อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 717 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (5)

Now you are reading อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! Chapter 717 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 717 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (5)

แต่ตอนนี้เขาควร…เตรียมตัวเพื่อพิธีหมั้นของเขาต่อจากนี้ไม่ใช่หรือ?

ไป๋ซู่เย่มองเบอร์เลขรวนที่ฉายบนหน้าจอนิ่ง สูดหายใจเข้าลึกรอผ่านไปพักใหญ่ถึงยกขึ้นแนบหู

มีช่วงระยะหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน

เธอไม่ได้พูด

อีกฝ่ายก็เงียบสงัดมีเพียงเสียงหายใจที่หนักอึ้ง

การรักคนคนหนึ่งคงจะเป็นแบบนี้—เขาไม่จำเป็นต้องพูดประโยคไหน แค่จากเสียงหายใจนี้เธอก็สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายก็คือเย่เซียว…

เธอกำโทรศัพท์คอยฟังเสียงหายใจของเขาอย่างหลงใหล รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ บัดนี้ต่อให้แค่ฟังเสียงหายใจของเขาผ่านโทรศัพท์ก็กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

 “…ถึงสนามบินหรือยัง?” เงียบไปนาน นานเสียจนไป๋ซู่เย่คิดว่าระหว่างพวกเขาไม่น่าจะมีบทสนทนาเกิดขึ้นแล้วในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก เสียงเหนื่อยอ่อนติดแหบเล็กน้อย เรียกให้คนฟังรู้สึกปวดใจ

 “เพิ่งถึงแป๊บหนึ่ง…” เธอพยายามให้เสียงตัวเองคงที่ให้มากที่สุด อย่างน้อยก็เสียง…

สายตามองไกลไปยังลานลงจอดเครื่องบินนอกหน้าต่างบานใหญ่ ในวันฤดูหนาวที่แสนหนาวเหน็บ ภาพทุกอย่างที่เห็นกับตาช่างดูจืดชืด

ดั่งหัวใจของเธอในเวลานี้…

เย่เซียวไม่พูดอีก ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครู่ใหญ่

ไป๋ซู่เย่หายใจเข้าลึก เค้นเสียงออกมา “หัวใจของคุณ…ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

 “อืม ไม่เป็นไร”

 “…”

 “…”

 “นายน้อย พิธีใกล้เริ่มแล้ว ท่านจะเปลี่ยนชุดก่อนหรือเปล่าครับ?” อีกทางเสียงนอบน้อมดังลอดมาจากโทรศัพท์

ไป๋ซู่เย่เจ็บใจจนชาวาบ เย่เซียวรับคำสั้นๆ ในลำคอโดยไม่แฝงด้วยอารมณ์ใด สักพักถึงยกโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง

แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากเธอก็ชิงพูดก่อน “งั้นคุณทำธุระต่อเถอะ ฉันก็ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว”

ไม่รอเย่เซียวได้พูดอะไรอีกเธอก็ชิงวางสายไปก่อน เธออยากให้ตัวเองเหมือนไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเธอก็คาดหวังกับตัวเองสูงไปสักหน่อย เธอไม่สามารถทำเป็นใจเย็นไม่สนใจได้ขนาดนั้น เธอกลัวว่าถ้าวางสายช้ากว่านี้บางทีเธอจะเผลอพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป…

หลังไป๋ซู่เย่วางสายอย่างรีบร้อนเจ้าตัวแทบนั่งในสภาพตัวอ่อนปวกเปียกบนโซฟา หอบหายใจหนักๆ หลายครั้งถึงจะหายใจได้คล่องเสียหน่อย แต่ใบหน้ากลับขาวซีดปานกระดาษสีขาวอยู่นานโข

ขณะที่เธอยังตั้งสติไม่ได้กลับไม่ทันสังเกตว่าคนในห้องพักกำลังถูกเจ้าหน้าที่สนามบินกว้านออกไปเงียบๆ

เมื่อพนักงานวัยสาวคนหนึ่งเดินเข้าใกล้เธอ เธอถึงเปิดเปลือกตา น้ำใสที่เอ่อคลอถูกเธอกลั้นกลับสู่อย่างเดิมอย่างรวดเร็วที่สุด ถามเสียงเรียบ “มีอะไรเหรอ?”

 “คุณคือคุณไป๋เหรอคะ?”

 “ค่ะ” ได้ยินอีกฝ่ายบอกนามสกุลตนมา ไป๋ซู่เย่ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นและอดระแวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

 “คุณไฟต้องการคุยกับคุณ”

ไป๋ซู่เย่เข้าใจทันที คิ้วสวยย่นเข้าหากัน “ไฟเรนเซ่?”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างไม่ปฏิเสธ จากนั้นกดเปิดหน้าจอโทรทัศน์ตรงข้ามไป๋ซู่เย่ตามที่ได้ฝึกฝนมาจนคล่องมือ ภายใต้สถานการณ์ที่เธอยังงุนงงอยู่นั้นอีกคนก็ได้หยิบรีโมทมาเชื่อมอินเตอร์เน็ตอย่างคล่องแคล่ว

หน้าจอมีแสงสีฟ้าขาวกะพริบหลายที ใบหน้าที่เธอไม่เคยเจอด้วยตัวเองแต่กลับคุ้นเคยอย่างมากปรากฏในจออย่างกะทันหัน

วันนี้ไฟเรนเซ่ดูอารมณ์ดีมากและมีชีวิตชีวา ผมสีเงินถูกปาดไปด้านหลังทำให้ดูสดชื่นแข็งแรง บนตัวสวมชุดทักซิโด้สีดำและผูกเนกไทบนคอ เจ้าตัวยังคงนั่งบนเก้าอี้เข็นดังเดิมโดยสองมือวางประสานไว้บนหัวมังกรที่มีไพลินสีมรกตประดับอยู่ของไม้เท้า ใบหน้าจุดยิ้มอย่างเป็นมิตรอยู่หน้าจอ

หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าไฟเรนเซ่เป็นคนอย่างไรไป๋ซู่เย่คงคิดแค่ว่าคนตรงหน้าเป็นสุภาพบุรุษสูงวัยแสนสง่าคนหนึ่ง

 “คุณไป๋ สวัสดี” ไฟเรนเซ่กลับทักทายเธอก่อน

ไป๋ซู่เย่เหยียดหลังตรงน้อยๆ ยิ้มตอบจางๆ “สวัสดีค่ะ”

ใจเธอกำลังชั่งใจถึงเหตุผลที่ไฟเรนเซ่ตามหาเธอในเวลานี้

 “ได้ยินว่าลูกชายผมส่งตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ S ให้คุณถึงโรงแรมตั้งแต่เช้า”

 “ว่ากันว่าคุณไฟล่วงรู้ทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรปิดบังคุณได้จริงๆ”

 “คุณไป๋เองก็เป็นคนฉลาด ลองมาเดาดูสิว่าวันนี้ผมมาหาคุณด้วยเรื่องอะไร” ไฟเรนเซ่ไม่ได้หุบยิ้มแต่กลับฉายแววเย็นชาและอันตรายเหมือนเดิม

หากบอกว่าเย่เซียวเป็นดั่งราชสีห์เสือดาวป่าของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ถ้าอย่างนั้นไฟเรนเซ่คนตรงหน้าที่ผ่านสงครามมามากมายนี้ต้องเปรียบเป็นนายพรานผู้ที่อำพรางตัวได้ดีที่สุดของทุ่งหญ้านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเข้ามาจู่โจมถึงแก่ชีวิตคุณเมื่อไร

ไป๋ซู่เย่ยกชาร้อนข้างๆ มาจิบเบาๆ อึกหนึ่งโดยสายตาจดจ่อกับชายสูงวัยบนหน้าจอนิ่งไร้ท่าทีหวาดกลัวสักนิด “คุณไฟชมฉันขนาดนี้ ให้บัตรเชิญฉัน คิดว่าคงอยากให้ฉันตัดขาดความสัมพันธ์กับเย่เซียวสินะคะ?”

 “คุณไป๋เป็นคนฉลาดจริงๆ ด้วย แต่ในเมื่อลูกชายผมไม่อยากให้คุณมาร่วมงานหมั้นของเขา งั้นผมก็จะไม่บังคับ แต่สิ่งที่ควรคุยก็ต้องคุยให้รู้เรื่อง” ไฟเรนเซ่กล่าวถึงตรงนี้พลางหันกลับไปมองชายวัยกลางคนที่ยืนตัวตรงข้างๆ แวบหนึ่ง พูดสั่ง “เฉิงหมิง พาเข้ามา”

ไป๋ซู่เย่นึกสงสัยในใจแต่แค่รออย่างมีความอดทน เธออยากรู้ว่าไฟเรนเซ่กำลังวางแผนจะทำอะไร

ไม่นานจากนั้นรอบข้างก็มีการเคลื่อนไหวเสียงดัง

เฉิงหมิงเข้ามาในภาพอีกครั้ง “คุณไฟ พาเข้ามาแล้ว”

 “อืม”

ไฟเรนเซ่พาใครเข้ามากันแน่?

ขณะที่ไป๋ซู่เย่กำลังฉงนกล้องหน้าจอถูกปรับมุมจากนั้นเธอก็เห็นข้างๆ ไฟเรนเซ่มีคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่

เป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูโทรมคนหนึ่ง

มีผ้ามัดปากอย่างแรงให้พูดอะไรไม่ออก สองมือของเธอถูกมัดไขว้หลัง ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงและแทบปิดไปครึ่งใบหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาน่าสงสารที่น้ำตาคลอหน่วย

ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงว่าดวงตาคู่นี้ดูคุ้นๆ ตา แต่ก็นึกไม่ออกในทันทีว่าเคยเจอที่ไหน

 “คุณไฟ ให้อภัยกับความโง่ของฉันด้วย แต่ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณหมายความว่ายังไง” ไป๋ซู่เย่กล่าวอย่างไม่รีบร้อนและใจเย็นไม่เปลี่ยน

ไฟเรนเซ่ยื่นมือไปข้างๆ พร้อมกับปืนหนึ่งกระบอกในมือเขา

ผู้หญิงที่แต่เดิมคุกเข่าอยู่จู่ๆ ก็ดิ้นรนอย่างแรง ปากส่งเสียงอื้ออึง ดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้าฉายแววตระหนกปนตกใจ

ไป๋ซู่เย่ขมวดคิ้วแน่น เห็นเพียงไฟเรนเซ่เหนี่ยวไกเล็งปลายกระบอกปืนไปตรงหัวของผู้หญิง ปลายกระบอกปืนเสยผมของหญิงวัยกลางคนขึ้นช้าๆ

ทีนี้ก็ได้เห็นใบหน้านี้ชัดเจนเสียที

ไป๋ซู่เย่ลุกพรวดจากเก้าอี้ ตะคอกใส่ “หยุดนะ!คุณจะยิงไม่ได้!”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด