มรรคาสู่สวรรค์ 118 ไม่อภัย

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 118 ไม่อภัย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนที่พูดคือศิษย์ของสำนักคุนหลุนคนหนึ่ง ในช่วงครึ่งแรกของการประลองวิถีพรต ผลงานของเขาถือว่าไม่เลว ผลปรากฏว่าหลังจากมาเจอคนกลุ่มนี้ เขาถูกทำให้เสียเวลาไปสองวัน ตอนนี้หากจะทำผลงานให้เข้าไปอยู่ในอันดับแรกๆ เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากแล้ว เขาย่อมต้องรู้สึกโมโห

คำพูดของเขาเป็นคำพูดในใจของใครหลายๆ คน เพียงแต่ไม่มีใครที่จะพูดออกมาตรงๆ เหมือนอย่างเขา

ศิษย์ชิงซานทั้งเก้าคนรวมไปถึงเยาซงซานมองไปทางคนผู้นี้ สายตาแหลมคมดุจกระบี่

ศิษย์คุนหลุนผู้นี้พลันคิดถึงคำพูดติดปากของสำนักชิงซานประโยคนั้นขึ้นมา

เขารู้สึกว่าสายตาเหล่านี้เย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าลมที่อยู่ในหุบเขาเสียอีก จึงหุบปากลงทันที

“คิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่สองคนเดินออกมาจากในกลุ่ม กล่าวว่า “หรือว่าศิษย์คุนหลุนผู้นี้พูดผิด?”

เยาซงซานหรี่ตา เสื้อผ้ากระตุกเล็กน้อย เตรียมจะปล่อยเจตน์กระบี่ออกไป ศิษย์ชิงซานคนอื่นเองก็เตรียมพร้อมที่จะปล่อยกระบี่ออกไปเหมือนกัน นี่มิใช่การใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น แล้วก็มิใช่เวลามานั่งถกเถียงเรื่องเหตุผล ถึงแม้พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับจิ๋งจิ่ว แต่ศิษย์สำนักอื่นมากล่าวลบหลู่อาจารย์ พวกเขาจะทนได้อย่างไร?

ในเวลานี่ ไป๋เจ่าเอ่ยปากขึ้นมา

นางมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ทางเรือนซีซานตอบกลับมา พวกเขาปฏิเสธคำขอของเจ้า น้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างมาก หลังจบการประลองแล้วอาจจะมีปัญหาได้”

หากกล่าวอย่างรักษาน้ำใจ พฤติกรรมของจิ๋งจิ่วถือว่าสร้างความวุ่นวาย หากกล่าวอย่างแรงๆ ก็คือเขาจงใจทำลายงานชุมนุมที่จัดขึ้นหลายปีครั้งของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต

ต่อให้เขาได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต หลังจากนี้ก็คงจะถูกลงโทษอย่างหนัก

ไป๋เจ่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจิ๋งจิ่วคิดจะพาคนมากมายขนาดนี้ออกไปจากที่ราบหิมะ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่อาจทราบได้ มิใช่ออกไปเผชิญหน้าด้วยกัน หากแต่หลบหนีอย่างนั้นหรือ?

ช่างเป็นคนที่แตกต่างจากศิษย์พี่โดยสิ้นเชิง

ตามหลักแล้ว ไป๋เจ่าควรจะดูถูกพฤติกรรมเช่นนี้ แต่นางมักจะรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วมิใช่คนแบบนี้ ดังนั้นนางจึงเพียงแต่สงสัย ยังคงรู้สึกสับสนต่อไป

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเห็นด้วย เพราะข้าไม่มีหลักฐาน มีเพียงความรู้สึก จึงแค่ลองถามดูเท่านั้น”

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นกล่าวเสียงเบาว่า “พูดจาเลอะเลือนเช่นนี้ หรือพวกเรายังจะฟังต่อไปอีก?”

ครั้นกล่าวจบ เขาก็เก็บซองกระบี่ พาสหายร่วมสำนักเดินเข้าไปในหุบเขา

มีศิษย์หลายคนลุกขึ้นตามไป เมื่อคิดถึงว่าถูกถ่วงเวลาอย่างไร้เหตุผลเป็นเวลาหลายวันขนาดนี้ หลายคนจึงอดเหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่วไม่ได้ในตอนที่เดินจากไป

ต่อให้ไม่กล้าด่าอะไรเจ้า แต่มองเจ้าคงจะไม่มีปัญหาใช่ไหม?

จิ๋งจิ่วคล้ายรับรู้ไม่ได้ถึงความหมายที่อยู่ในสายตาเหล่านี้่ เขากล่าวว่า “ศิษย์ชิงซานฟังคำสั่ง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่อยู่ในหุบเขาพลันตื่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ภายในใจครุ่นคิดว่าเรือนซีซานไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้า หรือเจ้ายังกล้าฝืนรั้งพวกเราเอาไว้?

เหล่าศิษย์ชิงซานเองก็ค่อนข้างตกใจ แต่ยังคงออกมายืนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าเขาตามคำสั่ง

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเหล่าผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น หากแต่มองเหล่าศิษย์ชิงซานแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ เตรียมตัวออกเดินทาง”

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ อารมณ์ของไป๋เจ่าพลันสับสนขึ้นมาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดมิน่าเจ้าถึงไม่สนใจการตอบของเรือนซีซานเลย ที่แท้เจ้าเพียงแต่คิดจะพาศิษย์ของสำนักชิงซานไปเท่านั้น

ตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ เส้นทางที่จิ๋งจิ่วกำหนดขึ้นมาก็คือการรวมกลุ่มสิบกว่ากลุ่มนี้เข้าด้วยกัน เพราะในกลุ่มเหล่านี้ล้วนแต่มีศิษย์ชิงซานอยู่

คนอื่นๆ เขาไม่เคยคิดถึงเลย

เหล่าศิษย์ชิงซานทั้งรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดเหล่าอาจารย์ได้ปฏิเสธแล้ว เหตุใดยังต้องจากไป?

ศิษย์คุนหลุนคนนั้นได้สติกลับมา เมื่อครุ่นคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ภายในใจได้เกิดความรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาก็รู้สึกอับอาย จึงกล่าวเยาะเย้ยไปว่า “ที่แท้ศิษย์ชิงซานเองก็กลัวตายเหมือนกันหรือ?”

เหล่าศิษย์ชิงซานมองคนผู้นี้ สายตายิ่งเย็นยะเยือก

ศิษย์คุนหลุนผู้นั้นในใจเกิดความหวาดกลัว แต่เมื่อมองเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เขาก็ปลุกความกล้าในตัวเองขึ้นมา กล่าวว่า “ทำไม กล้าทำแต่ไม่กล้าให้คนอื่นพูดงั้นหรือ?”

สีหน้าเหล่าศิษย์ชิงซานยิ่งดูแย่ อารมณ์ภายในใจยิ่งซับซ้อนอย่างมาก

หากพวกเขายังอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วอีกประเดี๋ยวจากไป คนอื่นจะมองอย่างไร?

ศิษย์ชิงซานกลายเป็นคนขี้ขลาดหลบหนีการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อไร?

ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ชื่อเหลยอี้จิงค่อนข้างหงุดหงิด เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “อาจารย์อา…จิ๋ง ท่านคิดว่าอันตรายที่อยู่ด้านหน้ามันร้ายแรงอย่างมากหรือขอรับ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง นั่นไม่ใช่อันตรายที่ศิษย์หนุ่มอย่างพวกเจ้าจะแบกรับได้”

ความรู้สึกที่ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างมีต่อจิ๋งจิ่วนั้นแย่อย่างมาก

ครั้งนี้จิ๋งจิ่วได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตทำให้ความคิดของเหลยอี้จิงเปลี่ยนไป ครั้นได้ยินคำพูดนี้จึงเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ผู้บำเพ็ญพรตถ้าไม่แก่ตาย ก็ต้องตายในดินแดนทางเหนือ นี่เป็นเส้นทางสองเส้นที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในช่วงเวลาหลายหมื่นปีที่่ผ่านมา”

เหลยอี้จิงกล่าวเสียงเบา “ศิษย์เข้าสู่ยอดเขาเหลี่ยงว่างก็เพราะเลือกอย่างหลัง อันตรายมีอันใดให้หวาดกลัว? ขออาจารย์อาโปรดเข้าใจด้วย!”

“ถูกต้อง เดิมนี่ก็เป็นการทดสอบและฝึกฝนอยู่แล้ว”

ไป๋เจ่ามองจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวว่า “การทดสอบความเป็นความตายคือเจตนารมณ์ของการประลองวิถีพรตแต่เดิม มีเพียงวิธีนี้ จึงจะสามารถทำให้ใจแห่งเต๋าสงบลงได้”

จิ๋งจิ่วกล่าว “สำหรับข้าแล้ว การประลองวิถีพรตมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ภายในหุบเขาที่เดิมค่อนข้างวุ่นวายพลันเงียบลงทันที

ไป๋เจ่าไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ตนเองได้ยิน

ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ อีกหกคนรวมไปถึงอินชิงมั่วที่อยู่กับจิ๋งจิ่วตั้งแต่แรกนั้นมีความเชื่อใจเขามากที่สุด

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จิ๋งจิ่วจะทำให้คนอื่นๆ โกรธ แต่พวกเขายังคงยืนอยู่ด้านหลังเขากับไป๋เจ่าอย่างเงียบๆ

แต่ในเวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจ

คำพูดประโยคนี้ของจิ๋งจิ่วได้ปฏิเสธเจตนารมณ์ในการก่อตั้งงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่เล่าขานกันมาในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเหล่านั้น

“จุดประสงค์ในการบำเพ็ญพรตคือการมีอายุยืนยาว ความเป็นความตายนั้นคือเรื่องใหญ่เพียงหนึ่งเดียว จำเป็นต้องถูกเคารพยำเกรง หากใช้มันมาเป็นเครื่องมือในการทดสอบส่งเดช นั่นเท่ากับว่าไม่เคารพ”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นใจแห่งเต๋าจะสงบนิ่งหรือไม่ มันอยู่ที่การทบทวนตัวเอง มิได้เกี่ยวข้องกับสิ่งนอกกาย”

ศิษย์คุนหลุนผู้นั้นรู้สึกคนผู้นี้คือคนบ้า ไม่อาจพูดคุยด้วยได้

ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากเองก็ส่ายศีรษะพูดอะไรไม่ออก ทยอยเตรียมตัวจากไป

เหลยอี้จิงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองต่อไปได้ เขากล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “อาจารย์อา ขออภัยที่ศิษย์ไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งได้”

ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวเดินไปทางหุบเขา

ศิษย์ชิงซานที่เหลือมองดูจิ๋งจิ่ว สีหน้าดูลังเล ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

เวลานี้แม้กระทั่งในบรรดาศิษย์ชิงซานก็ยังมีเสียงที่แตกต่างกันขึ้นมา จิ๋งจิ่วจะทำอย่างไร?

ไป๋เจ่ามองดูเขาอย่างเป็นห่วง

จิ๋งจิ่วมองดูแผ่นหลังของเหลยอี้จิง นิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นชูมือขวาขึ้นมา

กระบี่เหล็กพุ่งออกไปกลายเป็นแสงสีดำ ฟันลงไปยังเหลยอี้จิง

ภายในหุบเขามีเสียงอุทานตกใจขึ้นมา

เหลยอี้จิงรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่อันรุนแรงทางด้านหลัง เขาเรียกกระบี่ออกไปรับเอาไว้ทันที

มิเสียทีที่เป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการตอบสนองหรือความเร็วในการออกกระบี่ก็ล้วนแต่รวดเร็วเป็นยิ่งนัก

เคร้งๆๆๆ!

ลำแสงกระบี่สองเล่มบินไปมาด้วยความเร็วสูงตรงด้านหน้าหน้าผา ฟันกันไปมาไม่หยุด คลื่นอากาศที่โหมกระพือขึ้นมาทำให้เกิดเศษหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน เจตน์กระบี่อันรุนแรงได้กระแทกเข้าไปในหน้าผา เศษหินร่วงกราวลงมา

เพียงพริบตา ผลการต่อสู้ก็ปรากฏออกมา

เสียงโครมดังขึ้น

เหลยอี้จิงกระแทกเข้ากับหน้าผาอย่างแรง จากนั้นร่วงตกมาที่พื้น

กระบี่บินบินกลับมาข้างกายเขา ลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ ส่งเสียงดังหวึ่งๆ

มุมปากเหลยอี้จิงมีเลือดสดๆ ไหลออกมา สายตาแลดูสับสน

จนกระทั่งในเวลานี้ เขาถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นกระบี่ของจิ๋งจิ่ว เขาไม่มีทางกล้าตอบโต้กลับไปแน่

เหล่าศิษย์ชิงซานต่างตกใจ รีบพุ่งเข้าไปพยุงเหลยอี้จิงเอาไว้ หลังมั่นใจว่าเขาไม่บาดเจ็บอะไรร้ายแรง จึงค่อยรู้สึกวางใจ

มีศิษย์ที่มาจากยอดเขาเหลี่ยงว่างคนหนึ่งยากจะสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “อาจารย์อา! เหตุใดท่านต้องทำแบบนี้ด้วย?”

ศิษย์ชิงซานที่เหลือเองก็รู้สึกโมโหเช่นเดียวกัน

เห็นได้ชัดว่าจิ๋งจิ่วมิอนุญาตให้เหลยอี้จิงจากไป ด้วยเหตุนี้จึงโจมตีใส่เหลยอี้จิง

จิ๋งจิ่วมองเหล่าศิษย์ชิงซาน กล่าวว่า “พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน ไม่มีการขออภัยที่ศิษย์ไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งได้อะไรทั้งนั้น เพราะข้าไม่อภัย”

 

……

……

ไม่อภัย พวกเจ้าก็ไม่สามารถไปได้

วิธีของจิ๋งจิ่วแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่มีเหตุผล

ศิษย์ชิงซานย่อมไม่ยอม

พวกเขาฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลาหลายปี ไม่ง่ายเลยที่ผ่านการทดสอบกระบี่และได้สิทธิ์เป็นตัวแทนของชิงซานเข้าร่วมการประลองวิถีพรต แต่ยังไม่ทันจะได้แสดงความสามารถก็ต้องมาถูกบีบให้กลับ ใครจะไปยอมได้? ยิ่งไปกว่านั้นนี่มิใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชื่อเสียงและบารมีของสำนักชิงซานบนโลกนี้ หรือจะต้องมาเสียหายเพราะพวกเขา?

หากวันนี้พวกเขาฟังคำสั่งของจิ๋งจิ่วและถอนตัวออกจากการประลอง สำนักชิงซานจะต้องกลายเป็นตัวตลกของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตแน่นอน

ปัญหาอยู่ที่ว่า พวกเขาไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไรได้?

จิ๋งจิ่วอายุยังน้อย ช่วงเวลาที่เข้าไปอยู่ในสำนักน้อยกว่าพวกเขา แต่สุดท้ายกลับได้เป็นอาจารย์อาของยอดเขาเสินม่อ

หรือพวกเขายังกล้าปล่อยกระบี่ลงมือกับอีกฝ่าย?

เมื่อคิดถึงภาพที่อาจจะเกิดขึ้นมา มือของเหล่าศิษย์ชิงซานสั่นขึ้นมาเบาๆ

เยาซงซานจ้องมองพวกเขาพลางตะคอกไปว่า “หรือพวกเจ้ากล้าล่วงเกินอาจารย์อา? อยากกลับไปรับโทษหมื่นกระบี่ทะลวงใจที่ยอดเขาซั่งเต๋องั้นหรือ!”

เหล่าศิษย์ชิงซานก้มหน้ามิกล่าวกระไร พวกเขาย่อมต้องไม่กล้าปล่อยกระบี่ใส่จิ๋งจิ่ว เพียงแต่รู้สึกน้อยใจและผิดหวังอย่างมาก

“คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพสำนักชิงซานกัดกันเอง”

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นกล่าวเยาะเย้ย “อ้อ ไม่สิ ข้าพูดผิดไป ควรจะพูดว่าอาจารย์อาที่กลัวตายสั่งสอนศิษย์หลายที่รู้ยางอายมากกว่า”

จิ๋งจิ่วมองดูคนผู้นี้

ไป๋เจ่าคิดในใจว่าแย่แล้ว รู้ว่าตัวเองห้ามอะไรไม่ทันแล้ว จึงเรียกอาวุธวิเศษออกมาอย่างไม่ลังเล

แขนเสื้อลอยขึ้นมา อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงด้านหน้าหน้าผา ขนาดใหญ่ประมาณถ้วยสุรา รูปร่างคล้ายกระดิ่งใจพิสุทธิ์ของสำนักเสวียนหลิง

อาวุธวิเศษนั้นขยายใหญ่ พริบตาก็กลายเป็นระฆังอันเล็กๆ ตัวระฆังมีเขียวเหลือบดำ คล้ายหลอมขึ้นมาจากสัมฤทธิ์ แต่ภายนอกกลับมีแสงสลัวจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายออกมา ให้ความรู้สึกที่งดงามและแรงกดดันที่ยากจะบรรยายได้

“ระฆังจรัสแสง!”

ในกลุ่มคนมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา

…………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

มรรคาสู่สวรรค์ 118 ไม่อภัย

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 118 ไม่อภัย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนที่พูดคือศิษย์ของสำนักคุนหลุนคนหนึ่ง ในช่วงครึ่งแรกของการประลองวิถีพรต ผลงานของเขาถือว่าไม่เลว ผลปรากฏว่าหลังจากมาเจอคนกลุ่มนี้ เขาถูกทำให้เสียเวลาไปสองวัน ตอนนี้หากจะทำผลงานให้เข้าไปอยู่ในอันดับแรกๆ เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากแล้ว เขาย่อมต้องรู้สึกโมโห

คำพูดของเขาเป็นคำพูดในใจของใครหลายๆ คน เพียงแต่ไม่มีใครที่จะพูดออกมาตรงๆ เหมือนอย่างเขา

ศิษย์ชิงซานทั้งเก้าคนรวมไปถึงเยาซงซานมองไปทางคนผู้นี้ สายตาแหลมคมดุจกระบี่

ศิษย์คุนหลุนผู้นี้พลันคิดถึงคำพูดติดปากของสำนักชิงซานประโยคนั้นขึ้นมา

เขารู้สึกว่าสายตาเหล่านี้เย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าลมที่อยู่ในหุบเขาเสียอีก จึงหุบปากลงทันที

“คิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่สองคนเดินออกมาจากในกลุ่ม กล่าวว่า “หรือว่าศิษย์คุนหลุนผู้นี้พูดผิด?”

เยาซงซานหรี่ตา เสื้อผ้ากระตุกเล็กน้อย เตรียมจะปล่อยเจตน์กระบี่ออกไป ศิษย์ชิงซานคนอื่นเองก็เตรียมพร้อมที่จะปล่อยกระบี่ออกไปเหมือนกัน นี่มิใช่การใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น แล้วก็มิใช่เวลามานั่งถกเถียงเรื่องเหตุผล ถึงแม้พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับจิ๋งจิ่ว แต่ศิษย์สำนักอื่นมากล่าวลบหลู่อาจารย์ พวกเขาจะทนได้อย่างไร?

ในเวลานี่ ไป๋เจ่าเอ่ยปากขึ้นมา

นางมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ทางเรือนซีซานตอบกลับมา พวกเขาปฏิเสธคำขอของเจ้า น้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างมาก หลังจบการประลองแล้วอาจจะมีปัญหาได้”

หากกล่าวอย่างรักษาน้ำใจ พฤติกรรมของจิ๋งจิ่วถือว่าสร้างความวุ่นวาย หากกล่าวอย่างแรงๆ ก็คือเขาจงใจทำลายงานชุมนุมที่จัดขึ้นหลายปีครั้งของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต

ต่อให้เขาได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต หลังจากนี้ก็คงจะถูกลงโทษอย่างหนัก

ไป๋เจ่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจิ๋งจิ่วคิดจะพาคนมากมายขนาดนี้ออกไปจากที่ราบหิมะ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่อาจทราบได้ มิใช่ออกไปเผชิญหน้าด้วยกัน หากแต่หลบหนีอย่างนั้นหรือ?

ช่างเป็นคนที่แตกต่างจากศิษย์พี่โดยสิ้นเชิง

ตามหลักแล้ว ไป๋เจ่าควรจะดูถูกพฤติกรรมเช่นนี้ แต่นางมักจะรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วมิใช่คนแบบนี้ ดังนั้นนางจึงเพียงแต่สงสัย ยังคงรู้สึกสับสนต่อไป

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเห็นด้วย เพราะข้าไม่มีหลักฐาน มีเพียงความรู้สึก จึงแค่ลองถามดูเท่านั้น”

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นกล่าวเสียงเบาว่า “พูดจาเลอะเลือนเช่นนี้ หรือพวกเรายังจะฟังต่อไปอีก?”

ครั้นกล่าวจบ เขาก็เก็บซองกระบี่ พาสหายร่วมสำนักเดินเข้าไปในหุบเขา

มีศิษย์หลายคนลุกขึ้นตามไป เมื่อคิดถึงว่าถูกถ่วงเวลาอย่างไร้เหตุผลเป็นเวลาหลายวันขนาดนี้ หลายคนจึงอดเหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่วไม่ได้ในตอนที่เดินจากไป

ต่อให้ไม่กล้าด่าอะไรเจ้า แต่มองเจ้าคงจะไม่มีปัญหาใช่ไหม?

จิ๋งจิ่วคล้ายรับรู้ไม่ได้ถึงความหมายที่อยู่ในสายตาเหล่านี้่ เขากล่าวว่า “ศิษย์ชิงซานฟังคำสั่ง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่อยู่ในหุบเขาพลันตื่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ภายในใจครุ่นคิดว่าเรือนซีซานไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้า หรือเจ้ายังกล้าฝืนรั้งพวกเราเอาไว้?

เหล่าศิษย์ชิงซานเองก็ค่อนข้างตกใจ แต่ยังคงออกมายืนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าเขาตามคำสั่ง

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเหล่าผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น หากแต่มองเหล่าศิษย์ชิงซานแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ เตรียมตัวออกเดินทาง”

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ อารมณ์ของไป๋เจ่าพลันสับสนขึ้นมาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดมิน่าเจ้าถึงไม่สนใจการตอบของเรือนซีซานเลย ที่แท้เจ้าเพียงแต่คิดจะพาศิษย์ของสำนักชิงซานไปเท่านั้น

ตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ เส้นทางที่จิ๋งจิ่วกำหนดขึ้นมาก็คือการรวมกลุ่มสิบกว่ากลุ่มนี้เข้าด้วยกัน เพราะในกลุ่มเหล่านี้ล้วนแต่มีศิษย์ชิงซานอยู่

คนอื่นๆ เขาไม่เคยคิดถึงเลย

เหล่าศิษย์ชิงซานทั้งรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดเหล่าอาจารย์ได้ปฏิเสธแล้ว เหตุใดยังต้องจากไป?

ศิษย์คุนหลุนคนนั้นได้สติกลับมา เมื่อครุ่นคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ภายในใจได้เกิดความรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาก็รู้สึกอับอาย จึงกล่าวเยาะเย้ยไปว่า “ที่แท้ศิษย์ชิงซานเองก็กลัวตายเหมือนกันหรือ?”

เหล่าศิษย์ชิงซานมองคนผู้นี้ สายตายิ่งเย็นยะเยือก

ศิษย์คุนหลุนผู้นั้นในใจเกิดความหวาดกลัว แต่เมื่อมองเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เขาก็ปลุกความกล้าในตัวเองขึ้นมา กล่าวว่า “ทำไม กล้าทำแต่ไม่กล้าให้คนอื่นพูดงั้นหรือ?”

สีหน้าเหล่าศิษย์ชิงซานยิ่งดูแย่ อารมณ์ภายในใจยิ่งซับซ้อนอย่างมาก

หากพวกเขายังอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วอีกประเดี๋ยวจากไป คนอื่นจะมองอย่างไร?

ศิษย์ชิงซานกลายเป็นคนขี้ขลาดหลบหนีการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อไร?

ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ชื่อเหลยอี้จิงค่อนข้างหงุดหงิด เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “อาจารย์อา…จิ๋ง ท่านคิดว่าอันตรายที่อยู่ด้านหน้ามันร้ายแรงอย่างมากหรือขอรับ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง นั่นไม่ใช่อันตรายที่ศิษย์หนุ่มอย่างพวกเจ้าจะแบกรับได้”

ความรู้สึกที่ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างมีต่อจิ๋งจิ่วนั้นแย่อย่างมาก

ครั้งนี้จิ๋งจิ่วได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตทำให้ความคิดของเหลยอี้จิงเปลี่ยนไป ครั้นได้ยินคำพูดนี้จึงเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ผู้บำเพ็ญพรตถ้าไม่แก่ตาย ก็ต้องตายในดินแดนทางเหนือ นี่เป็นเส้นทางสองเส้นที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในช่วงเวลาหลายหมื่นปีที่่ผ่านมา”

เหลยอี้จิงกล่าวเสียงเบา “ศิษย์เข้าสู่ยอดเขาเหลี่ยงว่างก็เพราะเลือกอย่างหลัง อันตรายมีอันใดให้หวาดกลัว? ขออาจารย์อาโปรดเข้าใจด้วย!”

“ถูกต้อง เดิมนี่ก็เป็นการทดสอบและฝึกฝนอยู่แล้ว”

ไป๋เจ่ามองจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวว่า “การทดสอบความเป็นความตายคือเจตนารมณ์ของการประลองวิถีพรตแต่เดิม มีเพียงวิธีนี้ จึงจะสามารถทำให้ใจแห่งเต๋าสงบลงได้”

จิ๋งจิ่วกล่าว “สำหรับข้าแล้ว การประลองวิถีพรตมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ภายในหุบเขาที่เดิมค่อนข้างวุ่นวายพลันเงียบลงทันที

ไป๋เจ่าไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ตนเองได้ยิน

ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ อีกหกคนรวมไปถึงอินชิงมั่วที่อยู่กับจิ๋งจิ่วตั้งแต่แรกนั้นมีความเชื่อใจเขามากที่สุด

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จิ๋งจิ่วจะทำให้คนอื่นๆ โกรธ แต่พวกเขายังคงยืนอยู่ด้านหลังเขากับไป๋เจ่าอย่างเงียบๆ

แต่ในเวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจ

คำพูดประโยคนี้ของจิ๋งจิ่วได้ปฏิเสธเจตนารมณ์ในการก่อตั้งงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่เล่าขานกันมาในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเหล่านั้น

“จุดประสงค์ในการบำเพ็ญพรตคือการมีอายุยืนยาว ความเป็นความตายนั้นคือเรื่องใหญ่เพียงหนึ่งเดียว จำเป็นต้องถูกเคารพยำเกรง หากใช้มันมาเป็นเครื่องมือในการทดสอบส่งเดช นั่นเท่ากับว่าไม่เคารพ”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นใจแห่งเต๋าจะสงบนิ่งหรือไม่ มันอยู่ที่การทบทวนตัวเอง มิได้เกี่ยวข้องกับสิ่งนอกกาย”

ศิษย์คุนหลุนผู้นั้นรู้สึกคนผู้นี้คือคนบ้า ไม่อาจพูดคุยด้วยได้

ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากเองก็ส่ายศีรษะพูดอะไรไม่ออก ทยอยเตรียมตัวจากไป

เหลยอี้จิงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองต่อไปได้ เขากล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “อาจารย์อา ขออภัยที่ศิษย์ไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งได้”

ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวเดินไปทางหุบเขา

ศิษย์ชิงซานที่เหลือมองดูจิ๋งจิ่ว สีหน้าดูลังเล ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

เวลานี้แม้กระทั่งในบรรดาศิษย์ชิงซานก็ยังมีเสียงที่แตกต่างกันขึ้นมา จิ๋งจิ่วจะทำอย่างไร?

ไป๋เจ่ามองดูเขาอย่างเป็นห่วง

จิ๋งจิ่วมองดูแผ่นหลังของเหลยอี้จิง นิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นชูมือขวาขึ้นมา

กระบี่เหล็กพุ่งออกไปกลายเป็นแสงสีดำ ฟันลงไปยังเหลยอี้จิง

ภายในหุบเขามีเสียงอุทานตกใจขึ้นมา

เหลยอี้จิงรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่อันรุนแรงทางด้านหลัง เขาเรียกกระบี่ออกไปรับเอาไว้ทันที

มิเสียทีที่เป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการตอบสนองหรือความเร็วในการออกกระบี่ก็ล้วนแต่รวดเร็วเป็นยิ่งนัก

เคร้งๆๆๆ!

ลำแสงกระบี่สองเล่มบินไปมาด้วยความเร็วสูงตรงด้านหน้าหน้าผา ฟันกันไปมาไม่หยุด คลื่นอากาศที่โหมกระพือขึ้นมาทำให้เกิดเศษหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน เจตน์กระบี่อันรุนแรงได้กระแทกเข้าไปในหน้าผา เศษหินร่วงกราวลงมา

เพียงพริบตา ผลการต่อสู้ก็ปรากฏออกมา

เสียงโครมดังขึ้น

เหลยอี้จิงกระแทกเข้ากับหน้าผาอย่างแรง จากนั้นร่วงตกมาที่พื้น

กระบี่บินบินกลับมาข้างกายเขา ลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ ส่งเสียงดังหวึ่งๆ

มุมปากเหลยอี้จิงมีเลือดสดๆ ไหลออกมา สายตาแลดูสับสน

จนกระทั่งในเวลานี้ เขาถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นกระบี่ของจิ๋งจิ่ว เขาไม่มีทางกล้าตอบโต้กลับไปแน่

เหล่าศิษย์ชิงซานต่างตกใจ รีบพุ่งเข้าไปพยุงเหลยอี้จิงเอาไว้ หลังมั่นใจว่าเขาไม่บาดเจ็บอะไรร้ายแรง จึงค่อยรู้สึกวางใจ

มีศิษย์ที่มาจากยอดเขาเหลี่ยงว่างคนหนึ่งยากจะสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “อาจารย์อา! เหตุใดท่านต้องทำแบบนี้ด้วย?”

ศิษย์ชิงซานที่เหลือเองก็รู้สึกโมโหเช่นเดียวกัน

เห็นได้ชัดว่าจิ๋งจิ่วมิอนุญาตให้เหลยอี้จิงจากไป ด้วยเหตุนี้จึงโจมตีใส่เหลยอี้จิง

จิ๋งจิ่วมองเหล่าศิษย์ชิงซาน กล่าวว่า “พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน ไม่มีการขออภัยที่ศิษย์ไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งได้อะไรทั้งนั้น เพราะข้าไม่อภัย”

 

……

……

ไม่อภัย พวกเจ้าก็ไม่สามารถไปได้

วิธีของจิ๋งจิ่วแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่มีเหตุผล

ศิษย์ชิงซานย่อมไม่ยอม

พวกเขาฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลาหลายปี ไม่ง่ายเลยที่ผ่านการทดสอบกระบี่และได้สิทธิ์เป็นตัวแทนของชิงซานเข้าร่วมการประลองวิถีพรต แต่ยังไม่ทันจะได้แสดงความสามารถก็ต้องมาถูกบีบให้กลับ ใครจะไปยอมได้? ยิ่งไปกว่านั้นนี่มิใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชื่อเสียงและบารมีของสำนักชิงซานบนโลกนี้ หรือจะต้องมาเสียหายเพราะพวกเขา?

หากวันนี้พวกเขาฟังคำสั่งของจิ๋งจิ่วและถอนตัวออกจากการประลอง สำนักชิงซานจะต้องกลายเป็นตัวตลกของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตแน่นอน

ปัญหาอยู่ที่ว่า พวกเขาไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไรได้?

จิ๋งจิ่วอายุยังน้อย ช่วงเวลาที่เข้าไปอยู่ในสำนักน้อยกว่าพวกเขา แต่สุดท้ายกลับได้เป็นอาจารย์อาของยอดเขาเสินม่อ

หรือพวกเขายังกล้าปล่อยกระบี่ลงมือกับอีกฝ่าย?

เมื่อคิดถึงภาพที่อาจจะเกิดขึ้นมา มือของเหล่าศิษย์ชิงซานสั่นขึ้นมาเบาๆ

เยาซงซานจ้องมองพวกเขาพลางตะคอกไปว่า “หรือพวกเจ้ากล้าล่วงเกินอาจารย์อา? อยากกลับไปรับโทษหมื่นกระบี่ทะลวงใจที่ยอดเขาซั่งเต๋องั้นหรือ!”

เหล่าศิษย์ชิงซานก้มหน้ามิกล่าวกระไร พวกเขาย่อมต้องไม่กล้าปล่อยกระบี่ใส่จิ๋งจิ่ว เพียงแต่รู้สึกน้อยใจและผิดหวังอย่างมาก

“คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพสำนักชิงซานกัดกันเอง”

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ผู้นั้นกล่าวเยาะเย้ย “อ้อ ไม่สิ ข้าพูดผิดไป ควรจะพูดว่าอาจารย์อาที่กลัวตายสั่งสอนศิษย์หลายที่รู้ยางอายมากกว่า”

จิ๋งจิ่วมองดูคนผู้นี้

ไป๋เจ่าคิดในใจว่าแย่แล้ว รู้ว่าตัวเองห้ามอะไรไม่ทันแล้ว จึงเรียกอาวุธวิเศษออกมาอย่างไม่ลังเล

แขนเสื้อลอยขึ้นมา อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงด้านหน้าหน้าผา ขนาดใหญ่ประมาณถ้วยสุรา รูปร่างคล้ายกระดิ่งใจพิสุทธิ์ของสำนักเสวียนหลิง

อาวุธวิเศษนั้นขยายใหญ่ พริบตาก็กลายเป็นระฆังอันเล็กๆ ตัวระฆังมีเขียวเหลือบดำ คล้ายหลอมขึ้นมาจากสัมฤทธิ์ แต่ภายนอกกลับมีแสงสลัวจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายออกมา ให้ความรู้สึกที่งดงามและแรงกดดันที่ยากจะบรรยายได้

“ระฆังจรัสแสง!”

ในกลุ่มคนมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา

…………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+