหตุผล​อื่น​อีก​ อย่างเช่น​นาง​ไม่มีส่วน​เกี่ยวข้อง​กับ​เรื่อง​ใน​อดีต​ หรือ​พูด​อีก​อย่าง​ก็​คือ​เขา​ไม่อาจ​เชื่อ​หลิ่ว​ฉือ​และ​หยวน​ฉีจิงได้​อย่าง​สนิทใจ​ แต่กลับ​เชื่อใจ​นาง​เป็นอย่างมาก​ เพราะ​นาง​คือ​ผู้สืบทอด​ที่​เขา​เลือก​เอาไว้​ตอน​ที่อยู่​ใน​เมือง​เจาเก​อ​ท่ามกลาง​หิมะ​ที่​ตก​ลงมา​เบา​ๆ และ​หลังจากที่​นาง​กลายเป็น​ศิษย์​ชิงซาน​แล้วก็​ยัง​ไม่ลืม​เขา​

ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​เมล็ดพันธุ์​แห่ง​เต๋า​แต่​กำ​เนิน​ที่​ถูก​สำนัก​ชิงซาน​ให้ความสำคัญ​ นาง​ไม่จำเป็นต้อง​ทำ​อะไร​ก็​สามารถ​มีอนาคต​ที่​สดใส​ได้​ แต่​นาง​ก็​ยัง​เสี่ยงอันตราย​ สืบหา​ความจริง​เรื่อง​นั้น​ เพียง​เพื่อ​จะทวง​ความยุติธรรม​ให้​แก่​เขา​

ใน​งาน​ชุมนุม​สืบทอด​กระบี่​นาง​เป็น​ผู้​ที่​เหล่า​อาจารย์​ของ​ทุก​ยอดเขา​ต่าง​แย่งชิง​กัน​ กระทั่ง​หลิ่ว​ฉือ​และ​หวน​ฉีจิงก็​ยัง​อยาก​จะรับ​นาง​ไว้​เป็น​ศิษย์​ แต่​นาง​ก็​ยัง​เลือก​ที่จะ​ขึ้น​เขา​เสินม่อ​เพื่อ​สืบทอด​ยอดเขา​ต่อ​จาก​เขา​ แม่ทั้ง​ร่าง​จะเต็มไปด้วย​บาดแผล​ก็​ยัง​ก้าว​ต่อไป​ข้างหน้า​อย่าง​ไม่หวาดกลัว​

และ​นับตั้งแต่​คืน​นั้น​เป็นต้นมา​ จิ๋งจิ่ว​ก็​ตัดสินใจ​ที่จะ​เอา​ความรู้​ทุกอย่าง​ถ่ายทอด​ให้​แก่​นาง​ โดย​ไม่ปิดบัง​แม้แต่น้อย​

สำหรับ​เขา​แล้ว​ ด้วย​พรสวรรค์​และ​นิสัย​ของ​ล่า​เย​วี่ย​ ทั้ง​ยัง​ได้รับ​สืบทอด​เพลง​กระบี่​และ​วิชา​เต๋า​ของ​ตนเอง​ หาก​ยัง​ไม่สามารถ​บรรลุ​กลายเป็น​เซียน​ได้​ เช่นนั้น​สวรรค์​ก็​ไร้เหตุผล​เกินไป​แล้ว​

ใน​เมื่อ​สวรรค์​ไร้เหตุผล​ ดังนั้น​ยัง​จะมีสวรรค์​ไว้​ทำไม​ ถึงตอนนั้น​ฟัน​ทิ้ง​เสีย​ก็​สิ้นเรื่อง​

เจ้าล่า​เยวี่ย​สะบัด​เปีย​มาข้างหน้า​ จากนั้น​หันกลับ​ไป​มอง​มือซ้าย​ที่​กำ​แน่น​ของ​เขา​ ก่อน​จะถามอย่าง​เป็นห่วง​ว่า​ “แล้ว​ตอนนี้​จะทำ​อย่างไร​?”

ไป๋​เริ่น​ไม่มีทาง​คิด​คำนวณ​ได้​ว่า​หลัง​จิ่งหยาง​ตกลง​มาจาก​ดินแดน​เซียน​แล้​วจะ​ยัง​มีชีวิต​อยู่​ ยิ่งไปกว่านั้น​ยันต์​เซียน​ที่​ตนเอง​ทิ้ง​เอาไว้​ยัง​ตก​อยู่​ใน​มือ​ของ​เขา​อีก​

ทั้งหมด​นี้​ล้วน​เป็น​เพียง​เรื่อง​บังเอิญ​ ไม่ใช่แผนการ​ที่​วาง​เอาไว้​แต่แรก​ แต่​สำหรับ​จิ๋งจิ่ว​แล้ว​ นี้​ยังคง​เป็น​บท​ทดสอบ​ที่​ยากเข็ญ​อย่าง​มาก​ เรียก​ได้​ว่า​อันตราย​ถึงชีวิต​

เส้นทาง​ที่​วาง​อยู่​ตรงหน้า​เขา​มีเพียง​เส้น​เดียว​ นั่น​ก็​คือ​หลอมละลาย​ยันต์​เซียน​ ไม่อย่างนั้น​จิต​เซียน​ที่อยู่​ใน​ยันต์​เซียน​จะค่อยๆ​ รุกล้ำ​เข้ามา​ใน​ร่างกาย​และ​ใจแห่ง​เต๋า​ของ​เขา​ จนกระทั่ง​แอบ​ยึดครอง​อย่าง​เงียบๆ​

แต่​ปัญหา​ก็​คือ​การ​จะหลอม​ยันต์​เซียน​มัน​ไม่ได้​ง่าย​อย่าง​ที่​คิด​เอาไว้​

ตอนที่​เขา​พูด​กับ​หลิ่ว​ฉือ​ว่า​จะหลอม​ยันต์​เซียน​ ท่าที​เขา​ดู​สงบ​เยือกเย็น​ แต่​หลิ่ว​ฉือ​มองออก​ว่า​เขา​ไม่มั่นใจ​ใน​ตัวเอง​เท่าไร​

ใน​ดินแดน​แห่ง​ความฝัน​ของ​คันฉ่อง​ฟ้ากระจ่าง​ ตอนที่​เขา​ยื่นมือ​ไปหา​กระถาง​สัมฤทธิ์​ใบ​นั้น​ เขา​ก็​สัมผัส​ได้​ว่า​หาก​พลัง​เซียน​ที่เก็บ​ซ่อน​อยู่​ภายใน​ยันต์​เซียน​ถูก​ปลดปล่อย​ออกมา​จริงๆ​ มัน​จะมีอานุภาพ​ที่​รุนแรง​เป็นอย่างมาก​ ต่อให้​เป็นยอด​คน​ขั้น​ทะลวง​สวรรค์​ก็​ยาก​ที่จะ​เผชิญหน้า​ตรงๆ​ ได้​

อยาก​จะหลอม​ยันต์​เซียน​แต่กลับ​ไม่อยาก​สัมผัส​ถูก​พลัง​เซียน​ที่อยู่​ด้านใน​ นี่​เป็นเรื่อง​ที่​ยากลำบาก​เป็นอย่างมาก​ และ​ที่​ยากลำบาก​ที่สุด​ก็​คือ​ระดับชั้น​ของ​จิต​เซียน​ดวง​นั้น​สูงส่งเป็นอย่างมาก​ เหนือกว่า​ผู้​บำเพ็ญพรต​ทั้ง​แผ่นดิน​เฉาเทียน​

“ครั้งนี้​อาจจะ​ต้อง​ไป​ให้​เพื่อน​คน​หนึ่ง​ช่วย​จริงๆ​ แล้ว​”

จิ๋งจิ่ว​มอง​ไป​ยัง​ด้านบน​ของ​ถ้ำ

ท้องฟ้า​สีน้ำเงิน​กว้างใหญ่​ไพศาล​ มิได้​มีกลิ่น​ของ​ฤดูใบไม้ร่วง​เท่าไร​นะ​

เพื่อน​ที่​เขา​พูด​นั้น​ย่อม​มิใช่ราชินี​ที่อยู่​ใน​ส่วนลึก​ของ​ที่ราบ​หิมะ​ แล้วก็​มิใช่เพื่อน​ยักษ์ที่อยู่​ใน​ดินแดน​แปลกหน้า​

เจ้าล่า​เยวี่ย​มองตาม​สายตา​เขา​ขึ้นไป​บน​ฟ้า รู้สึก​ไม่ค่อย​เข้าใจ​ แต่​ที่​มากกว่า​นั้น​ก็​คือ​รู้สึก​สงสัย​

เมื่อ​หลาย​ปีก่อน​ เพื่อที่จะ​แก้ไขปัญหา​เรื่อง​ผี​กระบี่​แล้ว​ จิ๋งจิ่ว​ได้​ไป​ขอความช่วยเหลือ​จาก​เพื่อน​คน​หนึ่ง​ ใน​ตอนนั้น​นาง​และ​กู้​ชิง ต่าง​คิดในใจ​ว่า​ท่าน​ก็​มีเพื่อน​ด้วย​อย่างนั้น​หรือ​?

เรื่องราว​ที่​เกิดขึ้น​ใน​ภายหลัง​ได้​พิสูจน์​ให้​เห็น​แล้ว​ว่า​จิ๋งจิ่ว​นั้น​มีเพื่อน​อยู่​จริงๆ​ ยิ่งไปกว่านั้น​เพื่อน​ของ​เขา​ก็​คือ​จักรพรรดิ​แห่ง​หมิง​องค์​สุดท้าย​

เจ้าล่า​เยวี่ย​อยาก​จะรู้​นัก​ว่า​ครั้งนี้​เขา​จะไปหา​ใคร​ เพื่อน​คน​นั้น​จะเป็นยอด​คน​ที่​น่า​ตกตะลึง​แค่​ไหน​กัน​

จิ๋งจิ่ว​รู้​ว่า​นาง​กำลัง​คิด​อะไร​อยู่​ จึงมอง​ท้องฟ้า​เงียบๆ​ อยู่​ครู่​ ก่อน​กล่าวว่า​ “เขา​ตาย​ไป​แล้ว​”

……

……

ท้องฟ้า​ยาม​เย็น​ปกคลุม​วัด​กั่วเฉิง​

ป่าสน​แดงฉาน​คล้าย​เตาไฟ​ ป่า​เจดีย์​ย้อม​แสงอาทิตย์​ยาม​เย็น​

ภายใน​ป่า​เจดีย์​มีเจดีย์​หิน​บ้าง​สูงบ้าง​ต่ำ​จำนวน​นับไม่ถ้วน​ ฝังร่าง​สมณะสูงศักดิ์​ของวัด​กั่วเฉิง​แต่ละ​ยุค​แต่ละ​สมัย​เอาไว้​ แต่กลับ​ไม่มีความรู้สึก​น่ากลัว​อะไร​ มีเพียงแค่​ความสงบ​

อิน​ซาน​นั่ง​อยู่​บน​บันได​หิน​ตรง​ด้านหน้า​ห้อง​ภาวนา​ ขลุ่ย​กระดูก​จรด​อยู่​ที่​ริมฝีปาก​ นิ้วมือ​กด​เบา​ๆ เป่า​บทเพลง​ที่​ไม่มีเสียง​ แล้วก็​ไม่ได้​มีความรู้สึก​เศร้าสร้อย​อะไร​ ยังคง​เงียบสงบ​

ปรมาจารย์​แห่ง​สำนัก​เสวียน​อิน​เดิน​ออก​มาจาก​ใน​ห้อง​ ยืน​อยู่​ด้าน​หลังเขา​ ฟังบทเพลง​ที่​ไม่มีเสียง​นี้​อย่าง​เงียบๆ​ จน​จบ​ จากนั้น​ถึงจะพูด​ขึ้​นา​

“คน​ที่อยู่​ใน​คุก​สะกด​มาร​คือ​จิ๋งจิ่ว​ เหตุใด​ถึงไม่บอก​เรื่อง​นี้​กับ​สำนัก​จงโจว​?”

อิน​ซาน​วาง​ขลุ่ย​กระบี่​ลง​ ใช้แขน​เสื้อ​เช็ด​มัน​อย่าง​ตั้งใจ​จน​สะอาด​ จากนั้น​เสียบ​กลับ​ไป​ที่​เอว​แล้ว​ตอบ​ว่า​ “หาก​เพียง​แค่นี้​ยัง​มอง​ไม่ออก​ แล้ว​สำนัก​จงโจว​จะยึดครอง​เส้น​ปราณ​วิญญาณ​ที่​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​มาสามหมื่น​ปี​ได้​อย่างไร​?”

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​ขยี้​จมูก​ที่​แดง​เรื่อ​พลาง​กล่าวว่า​ “แต่​ก็​บอก​ตัวตน​ที่​แท้จริง​ของ​จิ๋งจิ่ว​ให้​เขา​รู้​ก็ได้​นี่​นา​”

มุมปาก​ของ​อิน​ซาน​ยกขึ้น​มาเล็กน้อย​ เผย​ให้​เห็น​รอยยิ้ม​เย้ยหยัน​ กล่าวว่า​ “หลาย​ปี​มานี้​ รายละเอียด​จำนวน​นับไม่ถ้วน​ที่​เกี่ยวข้อง​กับ​เขา​ล้วนแต่​กำลัง​บอกเล่า​ถึงเรื่องราว​ที่​เหมือนกัน​ มัน​เหมือนกับ​ว่า​เขา​ยืน​อยู่​บน​ยอดเขา​เสินม่อ​แล้ว​ตะโกน​ว่า​ข้า​คือ​จิ่งหยาง​ เจ้าคิด​ว่า​เขา​คิด​อยาก​จะปิดบัง​ตัวตน​ที่​แท้จริง​ของ​ตนเอง​อย่างนั้น​หรือ​?”

ปรมาจารย์​สำนัก​อิน​ซาน​ถอนหายใจ​พลาง​กล่าวว่า​ “หาก​สามารถ​คาดเดา​ความคิด​ของ​นักพรต​ทั้งสอง​ได้​ล่ะ​ก็​ ใน​อดีต​ข้า​ก็​คง​ไม่พ่ายแพ้​ย่อยยับ​ถึงเพียงนี้​”

อิน​ซาน​ลุกขึ้น​ยืน​ กล่าว​อย่าง​เฉยชา​ว่า​ “เขา​ต้องการ​ให้​สายตา​และ​การ​คาดเดา​ของ​คนอื่น​มายืนยัน​ว่า​แท้ที่จริง​แล้ว​ตนเอง​เป็น​ใคร​”

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​ได้ยิน​เช่นนี้​ก็​ตกใจ​เล็กน้อย​ กล่าวว่า​ “หรือว่า​เขา​สูญเสีย​ความจำ​ไป​แล้ว​”

อิน​ซาน​กล่าว​หยอกล้อ​เล็กน้อย​ “ไม่ เขา​เพียงแค่​กำลัง​หลบ​อยู่​”

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​มองดู​ใบ​หน้าด้าน​ข้าง​ของ​เขา​ หรี่ตา​เล็กน้อย​แล้ว​กล่าวว่า​ “อย่างนั้น​เขา​เป็น​ใคร​กัน​แน่​?”

อิน​ซาน​ปัดฝุ่น​พลาง​กล่าวว่า​ “ก่อนหน้านี้​ข้า​เคย​บอก​ไป​แล้ว​ ไม่ว่า​เขา​จะเป็น​ใคร​ อย่างไร​เสีย​เขา​ก็​มิใช่จิ่งหยาง​”

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​กล่าวว่า​ “เรื่อง​นี้​ช่างน่าสนุก​จริงๆ​”

“แต่​ข้า​กลับ​คิด​ว่า​เรื่อง​นี้​มัน​ค่อนข้าง​น่าเศร้า​”

อิน​ซาน​เดิน​ไป​ใน​ป่า​เจดีย์​ ก่อน​จะหาย​ไป​ใน​ท้องฟ้า​ยาม​เย็น​อย่าง​รวดเร็ว​

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​มองดู​ท้องฟ้า​ยาม​เย็น​ ภายใน​ดวงตา​ที่​หรี่​เล็ก​มีสายตา​แปลก​ๆ ปรากฏ​ขึ้น​มา

ตัว​เขา​ในเวลานี้​ไหน​เลย​จะเหมือน​สุนัข​แก่​ หาก​แต่​เป็น​สิงโต​ชรา​ที่​อยาก​จะกลับ​ไปหา​ฝูงสิงโต​ ทั้ง​มุ่งมั่น​และ​อดทน​

เสียง​ระฆัง​บอก​เวลาเย็น​ดัง​ขึ้น​ วัด​กั่วเฉิง​ถึงเวลา​รับประทาน​อาหารเย็น​ ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​ถือ​กล่อง​ข้าว​เดิน​มายัง​ห้องครัว​ที่อยู่​ตรง​เรือน​ส่วนหน้า​ มาหา​สมณะอ้วน​ที่​คุ้นเคย​รูป​นั้น​

ทั้งสอง​คน​หลบ​อยู่​ตรง​มุมใต้​ทางเดิน​ เปิด​กล่อง​ข้าว​ ขา​หมู​ที่​ต้ม​เสร็จ​เรียบร้อย​ขา​หนึ่ง​ปรากฏ​ขึ้น​ตรงหน้า​

ด้าน​ซ้าย​ของ​ขา​หมู​มีใบ​งาสด​วาง​อยู่​สามสี่ใบ​ ด้าน​ขวา​มีใบ​งาที่​หมัก​เสร็จ​เรียบร้อย​วาง​อยู่​สามสี่ใบ​ ต่าง​ก็​ดู​มีรสชาติ​

สมณะอ้วน​มองดู​ขา​หมู​ น้ำลายไหล​ออกมา​ กล่าวว่า​ “เนื้อ​ช่างหอม​จริงๆ​ เขา​อยู่​ที่​ทะเล​ตะวันตก​ ทุกอย่าง​สบายดี​ กิน​คู่​กัน​แล้ว​ไม่เลี่ยน​ กำลัง​หาทาง​กล่อม​คน​ผู้​นั้น​อยู่​”

เสียง​ของ​เขา​เบา​เป็นอย่างมาก​ บวก​กับ​เสียง​น้ำลาย​ คำพูด​ที่​กล่าว​ออกมา​จึงฟังดู​ไม่ชัดเจน​ แต่​เห็นได้ชัด​ว่า​สิ่งที่​เขา​พูด​นั้น​มิได้​เป็น​คำพูด​ไร้สาระ​อย่าง​แน่นอน​

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​หยิบ​ขา​หมู​ขึ้น​มากัด​คำ​หนึ่ง​ ฉีก​ทั้ง​เนื้อ​และ​หนัง​ออกมา​คำ​ใหญ่​ กล่าว​เสียง​อู้อี้​ว่า​ “ขอ​เพียง​กระบี่​เดียว​ สังหาร​นักพรต​ทั้งสอง​ ทั้ง​เนื้อ​ทั้ง​หนัง​ ทิ้ง​ชื่อ​ไว้​ใน​ประวัติศาสตร์​ ลงมือ​เด็ดขาด​ สะเทือน​ฟ้าสะเทือน​ดิน​ มัน​หอม​เต็มปาก​ มีหรือ​จะไม่หวั่นไหว​?”

สมณะอ้วน​กล่าว​ด้วย​สีหน้า​แห้ง​ๆ “ท่าน​ลืม​ใส่เกลือ​…แล้ว​ชิงซาน​จะทำ​อย่างไร​?”

ปรมาจารย์​เอา​มือ​ลูบ​หน้า​ ใบหน้า​เต็มไปด้วย​คราบ​มัน​ ก่อน​กล่าว​อย่าง​ดูแคลน​ว่า​ “หมัก​ไว้​ก่อน​แล้ว​ เขา​มิใช่ว่า​ไม่มีอาจารย์​เสียหน่อย​ ไม่กิน​ก็​หุบปาก​ เจ้าไร้ค่า​”

สมณะอ้วน​คิด​อย่าง​โมโห​ ตอนนี้​ท่าน​เป็น​อย่างนี้​ยัง​จะอารมณ์ร้าย​ขนาด​นี้​อีก​หรือ​? อาจารย์​ท่าน​นั้น​ก็​เป็น​ผู้​หลบหนี​กระบี่​เช่นกัน​ ถึงแม้จะถูก​ชิงซาน​ขัง​เอาไว้​ใน​เกาะ​หมอก​ที่​ทะเล​ทางใต้​ แต่​ก็​ยัง​ถือว่า​ใช้ชีวิต​อย่าง​สงบ​และ​อิสระ​ ไหน​เลย​จะเป็น​เหมือน​ผู้​หลบหนี​กระบี่​อย่าง​ท่าน​ที่จะ​มาแอบ​กิน​เนื้อ​อยู่​ใน​วัด​ คอย​ตาม​คนอื่น​ต้อยๆ​?

……

……

เดินผ่าน​ป่า​เจดีย์​และ​ป่าสน​ ผ่าน​ตำหนัก​ด้าน​ข้าง​และ​ประตู​ด้าน​ข้าง​ เมื่อ​มาถึงบริเวณ​หน้าผา​บน​ภูเขา​ก็​สามารถ​มองเห็น​สวนผัก​ที่อยู่​ด้านล่าง​

ภายใต้​แสงอาทิตย์​ยาม​เย็น​ เสียง​แอด​ดัง​ขึ้น​ ประตู​ของ​กระท่อม​ถูก​ผลัก​ออก​ เสี่ยว​เห​อ​ถือ​กา​น้ำชา​เดิน​ออกมา​

อิน​ซาน​มองดู​ภาพ​นี้​ ได้ยิน​เสียง​ไอ​ที่​ดัง​ออก​มาจาก​ใน​กระท่อม​ คิ้ว​ขมวด​ขึ้น​เล็กน้อย​

หลิ่ว​สือซุ่ย​กลับ​มาจาก​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​ แต่​บน​ใบหน้า​ของ​จิ้งจอก​น้อย​กลับ​ไม่มีสีหน้า​ยินดี​ ดู​แล้ว​สถานการณ์​ไม่ค่อย​ดี​เท่าไร​

ปัญหา​ความขัดแย้ง​ของ​ปราณ​ก่อกำเนิด​ต่าง​ชนิด​ใน​ร่างกาย​เขา​ดีขึ้น​หลังจากที่​ได้​ฝึก​คัมภีร์​ของวัด​กั่วเฉิง​ แต่​ใน​ช่วง​สอง​ปี​นี้​กลับ​รุนแรง​ขึ้น​มาใหม่​

ฉาน​จึเคย​เขียนจดหมาย​ฉบับ​หนึ่ง​แนะนำ​ให้​เขา​ไป​เรียน​วิชา​ที่​เรือน​อี้​เหมา​ หาก​เขา​สามารถ​เรียน​วิชา​นี้​ได้​สำเร็จ​ ก็​น่าจะ​สามารถ​ขจัดปัญหา​ภายใน​ร่างกาย​ไป​ได้​ทั้งหมด​ แต่​ไม่รู้​เพราะเหตุใด​ หลิ่ว​สือซุ่ย​กลับ​ไม่ได้​ไป​

อิน​ซาน​ทราบ​เรื่อง​นี้​ รู้สึก​ว่า​น่าสนใจ​

แสงอาทิตย์​ยาม​เย็น​เข้ม​ขึ้น​เรื่อยๆ​ ท้องฟ้า​สลัว​ลง​เรื่อยๆ​ จู่ๆ เขา​พลัน​ตัดสินใจ​ออกมา​

เขา​เดิน​ไป​เข้าไป​ใน​สวนผัก​ ผลัก​ประตู​เข้าไป​ มองดู​หลิ่ว​สือซุ่ย​พลาง​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​ราบเรียบ​ว่า​ “มีสุรา​ไหม​? วันนี้​ข้า​อยาก​ดื่ม​เสียหน่อย​”

……………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด