ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตาบทที่ 370 วิญญาณหอก

Now you are reading ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา Chapter บทที่ 370 วิญญาณหอก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 370 วิญญาณหอก

บทที่ 370 วิญญาณหอก

ในแดนมัชฌิม ทั้งตระกูลฮ่วน หลิงอวิ๋น และลู่เทียนเฟิ่งต่างก็สังเกตเห็นการมาถึงของชิวสิง พวกเขาไม่ได้ไล่ตามตระกูลชิวที่หลบหนีไปแต่อย่างใด

ถึงอย่างไร ลู่หยวนก็กำลังประสบกับภัยพิบัติอัสนี หากมีบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาต้องคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ข้างกายอีกฝ่าย!

ยามสายฟ้าฟาด พื้นที่จะถูกปกคลุมด้วยฟ้าผ่าจนไม่เหลือช่องว่าง

นอกจากนี้ยังมีมังกรสายฟ้ารวมตัวกันในสวรรค์ชั้นเก้า

แม้กระทั่งลู่เทียนเฟิ่งยังเหงื่อกาฬไหลซึม เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้

แม้จะมีคำกล่าวว่าพลังของภัยพิบัติอัสนีข้องเกี่ยวกับคนที่จะทะลวงขั้น ยิ่งพลังของคนผู้นั้นแข็งแกร่ง พลังของมันก็ยิ่งแก่กล้า

แต่ภัยพิบัติอัสนีที่เด็กคนนี้ก้าวข้ามคือสิ่งที่ผู้ใดจะทานทนได้จริงหรือ?!

แค่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็รู้สึกถึงเสียงสายลมที่หวีดหวิว ทำให้หัวใจของลู่เทียนเฟิ่งอ่อนแอลง

หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็หยิบยันต์ออกมาเขียนอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงส่งข้อความไปยังนอกแดนมัชฌิม

ข้อความนั้นถูกส่งไปหาลู่เทียนเหอกับอู่หมิงเสวี่ยผู้กำลังเดินทางมา

พวกเขาทั้งสองต่างมีอุบายที่ยอดเยี่ยมอยู่ในมือ หากมาถึงที่นี่ก็อาจช่วยให้ลู่หยวนก้าวข้ามภัยพิบัติอัสนีได้ง่ายขึ้น!

ลู่หยวนยามนี้ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ใจกลางอัสนี ชุดของเขาล้วนถูกแผดเผาทันทีที่สายฟ้าฟาดลงมา!

แล้วเสียงของระบบก็ดังขึ้นอีกครั้ง!

[แจ้งเตือนจากระบบ: ท่านเปิดใช้งานภัยพิบัติอัสนีไร้ขอบเขต เวลาโดยประมาณในการเอาตัวรอด: ไม่ทราบ!]

ลู่หยวนไม่ตอบ เขาเพียงรู้สึกว่าอัสนีไร้ขอบเขตไม่ยอมฟาดลงมาอย่างจริงจัง แต่กลับเป็นการสร้างเขตแดนรอบข้างแทน

จิตเทวะของเขาเข้าสู่โลกอันปั่นป่วนในชั่วพริบตา

เมื่อลู่หยวนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กำลังลอยอยู่ในโลกอันแปลกประหลาด

โลกใบนี้พลันปั่นป่วนและผิดปกติ ปราศจากสรรพสิ่งในสายตา

ลู่หยวนหันมองรอบข้าง แต่กลับไม่พบสิ่งใด เขาจึงเดินไปทางหนึ่งด้วยความไม่มั่นใจ แต่ไม่ว่าจะเดินไปไกลแค่ไหน ความปั่นป่วนก็ยังคงอยู่ในสายตา แม้กระทั่งพลังของเนตรเทวะก็ใช้งานไม่ได้

ภายในโลกใบนี้ เขาไม่ต่างกับคนธรรมดาผู้ไร้พลัง

ลู่หยวนไม่รู้สึกวิตกแม้เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาเพียงนั่งลงเพื่อทำสมาธิ

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เงาสามร่างได้ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา

ผู้ที่ยืนอยู่ด้านขวาของลู่หยวนเป็นชายร่างกำยำที่ร่างท่อนบนเปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะ เขาถือขวานยักษ์ไว้ในมือ โดยมีพลังแกร่งกล้าอยู่ตรงหว่างคิ้ว!

ส่วนทางซ้ายของลู่หยวนเป็นผู้หญิงซึ่งมีผ้าโปร่งสีขาวบดบังใบหน้า รูปลักษณ์งามสง่าขณะที่เท้าสีขาวสัมผัสท้องนภา มือข้างหนึ่งยื่นออกไปสัมผัสอย่างแผ่วเบาก่อนขวดหยกจะลอยอยู่ด้านบน

สีหน้าของนางสงบนิ่งประหนึ่งผิวน้ำ ส่วนสายตาที่มองลู่หยวนก็เต็มไปด้วยความหมายบางอย่าง

ผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของลู่หยวนคือผู้ชายคนหนึ่งที่มีเมฆหมอกบดบังรูปร่างและใบหน้าเอาไว้

ผู้ชายสวมชุดเกราะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างอย่างยิ่ง “ในช่วงเวลาสามล้านปี มีกี่คนที่สามารถทำให้เกิดภัยพิบัติอัสนีไร้ขอบเขตได้เช่นนี้กัน?”

ผู้หญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สี่คน”

ผู้ชายในชุดเกราะส่ายหน้า “เด็กคนนี้แขนขาบอบบาง ระดับการบ่มเพาะก็ต่ำ สภาพของเขาดูไม่ดีเลย!”

“ไม่อย่างนั้นก็ยึดตามกฎเดิม ฆ่าเขาด้วยการโจมตีครั้งเดียวแล้วรอคนใหม่!”

มุมปากของผู้หญิงซึ่งมีผ้าโปร่งสีขาวบดบังใบหน้ายกขึ้น ผ่านไปหลายอึดใจก็ยังเอ่ยออกมาว่า “ผ่านมาสามล้านปีแล้ว จะให้รอไปถึงเมื่อไหร่? พวกเราเหลือเวลาอีกมากแค่ไหน? สู้ปล่อยเขาไปเลยน่าจะดีกว่า!”

“เขาหรือ?”

ผู้ชายในชุดเกราะไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้อย่างเห็นได้ชัด เขากวัดแกว่งขวานยักษ์ในมือ ทำให้อากาศรอบข้างหายวับไป

“การเลือกเขาย่อมดีกว่าการเลือกคนใหม่ เด็กคนนี้แข็งแกร่งและมีสภาพร่างกายที่หาได้ยากในรอบหลายพันปี”

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด เขาครอบครองบางสิ่งที่มาจากเผ่ามาร ใครจะล่วงรู้ว่าเขาจะก้าวเข้าสู่วิถีมารจนเสียสติและรู้จักแต่การเข่นฆ่าหรือไม่?!”

ผู้หญิงหยุดพูดพลางหลุบตาเมื่อได้ยินเช่นนี้

ทั่วทั้งพื้นที่พลันตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง แน่นอนว่าลู่หยวนไม่ได้ยินบทสนทนาของสามคนนี้ ระบบก็คล้ายกับสัมผัสไม่ได้เช่นกัน จึงไม่ได้แจ้งเตือน

เมื่อผู้ชายเห็นว่าผู้หญิงไม่เอ่ยอะไร เขาจึงไม่ทราบว่าควรทำอะไรสักพัก

เขาทราบเช่นกันว่าสิ่งที่นางจะสื่อคือพวกเขาเหลือเวลาอีกไม่มาก หากยังไม่เลือกผู้ที่จะสืบทอดพลัง ตนก็ไม่ทราบว่าคนต่อไปจะเข้าสู่เขตแดนอัสนีไร้ขอบเขตเมื่อไหร่

แต่เด็กคนนี้ช่างดูอ่อนแอยิ่งนัก!

หากผู้ที่เคยต่อสู้กับลู่หยวนมาได้ยินเข้า เกรงว่าคงต่างพากันลอบสบถอยู่ในใจ

เขาเนี่ยนะอ่อนแอ?!

หากอ่อนแอจริงก็คงไม่มีใครในโลกใบนี้เอาชนะเขาได้!

“เข้าใจแล้ว”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากพื้นที่ว่างเปล่า จึงยากจะบอกได้ว่าเป็นชายหรือหญิง

“ข้าเพิ่งตรวจสอบโชคชะตาของคนผู้นี้มา นับว่าน่าสนใจไม่เบา รับเขาไว้เถิด”

เมื่อสิ้นคำ มือขาวก็ยื่นออกมาจากหมู่เมฆก่อนจะอยู่ห่างจากลู่หยวนสามชุ่น แล้วแสงสีทองก็ทะยานเข้าไปบริเวณหน้าผาก

วิ้ง!

ความปั่นป่วนในโลกใบนี้เลือนหายไปในชั่วพริบตา

เมื่อแสงสีทองหายไป เงาซึ่งอยู่ระหว่างเมฆหมอกก็สลายเช่นกัน

ชายหญิงก็จากไปโดยไม่เอ่ยอะไรหลังจากได้ข้อสรุปเรียบร้อย

เมื่อทั้งสามคนหายไป มีเพียงประโยคเดียวที่หลงเหลืออยู่ในอากาศ

ผู้ชายเอ่ยถาม “โชคชะตาของเด็กคนนี้เป็นยังไง? ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าโชคชะตาของสามคนแรกไม่ดี เพราะงั้นข้าถึงทำให้พวกเขาถูกฟ้าผ่าจนตาย!”

น้ำเสียงลุ่มลึกนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยว่า “ชีวิตของเด็กคนนี้สิ้นสุดลงแล้ว เขาน่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่กลับมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ นับว่าน่าสนใจไม่น้อย อีกอย่าง… เด็กคนนี้ก็หล่อเหลาไม่น้อย”

“เหตุผลแค่นี้หรือ? เด็กคนนี้มาจากเผ่ามาร หากเขาใช้พลังนั่นมาทำลายโลกขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไร?!”

“พวกเราล้วนตายกันหมดแล้ว ต่อให้โลกหายไปแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย? เป็นธรรมดาที่คนรุ่นหลังจะต้องดูแลโลกกันเอง ในเมื่อเลือกแล้วก็ควรจะเชื่อใจเขาเสียหน่อย!”

เสียงเริ่มเลือนรางก่อนจะหายไปจากโลกใบนี้

สามคนนี้ยังคงเชื่อว่าลู่หยวนจะปลุกพลังนี้ขึ้นมาได้เพื่อใช้มันนำไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง

แต่เขาไม่คาดคิดว่าคำพูดของผู้ชายสวมเกราะจะเป็นจริง เพราะลู่หยวนจะใช้พลังนี้เพื่อทำลายทั้งแผ่นดินหยวนหง!

เมื่อลู่หยวนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความปั่นป่วนรอบข้างก็หายลับไป เขามองเห็นเพียงลำแสงสีทองเคลื่อนลงมาจากท้องนภาอยู่ไกลลิบ โดยภายในนั้นมีเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปมา

เพียงแต่พวกมันมีจำนวนมากเกินไปจนเขาแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นอะไร

ขณะลู่หยวนขยับเข้าใกล้ก็เห็นแสงสีทองพลันสั่นไหว แล้วเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนก็เริ่มรวมเข้าด้วยกัน ก่อนจะกลายเป็นรูปทรงของหอก

[ขอแสดงความยินดีที่ท่านค้นพบวิญญาณหอก!]

ลู่หยวนเคยได้ยินคำว่าวิญญาณหอก สิ่งนั้นต้องใช้เวลาหลายสิบล้านปีจึงจะก่อตัวขึ้นได้ มันกลับมีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง!

แม้กระทั่งอาวุธระดับสวรรค์ก็อาจจะไม่สามารถทำให้เกิดวิญญาณหอกได้!

หากสิ่งนี้ยอมจำนนต่อลู่หยวน ต่อให้มันติดอยู่กับเศษเหล็กก็สามารถปลดปล่อยพลังที่ไม่อาจจินตนาการออกมาได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด