มรรคาสู่สวรรค์ 86 เดินลำบาก (2)

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 86 เดินลำบาก (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความมืดค่อยๆมาเยือน แสงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ส่องสว่างหาดทราย

กั้วตงลืมตาขึ้นมา ดวงตาสะท้อนแสงดาว สว่างไสวเป็นอย่างมาก

ดวงดาวในน้ำก็คือดวงดาวบนท้องฟ้า

แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร?

นางมองจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ ไม่ได้กล่าวอะไร

จิ๋งจิ่วเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้สึกว่าแบบนี้ดีแล้ว ไม่เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่นางพูดถึงหลักการไม่หยุด น่ารำคาญเป็นยิ่งนัก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ขนตาของกั้วตงขยับเล็กน้อย นางกล่าวว่า “เจ้าเคยบอกว่าข้าไม่ตาย”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ใช่”

กั้วตงกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเหมือนกำลังมองคนตายอยู่”

หรือพูดอีกอย่างก็คือคนที่น่าจะตาย

มุมปากของจิ๋งจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย กลายเป็นมุมโค้งที่งดงามเป็นอย่างมาก เขาใช้การยิ้มอย่างมีมารยาทเป็นคำตอบ

“จริงอยู่ที่ใบหน้าของเจ้างดงาม แต่อย่าได้คิดจะใช้มันมาเป็นอาวุธในการเล่นงานข้า สิ่งที่เรียกว่าดูดีนั้นเป็นแค่เพียงตัวเลือกที่ทำให้มีสายเลือดที่ดีขึ้นในตอนที่ทำการสืบพันธุ์ต่อไปเท่านั้น…”

กั้วตงกล่าวว่า “และข้าก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้”

จิ๋งจิ่วคิดว่านางพูดมีเหตุผล แต่ไม่น่าสนใจ

เขาไม่ชอบฟังเหตุผล แล้วก็ไม่ชอบพูดเรื่องเหตุผล แค่เคยพูดให้เจ้าล่าเยวี่ยฟังนิดหน่อยเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหลายปีก่อนเขาก็เคยฟังกั้วตงพูดเรื่องเหตุผลที่คล้ายๆ กันนี้มาแล้ว และนั่นก็เป็นความทรงจำที่น่ารำคาญที่เขาอยากจะลืมมันไป

เขาเพียงแค่อยากจะมาดูนาง ไม่ใช่มาพบนาง คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะบีบบังคับ จนสุดท้ายก็ต้องมาเจอกัน อีกทั้งยังอยู่ใกล้กันขนาดนี้

ทำยังไงดี? จิ๋งจิ่วปิดตาลง

กั้วตงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้

นางมองใบหน้าของจิ๋งจิ่ว จู่ๆ พลันได้ข้อสรุปหนึ่งขึ้นมา

—-ถึงแม้ตัวเองจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่ใบหน้าที่งดงามมันก็ทำให้รู้สึกมีความสุขมากกว่าใบหน้าที่ไม่งดงาม

ไม่ว่าจะเป็นใจแห่งเต๋าหรือว่าจิตแห่งฌานก็ล้วนแต่ไม่สามารถกำจัดสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของชีวิตเหล่านั้นไปได้ ลืมความรู้สึกมิใช่ไร้ความรู้สึก มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่คน

นางเข้าใจถึงหลักเหตุผลนี้ดีกว่าใคร เช่นนั้นย่อมต้องยอมรับมันได้โดยง่าย ดังนั้นนางจึงมองดูใบหน้าของจิ๋งจิ่วอยู่อย่างนี้ มองดูอยู่เป็นเวลานาน

ดวงดาวลอยค้างนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน เพียงแต่ประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวสลัว ในตอนที่แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา หมู่ดาวก็ค่อยๆ เร้นกายหายไป

จิ๋งจิ่วลืมตาตื่นขึ้นมา

เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบดูตัวเอง ก่อนจะมั่นใจว่าอวัยวะภายในที่ทำการเย็บเหล่านั้นไม่มีปัญหาอะไร

จากนั้นเขามองดูปลายเท้า พยายามลองขยับ พบว่านิ้วโป้งที่เท้าขวาสามารถขยับเขยื้อนได้เอง

ผ่านไปหนึ่งคืน ในที่สุดเส้นใยสีเทาขาวที่อยู่ในกระดูกสันหลังเหล่านั้นก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด

เขาค่อยๆ งอเท้าขวาขึ้นมาอย่างช้าๆ ความเคลื่อนไหวดูเชื่องช้าและงุ่มง่าม อีกทั้งยังดูแข็งทื่อ คล้ายหุ่นเชิดที่พยายามเลียนแบบมนุษย์

เท้าขวางอขึ้น ใต้เท้าเหยียบไปบนหาดทราย เขาหมุนตัวช้าๆ ฝ่ามือวางลงบนพื้น ยันร่างกายตัวเอง จากนั้นค่อยๆ ดันขึ้น

การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเป็นภาพที่ถูกทำให้ช้าลงกว่าเดิมหลายสิบเท่า

กั้วตงกล่าวว่า “เจ้าเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสีเลย”

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจนาง เขายังคงมีสมาธิอยู่กับการเคลื่อนไหวของตนเอง จนสุดท้ายเปลี่ยนเป็นท่านั่ง

การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนง่ายดายนี้ทำให้สีหน้าของเขายิ่งดูขาวซีด คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย

การที่ทำให้สีหน้าของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ นั่นจะต้องเป็นความเจ็บปวดอย่างมากแน่นอน

เมื่อวานในตอนที่เย็บบาดแผล เขาใช้วิชาฌานของวัดกั่วเฉิงปิดการรับรู้ทั้งหกของตัวเอง

ในอดีตตอนที่เขาเพิ่งจะบรรลุสภาวะขั้นสมความนึกคิดบนยอดเขาเสินม่อแล้วเจอกับเสียงฟ้าคำราม เขาก็ใช้วิธีนี้ก็ทำให้ตัวเองไม่สลบไปเพราะเสียงฟ้าร้อง

แต่การปิดการรับรู้ทั้งหกจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงอีกครั้งต่อการฟื้นฟูอวัยวะภายในกล้ามเนื้อไปจนถึงเส้นลมปราณ

หากจิ๋งจิ่วอยากจะฟื้นฟูร่างกายให้เร็วที่สุด เขาก็ได้แต่ต้องละทิ้งการปิดการรับรู้ และใช้จิตอันมุ่งมั่นอดทนต่อความเจ็บปวด

โชคดีที่ความมุ่งมั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยขาดแคลน

เขาสูดเอาลมทะเลที่มีกลิ่นเค็มเล็กน้อยเข้าไปคำหนึ่ง ก่อนจะมั่นใจว่ารอยเย็บในอวัยวะภายในไม่มีการปริแตก สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ฝ่ามือวางลงบนศีรษะของกั้วตง จากนั้นลูบเบาๆ

กั้วตงถลึงตา กล่าวถามว่า “เจ้าจะทำอะไร?”

จิ๋งจิ่วยกมือขึ้น

เส้นไหมที่เล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฝ่ามือของเขาดึงออกมา พริ้วไหวเบาๆอยู่ในลมทะเล เปล่งประกายดูงดงาม

เส้นไหมเหล่านี้ก็คือไหมฟ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกเขาดึงออกมาจากในร่างกายของกั้วตง

“เจ้าชอบวิ่งไปทั่ว ดังนั้นต้องจับเจ้ามัดไว้ก่อน”

จิ๋งจิ่วเอาไหมฟ้าที่อยู่ในมือพันไปบนร่างกายของกั้วตง คล้ายกับกำลังพันผ้าอย่างไรอย่างนั้น

กั้วตงย่อมต้องรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง จึงกล่าวว่า “ได้ยินว่าตอนที่อยู่ในที่ราบหิมะ เจ้าก็ใช้วิธีนี้ช่วยไป๋เจ่า”

จิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “ใช่ แต่วิธีนี้ช่วยเจ้าไม่ได้”

สภาวะของเทพกระบี่ซีไห่สูงส่งกว่าลั่วไหวหนานที่ลอบโจมตีไป๋เจ่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า

อาการบาดเจ็บของกั้วตงเองก็หนักกว่าไป๋เจ่าในตอนนั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า

ไหมฟ้าและวิชาลับของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยทำได้เพียงประคองอาการบาดเจ็บของนาง แต่ไม่อาจรักษาได้

กั้วตงจ้องมองดวงตาของเขา พลางกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? จิ่งหยางถึงขนาดทิ้งคัมภีร์มุกแดงเอาไว้ให้เจ้า…หรือว่าเจ้าเป็นลูกของเขากับหนานว่าง?”

จิ๋งจิ่วครุ่นคิดในใจว่าสุดท้ายก็ยุ่งยาก ตัวเองไม่ควรมาเลย เขาย่อมไม่มีทางตอบคำถามของนาง หากแต่ก้มหน้าแล้วเอาไหมพันร่างกายของนางไปเรื่อยๆ ยิ่งทำยิ่งหนา ตำแหน่งเองก็ขยับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าอกไปจนถึงลำคอ กำลังจะถึงใบหน้า

“หากเจ้าคิดจะถือโอกาสปิดปากข้าก็ลองดู”

สายตาของกั้วตงสุขุมและน่ากลัว

นางไม่ได้มีคำพูดติดปากเหมือนอย่างศิษย์ของชิงซาน น้ำเสียงดูเฉยชา

แต่ในสามอันดับแรกของคนที่สังหารคนไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินเฉาเทียนจะต้องมีชื่อของนางอยู่แน่ๆ ดังนั้นคำขู่ของนางจึงเป็นจริงและมีพลัง

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะเปลี่ยนความคิดที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เอาไหมฟ้าพันอ้อมใบหน้าของนางขึ้นไป

ผ่านไปไม่นาน บนหาดทรายก็มีรังไหมขนาดใหญ่รังหนึ่งปรากฏขึ้นมา

ใบหน้าของกั้วตงโผล่ออกมาด้านนอก คล้ายกับทารกที่อยู่ในผ้าอ้อม

น่ารักเป็นอย่างมาก

จิ๋งจิ่วเอาไหมฟ้าพันกลับไปที่เอวของนาง มัดเป็นปมตรงนั้น จากนั้นเอาปลายด้านหนึ่งมัดไว้ที่ข้อมือของตน แล้วเรียกกระบี่เหล็กออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก

ใบหน้าของเขาขาวซีดอีกครั้ง คิ้วสองข้างขมวด

เขาลากกั้วตงแล้วเดินเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านหลังหาดทราย

พูดให้ถูกยิ่งกว่านั้น นี่มิใช่การเดิน หากแต่เป็นการไถลเท้าไปข้างหน้า

โชคดีที่ตำแหน่งการมัดเส้นไหมของเขาแม่นยำเป็นอย่างมาก รังไหมมีความสมดุล ไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินเลยแม้แต่น้อย

พอตกเย็น ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากป่าแห่งนั้น

น่าจะประมาณสองสามลี้

จิ๋งจิ่วเคยชินกับความเจ็บระดับนี้แล้ว ไม่ขมวดคิ้วอีก เพียงแต่ยังไม่อาจเดินเร็วขึ้นได้

จิ๋งจิ่วเคยชินกับความเจ็บระดับนี้แล้ว ไม่ขมวดคิ้วอีก เพียงแต่ยังไม่อาจเดินเร็วขึ้นได้

ตัวเขาในเวลานี้กระทั่งขี่กระบี่ก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลกเลย ได้แต่ต้องใช้สองเท้าของตัวเองค่อยๆ ลากร่างกายไป

ด้านนอกป่ามีถนนดินอยู่เส้นหนึ่ง ขรุขระไม่เรียบ รอยล้อรถและรอยเท้าวัวดูจางลงแล้ว เหมือนเวลาปกติจะไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมา

จิ๋งจิ่วค่อยๆ เดินลากกั้วตงไปข้างหน้า

เขาคิดถึงตอนที่ตนเองออกมาจากหมู่บ้านในภูเขาพร้อมกับหลิ่วสือซุ่ย จากนั้นตามอาจารย์ม่อกลับมายังชิงซาน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดในตอนนั้นตัวเองถึงรู้สึกว่าการเดินนั้นดีมาก

จากนั้นเขาเริ่มคิดถึงรถม้าของตระกูลกู้คันนั้น

……………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *