มรรคาสู่สวรรค์ 110 ถกธรรมกับผู้คน (2)

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 110 ถกธรรมกับผู้คน (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หมู่วิหคบินจากไป

เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาในหอ

นางตัว ‘เล็ก’ จริงๆ สูงเพียงแค่สองฉื่อ สามารถไปยืนอยู่บนฝ่ามือของผู้ใหญ่ได้เลย

เด็กหญิงหน้าตางดงาม ดูไปคล้ายภูติที่อยู่ในดินแดนประหลาด ราวกับสร้างขึ้นมาจากเครื่องเคลือบ ให้ความรู้สึกโปร่งแสงเหมือนผลึกแก้ว

ไอพลังของนางเบาบาง จางเสียยิ่งกว่าน้ำ เบาเสียยิ่งกว่าลม หากหลับตาลง เรียกได้ว่าไม่มีทางจะสัมผัสถึงการมีอยู่ของนางได้เลย

ด้านหลังนางมีปีกใสคู่หนึ่งกำลังกระพือไม่หยุด ทำให้เกิดลมเย็นจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อสูดดมเข้าไปแล้วเกิดความรู้สึกสดชื่น

“นั่นคืออะไร?”

มีผู้บำเพ็ญพรตบางคนมองดูเด็กหญิงที่กำลังกระพือปีกอยู่ในอากาศ ในใจเกิดความรู้สึกระแวดระวังขึ้นมา

ที่นี่คือเขาอวิ๋นเมิ่ง พวกเขาย่อมไม่ทำอะไรส่งเดช แต่ใครจะรู้บ้างว่างานชุมนุมแสวงมรรคาจะทำการทดสอบอะไรกันแน่

“นางคือดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง”

ไป๋เจ่าพยักหน้าทักทายเด็กหญิงตัวเล็กที่โปร่งแสงจนดูเหมือนไม่มีอยู่จริงผู้นั้น จากนั้นมองไปทางทุกคนแล้วกล่าวว่า “พวกท่านเรียกนางว่าชิงเอ๋อร์ก็ได้”

ทุกคนตกใจ กระทั่งจิ๋งจิ่วก็ยังมองดูเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนั้น

มีเพียงวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์เท่านั้นถึงจะให้กำเนิดดวงจิตได้!

ว่ากันว่าในอดีตกาลเคยมีดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ปรากฏอยู่บนแผ่นดิน บางส่วนบรรลุกลายเป็นเซียนตามเซียนโบราณ บางส่วนหายไปในสายธารแห่งกาลเวลา

แผ่นดินเฉาเทียนในเวลานี้ไม่เคยได้ยินว่ามีดวงจิตของวัตถุชั้นสวรรค์มาเป็นเวลานานแล้ว

พวกเขารู้ว่างานชุมนุมครั้งนี้จะใช้คันฉ่องฟ้ากระจ่างในการเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคันฉ่องฟ้ากระจ่างจะเป็นวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ และมีดวงจิตคันฉ่องอยู่จริงๆ!

“ดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งคือโลกอีกใบที่คันฉ่องฟ้ากระจ่างสร้างขึ้นมา การอยู่ในนั้นไม่มีอันตรายใดๆ แต่หากดวงจิตของผู้บำเพ็ญพรตอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดกรรมเกี่ยวพันได้ และจะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญพรตในอนาคต หรือกระทั่งอาจจะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นอีกประเดี๋ยวชิงเอ๋อร์จะถามคำถามพวกเราเล็กน้อย เพื่อตรวจดูว่าพวกเราสามารถเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งได้หรือไม่”

ในตอนที่ทุกคนสงบนิ่งลงเล็กน้อย ไป๋เจ่าได้กล่าวต่อ

ต่างก็เป็นคนหนุ่มสาวที่อัจฉริยะที่สุดของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ทุกคนย่อมต้องเข้าใจหลักเหตุผลนี้

บัณฑิตของสำนักคุนหลุนผู้นั้นสืบเท้าขึ้นมาข้างหน้าสองสามก้าว กล่าวกับไป๋เจ่าว่า “ขอบคุณเซียนไป๋ที่ช่วยชี้แนะ”

คำพูดง่ายๆ ประโยคเดียว ถูกเขาพูดออกมาอย่างจริงจัง ฟังดูน่าสะอิดสะเอียน ความรู้สึกประจบสอพลอปรากฏชัดเจน

ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร

บนใบหน้าบางคนมีสีหน้าเย้ยหยัน คิดในใจว่าหัวใจเซียนไป๋อยู่ที่จิ๋งจิ่วแล้ว เจ้าเป็นตัวอะไร?

ดวงจิตคันฉ่องที่ชื่อชิงเอ๋อร์ผู้นั้นบินมาตรงหน้าไป๋เจ่า ก่อนกล่าวด้วยใบหน้าไร้เดียงสาว่า “ไม่ค่อยได้เห็นคนเยอะขนาดนี้ ข้ารู้สึกกลัวเล็กน้อยแล้วสิ”

ไม่ทันรอให้ไป๋เจ่าพูด บัณฑิตจากสำนักคุนหลุนผู้นั้นก็แย่งพูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ดวงจิตมิต้องกลัว ประเดี๋ยวข้า….”

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเตรียมประจบอีกฝ่าย

ชิงเอ๋อร์พลันตบมือขึ้นมา

เสียงดังชัดเจน

จากนั้นมีเงาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบตัวนาง คล้ายมีฝ่ามือนับพันกำลังตบมืออยู่

ผัวะๆๆๆ! เสียงฝ่ามือดังขึ้นมาราวห่าฝน ดังสะท้อนไปทั่วทั้งหอ ดังออกไปถึงหุบเขาแล้ววกกลับมา คล้ายคลื่นทะเลซัดสาด เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

บัณฑิตจากสำนักคุนหลุนผู้นั้นย่อมไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ ผู้บำเพ็ญพรตบางคนมีสภาวะค่อนข้างต่ำ ใจแห่งเต๋าไม่มั่นคง จึงเกิดความรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา

เพียงแค่ตบมือก็มีอานุภาพถึงเพียงนี้แล้ว

เมื่อมองดูเด็กหญิงตัวเล็กนั้นอีกครั้ง ไม่มีใครรู้สึกว่านางน่ารักแล้ว รู้สึกเพียงแค่ว่าน่ากลัว

จิ๋งจิ่วมองนางอีกครั้ง พบว่านางเป็นดวงจิตอย่างที่ว่าจริงๆ เพียงแต่ยังขาดอีกนิดหนึ่ง

แต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าไร้อัตตามากแล้ว

เขาเลี้ยงกระบี่ไร้อัตตามานานขนาดนี้ แต่มันก็ยังคงไม่เกิดสติปัญญาที่แท้จริงขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่างดวงจิตเลย

กระบี่มิคำนึงยิ่งแล้วใหญ่

กระบี่อีกหกเล่มที่เหลือยิ่งไม่มีหวังใดๆ เขาคิดว่ากระบี่เหล็กที่อยู่ด้านหลังตนเองเล่มนี้ยังดูมีหวังมากกว่าอีก

แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรไร้อัตตาจึงจะรู้เรื่อง หวังว่าติดตามหลิ่วสือซุ่ยแล้วจะเติบโตขึ้นบ้างนะ

ได้ยินว่าฉานจึเขียนจดหมายส่งไปยังเรือนอี้เหมาฉบับหนึ่ง สือซุ่ยเองก็ใกล้จะได้ไปที่นั่นแล้วสินะ?

ในขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ในที่สุดมือของชิงเอ๋อร์ก็หยุดลง

ฝ่ามือนับพันกลับเข้าไปในร่างกายของนาง

เสียงฝ่ามือที่ดังราวเสียงฟ้าคำรามหายไป ลมเองก็หยุดลง

นางมองดูเหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่เบื้องล่าง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ตอนนี้มีสมาธิขึ้นแล้วใช่ไหม? ใครจะเป็นคนแรก?

บรรยากาศภายในหอดูตึงเครียดขึ้นมา

ถึงแม้จะเป็นแค่การถามคำถามเล็กน้อย แต่ถ้าถูกนางตัดสินว่าไม่มีคุณสมบัติ ไม่สามารถเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งได้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าตกรอบ!

มีคนถามว่า “ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดวงจิต ไม่ทราบทดสอบอย่างไร?”

ชิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ง่ายมาก ตอบคำถามภายในสิบอึดใจ มิเช่นนั้นก็จะหมดสิทธิ์ จากนั้นข้าจะเป็นคนตัดสินว่าคำตอบนั้นถูกหรือไม่”

ยังคงเป็นกฎง่ายๆ แต่ก็ยังไม่มีใครก้าวออกมา

ทุกคนต่างรู้ว่าด่านนี้จะต้องไม่ใช่การตอบคำถามง่ายๆ ธรรมดาอย่างแน่นอน

ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นมิได้จ้องจัวหรูซุ่ยอีก หากแต่เหลียวหน้ากลับมามองจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วไม่ค่อยเข้าใจ สายตาของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่ากำลังสอบถามตนเอง แต่เขาก็ยังพยักหน้าออกไป

“ข้าเอง”

ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นเดินเข้ามาในกลุ่มคน พลางยกมือขวา

ชิงเอ๋อร์ถาม “หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าไร?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทุกคนต่างงุนงงไปทันที

คำถามที่ง่ายดายเช่นนี้จะต้องมีความหมายที่ึลึกซึ้งอยู่อย่างแน่นอน คำตอบคืออะไรกันแน่?

สมกับที่เป็นงานชุมนุมแสวงมรรคาจริงๆ ธรรมวิถีนั้นเรียบง่าย แต่กลับยากจะเข้าใกล้ได้…

ใครจะไปคิดบ้างว่าศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นจะกล่าวตอบออกไปโดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย

“สอง”

เสียงฮือฮาดังขึ้นมา

มีคนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา

ใครจะไปรู้บ้างว่าชิงเอ๋อร์จะมองดูศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นด้วยสีหน้าชื่นชม พลางกล่าวว่า “ไม่เลว เข้าไปสิ”

ภายในหอแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างมองหน้ากันไม่พูดอะไร ในใจครุ่นคิดว่าแบบนี้ก็ได้หรือ?

ชิงเอ๋อร์ถามว่า “ใครเป็นคนที่สอง?”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน แต่ยังไม่มีใครก้าวออกมา

การที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาก็หมายความว่าคนผู้นั้นเพิ่งจะบำเพ็ญเพียรมาได้ไม่กี่สิบปีก็สามารถบรรลุได้ถึงขั้นมิประจักษ์บริบูรณ์ กระทั่งอาจจะขึ้นไปถึงขั้นคเนจร หรือก็คือขั้นจินตานบริบูรณ์ มีหวังที่จะไปถึงขั้นจิตก่อรูป

คนเช่นนี้แม้นอาจจะมีปัญหาในเรื่องนิสัยเหมือนอย่างบัณฑิตจากสำนักคุนหลุนผู้นั้น แต่ในเรื่องสติปัญญาจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

ดวงจิตคันฉ่องชื่นชมความจริงใจของศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้น เขาไม่มีการเสแสร้งแม้แต่น้อย จึงให้เขาผ่านเข้าไป

ถ้าหากหลังจากนี้เป็นคำถามที่ยากมากๆ หรืออาจจะเป็นคำถามง่ายๆ เหมือนหนึ่งบวกหนึ่งอยู่ แต่กลับต้องการคำตอบที่แตกต่างกันจะทำอย่างไร?

หลายคนนึกเสียใจ ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองน่าจะก้าวออกไปเป็นคนแรก

“ข้าแล้วกัน”

คนที่สองที่ก้าวออกมาคือสมณะเฉ่าเซ่อจากวัดกั๋วเฉิง หรือก็คือเหอจาน เขาเกิดความผิดหวังต่อโลกใบนี้ ไม่มีความคิดที่อยากจะได้ยันต์เซียน เพียงแค่แวะมาดูเท่านั้น ภายในใจเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อตนเอง แม้นจะถูกตัดสิทธิ์ก็หาได้สนใจไม่

ชิงเอ๋อร์ถามว่า “หนึ่งบวกสี่เท่ากับเท่าไร?”

เหอจานตอบว่า “สิบสี่”

“ถือว่าน่าสนใจ เจ้าก็เข้าไปสิ”

ชิงเอ๋อร์เห็นบนใบหน้าเขาไม่มีความรู้สึกยินดี จึงถามอย่างสงสัยว่า “เหตุใดเจ้าจึงดูเศร้าเช่นนี้?”

เหอจานงุนงงเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “อาจเป็นเพราะปลาที่เขาอวิ๋นเมิ่งย่างแล้วไม่อร่อยกระมัง?”

ชิงเอ๋อร์รู้สึกโกรธเล็กน้อย กล่าวว่า “หากคำถามที่ข้าถามคือคำถามนี้ ข้าไม่มีทางให้เจ้าผ่านแน่”

ในมุมมุมหนึ่ง

จัวหรูซุ่ยหาวออกมา กล่าวว่า “นี่ไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ?”

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเขา

จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “หากข้าเป็นสำนักจงโจว ข้าจะต้องทำให้พวกเราสองคนตกรอบตั้งแต่ด่านนี้อย่างแน่นอน”

ในใจจิ๋งจิ่วครุ่นคิดว่าก็เพราะเหตุนี้นี่แหละ เจ้าและข้าถึงจะต้องผ่านเข้าไปได้อย่างแน่นอน

มิเช่นนั้นสำนักจงโจวจะต้องถูกคนหัวเราะเยาะไปอีกหลายร้อยปีแน่นอน

จัวหรูซุ่ยมองดูสีหน้าของเขา จึงคาดเดาความคิดของเขาได้ ในใจรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา นวดใบหน้าตนเองพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าเข้าไปก่อนล่ะ”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้านั่งอีกประเดี๋ยวค่อยเข้าไป”

……………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *