มรรคาสู่สวรรค์ 158 ชิงกระถางสัมฤทธิ์

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 158 ชิงกระถางสัมฤทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮ่องเต้แคว้นฉินได้สติขึ้นมา เขามองดูจิ๋งจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้ากระถางสัมฤทธิ์ ใบหน้าคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง กล่าวพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ กฎจะถูกทำลายได้อย่างไร?”

จิ๋งจิ่วหมุนตัวกลับมามองเขา รู้สึกว่าคำถามนี้ช่างโง่เขลานัก

ความหมายหรือพูดอีกอย่างก็คือเป้าหมายของการบำเพ็ญพรตก็คือการทำลายกฎเกณฑ์ หลุดพ้นออกจากพันธนาการ โบยบินขึ้นไปสู่ธรรมะวิถี

หากหวังจะให้สวรรค์เห็นใจหรือว่าอนุญาต นั่นคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เจ้าจำเป็นต้องไม่หวาดกลัวทัณฑ์สวรรค์ ถึงจะสามารถสะบั้นแผ่นฟ้าแล้วออกไปได้

ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือว่าดินแดนแห่งความฝันก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้

นับตั้งแต่วันแรกที่เขามาเกิดอยู่ในวังแคว้นฉู่และได้ยินคำพูดในหัวสมองประโยคนั้น เขาก็ไม่เคยคิดที่จะไถ่ถามกระถางสัมฤทธิ์อะไรนั่น

สิ่งที่เขาคิดก็คือ — ชิงกระถางสัมฤทธิ์!

การกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า และได้รับการยอมรับจากเทวทูตนั้นมิได้มีความหมายอะไรเลย เพราะนั่นยังคงเป็นการฝากความหวังไว้กับสวรรค์ หรือก็คือคนอื่น

ขอเพียงทลายกฎเกณฑ์ ทำลายขีดจำกัดของโลกนี้ กระถางสัมฤทธิ์ก็จะตกเป็นของเขา

หลายๆ คนรวมไปถึงฮ่องเต้แคว้นฉินต่างมองว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับเขาแล้ว นี่กลับเป็นเรื่องที่ผู้แสวงมรรคาทุกคนควรจะทำ

โลกภายในคันฉ่องฟ้ากระจ่างตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ผู้แสวงมรรคามาจากโลกด้านนอก ขอเพียงรักษาใจแห่งเต๋าให้ใสกระจ่าง ในดวงตาก็จะไม่มีอุปสรรคใดๆ ขวางกั้นอยู่ตรงหน้า

ใช้ความจริงเข้าสู่ความลวงตา กฎเกณฑ์ของที่นี่จะพันธนาการพวกเขาเอาไว้ได้อย่างไร?

เรื่องนี้พูดแล้วฟังดูง่าย แต่ความจริงแล้วกลับยากลำบากเป็นอย่างมาก นอกจากคนที่มีใจแห่งกระบี่ใสกระจ่างและมองข้ามอุปสรรคต่างๆ อย่างจิ๋งจิ่วแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถทำเช่นนี้ได้อีก?

“ต่อให้ทำลายกฎเกณฑ์ แล้วจะเอายันต์เซียนมาได้อย่างไร?”

ฮ่องเต้แคว้นฉินตะโกนอย่างไม่ยอมรับจากทางด้านหลังเขา “หากเจ้าได้รับการยอมรับจากท่านเทวทูต ท่านก็จะเอายันต์เซียนมอบให้แก่เจ้า แล้วตอนนี้ใครยังจะเอายันต์เซียนให้เจ้าได้อีก!”

ลวดลายที่อยู่บนผิวกระถางสัมฤทธิ์แผ่กระจายพลังเซียนบางๆ ออกมา ดูแล้วยันต์เซียนวัฒนะน่าจะอยู่ด้านใน เพียงแต่ถ้าหากเป็นเหมือนอย่างที่ฮ่องเต้แคว้นฉินว่ามา แล้วจิ๋งจิ่วจะเอายันต์เซียนออกมาได้อย่างไร?

“กฎก็คือเครื่องประดับของโลก หลังจากหายไปแล้ว ความจริงทุกอย่างก็จะปรากฏออกมา”

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจฮ่องเต้แคว้นฉิน เขามองดูกระถางสัมฤทธิ์พลางกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็คือยันต์เซียน”

เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ยื่นมือเตรียมจะหยิบกระถาง

มือของเขาห่างจากกระถางสัมฤทธิ์อีกเพียงเล็กน้อย แต่จู่ๆ พลันหยุดลง

เขาค่อยๆ หดมือขวากลับมา มองดูกระถางสัมฤทธิ์อย่างเงียบๆ นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร หรือว่ากำลังรออะไร

ฮ่องเต้แคว้นฉินมองดูแผ่นหลังของเขา ในใจเกิดความรู้สึกสงสัยและไม่สบายใจขึ้นมาเป็นอย่างรุนแรง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จิ๋งจิ่วเปลี่ยนเป็นมือซ้าย ยื่นไปหากระถางสัมฤทธิ์อีกครั้ง

ในเมื่อทำการตัดสินใจออกมาแล้ว ก็จะลังเลไม่ได้อีก การเคลื่อนไหวของเขา เป็นเหมือนดั่งสายลมที่แผ่วเบาที่สุดและสายฟ้าที่รวดเร็วที่สุด คว้าจับกระถางสัมฤทธิ์เอาไว้

ในช่วงเวลาสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขามองดูกระถางสัมฤทธิ์ใบนี้อยู่ในวัดมาแล้วหลายครั้ง แล้วก็เคยจับมาแล้วหลายครั้ง มั่นใจว่ามันเป็นเพียงกระถางสัมฤทธิ์ธรรมดาใบหนึ่ง

แต่ครั้งนี้เขารับรู้ได้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจน

พลังเซียนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากสายหนึ่ง

แล้วก็ยังมีความคิดที่โดดเดี่ยวและเล็กจ้อย

กระถางสัมฤทธิ์พลันหายไป

สีหน้าของจิ๋งจิ่วแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง มือซ้ายกำแน่นเป็นหมัด

ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วน สาดกระจายออกมาจากในมือของเขา ส่องสว่างจนมือของเขาสว่างเจิดจ้า มองเห็นกระทั่งกระดูกที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน

ภาพนี้ช่างงดงามและแปลกประหลาด

ลำแสงเหล่านั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังเซียนที่บริสุทธิ์และสง่างาม ดูคล้ายอ่อนโยน แต่ไม่รู้ว่าแฝงพลังเอาไว้มากน้อยเท่าไหร่

จิ๋งจิ่วสองคิ้วขมวดขึ้น ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาเบาๆ

ความเจ็บปวดที่เขากำลังแบกรับอยู่ในขณะนี้ได้เหนือไปกว่าที่เขาได้แสดงออกมาแล้ว

นี่คือการโจมตีของพลังเซียน!

หากเปลี่ยนเป็นผู้แสวงมรรคาคนอื่น ต่อให้เป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่มีใจแห่งเต่ามั่นคงที่สุด ในเวลานี้ก็คงได้แต่ต้องปล่อยมือ

จิ๋งจิ่วมิได้ปล่อยมือ สีหน้ายิ่งขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ ดูคล้ายกระดาษ

ไกลออกไปบนยอดเขา มีเสียงนกร้องดังขึ้นมา คล้ายกำลังบอกเตือน

โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากริมฝีปากของเขา แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ

เสียงกระดิ่งที่ดังสดใสเสียงหนึ่งดังมาจากในท้องฟ้าที่ไกลออกไป หรืออาจจะมาจากโลกภายนอก

สายตาของจิ๋งจิ่วยิ่งดูชัดเจนขึ้น จนคล้ายเฉยชา เขากล่าวตะโกนเบาๆ ว่า

“เก็บ!”

เสียงฟึบเบาๆ ดังขึ้น

คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ประกบปิด

เสียงตูมดังสนั่น

เสียงฟ้าคำรามนับหลายร้อยดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นหายไปในพริบตา

ภูเขาปู้โจวสั่นสะเทือนขึ้นมา คล้ายว่ากำลังจะพังทลายลง

เศษหินที่อยู่บนยอดเขาลอยขึ้นมากลางอากาศ ก่อนจะกระจายตัวออกไปรอยๆ

ทะเลเมฆที่อยู่ไกลออกเป็นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

สรรพสิ่งจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกพลังที่ไร้รูปลักษณ์บางอย่างบีบให้ถอยออกไปยังขอบของท้องฟ้าอันว่างเปล่า!

สีฟ้ายิ่งฟ้าขึ้น ส่วนที่โล่งก็ยิ่งโล่งขึ้น

บนยอดเขามีพื้นที่โล่งปรากฏขึ้นมา

……

……

จิ๋งจิ่วยืนอยู่ตรงกลางพื้นที่โล่ง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เขาพบว่าท้องฟ้าคล้ายจะบางลง หรือก็คือเข้ามาใกล้ขึ้น

จากนั้นเขามองดูพื้น พบว่าพื้นคล้ายจะหนาขึ้น หรือก็คือเข้ามาใกล้ขึ้น

นี่ก็หมายความว่าฟ้าดินคล้ายจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าแต่ก่อน

จากนั้นเขาก้มมองดูมือซ้ายของตนเอง

มือซ้ายของเขายังคงกำแน่น หว่างนิ้วมีพลังเซียนแผ่กระจายออกมา

พลังเซียนที่ว่านั้นเบาบาง นอกจากเขาแล้วน่าจะไม่มีใครสัมผัสถึงมันได้

ยันต์เซียนอยู่ในมือ ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว

เขาทอดตามองออกไป จากทะเลสีครามทางด้านตะวันออกไปยังเมืองหลวงของแคว้นฉู่ที่อยู่ทางด้านตะวันตก สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ภูเขา พบว่าใบไม้ที่เป็นสีเขียวเปลี่ยนกลับเป็นสีแดงอีกครั้ง

“ไปล่ะ”

ไม่รู้ว่าประโยคนี้เขาพูดกับใคร

เขาเหยียบอากาศทะยานออกไป

……

……

เขาอวิ๋นเมิ่ง

หุบเขาหุยอิน

ภายในถ้ำที่อยู่ด้านหลังหอ

ริมคันฉ่องฟ้ากระจ่าง

สายตาจำนวนมากมองไปยังจิ๋งจิ่ว

พริบตาที่เขาลุกยืนขึ้นมาจากอาสนะ ผู้แสวงมรรคาทั้งหมดก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

จู่ๆ จิ๋งจิ่วก็ขยับขึ้นมา ก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

จากนั้นเขาลืมตาตื่นขึ้นมา

เขามองออกไปรอบๆ มองเห็นหลิ่วสือซุ่ย ไป๋เจ่า ถงเหยียน จัวหรูซุ่ย แล้วก็มีผู้แสวงมรรคาที่จำชื่อไม่ได้เหล่านั้น

ผู้แสวงมรรคาทั้งหมด รวมไปถึงถงเหยียนต่างพากันโค้งคารวะให้แก่เขาเพื่อเป็นการแสดงความยินดี

จิ๋งจิ่วพยักหน้ารับการคารวะเอาไว้ เขามองหลิ่วสือซุ่ย ย่างเท้าเดินออกไปนอกถ้ำ

กระดิ่งเครื่องเคลือบอันนั้นยังคงส่งเสียงดังสดใส ลอยตามอยู่ด้านหลังเขา

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างตกใจ

ผู้แสวงมรรคามักจะเกิดความรู้สึกสับสนและผิดหวังหลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง แม้แต่คนอย่างซีอี้อวิ๋นก็ใช้เวลาอยู่ครู่นึงจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้

จะมีใครที่สามารถสงบนิ่งได้เหมือนอย่างเขา คล้ายไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวจากภาพลวงตาเข้ามาสู่ความเป็นจริง เหมือนกับว่าช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นไม่มีอยู่อย่างไรอย่างนั้น!

“หยุดนะ!”

ภายในถ้ำพลันมีเสียงตะโกนอย่างโกรธแค้นดังขึ้นมา

ทุกคนหันไปมอง

ไป๋เชียนจวินนั่งอยู่บนอาสนะ เขาเองก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาที่โกรธแค้นและไม่ยินยอม

“เจ้าไม่ทำตามกฎ! ข้าไม่ยอม!”

ถงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย คิ้วจึงดูหนาขึ้นกว่าเดิม

เขารู้ว่าในเวลานี้ศิษย์น้องไม่สะดวกที่จะพูดอะไร เขาจึงเตรียมเอ่ยปาก

ไม่มีใครคิดถึงว่าในเวลานี้ไป๋เชียนจวินที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากดินแดนแห่งความฝันจะยังคงก่อความวุ่นวายตามนิสัยของฮ่องเต้แคว้นฉินที่เกรี้ยวกราดดุร้าย

เขาใช้วิชาหลบหนีฟ้าดินตามมายังด้านหลังของจิ๋งจิ่ว ปล่อยหมัดออกไปหมัดหนึ่ง!

ในกำปั้นของเขาเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา แฝงเอาไว้ด้วยพลังจักรวาลอันแข็งแกร่ง

จิ๋งจิ่วหมุนตัว ปล่อยหมัดออกไปหมัดหนึ่งอย่างสบายๆ เช่นกัน

ไป๋เจ่าลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว จิ๋งจิ่วปล่อยหมัดออกไปปะทะโดยไม่รู้ว่าศิษย์พี่นั้นใช้ของวิเศษประจำกาย เกรงว่าคงจะต้องเสียเปรียบอย่างมาก

นางมั่นใจในตัวจิ๋งจิ่วเป็นอย่างมาก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะต้องลงมือ ในเวลานี้หากคิดอยากจะเรียกระฆังมหาบรรพตทิศใต้ออกมาก็คงจะไม่ทันการเสียแล้ว

สิ่งที่สำนักชิงซานฝึกก็คือกระบี่ สิ่งที่สำนักจงโจวฝึกก็คือพลังจักรวาล ต่างมิได้เน้นหนักเรื่องพละกำลัง แต่ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญพรต ร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า กำปั้นก็ย่อมต้องแข็งแกร่งดุจค้อนเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างคิดว่าในตอนที่กำปั้นทั้งสองปะทะเข้าด้วยกันจะต้องทำให้เกิดเสียงดังกัมปนาทราวเสียงฟ้าคำรามอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าเสียงที่ดังสะท้อนไปมาในถ้ำหลังจากนั้นจะกลายเป็นเสียง…..

“แคร่ก!”

เสียงแคร่กนี้ดังชัดเจนยิ่งนัก คล้ายกับผลไม้ที่เพิ่งจะเด็ดลงมาถูกเด็กหนุ่มบางคนใช้มือบิมันออกเป็นสองส่วน แล้วก็คล้ายอ้อยสดที่ถูกหักครึ่ง

ความจริงเสียงนี้คล้ายกับเสียงโต๊ะและเก้าอี้ที่ขาดการซ่อมแซมมาเป็นเวลานานถูกคนทับจนหักลงมา

ก็เหมือนกับวัดบนยอดเขาปู้โจวที่กลายเป็นเศษซากปรักหักพังแห่งนั้น

ภายในเสียงแคร่ก กำปั้นของไป๋เชียนจวินถูกกระแทกจนฉีกกระจาย นิ้วมือทั้งห้าขาดสะบั้น อาวุธวิเศษประจำกายแตกออกเป็นชิ้นๆ

พลังอันน่ากลัวอย่างที่อยากจะจินตนาการได้สายนั้นลุกลามขึ้นไปบนแขน กระแทกกระดูกแขนและกระดูกสะบักจนแตกหัก กระทั่งกระดูกซี่โครงตรงหน้าอกก็ยังเกิดเป็นรอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน

เรียกได้ว่าบดขยี้อย่างย่อยยับ

ไป๋เชียนจวินถูกต่อยจนกระเด็น ลอยไปตกลงในคันฉ่องฟ้ากระจ่างอย่างแรง เลือดสดๆ กระอักออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน

ภายในถ้ำตกอยู่ในความเงียบ

ทุกคนมองไปทางจิ๋งจิ่วอย่างตกตะลึง

ทั่วทั้งโลกต่างรู้จิ๋งจิ่วคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวของยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะหลังจากการประลองกระบี่กับจัวหรูซุ่ยครั้งนั้น แต่ไป๋เชียนจวินเองก็เป็นอัจฉริยะที่สำนักจงโจวแอบฟูมฟักขึ้นมาอย่างลับๆ เช่นเดียวกัน ตามหลักแล้วสภาวะของทั้งสองฝ่ายไม่มีทางแตกต่างกันมากขนาดนี้อย่างแน่นอน

เหตุใดหมัดที่จิ๋งจิ่วปล่อยออกไปปะทะกับไป๋เชียนจวินถึงได้มีอานุภาพที่รุนแรงขนาดนี้?

นี่จะต้องมิได้เกิดจากความต่างกันของสภาวะอย่างแน่นอน แล้วก็มิได้มีสาเหตุมาจากปริมาณของปราณกระบี่ด้วย

สายตาทุกคนมองไปบนกำปั้นของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะพบว่าเขาใช้กำปั้นมือซ้าย

ถงเหยียนคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ — หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง มือซ้ายของจิ๋งจิ่วก็กำอยู่ตลอด ไม่เคยคลายออกเลย

เมื่อคิดถึงภาพสุดท้าย ในดินแดนแห่งความฝัน เขาพลันเกิดความคิดคาดเดาแปลกๆ อย่างหนึ่งขึ้นมา หรือว่าจิ๋งจิ่วจะมิได้เก็บยันต์เซียนเอาไว้ หากแต่กำอยู่ในมือตลอดเวลา?

………………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด