อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 780 ความปราณีครั้งสุดท้าย (1)

Now you are reading อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! Chapter 780 ความปราณีครั้งสุดท้าย (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ย่เซียวกัดหูเธอที “คุณเป็นคนของผม ผมอยากจะทำยังไงใครก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง”

ไป๋ซู่เย่ใจสั่นไหวเพราะประโยคแรกของเขา

เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเธอจับมือเย่เซียวลง หมุนตัวกลับยิ้มมองเขา “คุณไม่สนใจได้ แต่พ่อบุญธรรมของคุณจะเขม่นฉันเอาได้นะ ฉันกำลังพยายามหาทางเอาใจท่านอยู่ คุณต้องช่วยฉันถึงจะถูก จะเพิ่มปัญหาให้ฉันไม่ได้แล้ว”

เย่เซียวมองเธอด้วยแววตาล้ำลึกก่อนจะพยักหน้าปล่อยมือจากเธอ “ไปเถอะ”

ไป๋ซู่เย่เดินตรงไปยังห้องครัวอย่างไม่รอช้า

 “กลับเข้ามามีอะไรหรือเปล่า?” คุณแม่เย่เห็นเธอเดินเข้ามาเลยอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองเธอที ไม่เห็นความผิดปกติจากใบหน้าเธอถึงแอบโล่งอก

 “หนูอยากทำกับข้าวให้เย่เซียวสักเมนู แล้วก็เขาบอกว่าพ่อบุญธรรมเขาชอบทานเผือก หนูก็อยากทำด้วย” ไป๋ซู่เย่ยิ้มจางๆ กล่าวอย่างลำบากใจ “คุณป้า ทำเป็นมั้ยคะ? ปกติหนูไม่ค่อยเข้าครัวเท่าไหร่เลยทำกับข้าวได้ไม่มาก”

คุณแม่เย่ได้ยินเธอว่าเช่นนี้ก็ยิ้มหน้าบานทันที รีบพยักหน้ารัว “เป็นสิ พวกนี้ฉันทำได้หมดเลย ถ้าหนูอยากหัดทำฉันจะสอนเอง”

จบประโยคเธอพูดเสริมอีกประโยค “ความจริงนะ เมื่อก่อนตอนที่ฉันยังไม่ได้ทำความรู้จักกับพ่อบุญธรรมเขามากก็ค่อนข้างกลัวเขาอยู่ แต่พอได้ทำความรู้จักเข้าแล้วก็รู้สึกว่าความจริงเขาไม่ได้เย็นชาใจเหี้ยมเหมือนภายนอกของเขา อาจจะอายุมากแล้ว คนเรายิ่งอายุมากก็ยิ่งกลัวความเหงา ฉันเคยผ่านความรู้สึกนี้มาก่อนเลยรู้ดีที่สุด ฉะนั้นหนูอยากกลัวคุณไฟเลยนะ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องยอมตกลงเรื่องของพวกหนูแน่”

ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับ

ความจริงกับไฟเรนเซ่นั้นในความทรงจำเธอนั้นยังคงเหมือนเดิมในอดีต—ใจโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาไร้หัวใจ แต่คุณแม่เย่อาจจะพูดไม่ผิด ตลอดหลายปีเคียงข้างไฟเรนเซ่ไม่มีญาติมิตรที่แท้จริงนอกจากเย่เซียว อาจจะกลัวเหงา โดยเฉพาะวันเวลาผ่านไปจนดำเนินมาถึงช่วงบั้นปลายของชีวิต

ดังนั้นคนเราน่ะ ไม่ว่าภายนอกจะดูเข้มแข็งไม่มีวันล้มขนาดไหน ความจริงก็ต้องมีด้านที่อ่อนแอกันบ้าง

……………………

ในครัวคึกคักพอสมควร

พอไป๋ซู่เย่ทำน้ำซุปไข่มะเขือเทศเสร็จก็เริ่มทำเมนูเนื้อซี่โครงนึ่งเผือก เธอเสียแรงทุ่มเทไปมากเหมือนกัน

พอคนรับใช้ยกจานอาหารเสิร์ฟที่โต๊ะ ไฟเรนเซ่ก็กำลังนั่งหน้าบึ้งเพราะความหิวแล้ว

ขณะที่ไป๋ซู่เย่ยกจานอาหารที่เหลือออกมาจากห้องครัวนั้นไฟเรนเซ่เอ่ยปากค่อนแคะ “ทำอะไรงกๆ เงิ่นๆ ไม่มีผิด แค่กับข้าวเมนูเดียวยังลำบากขนาดนี้!”

แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณแม่เย่จะเคยปลอบไป๋ซู่เย่มาก่อนแต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่เคยถูกไฟเรนเซ่เอาปืนข่มขู่มาก่อน ฉะนั้นต่อหน้าเขาเธอไม่ได้ทำตัวสบายมากขนาดนั้น

ตรงกันข้ามไป๋ซู่เย่กลับไม่สนใจไฟโทสะของเขา แค่วางเมนูเนื้อซี่โครงเผือกไว้ตรงหน้าเขา “เป็นห่วงว่าฟันของท่านไม่ดีแล้วกัดเนื้อซี่โครงนี้ไม่ไหวเลยนึ่งให้นิ่มหน่อย ถึงใช้เวลาไปเยอะสักนิด”

 “น่าขำ!ใครบอกฟันฉันไม่ดี? พูดเหลวไหล!” ไฟเรนเซ่เบิกตากว้างอย่างคุกรุ่น

ไป๋ซู่เย่ชี้ไปทางเย่เซียว สารภาพไปทันที “ลูกชายท่านเป็นคนบอก”

เย่เซียวหมดคำจะพูด เธอต้องจงใจแน่ๆ

วินาทีถัดไปไฟโทสะก็หันเป้ามาทางเขา ไฟเรนเซ่ตีหน้าบึ้งใส่ “แกหาว่าฉันแก่แล้ว ใช่มั้ย?”

 “ไม่กล้าครับ”

 “ฉันว่าแกกล้าจะตาย!”

เย่เซียวไม่ได้พูดต่อประโยคของพ่อบุญธรรม แค่ดึงมือไป๋ซู่เย่ลงแล้วกล่าว“นั่งลงทานข้าวเถอะ”

ไฟเรนเซ่แค่นเสียงที กวาดตาเย็นชาผ่านทั้งคู่ก่อนถามคนรับใช้ข้างๆ ด้วยใบหน้าเรียบตึง “เธอทำสองเมนูไหน?”

 “คุณไฟ เมนูเผือกตรงหน้าท่านกับเมนูมะเขือเทศ”

 “หึ!” ไฟเรนเซ่ดันจานเมนูเผือกออกไป ปรายตามองอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง “หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ แค่วางไว้ตรงหน้าก็ชวนให้อ้วกแล้ว เอาออกไป เอาออกไป!”

คนรับใช้มองเขาก่อนจะหันไปมองเย่เซียวแล้วก็ไป๋ซู่เย่ข้างๆ ที ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี คุณไป๋เสียแรงทุ่มเทในห้องครัวไปตั้งมาก หากยกไปทั้งอย่างนี้คิดว่าจะต้องเสียใจแย่สินะ?

 “ถึงจะน่าเกลียดไปหน่อยแต่รสชาติก็ไม่แย่นะ” ขณะที่คุณแม่เย่กำลังเตรียมจะพูดกู้สถานการณ์นั้นไป๋ซู่เย่กลับชิงพูดขึ้นก่อน เธอไม่มีท่าทางเศร้าเสียใจสักนิด กลับหยิบช้อนตักเผือกกับเนื้อซี่โครงใส่ถ้วยไฟเรนเซ่ ไฟเรนเซ่มุ่นคิ้ว “เธอทำอะไร?”

ไป๋ซู่เย่ตอบกลับตรงไปตรงมา“กำลังเอาใจท่านไงคะ ไม่อย่างนั้นหนูก็ไม่ทำเมนูนี้หรอก”

คล้ายจะไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะตอบเถรตรงขนาดนี้ ไฟเรนเซ่กลับอึ้งไปชั่วขณะ เย่เซียวก็อดไม่ได้ที่จะเชยตามองเธอสักหน่อย

 “หึ!อย่าคิดว่าฉันจะซื้อใจได้ง่ายๆ!ลองดูสิ่งที่เธอเคยทำแล้วกัน มันชดเชยด้วยเผือกไม่กี่ชิ้นได้เหรอ?”

นานทีไป๋ซู่เย่จะหน้าหนาขนาดนี้ “ไม่กี่ชิ้นชดเชยไม่ได้ งั้นหลังจากนี้หนูจะทำเยอะๆ เลยแล้วกัน”

 “คิดจะมีหลังจากนี้? ฝันไปซะเถอะ!”

เธอยิ้มไม่ตอบ ไฟเรนเซ่เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอกลับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว ทั้งก้มหน้ามองเผือกกับเนื้อซี่โครงในถ้วยพลางใช้ตะเกียบเกลี่ยไว้ข้างๆ อย่างไม่คิดจะแตะมัน

ไป๋ซู่เย่เองก็ไม่ได้คุยกับไฟเรนเซ่ต่อ แค่คุยกับคุณแม่เย่และเย่เซียวเป็นบางครั้งบางคราว รอหันมาดูถ้วยไฟเรนเซ่อีกทีก็ไม่เห็นเงาเผือกกับเนื้อซี่โครงชิ้นนั้นแล้ว เหลือเพียงเศษกระดูกว่างเปล่าสองชิ้น ขณะที่คนรับใช้แอบตักเผือกให้เขาอยู่ข้างๆ เงียบๆ เขาเองก็ไม่มีท่าทีต่อต้าน

คุณแม่เย่สังเกตเห็นด้วยเช่นกันเลยสบตาเธอวูบหนึ่งด้วยแววตาที่ปลื้มปริ่มใจปนให้กำลังใจ

——————

หลังมื้ออาหารเย่เซียวส่งไป๋ซู่เย่กลับโรงแรม ตลอดทางทั้งคู่แทบไม่พูดคุยกันคล้ายต่างฝ่ายต่างมีเรื่องให้ครุ่นคิด

เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนดึกดื่นโทรศัพท์เย่เซียวก็แผดเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

ไป๋ซู่เย่ลืมตาขึ้นในอ้อมแขนเขาอย่างสะลึมสะลือ เย่เซียวเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน “ทำคุณตื่นเหรอ?”

ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ “โทรมาดึกขนาดนี้น่าจะมีเรื่องด่วนสินะ?”

เย่เซียวหยิบโทรศัพท์จากหัวเตียงมาดูแวบหนึ่ง “ลุงหมิง ผมขอรับสายก่อน”

 “อืม”

เย่เซียวหยิบโทรศัพท์มาแนบหู ฟังไปสองประโยคสีหน้าก็ขรึมลงเล็กน้อย “ผมรู้แล้ว ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

บอกแค่นั้นก็วางสายไปด้วยใบหน้าตึงเครียด

 “เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ไป๋ซู่เย่หายง่วงทันที

 “พ่อบุญธรรมผมเข้าโรงพยาบาล” เย่เซียวลุกจากเตียงเสร็จสรรพ ใส่เสื้อผ้าไปพลางบอกเธอไป “คุณนอนต่อเลย ผมจำเป็นต้องไปสักหน่อย”

ไป๋ซู่เย่จะหลับลงได้อีกอย่างไร? ลงจากเตียงสวมใส่เสื้อผ้า

เย่เซียวอยากพูดอะไรแต่กลับถูกเธอกุมมือ “ฉันไปด้วย”

……

ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ถามรายละเอียดแต่ดูจากสีหน้าของเย่เซียวก็พอดูออกว่าอาการครั้งนี้ของไฟเรนเซ่คงหนักพอควร หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เขาไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ คิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับอาการนี้เช่นกัน

เธอรู้ถึงความรู้สึกที่เย่เซียวมีต่อไฟเรนเซ่ คิดอยากจะพูดปลอบใจบ้างแต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไร แค่กุมมือเขาไว้แน่นอยู่เงียบๆ

…………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด