เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆบทที่ 185 อุบายของฟางเจี๋ย

Now you are reading เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ Chapter บทที่ 185 อุบายของฟางเจี๋ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 185 อุบายของฟางเจี๋ย

สองวันต่อมาฟางเจี๋ยเสนอให้เอ้อร์เป่ากลับไปยังเมืองฉินโจว ถังหลี่มีใบหน้าไม่เต็มใจนัก

“น้องสาว ข้าไม่ได้อยากจะพาเหยียนเอ๋อร์ไป เพียงแต่เมื่อบิดาข้าได้ช่าวว่าพบตัวเหยียนเอ๋อร์แล้วก็อยากเห็นหลานสักครั้ง หากไปแล้วเหยียนเอ๋อร์ไม่อยากอยู่ที่บ้านตระกูลฟางข้าจะพาเขากลับมาที่นี่” ฟางเจี๋ยกล่าว

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจมากจนหาที่ตำหนิไม่ได้เลย

“เอ้อร์เป่าเต็มใจไปหรือไม่?” ถังหลี่ถาม

“พวกเราต้องการถามท่านก่อน แล้วค่อยถามเหยียนเอ๋อร์ หากท่านไม่ต้องการ เราจะไม่เอ่ยถึงมันอีก” ฟางเจี๋ยกล่าว

ถังหลี่ไม่สามารถตำหนิความคิดของเขาได้ ฟางเจี๋ยเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเอ้อร์เป่า ส่วนชายชราผู้นั้นคือปู่ของเอ้อร์เป่า ถังหลี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามพวกเขา ดังนั้นหญิงสาวจึงพยักหน้า

“แน่นอน หากเอ้อร์เป่าอยากไปพวกเราก็ไม่มีปัญหา”

“เช่นนั้นก็ขอบคุณน้องสาวมาก

ฟางเจี๋ยไปหาเอ้อร์เป่าอีกครั้ง

เด็กชายนั่งอยู่ในห้อง กำลังแกะสลักท่อนไม้ด้วยใบหน้าที่จริงจัง

ฟางเจี๋ยมองสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ อย่างไม่มีความสุข ในวัยนี้ลูกชายของเขาควรเรียนให้หนักไม่สมควรมาทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ คนสกุลเว่ยตามใจเขามากเกินไป ไม่ควบคุมความประพฤติและตามใจเด็กชาย ช่างดีอะไรเช่นนี้! ตอนแรกฟางเจี๋ยคิดว่าสกุลเว่ยปฏิบัติต่อเหยียนเอ๋อร์อย่างดี แต่พอเห็นเช่นนี้แล้วเขาอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะไม่ใช่ลูกของเขาหรือ? พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเด็กชายมากนัก

“เหยียนเอ๋อร์”

เอ้อร์เป่าชำเลืองมองไปที่เขา เด็กชายรู้ว่าชายคนนี้คือบิดาผู้ให้กำเนิดเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาจึงไม่อยู่ใกล้ฟางเจี๋ยมากนัก ชายหนุ่มมักจะเกลี้ยกล่อมให้เขาเรียกตนว่าพ่อ แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ตั้งแต่จำความได้เอ้อร์เป่ามีบิดาเพียงคนเดียว คนที่ทำกังหันลมให้เขา ขี่ม้ากับเขา และดูแลเขาในยามที่เขาไม่สบาย

เอ้อร์เป่ามีพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้น

เด็กชายคิดอย่างดื้อรั้น

เอ้อร์เป่าไม่รู้จะเรียกเขาว่าอะไรดี เด็กชายจึงไม่ตอบอะไร…

“เหยียนเอ๋อร์เจ้าจำท่านปู่ของเจ้าได้หรือไม่?” ฟางเจี๋ยนั่งลงข้าง ๆ เขา

เอ้อร์เป่าครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจริง จากนั้นเขาก็ส่ายหัว

“ท่านปู่ของเจ้ารักเจ้ามาก ในวันที่เจ้าเกิด เขากอดเจ้าอย่างมีความสุข แทบจะไม่วางเจ้าลงเลย เขาบอกว่าเจ้าคือหลานชายที่ล้ำค่าของตระกูล ทุกสิ่งทุกอย่างในตระกูลฟางจะเป็นของเจ้า” ฟางเจี๋ยกล่าว

“เหยียนเอ๋อร์ ท่านปู่ของเจ้ากำลังป่วย เขาอยากพบเจ้า เจ้ากลับไปหาเขาได้หรือไม่?”

หัวเล็ก ๆ ของเอ้อร์เป่าก้มต่ำลง เด็กชายกำลังเล่นของเล่นที่ท่านพ่อของเขาทำให้ เขาไม่ปริปากพูดอะไร

“เหยียนเอ๋อร์ พ่อบอกแม่บุญธรรมของเจ้าแล้วเรื่องนี้ นางก็อยากให้เจ้ากลับไปพบปู่” ฟางเจี๋ยกล่าว

“ท่านแม่อยากให้ข้ากลับไปหรือ?” เอ้อร์เป่าเงยหน้ามองเขา

“กลับไปเพียงสองวันเท่านั้น ถ้าเจ้าคิดถึงพ่อแม่บุญธรรม ข้าจะพาเจ้ากลับมาทันที” ฟางเจี๋ยกล่าว

“ข้าจะคิดดู” เอ้อร์เป่าหยิบไม้เล็ก ๆ

ในตอนเย็นเมื่อถังหลี่เรียกเอ้อร์เป่าไปกินข้าว เด็กชายตัวเล็กเงียบตลอดเวลาขณะทาน ราวกับว่าเขากำลังโกรธ เด็กชายกินอาหารทุกอย่างที่คนอื่นคีบมาให้ มีแต่ของถังหลี่เท่านั้นที่เขาไม่แตะเลย หลังจากมื้อเย็นเมื่อถังหลี่เรียกเขา เอ้อร์เป่าไม่ตอบรับเด็กชายรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนตัวเอง

“เด็กคนนี้นี่! จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือหลังมือเสียแล้ว” เว่ยฉิงโมโห

ชายหนุ่มพยายามจะคว้าตัวเอ้อร์เป่า แต่ถูกถังหลี่ห้ามไว้เสียก่อน

“เด็กคนนี้กำลังอ่อนไหว เจ้าจะไปโกรธเขาด้วยเหตุใด? ข้าจะเข้าไปคุยกับเขาเอง”

หญิงสาวเคาะประตูห้องนอนแต่ไม่มีใครมาเปิด

เมื่อตัดสินใจผลักเข้าไปก็พบว่าเปิดได้อย่างง่ายดาย นางรู้จักบุตรชายคนนี้ดี เขาตั้งใจเปิดไว้เพื่อรอให้ถังหลี่เข้าไปหา เมื่อนางเดินเข้าไปก็พบว่าเอ้อร์เป่ายืนอยู่ข้างโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงเขาเพียงหันมามองเล็กน้อยและยืนหันหลังให้กับถังหลี่

“เอ้อร์เป่า เจ้ากำลังโกรธแม่หรือ?” ถังหลี่ถาม

ถังหลี่กอดเด็กชายและอุ้มเขาขึ้น เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ อยู่ในอ้อมแขนนาง เขาก้มหน้างุดเล่นนิ้วมือของตัวเองอยู่อย่างนั้น

“บอกแม่หน่อยสิ หากเจ้าไม่บอกแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าแม่ทำอะไรผิด” ถังหลี่กล่าว

“ท่านแม่บอกข้าว่าท่านแม่ต้องการข้า แล้วเหตุใดท่านแม่ถึงอยากให้ข้ากลับไปที่บ้านสกุลฟาง” เอ้อร์เป่าพูดอย่างบูดบึ้ง

“แม่ไม่ได้ให้เจ้ากลับไปกับเขา” ถังหลี่ขมวดคิ้ว “เอ้อร์เป่าแม่ไม่เคยพูดเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงคิดแบบนั้น”

“เจ้าไม่เชื่อแม่หรือ?” ถังหลี่บีบแก้มเขาเบา ๆ

เอ้อร์เป่าใช้ดวงตาที่เหมือนลูกองุ่นดำจ้องมองมาที่ถังหลี่ก่อนจะพูดว่า “ข้าเชื่อท่านแม่”

ถังหลี่กำลังคุ้นคิดกับตัวเอง หรือว่าฟางเจี๋ยจะพูด?

ก่อนฟางเจี๋ยจะมาหาเอ้อร์เป่า ชายหนุ่มมาหานางและบอกว่าเขาเคารพความคิดของนางเพราะว่าถังหลี่คือแม่บุญธรรมของเด็กชาย

หรือว่านี่จะเป็นอุบายของเขา?

เมื่อนางตอบตกลง ฟางเจี๋ยก็บอกกับเอ้อร์เป่าว่านางเห็นด้วย ทำให้เอ้อร์เป่ารู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป?

ฟางเจี๋ยเป็นพ่อค้า วิธีการแบบนี้เป็นที่นิยมทำกันในเหล่าพ่อค้า เขาใช้มันเพื่อตอกลิ่มความสัมพันธ์ของนางกับเอ้อร์เป่าให้แตกแยกไม่เชื่อใจกัน

ความประทับใจที่นางมีต่อฟางเจี๋ยเปลี่ยนไปทันที

เอ้อร์เป่าเชื่อฟังถังหลี่มาก หากนางพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับฟางเจี๋ยเด็กชายจะเชื่อนางอย่างไม่มีข้อแม้ ถังหลี่เกลียดคนแบบฟางเจี๋ยมาก

ดังนั้นนางจะไม่ทำตัวเหมือนเขา

อีกอย่างนางไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเอ้อร์เป่าจะถูกหลอกไม่รู้ว่าดีหรือชั่วเป็นอย่างไร?

เด็กคนนี้แตกต่างจากเด็กทั่วไป เขาฉลาดมาก แม้ว่าอายุยังน้อยอาจจะถูกหลอกได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะแยกแยะมันได้เอง ฟางเจี๋ยทำเล่ห์เหลี่ยมกับเอ้อร์เป่า แต่นั่นกลับทำให้เขาเหินห่างกับฟางเจี๋ยมากยิ่งขึ้น

ถังหลี่นั่งคุยกับเด็กชายสักพัก เมื่อเอ้อร์เป่าสงบลงนางก็พาเขาออกมาจากห้อง

เว่ยฉิงนั่งยอง ๆ ที่ประตู เขารู้สึกโล่งใจมากเมื่อเห็นแม่ลูกพูดคุยและหยอกล้อกัน

“เอ้อร์เป่ามานี่สิ” เว่ยฉิงกวักมือเรียก

เอ้อร์เป่าเดินไปข้างหน้าของเว่ยฉิงอย่างเชื่อฟัง

เว่ยฉิงเอื้อมมือออกไปจิ้มไปที่อกของเอ้อร์เป่า

“ไอ้เด็กตัวเหม็น เจ้าต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้ อย่าได้เชื่อทุกอย่างด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ” ใบหน้าของเอ้อร์เป่าเป็นสีแดงเล็กน้อย

“รู้ก็ดีแล้ว หากครั้งหน้าเจ้ายังทำนิสัยไม่ดีเช่นนี้กับมารดาอีกข้าจะตีเจ้า!”

เอ้อร์เป่าพยักหน้าอย่างหนักแน่น

“ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีก หากข้าทำ ท่านพ่อตีข้าได้เลย!

…..

หลังจากนั้นเอ้อร์เป่าก็ไปเรียนที่สำนักศึกษา ส่วนถังหลี่และเว่ยฉิงก็พาซานเป่าไปที่เป่าชิงเก๋อ ตอนนี้เจิ้งติ่งสามารถจัดการทุกอย่างได้แล้ว ฉางลู่เชื่อฟังเจิ้งติ่งทุกอย่าง แทบจะจำเจิ้งติ่งที่เป็นเหมือนน้องชายเขาเมื่อครึ่งปีก่อนไม่ได้เลย

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พวกเขาสามคนก็เดินเล่นรอบตลาด

เว่ยฉิงต้องการเปิดสำนักฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่หลังจากสังเกตก็พบว่ากิจการนี้ไม่สามารถสร้างในเมืองเหยาสุ่ยได้

เมืองเหยาสุ่ยนั้นยากจนเกินไป เด็ก ๆ ที่มาจากครอบครัวยากจนก็ทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย การเรียนศิลปะป้องกันตัวจะมีประโยชน์อะไร? หากจะทำสำนักคุ้มภัยก็ไม่อาจตั้งได้ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้

“สามี เจ้าจำครั้งสุดท้ายที่เราไปเหอตงได้หรือไม่? ที่เหอตงมีสำนักสอนศิลปะการต่อสู้หรือไม่?” ถังหลี่ถาม

เว่ยฉิงจำได้ เขาพยักหน้าทันที

“ข้าว่าการเปิดสำนักจะต้องเปิดในเมืองใหญ่” ถังหลี่กล่าว

“ใช่แล้ว” เว่ยฉิงกล่าว

นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้การเปิดสำนักฝึกศิลปะการต่อสู้ล่าช้าขนาดนี้

ทันทีที่พวกเขาทั้งสามกลับถึงบ้าน พวกเขาก็ได้ยินป้าจ้าวพูดว่ามีข่าวจากจวนสกุลมู่ ขอให้พวกเขาไปหาทันที ครั้งสุดท้ายที่ถังหลี่ไปยังจวนมู่ นางสอบถามฮูหยินมู่เกี่ยวกับสกุลฟาง หรือจะเป็นข่าวเรื่องนี้?

ทั้งสามคนรีบไปที่จวนสกุลมู่ทันที

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *