มรรคาสู่สวรรค์ 31 กระบี่เคลื่อนที่มิประจักษ์

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 31 กระบี่เคลื่อนที่มิประจักษ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปยังด้านบนของป่าหิน

หลิ่วสือซุ่ยที่ยืนอยู่ด้านบนเสาหินสวมชุดเก่าๆ ผมสั้นเหมือนหญ้า ดูคล้ายผีป่าตนหนึ่ง

แต่กระบี่ของเขากลับเที่ยงตรงอ่อนโยน

เหมือนดั่งอ๋องที่รับใช้ฮ่องเต้มาสามรัชสมัย เหมือนดั่งแม่ทัพผู้เป็นเสาหลักแห่งอาณาจักร เหมือนดั่งปราชญ์ผู้อาวุโสและทรงปัญญา

เจี่ยนหรูอวิ๋นยังมิออกกระบี่

เขาจ้องมองกระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยอย่างเงียบๆ

หลายๆ คนก็เหมือนกับเขา ต่างกำลังรอให้กระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยบินผ่านเสาหินที่อยู่ตรงกลางต้นนั้นมา

ในตอนนั้น หลิ่วสือซุ่ยถึงจะมีคุณสมบัติพอให้เจี่ยนหรูอวิ๋นออกกระบี่

เวลาไหลผ่านไป

กระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยบินผ่านเสาหินต้นนั้น

ตรงนั้นเป็นตำแหน่งตรงกลางระหว่างเสาหินทั้งสองต้นที่เขาและเจี่ยนหรูอวิ๋นยืนอยู่

ผ่านไปร้อยจ้าง เจตน์กระบี่ของเขายังมิสลายหายไป ดูเข้มข้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก

ไม่มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้น เพราะเวลานี้ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ภาพนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่มันกลับเผยความจริงอย่างหนึ่งที่เพียงพอจะทำให้ชิงซานต้องสั่นสะเทือน

หลิ่วสือซุ่ยบรรลุสู่ขั้นมิประจักษ์แล้ว

……

……

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ยอดเยี่ยม”

ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีความลับอะไรแอบแฝงอยู่ ในสองปีมานี้หลิ่วสือซุ่ยก็เหมือนถูกจองจำเอาไว้ แต่เขากลับบรรลุเข้าสู่ขั้นมิประจักษ์ได้สำเร็จ เขาย่อมต้องมีสิทธิ์ได้รับคำชมเชยเช่นนี้

……

……

เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงกล่าวถาม “เขาอายุเท่าไรแล้ว?”

มีศิษย์กล่าวขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ “สิบเจ็ดหรือไม่ก็สิบแปดเจ้าค่ะ?”

เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงมองดูเจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ไม่ไกล มิได้กล่าวอะไรออกมา

……

……

เหล่าอาจารย์ของยอดเขาทั้งเก้าต่างตะลึงลาน

นับจากนักพรตจิ่งหยางเป็นต้นมา ผู้บรรลุสู่ขั้นมิประจักษ์ที่มีอายุน้อยที่สุดของชิงซานก็คือเจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ย หลิ่วสือซุ่ยคือคนที่สาม

หากในสองปีนี้เขาสามารถบำเพ็ญเพียรไปตามปกติธรรมดา เขาจะบรรลุสภาวะได้เร็วกว่านี้หรือไม่?

หากไม่เป็นเพราะเขาไปทำเรื่องแบบนั้น อีกทั้งยังเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม อัจฉริยะเช่นนี้ ชิงซานจะดูแลเขาอย่างไร?

อาจารย์บางคนถึงขนาดกำลังคิดว่าหากคำพูดที่หลิ่วสือซุ่ยกล่าวมาเมื่อครู่นี้เป็นความจริง มันคงจะดีไม่น้อย

……

……

มีลมพัดมาจากหน้าผาด้านนั้น มิได้มีความอบอุ่นของปลายฤดูใบไม้ผลิ หากแต่เกิดความรู้สึกหนาวเย็นเมื่อกระทบใบหน้า

ลมสายนั้นกระทบถูกกระบี่ของหลิ่วสือซุ่ย ตัวกระบี่สั่นไหวเล็กน้อย จู่ๆ พลันแผ่กระจายแสงสว่างออกมาสี่สาย

แสงสว่างสี่สายนั้นมิใช่ภาพลวงหา หากแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง นั่นคือพายุกระบี่

กระบี่บินพลันเร่งความเร็วขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันพาพายุกระบี่สี่สายพุ่งเข้าไปโจมตีเจี่ยนหรูอวิ๋นที่อยู่ห่างออกไปร้อยจ้าง

ในที่สุดหลิ่วสือซุ่ยก็ลงมือ ทั้งยังใช้การโจมตีที่ร้ายกาจที่สุด

เจี่ยนหรูอวิ๋นมองดูลำแสงกระบี่ที่สว่างเจิดจ้าและพายุกระบี่ทั้งสี่สาย สีหน้ามิแปรเปลี่ยน พลางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ

กระบี่บินสีเทาเล่มหนึ่งพุ่งออกมา แค่พริบตาก็มาถึงหน้ากระบี่ของหลิ่วสือซุ่ย

รวดเร็วดุจสายฟ้านั้นเป็นเพียงคำนิยามอย่างหนึ่ง

แต่กระบี่ของเจี่ยนหรูอวิ๋นกลับเป็นเหมือนสายฟ้าจริงๆ มันรวดเร็วจนแทบจะมองไม่เห็น

กระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยที่ใช้เวลาเตรียมตัวอยู่นานยังมิทันได้แสดงพลังของมันออกมาก็ถูกหยุดเอาไว้

กระบี่บินสองเล่มเผชิญหน้ากันกลางอากาศด้านบนป่าหิน

เสียงกระบี่ดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา

กระบี่บินสองเล่มแยกจากกัน ก่อนจะเผชิญหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้นก็เป็นการปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน

เพียงแค่พริบตา กระบี่บินสองเล่มก็ฟาดฟันกลางอากาศนับครั้งไม่ถ้วน

เสียงกระบี่ปะทะกันดังไม่ขาดสาย ฟังดูคล้ายฝนที่ตกลงมาอย่างฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น

สะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจาย เหมือนดั่งต้นไม้เงินที่เบ่งบานอยู่ตรงหน้ายอดเขา ส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งป่าหิน

ดวงอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าพลันอับแสงลงไปไม่น้อย

กระบี่บินสองเล่มโรมรันกันกลางอากาศ

หลิ่วสือซุ่ยและเจี่ยนหรูอวิ๋นต่างยืนอยู่บนเสาหินของตน สองมือไพล่หลัง สายตาจ้องมองกันอย่างเงียบๆ โดยมีระยะห่างสามร้อยจ้างคั่นกลางอยู่

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ลำแสงกระบี่ทั้งสองเล่มพลันหดหายไป

กระบี่บินทั้งสองเล่มแยกย้ายกันกลับมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ยและเจี่ยนหรูอวิ๋น

เหล่าศิษย์ชิงซานที่อยู่ด้านล่างป่าหินตกตะลึง

เห็นๆ อยู่ว่าวิถีกระบี่ของศิษย์พี่เจี่ยนหรูอวิ๋นนั้นฝึกฝนได้ลึกล้ำกว่าหลิ่วสือซุ่ย แต่เหตุใดทั้งสองกลับสู้กันได้อย่างสูสี?

กระบี่บินทั้งสองเล่มสั่นสะท้านเบาๆ บนตัวกระบี่มีรอยแตกเล็กๆ นับหลายร้อยแห่งปรากฏอยู่ ดูเหมือนวัตถุดิบที่ใช้ทำกระบี่จะใกล้เคียงกันอย่างมาก

เจี่ยนหรูอวิ๋นเหลือบมองดูกระบี่ของตนเล็กน้อย

ทว่าหลิ่วสือซุ่ยกลับไม่แม้แต่จะเหลียวมอง หากแต่สืบเท้าก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

เสาหินกว้างพอให้คนยืนได้คนหนึ่ง

ก้าวๆ นี้ของเขาหล่นลงกลางอากาศ

กระบี่บินรอคอยอยู่ตรงนั้นแต่แรก

……

……

ตั้งแต่ต้นจนจบ บนแท่นหินของศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างนิ่งเงียบมาโดยตลอด

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เจี่ยนหรูซานขอท้าประลองกับจิ๋งจิ่ว ตอนที่ถูกพายุกระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส หรือจะเป็นตอนที่หลิ่วสือซุ่ยขอท้าเจี่ยนหรูอวิ๋น

โดยเฉพาะกั้วหนานซาน กู้หานและหม่าหวาที่้ิเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นกลางอากาศด้านบนป่าหินในเวลานี้ กู้หานพลันคิดถึงก้าวๆ นั้นที่หลิ่วสือซุ่ยก้าวออกไปตอนอยู่บนยอดเขาอวิ๋นสิง ภายในใจทั้งรู้สึกชื่นชม แล้วก็รู้สึกเสียใจ

……

……

ลำแสงกระบี่สองสายส่องสว่างป่าหินอีกครา

ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยและเจี่ยนหรูอวิ๋นขี่กระบี่สู้กัน เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วไม่รู้อันตรายกว่ากี่เท่า

ลำแสงกระบี่สองสายประเดี๋ยวดำดิ่งลงไปในทะเลหมอก ประเดี๋ยวบินขึ้นมาบนอากาศ เวลาที่บินขึ้นไปสูงสุดก็เกือบจะเข้าใกล้ปลายยอดเขาเทียนกวง

ทะเลหมอกถูกกวนจนแลดูคล้ายน้ำเดือด บนหน้าผามีรอยกระบี่ปรากฏขึ้นมาเป็นทาง บนเสาหินมีเศษหินร่วงตกลงมาอยู่ตลอดเวลา

ลำแสงกระบี่สองสายรวดเร็วเกินไป ศิษย์ธรรมดาแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

มีเพียงศิษย์ที่มีสภาวะค่อนข้างสูงส่งและเหล่าอาจารย์ของยอดเขาทั้งเก้าถึงจะรู้ว่าการประลองกระบี่ครั้งนี้มันดุเดือดและอันตรายเพียงใด

……

……

เสียงฟิ้วๆ สองเสียงดังขึ้น

ลำแสงกระบี่สองสายแยกจากกันอีกครั้ง

ทั้งสองคนกลับไปยืนบนเสาหินของตน

มุมปากของหลิ่วสือซุ่ยที่โลหิตไหลออกมา

แขนเสื้อของเจี่ยนหรูอวิ๋นมีรอยขาดรอยหนึ่ง

การขี่กระบี่ต่อสู้นั้นมิใช่การขี่กระบี่ธรรมดา

สาเหตุที่ขี่กระบี่บินออกไปจากเสาหินก็เพื่อเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง ป้องกันมิให้กระบี่บินของอีกฝ่ายสลัดหลุดจากการพัวพันของกระบี่บินของตนแล้วหันมาโจมตีตัวเองอย่างฉับพลัน เช่นนี้แล้วก็จะได้ทำการป้องกันตัวเองได้ดีขึ้น แต่เนื่องเพราะต้องเคลื่อนที่โดยเหยียบอยู่บนกระบี่ การโจมตีของกระบี่ย่อมต้องรุนแรงน้อยลงกว่าเดิม

ตามหลักแล้ว การต่อสู้เช่นนี้หลิ่วสือซุ่ยควรจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า เขาฝึกพายุกระบี่สำเร็จ แม้นจะเคลื่อนที่โดยเหยียบอยู่บนกระบี่ก็ยังสามารถทะลวงอากาศโจมตีอีกฝ่ายได้อยู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าฝีมือการขี่กระบี่ของเจี่ยนหรูอวิ๋นจะยอดเยี่ยมอย่างมาก สามารถหลบพายุกระบี่ของเขาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด จากนั้นใช้พลังกระบี่บดขยี้เขา

“ทำไมศิษย์ในสำนักของเราจึงไม่มีใครฝึกฝนพายุกระบี่? เพราะมันเป็นวิถีนอกรีตอย่างไรล่ะ”

เจี่ยนหรูอวิ๋นยืนอยู่บนเสาหินมองดูหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจ้าง พลางกล่าวว่า “ดูเหมือนพลังของตานปีศาจจะช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ล่ะนะ”

มีลมม้วนเอาเมฆหมอกที่อยู่ด้านล่างป่าหินขึ้นมา พัดพาอาภรณ์สีเขียวที่อยู่บนร่างกายเขาจนพลิ้วไหว

ไอพลังอันรุนแรงสายหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างกายเขา กระบี่บินเกิดการตอบสนอง มันพุ่งทะลุเมฆออกไป ทิ้งควันสีขาวเอาไว้ด้านหลังเป็นทางยาว ตัวกระบี่ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่

มีคนอุทานออกมาอย่างตกใจ “เพลงกระบี่วิหคสวรรค์กระบวนท่าที่เจ็ด! ยืมเมฆ!”

ก่อนจะมายังยอดเขาเหลี่ยงว่าง เดิมเจี่ยนหรูอวิ๋นเป็นศิษย์ของยอดเขาอวิ๋นสิง ทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าแห่งยอดเขาด้วย

กระบี่หลักแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงมีนามว่าสุญตา เคล็ดกระบี่มีนามว่าวิหคสวรรค์ มีกระบวนท่าทั้งหมดสิบสามกระบวนท่า

หากศิษย์ขั้นมิประจักษ์สามารถฝึกได้ถึงกระบวนท่าที่ห้า ก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมแล้ว

แต่เจี่ยนหรูอวิ๋นกลับฝึกได้ถึงกระบวนท่ายืมเมฆซึ่งเป็นกระบวนท่าที่เจ็ด!

ได้ยินว่าเมื่อสองปีก่อนตอนที่เขาถูกยอดเขาซั่งเต๋อสั่งขังเป็นเวลาครึ่งปี สภาวะของเขามีความคืบหน้า ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเคล็ดกระบี่วิหคสวรรค์แล้ว!

เมื่อเห็นกระบี่บินที่พุ่งทะลวงผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในเมฆหมอก เหล่าศิษย์ร่วมสำนักต่างพากันรู้สึกเลื่อมใส

ศิษย์ของยอดเขาอวิ๋นสิงตะโกนชื่นชม เหล่าผู้อาวุโสพากันพยักหน้า

หลิ่วสือซุ่ยมองดูกระบี่ที่บินเข้ามาพร้อมเมฆ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาปล่อยกระบี่อีกครั้ง

จิ๋งจิ่วเคยบอกว่าสองคิ้วของเขาตรงเกินไป แต่ความจริงแล้วกระบี่ของเขาตรงยิ่งกว่า

กระบี่บินที่สว่างไสวส่องสว่างป่าหิน บินพุ่งออกไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง

ในขณะที่กระบี่บินทั้งสองกำลังจะเผชิญหน้ากัน ภายในป่าหินพลันมีเสียงหวึ่งดังสนั่นขึ้นมา

เมฆหมอกสีขาวจำนวนมหาศาลลอยตัวขึ้น ก่อนจะแผ่กระจายออกไปรอบด้านราวมหาสมุทร กลืนกินกระบี่บินทั้งสองเล่มลงไปทันที

หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกได้ว่าการเชื่อมโยงระหว่างตนและกระบี่บินพลันอ่อนแรงลง

ทันใดนั้นเอง กระบี่บินของเจี่ยนหรูอวิ๋นปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง มันมาถึงตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ยแล้ว!

กระบี่สีเทาเล่มนี้คล้ายว่าสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องสนใจระยะห่างของพื้นที่ว่าง

ด้านล่างของป่าหินมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา

หยิบยืมการเปลี่ยนแปลงของเมฆหมอก สอดส่องดูวิถีแห่งฟ้าดิน!

เจี่ยนหรูอวิ๋นได้พิสูจน์แล้วว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะไปดูทิวทัศน์ของสภาวะขั้นคเนจร

กระบี่บินสีเทาพุ่งเข้าไปตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ย คล้ายไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ทุกคนต่างคิดว่าสุดท้ายเจี่ยนหรูอวิ๋นจะหยุดมือ จึงมิได้กังวลอะไร

มีเพียงหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ตรงนั้นถึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของเจี่ยนหรูอวิ๋น

ใบหน้าเขาขาวซีด ในดวงตาเผยให้เห็นถึงความไม่ยินยอม และยังมีความเด็ดเดี่ยว!

………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด