(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ 133

Now you are reading (นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ Chapter 133 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

เอาเป็นว่า เฮเลนาก็ปลุกอเลกเซียขึ้นมาจนได้ แล้วทั้งสองคนก็สวมเสื้อผ้าก่อนจะปล่อยให้อีกห้าคนเข้ามาข้างใน

แม้ในตอนแรกอเลกเซียจะดูสับสนอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนจะเริ่มนึกออก แล้วใบหน้าของเธอก็ซีดไปตามลำดับอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้น ส่วนประกอบในปัจจุบันก็คือ

 

เฮเลนาที่ยืนอยู่

กุลสตรีห้าคนที่มองดูอยู่ห่าง ๆ จากรอบข้าง

และอเลกเซียที่กำลังคุกเข่าขอขมาเฮเลนาอยู่

 

“ข ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ!! ท่านเฮเลนา!!”

 

“เอ่อ……เอาเถอะ ก่อนอื่นช่วยอธิบายมาหน่อยได้ไหม”

 

สำหรับเฮเลนาแล้ว สภาพการณ์เมื่อเช้านี้มันเป็นอะไรที่พิศวงอย่างยิ่ง

เคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ กันตอนที่เฮเลนาเผลอหลับไปทั้งที่กอดล็อกตัวอเลกเซียไว้จนถึงเช้า แต่เมื่อคราวนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังสวมเสื้อผ้าอยู่

ทว่าเมื่อเช้านี้กลับเปลือยเปล่ากันหมด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

 

“เอ่อ……เมื่อคืน ข้าได้กล่าวไปว่าขอให้ถือว่าข้าไม่ใช่นางกำนัลรับใช้ติดห้อง แต่เป็นน้องสาวของ ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ ที่รู้จักกันมานานใช่ไหมคะ”

 

“อือ อันนั้นจำได้อยู่”

 

มานึกดูแล้วมันก็เป็นคำขอที่แปลกประหลาดไม่น้อย แต่ท่าทีของอเลกเซียเมื่อคืนมันก็ไม่ใช่ท่าทีของนางกำนัลรับใช้จริง ๆ ดังนั้นถึงได้เน้นว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เพื่อที่จะปฏิสัมพันธ์ในฐานะที่ไม่ใช่นายกับบ่าวแต่เพื่อแลกเปลี่ยนมิตรภาพส่วนตัวกระมัง

พอเข้าใจได้ ถ้าแค่เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้อยู่

 ทว่าปัญหาในตอนนี้ คือทำไมถึงได้เปลือยกายกันทั้งคู่ต่างหาก

 

“ข้า……พอเมาแล้วจะถอดค่ะ……”

 

“……”

 

เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายกว่าที่คิด

ในบรรดานิสัยยามสุราเข้าปากที่มีอยู่มากมาย นั่นคงจะเป็นนิสัยที่ผู้หญิงไม่ควรจะมีที่สุดแล้วกระมัง อย่างน้อยที่สุดก็เป็นนิสัยเสียที่ทำให้ต้องคอยกำกับตัวเองว่าห้ามดื่มสุราต่อหน้าผู้ชายเด็ดขาด

 

“อย่างนี้นี่เอง……”

 

“ซ้ำร้าย ข้าเป็นประเภทที่จำความได้ค่ะ……เมื่อคืนพอท่านเฮเลนาเริ่มร้องไห้กระเซาะกระแซะ ข้าก็ถอดเปลือยไปก่อนแล้ว จากนั้นก็จำได้ว่าข้าบอกให้ท่านเฮเลนาถอดเสื้อผ้าด้วยเหมือนกันค่ะ”

 

“……แล้วข้าก็ยอมถอดแต่โดยดี?”

 

“พอร้องขอว่า ‘ขอดูกล้ามเนื้ออันแสนยอดเยี่ยมของท่านเฮเลนาหน่อยค่ะ!’ ท่านก็ร้องไห้พลางถอดออกด้วยตัวเองเลยค่ะ”

 

“……”

 

ดูท่าว่าเฮเลนาตอนเมาจะใจอ่อนเวลาโดนยกยอแฮะ เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยากรู้เลยจริง ๆ

แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้ก็พอจะเข้าใจเหตุผลแล้ว ไม่ว่าจะคิดยังไง ที่ตัดสินใจร่วมวงดื่มสุราสองคนกับอเลกเซียมันจะเป็นเรื่องผิดพลาดจริง ๆ

 

“หลังจากนั้น……คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”

 

“ท่านเฮเลนาหลับไปก่อน ข้าก็เลยถือสาย้ายท่านไปนอนที่เตียงค่ะ หลังจากนั้น……ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่เหมือนกัน แต่ข้าก็นอนลงไปข้าง ๆ ด้วยเลย”

 

“งั้นรึ……”

 

อืม ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีแล้ว

คิดว่าเพราะเมาสุราเลยเผลอทำอะไรเกินเลยกับอเลกเซียไปซะอีก อย่างน้อยที่สุดคราวนี้เฮเลนาก็ไม่ใช่คนผิดล่ะนะ

 

“เฮ้อ……ทำไมถึงไม่บอกกันก่อนเล่า ว่ามีนิสัยเสียแบบนี้ด้วย”

 

“เอ่อ……คิดว่าดื่มแค่เล็กน้อยคงไม่เป็นอะไรน่ะค่ะ……”

 

“ข้าก็ผิดเหมือนกันที่แนะนำสุราที่ไม่คุ้นเคยให้ เราเลิกดื่มสุรากันเถอะ”

 

เห็นว่าเป็นโอกาสสำคัญที่สิ้นสุดการฝึกอบรมจึงลองดื่มสุราดู แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย

ทั้งที่รู้แต่ทำไมก็ยังถึงดื่มนะ สุรานี่มันมีพลังชั่วร้ายจริง ๆ

‘เฮ้อ’ เฮเลนาถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองอีกห้าคนที่เรียงรายกันอยู่

 

“ก็ ตามนั้นแหละ ไม่ได้เกิดเรื่องบัดสีหรืออะไรเป็นพิเศษหรอกนะ”

 

“น่าเสียดายจังค่ะ”

 

“เสียดายอะไรของเจ้า……”

 

เมื่อได้ยินมาริเอลที่ยังพิลึกไม่เปลี่ยนแปลง เฮเลนาก็ได้แต่กล่าวออกมาอย่างเอือมระอา

ทว่าอย่างน้อยที่สุดห้าคนนี้ก็ดูจะยอมรับกันได้แล้ว

 

“ที่สำคัญกว่านั้น การฝึกของพวกเจ้ามันน่าจะจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว……ทำไมถึงมานี่กันอีกล่ะ?”

 

“อยู่ห้องเฉย ๆ ก็รู้สึกเบื่อเลยมานี่ไงล่ะ!”

 

“อย่ามาเข้าห้องคนอื่นตามใจชอบเพื่อแก้เบื่อสิ”

 

แองเจลิกาประกาศอย่างเปิดเผย เฮเลนาจึงตักเตือนไปเช่นนั้น

ในเมื่อตอนนี้เธอไม่ได้เป็นครูฝึกแล้ว เฮเลนาก็ไม่คิดจะสั่งลงโทษอีก ในทางกลับกันถ้าสั่งลงโทษไปตอนนี้ทุกคนอาจจะทำกันด้วยความยินดีแทนด้วยซ้ำ

 

“อ เอ่อ! พวกข้า! มีธุระกับท่านเฮเลนาค่ะ!”

 

“ธุระ?”

 

“ค่ะ!! เล่าเรียนตามตรง เมื่อวานหลังจากจบการฝึกแล้ว พวกเราสี่คนได้มีงานเลี้ยงน้ำชาด้วยกันค่ะ!”

 

“ไหน ๆ ก็อุตส่าห์มาสนิทสนมกันแล้วไงล่ะคะ”

 

“……ดิฉันไม่ได้คิดจะเข้าร่วมด้วยซะหน่อยเจ้าค่ะ”

 

“ชาร์ลอตเตเนี่ยไม่ซื่อตรงเลยน้า”

 

‘ฮึ’ ชาร์ลอตเตทำท่าไม่สบอารมณ์อยู่คนเดียว ทำให้มาริเอลกล่าวอย่างเอือม ๆ

ทว่าทุกคนสนิทกันจนจัดงานเลี้ยงน้ำชากันได้แบบนี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดี นับว่าคุ้มค่าที่ได้ฝึกให้พวกเธอรู้จักความเป็นพวกพ้องและความสามัคคีกัน

 

“เดี๋ยวสิ!? ไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อนเลยอ่ะ! ทำไมฉันหัวเน่าอยู่คนเดียวล่ะ!”

