ตำนานเทพยุทธ์ 92

Now you are reading ตำนานเทพยุทธ์ Chapter 92 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพียงเสียงของการประลองเริ่มขึ้น เป้าหมายของเป่าฮู่ได้กำหนดไว้แล้วว่า จะให้ตัวหย่วนซิวหยูขึ้นไปสร้างความดุเดือดบนลานประลองแห่งนี้

เพื่อช่วงชิงความสนใจจากตระกูลเต้าให้ได้มากที่สุด และยังเป็นกลุ่มคนจากพรรควิหคอัสนีที่กำลังก้าวเข้ามา เพื่อเสาะหายอดยุทธ์รุ่นเยาว์จากดินแดนแห่งนี้

แต่ท่ามกลางการประลองนี้ กลับมีกลุ่มชายชุดดำที่ได้เห็น ผู้ที่นั่งชมในจุดสำคัญ เป็นถึงยอดยุทธ์ชนชั้นราชันจักรพรรดิทำให้การลงมือยิ่งยากเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หัวหน้ากลุ่มใต้ดิน ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว

ณ ศาลาหยก เหิงหนาน ห่างออกไปจาก งานประลอง 500 ลี้

“ฮ่าๆๆๆ ไม่คิดเลยว่าในงานเล็กๆ ของดินแดนรอบนอกแบบนี้ จะทำให้ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของสองพรรคใหญ่เดินทางมาด้วยตนเอง ลู่จื่อ เฒ่าประหลาดจากพรรควายุอัคคี หยางชิฟาง ผู้เฒ่าคุมกฎแห่งพรรควิหคอัสนี ฮ่าๆๆๆๆ พวกเจ้ากล้าดีเช่นไรที่มายื้อแย่งทรัพยากรของเรา พรรคหุบเขาซูเวิน ที่นายท่านซูค้นพบ เมื่อ 300 ปีก่อน”

การที่มีพรรคใหญ่ที่แทรกซึมเข้ามาเป็นกองกำลังหนึ่ง ที่เรียกตนเองว่าโลกใต้ดินหรือตลาดมืด การอาศัยอยู่ในแดนเสือขาวมาช้านาน วันนี้ได้ข่าวว่า มุกข์พิษสวรรค์ปรากฏ ด้วยความต้องการที่จะช่วงชิงมุกข์นี้มา ในรอบ 300 ปี โอกาสที่จะนำมุกข์พิษไปปรุงโอสถเพื่อรักษาอาหารของนายหญิงใหญ่แห่งพรรคหุบเขาซูเวิน ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญ

“สั่งการลงไป ให้คนของเราที่เฝ้าอยู่เตรียมใช้พิษสะกดลมปราณ คนในงานจะต้องไม่มีใครใช้ลมปราณได้ในตอนที่ลงมือ อย่าทำพลาด”

คำสั่งจากรองประมุขพรรคหุบเขาซูเวิน กล่าวออกไป จากนั้นกลุ่มกองกำลังที่เดินทางไปยังเมืองหลวงของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เปรียบเสมือน พายุลูกใหญ่ ที่กำลังจะพัดพาเอาสิ่งที่เลวร้าย ออกไปจากดินแดนนี้

……………………………………………………………………………

“นายท่านเจ้าคะ จะให้ข้าขึ้นไปสู้กับชายผู้นั้นหรือไม่?”

เสียงถามของหย่วนซิหยู เพียงได้เห็นใบหน้าของเต้าเหล่ย ก้าวออกไปเป็นคนแรก ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ว่าสู่ต่อไปจนกว่าจะตายหรือ มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมแพ้ กฏที่คงอยู่มานานนี้ได้จารึกลงไปในหัวใจของเหล่าชาวยุทธ์ตั้งแต่การจัดการประลองจ้าวยุทธ์ครั้งแรกแล้ว

เมื่อเต้าเหล่ยได้เดินออกไปกลางสนานประลอง ก่อนที่จะใช้สายตามองหาคนผู้หนึ่งที่ ครั้งหนึ่งตัวของมันเคยพ่ายแพ้อย่างไม่น่าให้อภัย นั่นคือ เป่าฮู่บุตรชายบุญธรรมของตระกูลหง แห่งเขตปกครองเสือขาวนั่นเอง

“ฮ่าๆๆๆๆ ไม่มี ไม่มา เจ้าลูกเต่าแซ่เป่า นึกว่าวันนี้จะกล้าโผ่หัวมาเสียอีก ทำให้ข้าเต้าเหล่ยผิดหวังยิ่งนัก”

คำกล่าวนี้ได้มองข้ามหัวของเต้าอิงเฉิงไปในทันที เพราะคนที่ชนะได้แม้กระทั่งเต้าอิงเฉิง คนผู้นั้นคงไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่ธรรมดาเท่านั้น

“ผู้พี่อิงเฉิง ข้าว่าท่านคงหมดปัญญาได้ล้างแค้นแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ”

หลังจากที่เต้าเหล่ยได้กลับมาจากพรรควิหคอัสนี ก็ได้เก็บตัวฝึกอย่างหนัก เพียงเพราะวันนี้ต่อให้ไม่ได้ชนะเต้าอิงเฉิง หากแต่สามารถบดขยี้ผู้ที่เคยชนะเต้าอิงเฉิงได้ก็เพียงพอ หากแต่เจ้าหมอนั่นกลับไม่มาในวันนี้ซะอย่างนั้น

ก่อนที่เต้าเหล่ยจะก้าวเดินกลับไป โดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนสนามประลอง การที่มีคนก้าวขึ้นมาแล้วแต่กลับไม่สู้เช่นนี้หมายความว่าเช่นไร เสียงของเป่าฮู่ที่ส่งผ่านไปถึงหย่วนซิวหยูให้ขึ้นไปตบปากเต้าเหล่ยเสียหน่อย เพราะอย่างไรใครที่มากล่าวหานายท่านของนางนางก็ไม่คิดละเว้นเช่นกัน

ใครจะไปคิดได้กันว่าเป่าฮู่คิดให้นางที่มีระดับราชันลมปราณขั้นกลาง ก้าวออกไปตัวเต้าเหล่ยที่กำลังจะถึงที่นั่งของตน กลับมีหนึ่งสตรีที่ก้าวออกมาก่อนที่จะกล่าวออกไปว่า

“คุณชายเต้าเหล่ย ในเมื่อก้าวออกมาแล้วใยไม่แสดงฝีมือของท่านออกมาแก่เราทุกคนหน่อย จะรีบกลับไปนั่งที่ทำไม?”

คำท้าทายของหญิงนางหนึ่งทำให้เต้าเหล่ยหันมามองด้วยสายตาอาฆาตแค้น ด้วยการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของทายาทตระกูลใหญ่ของดินแดนนี้

“ฮ่าๆๆๆ เจ้า คิดว่าเป็นอิสตรีแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือ ในเมื่อรนหาที่ตาย คิดว่าข้าจะเกรงใจยั้งมือ เจ้าคิดผิด”

จากนั้นเต้าเหล่ยก็สะบัดชายเสื้อ ก่อนที่จะใช้ท่าเท้าเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วภาพที่เหล่าผู้ชมรอบข้างได้เห็น นั่นคือท่าเท้านางแอ่นเล่นลม ของพรรควิหคอัสนี มันคือกระบวนท่าเคลื่อนที่ระยะสั้นได้รวดเร็วและอ่อนช้อย

“นั่นมัน! นางแอ่นเล่นลม! ไม่คาดคิดเด็กน้อยคนนี้จะสามารถใช้กระบวนยุทธ์นี้ได้”

คำกล่าวของหยางชิฟาง ตาเฒ่าคุมกฎของพรรควิหคอัสนี แต่สายตาทั้งหมดที่จับจ้องไม่ได้มีเพียงผู้เดียว เป่าฮู่เองก็มองว่าท่าเท้าของหย่วนซิวหยูจะแพ้ไปครึ่งขั้น แต่ด้วยไหวพริบนางนั้นจัดว่าเหนือล้ำเช่นกัน

“กำแพงเพลิงศักดิ์สิทธิ์….”

เสียงของซิวหยูดังออกไปทำให้คู่แข่งตลอดกาลของนางเช่น เร่อเว่ยซูได้ลุกขึ้นมาดูทันที

“เป็นนาง!…ท่านพ่อ ท่านปู่ เป็นนาง…”

เสียงของเร่อเว่ยซูได้กล่าวออกไป แต่ผู้ที่นั่งในศาลาเดียวกัน ด้านข้างกลับมองเห็นเปลวเพลิงที่ลุกโชนนั้น พวกมันแม้ตกตายก็ยังจำได้ นั่นคือเพลิงของตระกูลหย่วน เปลวเพลิงสีแดงส้มที่โชติช่วงนั้น

ผู้คนในสนามประลองต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาจากอากาศธาตุ หย่วนซิวหยูได้เคลื่อนที่ไปมา ด้วยทักษะที่ได้รับมาจากเป่าฮู่ชี้แนะและถ่ายทอดมาให้

แต่สำหรับท่าท่องวารีที่นางดัดแปลงให้เข้ากับพลังธาตุหยางของนาง จึงทำให้ทุกท่วงท่าที่ก้าวออกไปแสงจากเปลวเพลิงจะลุกไหม้และส่องประกายที่งดงามและแข็งกร้าวออกมา

“ราชันขั้นต้น ฮ่าๆๆๆๆ ฮ๋าๆๆๆ ดี! ดี! สำหรับข้าเจ้าคู่คู่ซ้อมที่ดี”

การที่เต้าเหล่ยได้บุกเข้าไปอย่างไม่ลดละ แต่ทุกครั้งที่ได้พบเจอกลับเป็น ม่านกำแพงเพลิงที่ร้อนแรงขวางไว้อยู่ ส่วนหย่วนซิวหยู กลับยังมิได้เอาจริงจังอะไร เพราะนายท่านของนางบอกให้เก็บงำพลังฝีมือเอาไว้สู้กับเรอเว่ยซู ให้หนำใจ

เมื่อเต้าเหล่ยชายที่กำลังถูกผู้คนดูถูกดูแคลน แต่แท้จริงแล้วตัวเต้าเหล่ยนั้นกำลังเล่นอยู่เช่นกัน

“มีดีเหมือนกันนี่ ไหนขอดูหน่อยว่า มีดีแค่ไหน”

เพียงการนำอาวุธของตนเองออกไป มันก็คือ ธงสามทิศ ที่เคยใช้ต่อสู้กับเป่าฮู่ในครั้งเริ่มแรก ทำให้เป่าฮู่ได้เห็นอีกครั้งก็สุดแสนจะตกใจ แต่ที่ต่างออกไปรอบนี้มันไม่ใช่ธงสามทิศ แต่กลับเป็นธงเบญจธาตุ ที่ควบคุมพลังโจมตีจากธาตุทั้ง 5 เล่นงานศัตรู

การกระทำที่ป่าเถื่อนคือตัวตนเองเต้าเหล่ยนั่นเอง

“ฮึ! ข้ามาแล้วไงแม่นาง ไหนหละความเก่งกาจที่เชื้อเชิญข้าให้กลับมา?”

เพียงหย่วนซิวหยูผู้มีอาวุธเพียงหนึ่งเดียว ที่นายท่านซื้อให้เป็นอาวุธคู่กาย แต่นางก็ยังไม่กล้านำออกมาใช้ ทำให้หย่วนปงรู้สึกใจหาย จึงส่งเสียงทางช่องลมปราณแก่หลานสาว ให้นางใช้เพลงกระบี่ระบำหงส์เพลิงซะ

ในทางกลับกันเป่าฮู่ก็ได้กล่าวออกไปว่า ธงรบชุดนี้นับว่ากล้าแกร่งมาก จำเป็นต้องใช้ทุกสิ่งท่มีในตอนนี้ เป้าหมายเพียงแสดงคงามสามารถให้พรรคใหญ่สนใจ เราจะต้องได้มาซึ่งแผนที่ไปทวีปใหญ่นั้น

“ออกมาจูเชวี่ย…”

(((((แกร๊ก!))))))) (((((แกว๊ก!))))))

เพียงร่างของนางพญาหงส์เพลิงปรากฏขึ้นมา ทำให้เหล่าผู้ที่อยู่ใต้ดวงชะตาของทวยเทพแห่งดาวทั้งสี่ ต่างรับรู้ถึงตัวตนที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่ว่าจะเป็น มังกรเขียว หงส์ศักดิ์สิทธิ์ เสือขาว หรือแม้แต่ตัวเป่าฮู่ที่บัดนี้มีเด็กทารกเต่าอักขระด้วยนั่นเอง…

เมื่อหงส์เพลิงเทวะ ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นหย่วนปงหรือแม้แต่เร่อหลุนห่าว เองก็ตกใจ ด้วยไม่คิดว่านอกจากหลานสาวของตนจะได้มาซึ่งพญาหงส์เพลิง หญิงผู้เลือกที่จะเก็บกระบี่แสนรัก แทนการเผยสัตว์คู่กายที่มีความลึกลับอย่างมากออกมา นางหญาหงส์เพลิงเทวะ

“บ้าน่า นั่น! นางพญาหงส์เพลิง”

เพียงเท่านั้นธงเบญจธาตุก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ ธงพลังธาตุก็เริ่มดูดซับเปลวเพลิงเข้ามาที่ธงอันนั้นอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆๆๆ แม่นางนี่มันสมบัติระดับราชันขั้นสูง….เจ้าไม่มีทางทำสิ่งใดได้”

เมื่อเปลวเพลิงที่ร้อนระอุได้ลุกไหม้และถูกดูดเข้าไปในธงนั้นดังกับว่าธงต้นนั้นมันไม่มีก้นบ่อให้กักเก็บ

แต่ทันใดนั้นอสูรระดับสูรตัวนี้กลับทะยานขึ้นสู่อากาศ พร้อมกับเปล่งประกายเป็นแสงสีส้มแดงจนแสบตา จากนั้นจิตที่เป็นบ่าวรับใช้ก็ได้กลายร่างเป็นยอดกระบี่สีแดงที่งดงาม เพียงหย่วนซิวหยูได้เห็นความรู้สึกแรก ก็ได้กล่าวออกมาทันที

“กระบี่คู่พญาหงส์……”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพยุทธ์ 92

Now you are reading ตำนานเทพยุทธ์ Chapter 92 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพียงเสียงของการประลองเริ่มขึ้น เป้าหมายของเป่าฮู่ได้กำหนดไว้แล้วว่า จะให้ตัวหย่วนซิวหยูขึ้นไปสร้างความดุเดือดบนลานประลองแห่งนี้

เพื่อช่วงชิงความสนใจจากตระกูลเต้าให้ได้มากที่สุด และยังเป็นกลุ่มคนจากพรรควิหคอัสนีที่กำลังก้าวเข้ามา เพื่อเสาะหายอดยุทธ์รุ่นเยาว์จากดินแดนแห่งนี้

แต่ท่ามกลางการประลองนี้ กลับมีกลุ่มชายชุดดำที่ได้เห็น ผู้ที่นั่งชมในจุดสำคัญ เป็นถึงยอดยุทธ์ชนชั้นราชันจักรพรรดิทำให้การลงมือยิ่งยากเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หัวหน้ากลุ่มใต้ดิน ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว

ณ ศาลาหยก เหิงหนาน ห่างออกไปจาก งานประลอง 500 ลี้

“ฮ่าๆๆๆ ไม่คิดเลยว่าในงานเล็กๆ ของดินแดนรอบนอกแบบนี้ จะทำให้ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของสองพรรคใหญ่เดินทางมาด้วยตนเอง ลู่จื่อ เฒ่าประหลาดจากพรรควายุอัคคี หยางชิฟาง ผู้เฒ่าคุมกฎแห่งพรรควิหคอัสนี ฮ่าๆๆๆๆ พวกเจ้ากล้าดีเช่นไรที่มายื้อแย่งทรัพยากรของเรา พรรคหุบเขาซูเวิน ที่นายท่านซูค้นพบ เมื่อ 300 ปีก่อน”

การที่มีพรรคใหญ่ที่แทรกซึมเข้ามาเป็นกองกำลังหนึ่ง ที่เรียกตนเองว่าโลกใต้ดินหรือตลาดมืด การอาศัยอยู่ในแดนเสือขาวมาช้านาน วันนี้ได้ข่าวว่า มุกข์พิษสวรรค์ปรากฏ ด้วยความต้องการที่จะช่วงชิงมุกข์นี้มา ในรอบ 300 ปี โอกาสที่จะนำมุกข์พิษไปปรุงโอสถเพื่อรักษาอาหารของนายหญิงใหญ่แห่งพรรคหุบเขาซูเวิน ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญ

“สั่งการลงไป ให้คนของเราที่เฝ้าอยู่เตรียมใช้พิษสะกดลมปราณ คนในงานจะต้องไม่มีใครใช้ลมปราณได้ในตอนที่ลงมือ อย่าทำพลาด”

คำสั่งจากรองประมุขพรรคหุบเขาซูเวิน กล่าวออกไป จากนั้นกลุ่มกองกำลังที่เดินทางไปยังเมืองหลวงของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เปรียบเสมือน พายุลูกใหญ่ ที่กำลังจะพัดพาเอาสิ่งที่เลวร้าย ออกไปจากดินแดนนี้

……………………………………………………………………………

“นายท่านเจ้าคะ จะให้ข้าขึ้นไปสู้กับชายผู้นั้นหรือไม่?”

เสียงถามของหย่วนซิหยู เพียงได้เห็นใบหน้าของเต้าเหล่ย ก้าวออกไปเป็นคนแรก ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ว่าสู่ต่อไปจนกว่าจะตายหรือ มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมแพ้ กฏที่คงอยู่มานานนี้ได้จารึกลงไปในหัวใจของเหล่าชาวยุทธ์ตั้งแต่การจัดการประลองจ้าวยุทธ์ครั้งแรกแล้ว

เมื่อเต้าเหล่ยได้เดินออกไปกลางสนานประลอง ก่อนที่จะใช้สายตามองหาคนผู้หนึ่งที่ ครั้งหนึ่งตัวของมันเคยพ่ายแพ้อย่างไม่น่าให้อภัย นั่นคือ เป่าฮู่บุตรชายบุญธรรมของตระกูลหง แห่งเขตปกครองเสือขาวนั่นเอง

“ฮ่าๆๆๆๆ ไม่มี ไม่มา เจ้าลูกเต่าแซ่เป่า นึกว่าวันนี้จะกล้าโผ่หัวมาเสียอีก ทำให้ข้าเต้าเหล่ยผิดหวังยิ่งนัก”

คำกล่าวนี้ได้มองข้ามหัวของเต้าอิงเฉิงไปในทันที เพราะคนที่ชนะได้แม้กระทั่งเต้าอิงเฉิง คนผู้นั้นคงไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่ธรรมดาเท่านั้น

“ผู้พี่อิงเฉิง ข้าว่าท่านคงหมดปัญญาได้ล้างแค้นแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ”

หลังจากที่เต้าเหล่ยได้กลับมาจากพรรควิหคอัสนี ก็ได้เก็บตัวฝึกอย่างหนัก เพียงเพราะวันนี้ต่อให้ไม่ได้ชนะเต้าอิงเฉิง หากแต่สามารถบดขยี้ผู้ที่เคยชนะเต้าอิงเฉิงได้ก็เพียงพอ หากแต่เจ้าหมอนั่นกลับไม่มาในวันนี้ซะอย่างนั้น

ก่อนที่เต้าเหล่ยจะก้าวเดินกลับไป โดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนสนามประลอง การที่มีคนก้าวขึ้นมาแล้วแต่กลับไม่สู้เช่นนี้หมายความว่าเช่นไร เสียงของเป่าฮู่ที่ส่งผ่านไปถึงหย่วนซิวหยูให้ขึ้นไปตบปากเต้าเหล่ยเสียหน่อย เพราะอย่างไรใครที่มากล่าวหานายท่านของนางนางก็ไม่คิดละเว้นเช่นกัน

ใครจะไปคิดได้กันว่าเป่าฮู่คิดให้นางที่มีระดับราชันลมปราณขั้นกลาง ก้าวออกไปตัวเต้าเหล่ยที่กำลังจะถึงที่นั่งของตน กลับมีหนึ่งสตรีที่ก้าวออกมาก่อนที่จะกล่าวออกไปว่า

“คุณชายเต้าเหล่ย ในเมื่อก้าวออกมาแล้วใยไม่แสดงฝีมือของท่านออกมาแก่เราทุกคนหน่อย จะรีบกลับไปนั่งที่ทำไม?”

คำท้าทายของหญิงนางหนึ่งทำให้เต้าเหล่ยหันมามองด้วยสายตาอาฆาตแค้น ด้วยการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของทายาทตระกูลใหญ่ของดินแดนนี้

“ฮ่าๆๆๆ เจ้า คิดว่าเป็นอิสตรีแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือ ในเมื่อรนหาที่ตาย คิดว่าข้าจะเกรงใจยั้งมือ เจ้าคิดผิด”

จากนั้นเต้าเหล่ยก็สะบัดชายเสื้อ ก่อนที่จะใช้ท่าเท้าเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วภาพที่เหล่าผู้ชมรอบข้างได้เห็น นั่นคือท่าเท้านางแอ่นเล่นลม ของพรรควิหคอัสนี มันคือกระบวนท่าเคลื่อนที่ระยะสั้นได้รวดเร็วและอ่อนช้อย

“นั่นมัน! นางแอ่นเล่นลม! ไม่คาดคิดเด็กน้อยคนนี้จะสามารถใช้กระบวนยุทธ์นี้ได้”

คำกล่าวของหยางชิฟาง ตาเฒ่าคุมกฎของพรรควิหคอัสนี แต่สายตาทั้งหมดที่จับจ้องไม่ได้มีเพียงผู้เดียว เป่าฮู่เองก็มองว่าท่าเท้าของหย่วนซิวหยูจะแพ้ไปครึ่งขั้น แต่ด้วยไหวพริบนางนั้นจัดว่าเหนือล้ำเช่นกัน

“กำแพงเพลิงศักดิ์สิทธิ์….”

เสียงของซิวหยูดังออกไปทำให้คู่แข่งตลอดกาลของนางเช่น เร่อเว่ยซูได้ลุกขึ้นมาดูทันที

“เป็นนาง!…ท่านพ่อ ท่านปู่ เป็นนาง…”

เสียงของเร่อเว่ยซูได้กล่าวออกไป แต่ผู้ที่นั่งในศาลาเดียวกัน ด้านข้างกลับมองเห็นเปลวเพลิงที่ลุกโชนนั้น พวกมันแม้ตกตายก็ยังจำได้ นั่นคือเพลิงของตระกูลหย่วน เปลวเพลิงสีแดงส้มที่โชติช่วงนั้น

ผู้คนในสนามประลองต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาจากอากาศธาตุ หย่วนซิวหยูได้เคลื่อนที่ไปมา ด้วยทักษะที่ได้รับมาจากเป่าฮู่ชี้แนะและถ่ายทอดมาให้

แต่สำหรับท่าท่องวารีที่นางดัดแปลงให้เข้ากับพลังธาตุหยางของนาง จึงทำให้ทุกท่วงท่าที่ก้าวออกไปแสงจากเปลวเพลิงจะลุกไหม้และส่องประกายที่งดงามและแข็งกร้าวออกมา

“ราชันขั้นต้น ฮ่าๆๆๆๆ ฮ๋าๆๆๆ ดี! ดี! สำหรับข้าเจ้าคู่คู่ซ้อมที่ดี”

การที่เต้าเหล่ยได้บุกเข้าไปอย่างไม่ลดละ แต่ทุกครั้งที่ได้พบเจอกลับเป็น ม่านกำแพงเพลิงที่ร้อนแรงขวางไว้อยู่ ส่วนหย่วนซิวหยู กลับยังมิได้เอาจริงจังอะไร เพราะนายท่านของนางบอกให้เก็บงำพลังฝีมือเอาไว้สู้กับเรอเว่ยซู ให้หนำใจ

เมื่อเต้าเหล่ยชายที่กำลังถูกผู้คนดูถูกดูแคลน แต่แท้จริงแล้วตัวเต้าเหล่ยนั้นกำลังเล่นอยู่เช่นกัน

“มีดีเหมือนกันนี่ ไหนขอดูหน่อยว่า มีดีแค่ไหน”

เพียงการนำอาวุธของตนเองออกไป มันก็คือ ธงสามทิศ ที่เคยใช้ต่อสู้กับเป่าฮู่ในครั้งเริ่มแรก ทำให้เป่าฮู่ได้เห็นอีกครั้งก็สุดแสนจะตกใจ แต่ที่ต่างออกไปรอบนี้มันไม่ใช่ธงสามทิศ แต่กลับเป็นธงเบญจธาตุ ที่ควบคุมพลังโจมตีจากธาตุทั้ง 5 เล่นงานศัตรู

การกระทำที่ป่าเถื่อนคือตัวตนเองเต้าเหล่ยนั่นเอง

“ฮึ! ข้ามาแล้วไงแม่นาง ไหนหละความเก่งกาจที่เชื้อเชิญข้าให้กลับมา?”

เพียงหย่วนซิวหยูผู้มีอาวุธเพียงหนึ่งเดียว ที่นายท่านซื้อให้เป็นอาวุธคู่กาย แต่นางก็ยังไม่กล้านำออกมาใช้ ทำให้หย่วนปงรู้สึกใจหาย จึงส่งเสียงทางช่องลมปราณแก่หลานสาว ให้นางใช้เพลงกระบี่ระบำหงส์เพลิงซะ

ในทางกลับกันเป่าฮู่ก็ได้กล่าวออกไปว่า ธงรบชุดนี้นับว่ากล้าแกร่งมาก จำเป็นต้องใช้ทุกสิ่งท่มีในตอนนี้ เป้าหมายเพียงแสดงคงามสามารถให้พรรคใหญ่สนใจ เราจะต้องได้มาซึ่งแผนที่ไปทวีปใหญ่นั้น

“ออกมาจูเชวี่ย…”

(((((แกร๊ก!))))))) (((((แกว๊ก!))))))

เพียงร่างของนางพญาหงส์เพลิงปรากฏขึ้นมา ทำให้เหล่าผู้ที่อยู่ใต้ดวงชะตาของทวยเทพแห่งดาวทั้งสี่ ต่างรับรู้ถึงตัวตนที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่ว่าจะเป็น มังกรเขียว หงส์ศักดิ์สิทธิ์ เสือขาว หรือแม้แต่ตัวเป่าฮู่ที่บัดนี้มีเด็กทารกเต่าอักขระด้วยนั่นเอง…

เมื่อหงส์เพลิงเทวะ ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นหย่วนปงหรือแม้แต่เร่อหลุนห่าว เองก็ตกใจ ด้วยไม่คิดว่านอกจากหลานสาวของตนจะได้มาซึ่งพญาหงส์เพลิง หญิงผู้เลือกที่จะเก็บกระบี่แสนรัก แทนการเผยสัตว์คู่กายที่มีความลึกลับอย่างมากออกมา นางหญาหงส์เพลิงเทวะ

“บ้าน่า นั่น! นางพญาหงส์เพลิง”

เพียงเท่านั้นธงเบญจธาตุก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ ธงพลังธาตุก็เริ่มดูดซับเปลวเพลิงเข้ามาที่ธงอันนั้นอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆๆๆ แม่นางนี่มันสมบัติระดับราชันขั้นสูง….เจ้าไม่มีทางทำสิ่งใดได้”

เมื่อเปลวเพลิงที่ร้อนระอุได้ลุกไหม้และถูกดูดเข้าไปในธงนั้นดังกับว่าธงต้นนั้นมันไม่มีก้นบ่อให้กักเก็บ

แต่ทันใดนั้นอสูรระดับสูรตัวนี้กลับทะยานขึ้นสู่อากาศ พร้อมกับเปล่งประกายเป็นแสงสีส้มแดงจนแสบตา จากนั้นจิตที่เป็นบ่าวรับใช้ก็ได้กลายร่างเป็นยอดกระบี่สีแดงที่งดงาม เพียงหย่วนซิวหยูได้เห็นความรู้สึกแรก ก็ได้กล่าวออกมาทันที

“กระบี่คู่พญาหงส์……”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+