(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ 94

Now you are reading (นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ Chapter 94 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“อะไรของเขานะ?”

 

“ไม่รู้สิคะ……ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ”

 

เมื่อมองไม่เห็นตัวของชาร์ลอตเตที่เดินจากไปแล้วอีกต่อไป เฮเลนากับอเลกเซียก็มองหน้ากันไปมาพลางกล่าวเช่นนั้น

ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเธอมาทำไม บางทีเธออาจจะคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเฮเลนาอยู่ แต่ถ้าเป็นชาร์ลอตเตตามปกติก็น่าจะเข้ามาพูดอะไรใส่เฮเลนาไปแล้ว และเฮเลนาเองก็เคยมองชาร์ลอตเตว่าเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ถ้าเฮเลนาทำเมินใส่ก็จะแหกปากโวยวาย

ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้วเธอมักจะพาลิ่วล้อจำนวนมากไปไหนมาไหนด้วยแท้ ๆ แต่วันนี้กลับไม่มีแม้กระทั่งสาวใช้ติดตามสักคนเดียว จึงยิ่งแปลกตาเข้าไปใหญ่

‘มันยังไงกันแน่นะ’ แม้เฮเลนาจะเอียงศีรษะอย่างฉงนใจ แต่เธอก็เป็นคนที่รู้จักยอมแพ้ในบางเรื่อง เรื่องที่แม้แต่อเลกเซียก็ไม่เข้าใจเฮเลนาก็คงไม่มีทางเข้าใจได้อยู่แล้วล่ะ ดังนั้นก็เลยตัดสินใจช่างมันไปละกัน

 

‘เอาล่ะ’ ก่อนฝึกต่อเธอก็คิดว่าจะแก้คอแห้งสักหน่อย จึงดื่มน้ำชาที่อเลกเซียช่วยชงให้

พักหลังมานี้มักจะฝึกกันเป็นกลุ่มใหญ่ตลอด ดังนั้นตอนนี้จึงกลายเป็นว่ารู้สึกเหงา ๆ ขึ้นมาไม่น้อย

 

“จะว่าไปแล้ว ท่านเฮเลนาคะ”

 

“หืม?”

 

“วันก่อน พี่ชายได้มาเยี่ยมข้าที่เรือนพักน่ะค่ะ”

 

“โฮ่”

 

เมื่อได้ฟังคำของอเลกเซีย เธอก็ตกใจนิดหน่อย

แนวหน้าการรบกับจักรวรรดิอัลเมดานั้น น่าจะกำลังได้รับการป้องกันโดยแม่ทัพสองคนคือวิกเตอร์และบาร์โตโลเม การที่บาร์โตโลเมกลับมายังนครหลวงในสถานการณ์แบบนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ

แต่อันที่จริง ก่อนหน้านี้วิกเตอร์กับเฮเลนาก็เคยกลับมาพร้อมกันสองคนเหมือนกัน ดังนั้นสถานการณ์มันก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนี้แม่ทัพจะขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยหรอก

 

“ท่านบาร์โตโลเมยังสุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหม?”

 

“ตั้งแต่เกิดมาข้าก็ไม่เคยเห็นท่านพี่……เห็นพี่ชายไม่แข็งแรงเหมือนกันค่ะ”

 

“นั่นมันก็จริงแฮะ”

 

เมื่อได้ยินอเลกเซียพูด เฮเลนาก็ยิ้มขึ้นมาเล็ก ๆ

เธอจินตนาการภาพบาร์โตโลเมเสียชีวิตไม่ออก แล้วก็นึกภาพตอนที่สุขภาพไม่ดีไม่ออกด้วย ต่อให้ดื่มชาที่ผสมยาพิษเข้าไป ก็คงจะเบ่ง ‘ฮึบ’ ให้สารพิษมันออกมาตามรูขุมขนได้เลยล่ะมั้ง อดไม่ได้ที่จะจินตนาการออกมาเป็นภาพที่ห่างไกลความเป็นมนุษย์แบบนั้นไป

แต่มันก็เป็นเพราะเจ้าตัวดูห่างไกลความเป็นมนุษย์อยู่แล้วในหลาย ๆ ความหมายล่ะนะ

 

“แล้วมีธุระอะไรถึงมานครหลวงล่ะ?”

 

“เรื่องนั้น ดูเหมือนว่าจะโดนฝ่าบาทเรียกตัวมาน่ะค่ะ”

 

“อ้อ……”

 

ถึงตรงนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าธุระเรื่องอะไร

ว่าไปแล้ววันก่อนฟาร์มาสก็พูดอยู่นี่นา ว่าเพิ่งจะได้เจอบาร์โตโลเมเป็นครั้งแรก

คงจะโดนเรียกมาพูดเรื่องการทาบทามสู่ขอให้แต่งงานกับฟรองซัวส์กระมัง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เขาได้เห็นหน้าฟรองซัวส์ดู อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีปฏิกิริยายังไง

 

“แล้วก็ได้ยินมาจากพี่ชายด้วยค่ะ”

 

“หืม?”

 

“ว่าในอนาคตฝ่าบาทตั้งใจที่จะยุบวังหลัง”

 

“ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่นา”

 

วังหลังนั้น โดยเนื้อแท้แล้วเป็นที่สำหรับรวบรวมนางสนม เพื่อที่จักรพรรดิจะได้คัดเลือกชายาเอก

แล้วเมื่อฟาร์มาสได้เลือกชายาเอกแล้วในอนาคต ก็เป็นธรรมดาที่วังหลังจะถูกยุบทิ้งไปป

ทว่า เมื่อได้ฟังคำพูดของเฮเลนา อเลกเซียกลับขมวดคิ้ว

 

“……ท่านเฮเลนา ทราบอยู่แล้วหรือคะ?”

 

“เปล่า……”

 

ถ้าถามว่ารู้อยู่แล้วหรือเปล่า ก็แน่นอนว่าเธอรู้อยู่แล้ว

ทว่า อเลกเซียนั้นไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฟาร์มาส เธอคงจะกำลังคิดว่าฟาร์มาสเป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาอยู่ไม่มากก็น้อยกระมัง

‘ดันพลั้งปากไปซะแล้วสินะเนี่ย’ เฮเลนาเม้มริมฝีปาก

 

“นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของข้านะคะ”

 

“หืม?”

 

“ข้าก็มีโอกาสได้ยลพระพักตร์ฝ่าบาทหลายครั้งตอนที่มาเยือนห้องของท่านเฮเลนา แต่ว่า……ฝ่าบาทน่ะ เป็นคนอย่างที่ใคร ๆ เขาลือกันจริง ๆ น่ะหรือคะ”

 

“หมายความว่ายังไงรึ?”

 

“หากเป็นจักรพรรดิที่หมกมุ่นในกามราคะ ก็คงไม่คิดจะยุบวังหลังในอนาคตหรอกค่ะ นอกจากนี้ หากต้องการครอบครองโฉมงามที่รวบรวมมาไว้คนเดียว ก็แค่ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อให้สร้างทายาทผู้สืบทอดได้อย่างมั่นคงก็พอแล้ว ทว่า……ฝ่าบาทกลับไม่ได้รักใคร่โปรดปรานพระสนมท่านอื่นนอกจากท่านเฮเลนาเลย อาจมองได้ว่าฝ่าบาทแค่มีรสนิยมแบบนั้นก็เป็นไปได้ แต่ถึงยังไงข้าก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ อยู่ดีค่ะ”

 

“……”

 

อเลกเซียนั้นหัวดี

อย่างน้อยที่สุดก็ดีกว่าเฮเลนาเยอะ

เฮเลนานั้นได้ฟังมาจากฟาร์มาสแล้วว่าเพราะเหตุผลอะไรสถานการณ์มันจึงเป็นแบบนี้ รวมถึงเหตุผลที่รักใคร่โปรดปรานเฮเลนาด้วย

ทว่าหากมองจากมุมของคนที่อยู่ใกล้ชิดอย่างอเลกเซียแล้ว มันก็ช่วยไม่ได้ที่รู้สึกตงิดใจขึ้นมาเช่นนั้น

 

“ฮืม……”

 

“ข้าคิดว่าท่านเฮเลนาอาจพอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นบ้างน่ะค่ะ”

 

“ไม่รู้อ่ะ”

 

“…………………งั้นหรือคะ”

 

แม้อเลกเซียจะส่งสายตาระแวงสงสัยอย่างรุนแรงมาให้ แต่เฮเลนาเองก็มีเรื่องที่พูดได้และพูดไม่ได้อยู่เหมือนกัน

ตอนนี้มีแต่ต้องพยายามกลบเกลื่อนไปก่อนเท่านั้น

 

“พูดตามตรงนะ ลองคิดดูให้ดีสิ อเลกเซีย”

 

“คะ?”

 

“ฝ่าบาทคิดเช่นไรอยู่ ขนาดอเลกเซียก็ยังไม่เข้าใจแบบนั้นน่ะ คิดว่าข้าจะเข้าใจงั้นรึ?”

 

“นั่นมันก็จริงนะคะ”

 

ตกลงยอมรับไปได้อย่างง่ายดายเฉยเลย แบบนี้มันก็น่าเศร้าไปอีกแบบเหมือนกันแฮะ

ทว่าอเลกเซียก็พึมพำ ‘อย่างนี้นี่เอง’ ออกมาอย่างชัดเจนราวกับว่าข้อแก้ตัวนี้สมเหตุสมผลแบบไม่มีอะไรน่าเชื่อไปกว่านี้อีกแล้ว แม้นั่นมันจะทำให้เฮเลนารู้สึกเศร้าก็ตามที

‘เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ฝึกวิชาต่อก่อนก็แล้วกัน’ เฮเลนาลุกขึ้นยืน

 

เธอถือดาบใหญ่ที่ได้รับมาจากฟาร์มาส และก้าวไปยังใจกลางของสวนระหว่างอาคาร

เธอได้เข้าใจแล้วว่าระดับของมารดายังห่างไกลเกินไป อย่างน้อยที่สุดหากเธอไม่เก่งขึ้นจนสามารถเอาชนะบาร์โตโลเมในจินตนาการได้ ก็คงไม่อาจเทียบได้แม้แต่ฝ่าเท้าของมารดากระมัง

นั่นก็เพราะ ความพ่ายแพ้ที่มีเพียงสองครั้งชั่วชีวิตของเรย์ลามารดาของเธอนั้น

หนึ่งครั้งก็มาจากบาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ดผู้นั้นเอง

 

และเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับเฮเลนาก็คือการฝึกฝนขัดเกลาอย่างไม่หยุดยั้ง

การโจมตีที่แหลมคม ก็ต้องแหลมคมขึ้นไปอีก

เล็งเป้าจู่โจมอย่างแม่นยำ ปัดป้องอย่างแม่นยำ

ท้ายที่สุดแล้ว ผลของการฝึกฝนขัดเกลาที่ได้สั่งสมมานั่นแหละ ที่จะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้

 

ระหว่างที่คิดเช่นนั้นอยู่

ตอนนั้นเอง เธอก็รู้สึกถึงสายตาที่กำลังมองมา

 

มันรู้สึกแตกต่างไปจากทุกที เพราะเป็นสายตาของคนหมู่มาก

เมื่อเฮเลนามองไปยังทิศทางของสายตาเหล่านั้น ก็พบว่าไม่รู้ทำไมที่นั่นจึงมีบุตรีขุนนางจำนวนมาก—เกรงว่าน่าจะมีกันประมาณสิบห้าคนเลยทีเดียว

จะบอกว่าเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน—ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว พวกเธอคือบรรดาบุตรีขุนนางที่มักจะคอยตามหลังชาร์ลอตเตไปไหนมาไหนอยู่เสมอ แม้เฮเลนาจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม แต่ก็จำได้ว่าเคยเห็นหน้าพวกเธอมาหลายครั้งแล้ว

ภายในหมู่พวกเธอเหล่านั้น มีบางคนที่เมื่อเห็นเฮเลนาแกว่งดาบอยู่ ก็พึมพำถากถางแบบเข้าใจง่ายอย่าง “ช่างป่าเถื่อนเสียจริง” ออกมาเลยด้วยซ้ำ

พวกเธอเหล่านี้มีธุระอะไรกันแน่นะ

 

“ขออนุญาตค่ะ พระสนมฟ้าสุริยา”

 

บุตรีขุนนางวัยสาวที่มีเส้นผมสีแดงชาดทรงผมม้วนสูงขึ้นไปด้านบนกระหม่อม และดูท่าทางเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มได้ก้าวออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว

แม้ความงามของเธอจะไม่อาจเทียบชาร์ลอตเต แต่ก็งามพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นโฉมงามผู้หนึ่งกระมัง ดูแล้วก็ประมาณได้ว่าน่าจะอายุไม่ถึงยี่สิบปี

 

“ดิฉันมีนามว่าแคทลียา แลมเบิร์ตค่ะ เป็นบุตรสาวคนรองของตระกูลเคานต์แลมเบิร์ต”

 

“ข้าเฮเลนา เรลโนต”

 

“การที่ดิฉันซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในเก้าสนมเอก ‘ผู้งามสง่า’ เข้ามาพูดคุยกับพระสนมฟ้าสุริยาซึ่งเป็นหนึ่งในสามสนมฟ้าเช่นนี้ ก่อนอื่นต้องขอความกรุณาด้วยนะคะ”

 

“ข้าอนุญาต”

 

ช่างพูดจายืดเยื้อน่ารำคาญเสียจริง

สำหรับเฮเลนาแล้ว พวกเธอกำลังเกะกะการฝึกอยู่ ดังนั้นก็อยากจะให้รีบ ๆ ไปไหนก็ไปซะที

ทว่า หากพูดออกไปเช่นนั้นมันอาจเป็นการเสียมารยาทไปหน่อยกระมัง ดังนั้นอย่างน้อยเธอจะรอฟังธุระของอีกฝ่ายก่อน

 

“กล่าวตามตรงแล้ว ดิฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาหารือค่ะ……ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาหรือไม่คะ?”

 

“รีบ ๆ พูดมาให้ไวเถอะ ข้ายังต้องฝึกวิชาต่ออยู่น่ะนะ”

 

“เช่นนั้นก็ต้องขออภัยที่มาขัดจังหวะระหว่างฝึกวิชาเสียแล้วค่ะ แต่การปรึกษาหารือครั้งนี้ ดิฉันรับรองว่าพระสนมฟ้าสุริยาไม่ขาดทุนอย่างแน่นอนค่ะ”

 

“ลองว่ามาสิ”

 

เฮเลนาเกลียดความเปล่าประโยชน์เสียเวลา

ดังนึ้นจึงโต้ตอบแบบตรงดิ่งเข้าประเด็น แล้วก็แค่รอให้อีกฝ่ายพูดธุระของตนออกมาเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการพูดจายืดเยื้อเสียเวลาขนาดนี้เธอก็ไม่ค่อยชื่นชอบนักด้วย

 

“ค่ะ ดิฉันได้ข่าวว่าเมื่อวันก่อนพระสนมฟ้าสุริยาได้ไปร่วมงานไว้อาลัยครบรอบหนึ่งปีของจักรพรรดิพระองค์ก่อน”

 

“งั้นรึ”

 

“ต้องขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะคะ พระสนมฟ้าสุริยาได้รับความรักใคร่โปรดปรานของฝ่าบาทเช่นนั้นช่างน่าอิจฉาโดยแท้ พวกเรารู้สึกเช่นนั้นกันก็อยู่ตลอดเลยค่ะ ทว่าก็คงเป็นเพราะเป็นคนที่งดงามเช่นพระสนมฟ้าสุริยากระมัง ฝ่าบาทจึงได้รักใคร่โปรดปรานท่านอยู่เช่นนี้”

 

“……”

 

ก็แล้วมันยังไงฟะ

เฮเลนาอดกลั้นที่จะไม่พูดออกไปเช่นนั้น พลางรอคอยคำพูดต่อไปของบุตรีขุนนางตรงหน้า—ของแคทลียา

 

“พวกดิฉันเองก็อยากจะขอสนิทชิดเชื้อกับพระสนมฟ้าสุริยาบ้างน่ะค่ะ”

 

“……โฮ่?”

 

“เท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือน ‘ฝ่ายสนมฟ้าสุริยา’ จะได้รวมเอา ‘ฝ่ายสนมฟ้าดารา’ เข้าไปแล้ว และยังมี ‘ผู้มีความสามารถ’ และ ‘ผู้ไพเราะ’ อีกด้วย เช่นนั้นแล้วก็ได้โปรดขอให้พวกเราได้เข้าร่วมฝ่ายของพระสนมฟ้าสุริยาด้วยเถอะค่ะ”

 

นั่นก็คือการย้ายฝักฝ่าย

แปลว่า พวกเธอซึ่งเคยประจบประแจงชาร์ลอตเตในฐานะ ‘ฝ่ายสนมฟ้าจันทรา’ มาก่อน ตอนนี้จะพร้อมใจกันมาสนับสนุนเฮเลนาแทนนั่นเอง

 

“แน่นอน พวกดิฉันเองก็ทราบดีว่าการมาขอเข้าร่วมมือเปล่าแบบนี้อาจเป็นคำขอที่ถือดีไปบ้าง แต่หากพระสนมฟ้าสุริยารวมเอาพวกดิฉันเข้าไปในฝ่ายด้วย ฝ่ายของท่านก็คงกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในวังหลังเป็นแน่ คิดว่าเป็นคำขอที่ยังไงก็ไม่ทำให้ท่านขาดทุนอย่างแน่นอนค่ะ”

 

แคทลียาหรี่ตายิ้ม

ข้อเสนอของแคทลียานั้น สมควรจะเรียกว่าเป็นเหมือนเรือที่มาในตอนที่อยากข้ามแม่น้ำพอดี หากฝ่ายของ ‘สนมฟ้าจันทรา’ สูญเสียอำนาจและทำให้ชาร์ลอตเตโดดเดี่ยวได้ ก็จะส่งผลไปยังราชสำนักเบื้องหน้าให้โนลด์ลุนด์สูญเสียอำนาจไปด้วย นอกจากนี้หากฝ่ายของเฮเลนากลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ใหญ่ที่สุด อำนาจปากเสียงของแอนตันเองก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้นแล้ว แคทลียาจึงได้บอกออกไปอย่างเปี่ยมความมั่นใจ

 

โดยที่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสตรีตรงหน้า ‘สนมฟ้าสุริยา’ ที่ชื่อว่าเฮเลนา เรลโนตเลยแม้แต่น้อย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ 94

Now you are reading (นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ Chapter 94 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“อะไรของเขานะ?”

 

“ไม่รู้สิคะ……ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ”

 

เมื่อมองไม่เห็นตัวของชาร์ลอตเตที่เดินจากไปแล้วอีกต่อไป เฮเลนากับอเลกเซียก็มองหน้ากันไปมาพลางกล่าวเช่นนั้น

ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเธอมาทำไม บางทีเธออาจจะคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเฮเลนาอยู่ แต่ถ้าเป็นชาร์ลอตเตตามปกติก็น่าจะเข้ามาพูดอะไรใส่เฮเลนาไปแล้ว และเฮเลนาเองก็เคยมองชาร์ลอตเตว่าเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ถ้าเฮเลนาทำเมินใส่ก็จะแหกปากโวยวาย

ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้วเธอมักจะพาลิ่วล้อจำนวนมากไปไหนมาไหนด้วยแท้ ๆ แต่วันนี้กลับไม่มีแม้กระทั่งสาวใช้ติดตามสักคนเดียว จึงยิ่งแปลกตาเข้าไปใหญ่

‘มันยังไงกันแน่นะ’ แม้เฮเลนาจะเอียงศีรษะอย่างฉงนใจ แต่เธอก็เป็นคนที่รู้จักยอมแพ้ในบางเรื่อง เรื่องที่แม้แต่อเลกเซียก็ไม่เข้าใจเฮเลนาก็คงไม่มีทางเข้าใจได้อยู่แล้วล่ะ ดังนั้นก็เลยตัดสินใจช่างมันไปละกัน

 

‘เอาล่ะ’ ก่อนฝึกต่อเธอก็คิดว่าจะแก้คอแห้งสักหน่อย จึงดื่มน้ำชาที่อเลกเซียช่วยชงให้

พักหลังมานี้มักจะฝึกกันเป็นกลุ่มใหญ่ตลอด ดังนั้นตอนนี้จึงกลายเป็นว่ารู้สึกเหงา ๆ ขึ้นมาไม่น้อย

 

“จะว่าไปแล้ว ท่านเฮเลนาคะ”

 

“หืม?”

 

“วันก่อน พี่ชายได้มาเยี่ยมข้าที่เรือนพักน่ะค่ะ”

 

“โฮ่”

 

เมื่อได้ฟังคำของอเลกเซีย เธอก็ตกใจนิดหน่อย

แนวหน้าการรบกับจักรวรรดิอัลเมดานั้น น่าจะกำลังได้รับการป้องกันโดยแม่ทัพสองคนคือวิกเตอร์และบาร์โตโลเม การที่บาร์โตโลเมกลับมายังนครหลวงในสถานการณ์แบบนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ

แต่อันที่จริง ก่อนหน้านี้วิกเตอร์กับเฮเลนาก็เคยกลับมาพร้อมกันสองคนเหมือนกัน ดังนั้นสถานการณ์มันก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนี้แม่ทัพจะขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยหรอก

 

“ท่านบาร์โตโลเมยังสุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหม?”

 

“ตั้งแต่เกิดมาข้าก็ไม่เคยเห็นท่านพี่……เห็นพี่ชายไม่แข็งแรงเหมือนกันค่ะ”

 

“นั่นมันก็จริงแฮะ”

 

เมื่อได้ยินอเลกเซียพูด เฮเลนาก็ยิ้มขึ้นมาเล็ก ๆ

เธอจินตนาการภาพบาร์โตโลเมเสียชีวิตไม่ออก แล้วก็นึกภาพตอนที่สุขภาพไม่ดีไม่ออกด้วย ต่อให้ดื่มชาที่ผสมยาพิษเข้าไป ก็คงจะเบ่ง ‘ฮึบ’ ให้สารพิษมันออกมาตามรูขุมขนได้เลยล่ะมั้ง อดไม่ได้ที่จะจินตนาการออกมาเป็นภาพที่ห่างไกลความเป็นมนุษย์แบบนั้นไป

แต่มันก็เป็นเพราะเจ้าตัวดูห่างไกลความเป็นมนุษย์อยู่แล้วในหลาย ๆ ความหมายล่ะนะ

 

“แล้วมีธุระอะไรถึงมานครหลวงล่ะ?”

 

“เรื่องนั้น ดูเหมือนว่าจะโดนฝ่าบาทเรียกตัวมาน่ะค่ะ”

 

“อ้อ……”

 

ถึงตรงนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าธุระเรื่องอะไร

ว่าไปแล้ววันก่อนฟาร์มาสก็พูดอยู่นี่นา ว่าเพิ่งจะได้เจอบาร์โตโลเมเป็นครั้งแรก

คงจะโดนเรียกมาพูดเรื่องการทาบทามสู่ขอให้แต่งงานกับฟรองซัวส์กระมัง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เขาได้เห็นหน้าฟรองซัวส์ดู อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีปฏิกิริยายังไง

 

“แล้วก็ได้ยินมาจากพี่ชายด้วยค่ะ”

 

“หืม?”

 

“ว่าในอนาคตฝ่าบาทตั้งใจที่จะยุบวังหลัง”

 

“ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่นา”

 

วังหลังนั้น โดยเนื้อแท้แล้วเป็นที่สำหรับรวบรวมนางสนม เพื่อที่จักรพรรดิจะได้คัดเลือกชายาเอก

แล้วเมื่อฟาร์มาสได้เลือกชายาเอกแล้วในอนาคต ก็เป็นธรรมดาที่วังหลังจะถูกยุบทิ้งไปป

ทว่า เมื่อได้ฟังคำพูดของเฮเลนา อเลกเซียกลับขมวดคิ้ว

 

“……ท่านเฮเลนา ทราบอยู่แล้วหรือคะ?”

 

“เปล่า……”

 

ถ้าถามว่ารู้อยู่แล้วหรือเปล่า ก็แน่นอนว่าเธอรู้อยู่แล้ว

ทว่า อเลกเซียนั้นไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฟาร์มาส เธอคงจะกำลังคิดว่าฟาร์มาสเป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาอยู่ไม่มากก็น้อยกระมัง

‘ดันพลั้งปากไปซะแล้วสินะเนี่ย’ เฮเลนาเม้มริมฝีปาก

 

“นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของข้านะคะ”

 

“หืม?”

 

“ข้าก็มีโอกาสได้ยลพระพักตร์ฝ่าบาทหลายครั้งตอนที่มาเยือนห้องของท่านเฮเลนา แต่ว่า……ฝ่าบาทน่ะ เป็นคนอย่างที่ใคร ๆ เขาลือกันจริง ๆ น่ะหรือคะ”

 

“หมายความว่ายังไงรึ?”

 

“หากเป็นจักรพรรดิที่หมกมุ่นในกามราคะ ก็คงไม่คิดจะยุบวังหลังในอนาคตหรอกค่ะ นอกจากนี้ หากต้องการครอบครองโฉมงามที่รวบรวมมาไว้คนเดียว ก็แค่ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อให้สร้างทายาทผู้สืบทอดได้อย่างมั่นคงก็พอแล้ว ทว่า……ฝ่าบาทกลับไม่ได้รักใคร่โปรดปรานพระสนมท่านอื่นนอกจากท่านเฮเลนาเลย อาจมองได้ว่าฝ่าบาทแค่มีรสนิยมแบบนั้นก็เป็นไปได้ แต่ถึงยังไงข้าก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ อยู่ดีค่ะ”

 

“……”

 

อเลกเซียนั้นหัวดี

อย่างน้อยที่สุดก็ดีกว่าเฮเลนาเยอะ

เฮเลนานั้นได้ฟังมาจากฟาร์มาสแล้วว่าเพราะเหตุผลอะไรสถานการณ์มันจึงเป็นแบบนี้ รวมถึงเหตุผลที่รักใคร่โปรดปรานเฮเลนาด้วย

ทว่าหากมองจากมุมของคนที่อยู่ใกล้ชิดอย่างอเลกเซียแล้ว มันก็ช่วยไม่ได้ที่รู้สึกตงิดใจขึ้นมาเช่นนั้น

 

“ฮืม……”

 

“ข้าคิดว่าท่านเฮเลนาอาจพอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นบ้างน่ะค่ะ”

 

“ไม่รู้อ่ะ”

 

“…………………งั้นหรือคะ”

 

แม้อเลกเซียจะส่งสายตาระแวงสงสัยอย่างรุนแรงมาให้ แต่เฮเลนาเองก็มีเรื่องที่พูดได้และพูดไม่ได้อยู่เหมือนกัน

ตอนนี้มีแต่ต้องพยายามกลบเกลื่อนไปก่อนเท่านั้น

 

“พูดตามตรงนะ ลองคิดดูให้ดีสิ อเลกเซีย”

 

“คะ?”

 

“ฝ่าบาทคิดเช่นไรอยู่ ขนาดอเลกเซียก็ยังไม่เข้าใจแบบนั้นน่ะ คิดว่าข้าจะเข้าใจงั้นรึ?”

 

“นั่นมันก็จริงนะคะ”

 

ตกลงยอมรับไปได้อย่างง่ายดายเฉยเลย แบบนี้มันก็น่าเศร้าไปอีกแบบเหมือนกันแฮะ

ทว่าอเลกเซียก็พึมพำ ‘อย่างนี้นี่เอง’ ออกมาอย่างชัดเจนราวกับว่าข้อแก้ตัวนี้สมเหตุสมผลแบบไม่มีอะไรน่าเชื่อไปกว่านี้อีกแล้ว แม้นั่นมันจะทำให้เฮเลนารู้สึกเศร้าก็ตามที

‘เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ฝึกวิชาต่อก่อนก็แล้วกัน’ เฮเลนาลุกขึ้นยืน

 

เธอถือดาบใหญ่ที่ได้รับมาจากฟาร์มาส และก้าวไปยังใจกลางของสวนระหว่างอาคาร

เธอได้เข้าใจแล้วว่าระดับของมารดายังห่างไกลเกินไป อย่างน้อยที่สุดหากเธอไม่เก่งขึ้นจนสามารถเอาชนะบาร์โตโลเมในจินตนาการได้ ก็คงไม่อาจเทียบได้แม้แต่ฝ่าเท้าของมารดากระมัง

นั่นก็เพราะ ความพ่ายแพ้ที่มีเพียงสองครั้งชั่วชีวิตของเรย์ลามารดาของเธอนั้น

หนึ่งครั้งก็มาจากบาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ดผู้นั้นเอง

 

และเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับเฮเลนาก็คือการฝึกฝนขัดเกลาอย่างไม่หยุดยั้ง

การโจมตีที่แหลมคม ก็ต้องแหลมคมขึ้นไปอีก

เล็งเป้าจู่โจมอย่างแม่นยำ ปัดป้องอย่างแม่นยำ

ท้ายที่สุดแล้ว ผลของการฝึกฝนขัดเกลาที่ได้สั่งสมมานั่นแหละ ที่จะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้

 

ระหว่างที่คิดเช่นนั้นอยู่

ตอนนั้นเอง เธอก็รู้สึกถึงสายตาที่กำลังมองมา

 

มันรู้สึกแตกต่างไปจากทุกที เพราะเป็นสายตาของคนหมู่มาก

เมื่อเฮเลนามองไปยังทิศทางของสายตาเหล่านั้น ก็พบว่าไม่รู้ทำไมที่นั่นจึงมีบุตรีขุนนางจำนวนมาก—เกรงว่าน่าจะมีกันประมาณสิบห้าคนเลยทีเดียว

จะบอกว่าเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน—ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว พวกเธอคือบรรดาบุตรีขุนนางที่มักจะคอยตามหลังชาร์ลอตเตไปไหนมาไหนอยู่เสมอ แม้เฮเลนาจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม แต่ก็จำได้ว่าเคยเห็นหน้าพวกเธอมาหลายครั้งแล้ว

ภายในหมู่พวกเธอเหล่านั้น มีบางคนที่เมื่อเห็นเฮเลนาแกว่งดาบอยู่ ก็พึมพำถากถางแบบเข้าใจง่ายอย่าง “ช่างป่าเถื่อนเสียจริง” ออกมาเลยด้วยซ้ำ

พวกเธอเหล่านี้มีธุระอะไรกันแน่นะ

 

“ขออนุญาตค่ะ พระสนมฟ้าสุริยา”

 

บุตรีขุนนางวัยสาวที่มีเส้นผมสีแดงชาดทรงผมม้วนสูงขึ้นไปด้านบนกระหม่อม และดูท่าทางเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มได้ก้าวออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว

แม้ความงามของเธอจะไม่อาจเทียบชาร์ลอตเต แต่ก็งามพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นโฉมงามผู้หนึ่งกระมัง ดูแล้วก็ประมาณได้ว่าน่าจะอายุไม่ถึงยี่สิบปี

 

“ดิฉันมีนามว่าแคทลียา แลมเบิร์ตค่ะ เป็นบุตรสาวคนรองของตระกูลเคานต์แลมเบิร์ต”

 

“ข้าเฮเลนา เรลโนต”

 

“การที่ดิฉันซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในเก้าสนมเอก ‘ผู้งามสง่า’ เข้ามาพูดคุยกับพระสนมฟ้าสุริยาซึ่งเป็นหนึ่งในสามสนมฟ้าเช่นนี้ ก่อนอื่นต้องขอความกรุณาด้วยนะคะ”

 

“ข้าอนุญาต”

 

ช่างพูดจายืดเยื้อน่ารำคาญเสียจริง

สำหรับเฮเลนาแล้ว พวกเธอกำลังเกะกะการฝึกอยู่ ดังนั้นก็อยากจะให้รีบ ๆ ไปไหนก็ไปซะที

ทว่า หากพูดออกไปเช่นนั้นมันอาจเป็นการเสียมารยาทไปหน่อยกระมัง ดังนั้นอย่างน้อยเธอจะรอฟังธุระของอีกฝ่ายก่อน

 

“กล่าวตามตรงแล้ว ดิฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาหารือค่ะ……ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาหรือไม่คะ?”

 

“รีบ ๆ พูดมาให้ไวเถอะ ข้ายังต้องฝึกวิชาต่ออยู่น่ะนะ”

 

“เช่นนั้นก็ต้องขออภัยที่มาขัดจังหวะระหว่างฝึกวิชาเสียแล้วค่ะ แต่การปรึกษาหารือครั้งนี้ ดิฉันรับรองว่าพระสนมฟ้าสุริยาไม่ขาดทุนอย่างแน่นอนค่ะ”

 

“ลองว่ามาสิ”

 

เฮเลนาเกลียดความเปล่าประโยชน์เสียเวลา

ดังนึ้นจึงโต้ตอบแบบตรงดิ่งเข้าประเด็น แล้วก็แค่รอให้อีกฝ่ายพูดธุระของตนออกมาเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการพูดจายืดเยื้อเสียเวลาขนาดนี้เธอก็ไม่ค่อยชื่นชอบนักด้วย

 

“ค่ะ ดิฉันได้ข่าวว่าเมื่อวันก่อนพระสนมฟ้าสุริยาได้ไปร่วมงานไว้อาลัยครบรอบหนึ่งปีของจักรพรรดิพระองค์ก่อน”

 

“งั้นรึ”

 

“ต้องขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะคะ พระสนมฟ้าสุริยาได้รับความรักใคร่โปรดปรานของฝ่าบาทเช่นนั้นช่างน่าอิจฉาโดยแท้ พวกเรารู้สึกเช่นนั้นกันก็อยู่ตลอดเลยค่ะ ทว่าก็คงเป็นเพราะเป็นคนที่งดงามเช่นพระสนมฟ้าสุริยากระมัง ฝ่าบาทจึงได้รักใคร่โปรดปรานท่านอยู่เช่นนี้”

 

“……”

 

ก็แล้วมันยังไงฟะ

เฮเลนาอดกลั้นที่จะไม่พูดออกไปเช่นนั้น พลางรอคอยคำพูดต่อไปของบุตรีขุนนางตรงหน้า—ของแคทลียา

 

“พวกดิฉันเองก็อยากจะขอสนิทชิดเชื้อกับพระสนมฟ้าสุริยาบ้างน่ะค่ะ”

 

“……โฮ่?”

 

“เท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือน ‘ฝ่ายสนมฟ้าสุริยา’ จะได้รวมเอา ‘ฝ่ายสนมฟ้าดารา’ เข้าไปแล้ว และยังมี ‘ผู้มีความสามารถ’ และ ‘ผู้ไพเราะ’ อีกด้วย เช่นนั้นแล้วก็ได้โปรดขอให้พวกเราได้เข้าร่วมฝ่ายของพระสนมฟ้าสุริยาด้วยเถอะค่ะ”

 

นั่นก็คือการย้ายฝักฝ่าย

แปลว่า พวกเธอซึ่งเคยประจบประแจงชาร์ลอตเตในฐานะ ‘ฝ่ายสนมฟ้าจันทรา’ มาก่อน ตอนนี้จะพร้อมใจกันมาสนับสนุนเฮเลนาแทนนั่นเอง

 

“แน่นอน พวกดิฉันเองก็ทราบดีว่าการมาขอเข้าร่วมมือเปล่าแบบนี้อาจเป็นคำขอที่ถือดีไปบ้าง แต่หากพระสนมฟ้าสุริยารวมเอาพวกดิฉันเข้าไปในฝ่ายด้วย ฝ่ายของท่านก็คงกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในวังหลังเป็นแน่ คิดว่าเป็นคำขอที่ยังไงก็ไม่ทำให้ท่านขาดทุนอย่างแน่นอนค่ะ”

 

แคทลียาหรี่ตายิ้ม

ข้อเสนอของแคทลียานั้น สมควรจะเรียกว่าเป็นเหมือนเรือที่มาในตอนที่อยากข้ามแม่น้ำพอดี หากฝ่ายของ ‘สนมฟ้าจันทรา’ สูญเสียอำนาจและทำให้ชาร์ลอตเตโดดเดี่ยวได้ ก็จะส่งผลไปยังราชสำนักเบื้องหน้าให้โนลด์ลุนด์สูญเสียอำนาจไปด้วย นอกจากนี้หากฝ่ายของเฮเลนากลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ใหญ่ที่สุด อำนาจปากเสียงของแอนตันเองก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้นแล้ว แคทลียาจึงได้บอกออกไปอย่างเปี่ยมความมั่นใจ

 

โดยที่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสตรีตรงหน้า ‘สนมฟ้าสุริยา’ ที่ชื่อว่าเฮเลนา เรลโนตเลยแม้แต่น้อย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+