 

“อ เอ่อ!! ก็คุณแองเจลิกากลับไปก่อนแล้วนี่คะ!”

 

“ทางนี้ก็ไม่มีวิธีติดต่อเสียด้วยสิคะ”

 

“อุ……ฝ ฝากนางกำนัลมาบอกหรืออะไรก็ได้นี่!”

 

“อ๊ะ จริงด้วยสิคะ”

 

“พอพูดแล้วก็นึกออกเลยเจ้าค่ะ”

 

“ปัดโธ่—!!”

 

ดูสนุกสนานกันดีนะ

แล้วก็ยังคุยกันไม่ถึงไหนด้วย

 

“เอ่อ……จัดงานเลี้ยงน้ำชา แล้วยังไงต่อรึ?”

 

“เราถกเถียงกันว่าใครแกร่งที่สุดเจ้าค่ะ”

 

“……แกร่งที่สุด?”

 

‘ฮืม’ เฮเลนาเอามือแนบคางใช้ความคิด

ฟรองซัวส์ใช้ธนู ชาร์ลอตเตใช้มือเปล่า มาริเอลใช้กระบอง คลาริสซาขี่ม้า

แต่ละคนก็มีวิชาที่ถนัดไปคนละอย่าง การจะพิจารณาว่าใครแกร่งที่สุดนั้นยากทีเดียว หากจะตัดสินจริง ๆ ก็คงต้องให้ทุกคนลองประมือกันด้วยวิชาที่ตัวเองถนัด

จะว่าไปแล้ว ในระหว่างการฝึกอบรมก็มีแต่การฝึกให้ใช้อาวุธอย่างเดียวกันเช่นมือเปล่าต่อมือเปล่า พอลองนึกดูแล้ว หากให้ชาร์ลอตเตใช้มือเปล่าสู้กับมาริเอลที่ใช้กระบอง มันก็น่าสนใจไม่น้อย

 

“ข้าค่ะ! ธนูที่ยิงจู่โจมได้จากระยะไกลนั่นแหละแกร่งที่สุดค่ะ!”

 

“ธนูปวกเปียกของเธอดิฉันปัดทิ้งได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ ขอแค่เข้าประชิดในได้ทางนี้ก็ชนะแล้ว”

 

“ไม่ให้โอกาสได้เข้าประชิดหรอกนะ กระบองที่จู่โจมได้ในระยะปานกลางต่างหากที่แกร่งที่สุดน่ะ”

 

“……ก็ อารมณ์ประมาณนี้แหละค่ะ”

 

คลาริสซาช่วยสรุปตัดบทให้

ก็จริงอยู่ว่าคลาริสซานั้นถนัดศิลปะการขี่ม้า ซึ่งลำพังแค่ตัวศิลปะการขี่ม้านั้นก็ไม่อาจนับว่าแข็งแกร่งได้ ดังนั้นเธอจึงเหมือนถอยห่างออกมาจากการโต้เถียงหาผู้แข็งแกร่งที่สุดนี้อยู่ก้าวหนึ่งกระมัง

 

“เดี๋ยวสิ!? แบบนั้นฉันไม่ยอมรับหรอกนะ! การขว้างปาของฉันต่างหากที่แกร่งที่สุดน่ะ!”

 

“เอ๊ะ…..การขว้างน่ะมันออกจะ….”

 

“มันดูจืดเกินไปเจ้าค่ะ”

 

“ธนูแกร่งกว่าค่ะ!”

 

“ทำไมเรื่องนี้ถึงสามัคคีกันดีจังเนี่ยพวกหล่อน!?”

 

‘ฮึ่มม’ แองเจลิกาตะโกน

พูดตามตรงแล้วเสียงดัง ๆ ของแองเจลิกามันสะเทือนในหัวมากทีเดียว คนกำลังเมาค้างอยู่จึงไม่ค่อยอยากฟังเท่าไร

เฮเลนายืนกอดอก จ้องมองเด็กสาวทั้งห้า

 

“สรุปว่า……ทั้งสี่คน ต่างก็คิดว่าวิชาที่ตัวเองถนัดนั้นแข็งแกร่งที่สุดสินะ”

 

“ใช่แล้วค่ะ!”

 

“แน่นอนเจ้าค่ะ”

 

“ค่ะ”

 

“ของมันแน่อยู่แล้ว!”

 

‘เฮ้อ’ ทั้งเฮเลนาและคลาริสซาต่างก็ถอนหายใจ

ดูท่าว่าคลาริสซาเองก็ถูกบีบอยู่ตรงกลาง น่าเห็นใจเหมือนกัน

 

“เอาเถอะ หากพวกเจ้ามั่นใจกันขนาดนั้น งั้นจะลองประมือกันดูก็ได้”

 

“ค่ะ! ก็จะทำแบบนั้นแหละค่ะ!”

 

“……งั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาที่ห้องของข้าเลยนี่”

 

“ฝึกฝนทุกวันมาจนถึงเมื่อวาน พอตั้งแต่วันนี้ไปไม่ต้องทำแล้ว ร่างกายมันก็รู้สึกแปลก ๆ เจ้าค่ะ”

 

“อืม ร่างกายมันชินซะแล้วนั่นแหละค่ะ พวกเราก็เลยตัดสินใจว่าจากนี้ไปจะมาฝึกด้วยกันทุกวัน”

 

“อย่างนี้นี่เอง”

 

ก็จริงอยู่ว่า แม้บู้ตแคมป์จะจบไปแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีใครที่เลิกฝึกฝนร่างกายได้ในทันทีหรอก

ในทางกลับกันคนส่วนใหญ่จะกลายเป็นว่าหากไม่ได้ขยับร่างกายจะรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจแทน ดังนั้นก็เลยฝึกฝนต่อเนื่องไปหลังจากนั้นด้วย

 

“แต่ปัญหานี้มันผลัดไปไว้วันหลังไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

 

“เราจะตัดสินกันว่าใครแกร่งที่สุดเจ้าค่ะ”

 

“ดังนั้นท่านเฮเลนา! ได้โปรด! ช่วยเป็นกรรมการ!”

 

“ฉันก็จะร่วมด้วย! ที่แกร่งที่สุดน่ะคือฉันต่างหาก!”

 

“……”

 

รู้สาเหตุที่ทุกคนมานี่กันแล้ว

พูดตามตรง เธอยังเมาค้างอยู่ ดังนั้นใจจริงก็อยากจะให้งดเว้นทีเถอะ

 

ทว่าสี่คนนี้ต่างก็มีความมั่นใจในตัวเอง ว่าวิชาของตนเองนั้นแข็งแกร่งที่สุด ถึงจะมีคลาริสซาอยู่นอกวงคนนึงก็ตาม

หากมั่นใจในวิชาถนัดของตนเองขนาดนั้น ก็นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดี

 

“ได้สิ งั้นไปรวมพล เรียงแถวกันที่สวนระหว่างอาคาร”

 

“ค่ะ!!”

 

ทั้งสี่ตอบคำและรีบทยอยกันผ่านประตูออกไปจากห้อง

บู้ตแคมป์ที่คิดว่าจบลงไปแล้ว—ดูท่าว่ามันจะยังไม่ยอมจบง่าย ๆ แล้วสิ เฮเลนาเองก็รู้สึกสนุกขึ้นมาเล็กน้อย พลางทำท่าจะมุ่งหน้าไปที่สวน

 

“เฮ้อ……ทำไมทุกคนถึงได้คิดว่าตัวเองแกร่งที่สุดกันนะ”

 

คลาริสซารำพึงขึ้นมาเบา ๆ จากนั้นก็พยักหน้า

 

“ผู้แข็งแกร่งที่สุดยังไงมันต้องเป็นทหารม้าอยู่แล้วสิ”

 

ขอถอนคำพูด

ทั้งห้าคน ต่างก็คิดว่าตัวเองแกร่งที่สุดกันหมดเลย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด