[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 38 The Lurking Thing

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 38 The Lurking Thing at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มอนสเตอร์จำนวนมากคืบคลานอยู่ภายในป่า และพวกมันกำลังมุ่งไปเพื่อทำลายไมน็อกกราห์

แต่พวกมันไม่ได้เคลื่อนที่เร็วขนาดนั้น

การที่พวกมันเคลื่อนที่ได้ช้าเป็นเพราะมอนสเตอร์พวกนั้นไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำงานร่วมกัน รวมถึงเส้นทางที่สลับซับซ้อน แถมพวกมันยังทำไม่ได้แม้แต่เดินเรียงแถวเลยด้วยซ้ำ

ในหมู่มอนสเตอร์พวกนั้น มีแต่ปีศาจที่พอมีสติปัญญาซึ่งอยู่ภายใต้เฟรไมน์โดยตรงเท่านั้นที่รู้ว่าควรจะทำอะไร พวกมันควบคุมฝูงปีศาจอย่างทุลักทุเล

“แต่การที่ห้ามเผาป่านี่….หัวหน้าสั่งเรื่องที่ยากจังเลยนะ”

ปีศาจที่มีผมสีแดงเพลิงแสนพริ้วไหว สวมเสื้อคลุมสีแดงและถือดาบใหญ่ ปีศาจที่ถูกเรียกว่าเฟลมไนท์ถอนหายใจและบ่นออกมา

ปีศาจอีกตัวซึ่งมีรูปร่างคล้ายๆ แต่ถือคทาฝังอัญมณีที่ได้ยินประโยคนั้น เป็นปีศาจนักเวทย์ที่ถูกเรียกว่าเฟลมเมจ

ป่าที่รกทึบเบื้องหน้าทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหนื่อยใจ ขณะที่พร่ำบ่นเรื่องการเดินทัพที่แสนอีดอาด พวกเขาก็สั่งการปีศาจที่อยู่รอบๆ

“คงจะง่ายกว่านี้ถ้าแค่เผาทุกอย่างทิ้ง เราก็ทำอย่างนั้นมาตลอดนี่นา ทำไมครั้งนี้ถึงออกคำสั่งยากๆแบบนี้กันนะ?”

“เขาไม่อยากให้มันเด่นเกินไปน่ะสิ ก็นะ หัวหน้าของพวกเราชอบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังมากกว่า ข้าคิดว่าคราวนี้เขาก็คงวางแผนอะไรสักอย่างอยู่นั่นล่ะ”

“ถ้าพูดแบบนั้นต่อหน้าเขา เจ้าไม่รอดแน่”

“ข้าถึงได้พูดตอนที่เขาไม่อยู่ไงล่ะ”

หัวหน้าของพวกเขาคือหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ ปีศาจเพลิง เฟรไมน์ มีนิสัยเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม

เพิ่มเติมคือ เฟรไมน์เป็นพวกที่มีอารมณ์ร้ายและรับมือด้วยยาก

แม้ว่าเขาจะไม่โดนลงโทษง่ายๆ เพราะความสามารถที่มี แต่เขาก็ต้องระวังไม่ทำให้หัวหน้าหงุดหงิด การรับมือกับหัวหน้าอย่างหวาดหวั่นทุกวันทำให้เกิดความเครียดสะสมได้

เพราะแบบนั้น พวกเขาจึงบ่นออกมาเพื่อระบายความเครียดเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้สาเหตุของความเครียดไม่ใช่เพราะหัวหน้าของพวกเขาอย่างเดียว…

“แต่พวกเราถูกสั่งมาว่าไม่ให้เผามัน…ป่าที่น่าขนลุกพวกนี้ ต่อให้เป็นดินแดนของพวกเราก็ยังมีป่าที่ให้กลิ่นอายแบบนี้ไม่กี่ที่เองนะ”

พวกเขาไม่รู้ว่ากองทัพของตัวเองได้ย่างเท้าเข้าสู่เขตแดนของไมน็อกกราห์แล้ว

สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนไปเป็นดินแดนต้องสาป เพราะได้รับอิทธิพลจากไมน็อกกราห์

ทั้งต้นไม้และผินดินที่บิดเบี้ยวและเน่าเฟะ พร้อมกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ กลิ่นอายหนาแน่นที่ลอยอยู่รอบๆดอกไม้ซึ่งกำลังพ่นน้ำออกมา

พวกเขาเป็นปีศาจเหมือนกัน ดังนั้นกลิ่นอายพวกนี้จึงไม่ส่งผลต่อพวกเขา แต่ทัศนียภาพแบบนี้ก็ทำให้ทั้งคู่รู้สึกหวั่นใจ

“ใช่ นี่มันไม่น่าดูชมเอาซะเลย หัวหน้าสั่งมาว่าศัตรูที่อยู่ข้างหน้าเราจะเป็นสิ่งที่คอยขัดขวางจอมมาร…สงสัยจังนะว่าพวกมันเป็นใคร?”

“ข้าคิดว่า ที่แน่ๆคงไม่ใช่ผู้กล้า”

“ฮ่ะฮ่ะ นั่นสินะ”

เสียงหัวเราะแห้งๆดังอยู่ในดินแดนต้องสาป มอนสเตอร์ระดับต่ำที่อยู่ใกล้ๆมองไปที่พวกเขาทั้งคู่ราวกับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากหัวเราะออกมา ความเงียบที่น่าพิศวงก็เข้าปกคลุม และดวงตาของทั้งคู่ก็ประสานเข้าด้วยกัน

ในเกม Brave Quest การพูดถึงผู้กล้าเป็นเรื่องต้องห้ามของกองทัพจอมมาร

หากเอ่ยคำนั้นออกมาโดยไม่มีเหตุผลจะได้รับการลงโทษอย่างหนัก

ไม่ว่าจะเป็นการล้อเล่นหรือพูดด้วยความตั้งใจก็ตาม

เฟลมไนท์ตนนั้นกล่าวถึงผู้กล้าออกมาอย่างมีจุดประสงค์

เขาต้องการจะทดสอบว่าคู่สนทนาของเขาสมควรจะได้ฟังเรื่องอันตรายที่กำลังจะพูดออกมาหรือไม่

และแน่นอน เฟลมเมจตนนั้นผ่านการทดสอบ

“เจ้ารู้รึเปล่าว่าหัวหน้ากำลังจะทรยศจอมมาร?”

“โฮ่ยโฮ่ย อะไรกัน? เกินไปรึเปล่า? อย่าพูดล้อเล่นอะไรแบบนี้ ถ้าหัวหน้าได้ยินเข้านี่เรื่องใหญ่แน่”

“ข้าว่าภารกิจคราวนี้น่าจะไม่ได้รับอนุญาตจากจอมมาร”

“เฮ้ นั่นหมายความว่า…”

เฟลมเมจตกตะลึงเมื่อพบว่ามันมากกว่าที่เขาคิดไว้

เขาคิดว่าจะได้ยินความลับอะไรบางอย่าง เพราะอีกฝ่ายพูดเพื่อทดสอบเขาก่อนหน้านี้ แต่การทรยศจอมมารเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เขาคิดเอาไว้

เท่าที่เขารู้ กองทัพจอมมารนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ให้เฟรไมน์จะเป็นพวกเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม แต่ความจงรักภักดีของเขาไม่ใช่เรื่องน่ากังขา

ท่าทีตกตะลึงของเขาไม่ได้เป็นเพราะได้ยินเรื่องเลวร้าย แต่เป็นเพราะเขากำลังสงสัย “ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น”

“หยุดเลย ข้าแค่คิดนะ อาจเป็นเพราะว่าบรรยากาศรอบๆตัวหัวหน้ามันต่างไปจากปกติน่ะสิ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นขี้ขลาดเลย! เจ้าพูดออกมาขนาดนี้ ทำให้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันคงพอจะสัมผัสอะไรได้บ้าง รวมไปถึงรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย จะไม่ดีกว่าหรอถ้ามีใครให้คุยเรื่องพวกนี้ด้วยน่ะ?”

เขาพูดเสียงดังออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น จากนั้นก็ลดเสียงลง และพยายามปลอบใจคู่สนทนา

เฟลมไนท์ที่ได้ยินอย่างนั้นจึงพยักหน้าอย่างแข็งขัน และเริ่มพูดออกมา

“เจ้าจำตอนที่พวกเรามาโลกใบนี้ได้รึเปล่า? ตอนแรกข้าว่ามันเป็นสถานที่เดิมแบบคนอื่นๆ แต่ว่า…”

“ไม่ต้องสงสัยเลย ข้าก็คิดเหมือนกัน ไม่เหมือนกับมอนสเตอร์ที่อัญเชิญมาพวกนั้น ข้าจำได้ว่าพวกปีศาจและมอนสเตอร์ที่มีตำแหน่งแบบพวกเรามาด้วยกันทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเลย”

“นี่เจ้ากำลังบอกว่ามีเพียงสี่ราชาสวรรค์ กับพวกระดับสูงเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์พวกนี้งั้นหรอ?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หัวหน้าพูดอะไรอย่าง ‘ข้าคือผู้ถูกเลือก?’ …ยังไงก็เถอะ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขานะ”

เรื่องที่เฟลมไนท์ได้ยินจากเฟรไมน์ค่อนข้างกระจัดกระจาย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอาข้อมูลทุกอย่างมาประกอบเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดเลยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

เหตุการณ์สุดประหลาดที่เฟรไมน์ซึ่งเป็นคนเจ้าเล่ห์และมักจะปกปิดความรู้สึกอยู่เสมอ หลุดพูดอะไรบางอย่างออกมาให้ลูกน้องได้ยิน

เฟลมไนท์ที่เฝ้าสังเกตท่าทีของหัวหน้าเพื่อคอยระวังตัวอยู่เสมอสามารถตรวจจับท่าทางเหล่านั้นได้

แต่นั่นเป็นแค่การคาดเดาของเขา

เขาไม่ได้ยินเรื่องการทรยศออกมาจากปากของเฟรไมน์โดยตรง

กล่าวเพิ่มก็คือ เหตุการณ์ที่เฟรไมน์และจอมมารเผชิญค่อนข้างผิดปกติ และไม่สมเหตุสมผล

“อะไรนะ? นั่นฟังดูแย่ชะมัด! เอาน่า บอกข้าหน่อย สถานการณ์แบบนี้ไม่ควรจะลดการระวังตัวลงนะ เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่?”

เฟลมเมจรู้สึกหมดความอดทนและเพิ่มเสียงขึ้น

เฟลมไนท์ตัดสินใจได้ และพยักหน้าให้

สุดท้ายแล้ว ถ้ามัวแต่คิดเอาเองคงไม่ช่วยอะไร

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง และถามความเห็นของเขา

“โอ้ นั่นมัน ที่จริงแล้ว ก่อนที่หัวหน้ากับปีศาจตนอื่นจะมายังโลกใบนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะพบกับตัวตนบางอย่าง…จากนั้น ตัวตนนั้นก็บอกว่า–”

เขากลืนน้ำลาย

พูดตามตรง ตำแหน่งของเฟลมเมจในกองทัพจอมมารค่อนข้างสูง แต่เขายังคงไม่รู้เรื่องอะไร จอมมารและหัวหน้าของเขาต่างปิดปากเงียบ ราวกับว่ากำลังซ่อนอะไรอยู่

เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นย่อมไม่ธรรมดา

ความสงสัยและกังวลต่ออนาคตของพวกเขาเริ่มก่อตัว จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ?

ทั้งคู่ถูกกลืนกินโดยความรู้สึกพวกนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวนะ ทีมที่ไปก่อนล่วงหน้ากลับมาแล้ว ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น”

“บ้าจริง กำลังจะได้เรื่องแล้วแท้.. แล้วมีข้อมูลอื่นอีกไหม? ศัตรูเป็นพวกไหนกัน? ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเจอเมืองด้วย แล้วพวกเจ้าพบอะไรรึเปล่า?”

พุ่มไม้ขยับ เผยให้เห็นรูปร่างของนักรบออร์คที่คุ้นเคยซึ่งพวกเขาส่งออกไปล่วงหน้าเพื่อสอดแนม

ดูจากท่าทีแล้วไม่น่าจะมีปัญหา แม้ว่ามันจะพูดได้แต่มันก็มีสติปัญญาต่ำก็ตาม เฟลมเมจถอนหายใจ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างให้กับภาพตรงหน้า

“เฮ้ เจ้าน่ะ! เกิดอะไรขึ้น!?”

เขาตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึง

รูปลักษณ์ของมอนสเตอร์ที่กลับมาดูแปลกไป เมื่อเพ่งมองเขาก็พบความผิดปกติ

“เฮ้? อะไร?”

เสียงที่ไม่อาจจินตนาการได้ถูกส่งออกมาจากออร์คตนนั้น เสียงเล็กแหลมที่ราวกับถูกบีบออกมาจากลำคอ

นักรบออร์คเป็นมอนสเตอร์กึ่งมนุษย์ ที่มีลักษณะผสมกันระหว่างคนและหมู 

แต่ตอนนี้บนใบหน้าและดวงตาของมัน มีก้อนเนื้อที่มีสีแดง เขียว และเหลือง ขยับไปมาราวกับว่ามีหนอนชอนไชอยู่ภายใน

ดูเหมือนไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจากการโจมตี

ไม่มีท่าทางทรมานจากโรคร้าย

แต่เห็นได้ชัดว่ามันโดนปรสิตบางอย่างสิง

เมื่อปีศาจทั้งสองเห็น พวกเขารีบชักอาวุธออกมา และเพิ่มความระมัดระวังรอบๆตัว

“นั่นมัน? ดวงตา ดู…”

“อย่าเข้ามาใกล้นะ! ทุกคน เตรียมตัว!”

เฟลมไนท์ตะโกนออกมา

มอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆต่างก็สับสนและเริ่มส่งเสียงดัง

พวกมันไม่ทำตามคำสั่ง เพราะพวกมันเป็นเพียงมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาต่ำ

เฟลมเมจพยายามสนับสนุนด้วยการย้ำคำสั่งลงไป แต่นั่นยิ่งเพิ่มความสับสนเข้าไปอีก

สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่เป็นปีศาจสายต่อสู้

พวกเขาไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะสั่งการอย่างใจเย็น และควบคุมความวุ่นวายของทหาร

ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาระมัดระวังเกินไป และเอาแต่จดจ่อกับออร์คที่อยู่ข้างหน้า ทำให้ออร์คตัวอื่นๆที่โดนปรสิตสิงเข้าไปใกล้มอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆ 

“อู๊ด อู๊ด อู๊ด อู๊ดดดดดด”

“กรร? โกวววว!!”

“อะไรกัน..!?”

มีเสียงกรีดร้องและฉีกกระชากดังไปทั่ว แมลงขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนมดโผล่ออกมาจากส่วนที่ยื่น มันกระโจนเข้าใส่มอนสเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆ และกระชากลำคอของมันออกมาทั้งยวง

เมื่อมอนสเตอร์ตัวนั้นตาย ก็มีเหรียญทองปรากฎขึ้น และส่งเสียงโลหะกระทบกัน

ปีศาจทั้งสองกลับมามีสติเมื่อได้ยินเสียงเหรียญที่คุ้นเคย และเห็นแสงส่องออกมาจากต้นไม้ ทั้งคู่ต่างตะโกนออกมาอย่างเร่งรีบ

“ศัตรูบุก! เรากำลังถูกข้าศึกโจมตี! ตั้งรับซะ!”

พร้อมกันนั้น ก็มีแมลงแบบเดียวกันหล่นลงมาจากท้องฟ้า

เศษซากของทีมที่ไปสอดแนมด้านหน้าถูกส่งออกมาจากส่วนลึกของป่า

เฟลมไนท์ฟันใส่แมลงที่พุ่งเข้ามาหาเขา เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นปีศาจระดับต่ำโดนเคี้ยวจนตาย

“บัดซบ! แย่ชะมัด! โดนสวนกลับแบบนี้เพราะไอ้การห้ามเผาป่าพวกนั้นนั่นแหละ!”

ไม่ว่าเขาจะตะโกนออกมาแค่ไหน ความห่างชั้นของกองทัพมันต่างกันเกินไป

มอนสเตอร์ที่พวกเขานำมาไม่ได้อ่อนแอ

ที่จริงความสามารถในการต่อสู้ของยูนิตแต่ละตัวค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยซ้ำ

แต่สถานที่และจังหวะเวลานั้นแย่ มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด 

ทหารตกอยู่ในความสับสนเพราะทัศนวิสัยที่เลวร้ายของสนามรบ

กลิ่นอายที่ลดความสามารถของมอนสเตอร์

อีกอย่างคือ ศัตรูมีขนาดเล็กทำให้ยากต่อการรับมือ

แถมเพลิงที่พวกเขาภาคภูมิใจก็ถูกสั่งห้าม

สถานการณ์ทั้งหมดไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อย

“พวกเราจะทำยังไงดี? สถานการณ์เลวร้ายมาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะแย่แน่” 

“ถอยทัพ พวกเรารับมือไม่ไหว รายงานไปยังหัวหน้าซะ”

“ให้พวกมอนสเตอร์ล่อเอาไว้ ยังไงก็เรียกพวกมันออกมาได้เรื่อยๆอยู่แล้ว ถึงหัวหน้าจะด่าก็เถอะ”

“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยากมาตายในที่แบบนี้หรอกนะ”

ดูเหมือนทั้งคู่จะมีนิสัยคล้ายกับเจ้านายของพวกเขา

ทั้งสองคนทำการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและไร้ความปราณี พวกเขาออกคำสั่งให้มอนสเตอร์เป็นโล่ และถอนกำลังไปพร้อมกับฟันพวกแมลงที่พุ่งเข้าใส่

เส้นทางในดินแดนต้องสาปค่อนข้างแย่ แต่ถ้าคุณกำลังมุ่งเน้นไปที่การหลบหนี ก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

แต่ให้มีภัยคุกคามที่ไม่รู้จักปรากฎขึ้น ตราบเท่าที่มอนสเตอร์พวกนั้นทำหน้าที่เป็นโล่ให้ พวกเขาก็น่าจะหนีไปได้โดยไม่มีปัญหา

พวกเขาคือปีศาจระดับสูงของกองทัพจอมมาร

พวกเขามีพลังเทียบเท่ากับทหารนับร้อย

ที่จริงพวกเขาเคยประมือกับผู้กล้ามาแล้วหลายครั้งด้วยซ้ำ

ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร มันก็ยังไม่สายเกินไปสำหรับพวกเขา

ทั้งคู่ต่างก็ภูมิใจ

เพราะความคิดนั้น ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ตระหนักถึงภัยที่แท้จริง

“—แหมแหม นี่มันยังไงล่ะเนี่ย?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้องมาจากในป่า

เสียงที่ฟังดูเหมือนผู้หญิงนั่น

“ใครกัน!?”

การเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีสติปัญญาเป็นครั้งแรก

ยิ่งกว่านั้น ความกดดันที่ทำให้สัญชาตญาณเตือนของพวกเขาร่ำร้อง

“พวกนายคือกองทัพจอมมารที่ยิ่งใหญ่ใช่มั้ย? ตัวตนแห่งความมืดที่ต่อต้านแสงสว่าง และคุกคามความสงบสุขของโลกใบนี้น่ะ”

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!?”

เฟลมเมจร่ายเวทย์ไฟออกไปโดยไม่ทันคิด

ต่อให้มันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามายั้งมือ

โชคดีที่ต้นไม้ไม่ลุกไหม้ เพราะความชื้นและกลิ่นอายที่ดินแดนต้องสาปปลดปล่อยออกมา

แต่ปีศาจทั้งสองไม่มีเวลามาห่วงเรื่องนั้น

“พวกนายไม่ควรทำอย่างนั้นเลยนะ”

เสียงนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

มีบางอย่างกำลังปรากฎตัวออกมา

พวกปีศาจถูกจำกัดด้วยกฎที่ว่า หากศัตรูปรากฎตัวขึ้นแล้ว พวกมันจะไม่สามารถหนีได้

อีกอย่างคือ พวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูจะโผล่ออกมาจากทิศทางไหน

ต้นไม้ที่หนาทึบพวกนี้ทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเขาผิดเพี้ยน

“มันควรจะมืดมิด สวยงาม โหดร้าย และแน่นอนที่สุด…”

และในที่สุดเวลาแห่งการเผชิญหน้าได้มาถึง

…แมลงขนาดยักษ์ปรากฎตัวลงมาระหว่างต้นไม้เหล่านั้น

มันยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา พร้อมกับเสียงหึ่งๆที่ทำให้ทั้งสองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มันน่าสยองขวัญยิ่งกว่ามอนสเตอร์ใดๆที่พวกเขาเคยพบ

มันคือความสยดสยองต่อตัวตนจากมิติอื่น

ร่างของแมลงขนาดใหญ่และหน้าอกที่ยื่นออกมา

ปีกหลากสี และแขนที่มีรูปร่างเหมือนเคียวอันคมกริบ

เสียง ‘กิจิกิจิ’ ที่ดังก้องหูราวกับผลงานของนักร้องชั้นเลิศ

ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

อิสลา ราชินีแห่งแมลงทั้งปวง

พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัว ว่าตนเองได้เหยียบเข้ามาในเขตแดนของราชินีเข้าแล้ว

 

= สารานุกรม============

[เฟลมไนท์ และ เฟลมเมจ]

เลือด : 350

มานา : 100

พลังโจมตี : 25

พลังป้องกัน : 20

พลังเวทย์ : 13

ความเร็ว : 18

เฟรไมน์เป็นปีศาจปลาหมึก

ใช้อาวุธบางชนิดและเวทมนตร์เพื่อโจมตีผู้กล้า!

 

= ข้อความ=============

<! > ข้อผิดพลาดหมายเลข 008 (ข้อมูลผิดปกติ)

<! > ข้อมูลโปรไฟล์เกินกำหนด

 ―――――――――――――――――

เจอคำผิดช่วยคอมเมนท์ให้หน่อยเน้อ พอดีแปลในมือถือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 38 The Lurking Thing

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 38 The Lurking Thing at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มอนสเตอร์จำนวนมากคืบคลานอยู่ภายในป่า และพวกมันกำลังมุ่งไปเพื่อทำลายไมน็อกกราห์

แต่พวกมันไม่ได้เคลื่อนที่เร็วขนาดนั้น

การที่พวกมันเคลื่อนที่ได้ช้าเป็นเพราะมอนสเตอร์พวกนั้นไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำงานร่วมกัน รวมถึงเส้นทางที่สลับซับซ้อน แถมพวกมันยังทำไม่ได้แม้แต่เดินเรียงแถวเลยด้วยซ้ำ

ในหมู่มอนสเตอร์พวกนั้น มีแต่ปีศาจที่พอมีสติปัญญาซึ่งอยู่ภายใต้เฟรไมน์โดยตรงเท่านั้นที่รู้ว่าควรจะทำอะไร พวกมันควบคุมฝูงปีศาจอย่างทุลักทุเล

“แต่การที่ห้ามเผาป่านี่….หัวหน้าสั่งเรื่องที่ยากจังเลยนะ”

ปีศาจที่มีผมสีแดงเพลิงแสนพริ้วไหว สวมเสื้อคลุมสีแดงและถือดาบใหญ่ ปีศาจที่ถูกเรียกว่าเฟลมไนท์ถอนหายใจและบ่นออกมา

ปีศาจอีกตัวซึ่งมีรูปร่างคล้ายๆ แต่ถือคทาฝังอัญมณีที่ได้ยินประโยคนั้น เป็นปีศาจนักเวทย์ที่ถูกเรียกว่าเฟลมเมจ

ป่าที่รกทึบเบื้องหน้าทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหนื่อยใจ ขณะที่พร่ำบ่นเรื่องการเดินทัพที่แสนอีดอาด พวกเขาก็สั่งการปีศาจที่อยู่รอบๆ

“คงจะง่ายกว่านี้ถ้าแค่เผาทุกอย่างทิ้ง เราก็ทำอย่างนั้นมาตลอดนี่นา ทำไมครั้งนี้ถึงออกคำสั่งยากๆแบบนี้กันนะ?”

“เขาไม่อยากให้มันเด่นเกินไปน่ะสิ ก็นะ หัวหน้าของพวกเราชอบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังมากกว่า ข้าคิดว่าคราวนี้เขาก็คงวางแผนอะไรสักอย่างอยู่นั่นล่ะ”

“ถ้าพูดแบบนั้นต่อหน้าเขา เจ้าไม่รอดแน่”

“ข้าถึงได้พูดตอนที่เขาไม่อยู่ไงล่ะ”

หัวหน้าของพวกเขาคือหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ ปีศาจเพลิง เฟรไมน์ มีนิสัยเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม

เพิ่มเติมคือ เฟรไมน์เป็นพวกที่มีอารมณ์ร้ายและรับมือด้วยยาก

แม้ว่าเขาจะไม่โดนลงโทษง่ายๆ เพราะความสามารถที่มี แต่เขาก็ต้องระวังไม่ทำให้หัวหน้าหงุดหงิด การรับมือกับหัวหน้าอย่างหวาดหวั่นทุกวันทำให้เกิดความเครียดสะสมได้

เพราะแบบนั้น พวกเขาจึงบ่นออกมาเพื่อระบายความเครียดเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้สาเหตุของความเครียดไม่ใช่เพราะหัวหน้าของพวกเขาอย่างเดียว…

“แต่พวกเราถูกสั่งมาว่าไม่ให้เผามัน…ป่าที่น่าขนลุกพวกนี้ ต่อให้เป็นดินแดนของพวกเราก็ยังมีป่าที่ให้กลิ่นอายแบบนี้ไม่กี่ที่เองนะ”

พวกเขาไม่รู้ว่ากองทัพของตัวเองได้ย่างเท้าเข้าสู่เขตแดนของไมน็อกกราห์แล้ว

สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนไปเป็นดินแดนต้องสาป เพราะได้รับอิทธิพลจากไมน็อกกราห์

ทั้งต้นไม้และผินดินที่บิดเบี้ยวและเน่าเฟะ พร้อมกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ กลิ่นอายหนาแน่นที่ลอยอยู่รอบๆดอกไม้ซึ่งกำลังพ่นน้ำออกมา

พวกเขาเป็นปีศาจเหมือนกัน ดังนั้นกลิ่นอายพวกนี้จึงไม่ส่งผลต่อพวกเขา แต่ทัศนียภาพแบบนี้ก็ทำให้ทั้งคู่รู้สึกหวั่นใจ

“ใช่ นี่มันไม่น่าดูชมเอาซะเลย หัวหน้าสั่งมาว่าศัตรูที่อยู่ข้างหน้าเราจะเป็นสิ่งที่คอยขัดขวางจอมมาร…สงสัยจังนะว่าพวกมันเป็นใคร?”

“ข้าคิดว่า ที่แน่ๆคงไม่ใช่ผู้กล้า”

“ฮ่ะฮ่ะ นั่นสินะ”

เสียงหัวเราะแห้งๆดังอยู่ในดินแดนต้องสาป มอนสเตอร์ระดับต่ำที่อยู่ใกล้ๆมองไปที่พวกเขาทั้งคู่ราวกับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากหัวเราะออกมา ความเงียบที่น่าพิศวงก็เข้าปกคลุม และดวงตาของทั้งคู่ก็ประสานเข้าด้วยกัน

ในเกม Brave Quest การพูดถึงผู้กล้าเป็นเรื่องต้องห้ามของกองทัพจอมมาร

หากเอ่ยคำนั้นออกมาโดยไม่มีเหตุผลจะได้รับการลงโทษอย่างหนัก

ไม่ว่าจะเป็นการล้อเล่นหรือพูดด้วยความตั้งใจก็ตาม

เฟลมไนท์ตนนั้นกล่าวถึงผู้กล้าออกมาอย่างมีจุดประสงค์

เขาต้องการจะทดสอบว่าคู่สนทนาของเขาสมควรจะได้ฟังเรื่องอันตรายที่กำลังจะพูดออกมาหรือไม่

และแน่นอน เฟลมเมจตนนั้นผ่านการทดสอบ

“เจ้ารู้รึเปล่าว่าหัวหน้ากำลังจะทรยศจอมมาร?”

“โฮ่ยโฮ่ย อะไรกัน? เกินไปรึเปล่า? อย่าพูดล้อเล่นอะไรแบบนี้ ถ้าหัวหน้าได้ยินเข้านี่เรื่องใหญ่แน่”

“ข้าว่าภารกิจคราวนี้น่าจะไม่ได้รับอนุญาตจากจอมมาร”

“เฮ้ นั่นหมายความว่า…”

เฟลมเมจตกตะลึงเมื่อพบว่ามันมากกว่าที่เขาคิดไว้

เขาคิดว่าจะได้ยินความลับอะไรบางอย่าง เพราะอีกฝ่ายพูดเพื่อทดสอบเขาก่อนหน้านี้ แต่การทรยศจอมมารเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เขาคิดเอาไว้

เท่าที่เขารู้ กองทัพจอมมารนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ให้เฟรไมน์จะเป็นพวกเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม แต่ความจงรักภักดีของเขาไม่ใช่เรื่องน่ากังขา

ท่าทีตกตะลึงของเขาไม่ได้เป็นเพราะได้ยินเรื่องเลวร้าย แต่เป็นเพราะเขากำลังสงสัย “ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น”

“หยุดเลย ข้าแค่คิดนะ อาจเป็นเพราะว่าบรรยากาศรอบๆตัวหัวหน้ามันต่างไปจากปกติน่ะสิ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นขี้ขลาดเลย! เจ้าพูดออกมาขนาดนี้ ทำให้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันคงพอจะสัมผัสอะไรได้บ้าง รวมไปถึงรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย จะไม่ดีกว่าหรอถ้ามีใครให้คุยเรื่องพวกนี้ด้วยน่ะ?”

เขาพูดเสียงดังออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น จากนั้นก็ลดเสียงลง และพยายามปลอบใจคู่สนทนา

เฟลมไนท์ที่ได้ยินอย่างนั้นจึงพยักหน้าอย่างแข็งขัน และเริ่มพูดออกมา

“เจ้าจำตอนที่พวกเรามาโลกใบนี้ได้รึเปล่า? ตอนแรกข้าว่ามันเป็นสถานที่เดิมแบบคนอื่นๆ แต่ว่า…”

“ไม่ต้องสงสัยเลย ข้าก็คิดเหมือนกัน ไม่เหมือนกับมอนสเตอร์ที่อัญเชิญมาพวกนั้น ข้าจำได้ว่าพวกปีศาจและมอนสเตอร์ที่มีตำแหน่งแบบพวกเรามาด้วยกันทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเลย”

“นี่เจ้ากำลังบอกว่ามีเพียงสี่ราชาสวรรค์ กับพวกระดับสูงเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์พวกนี้งั้นหรอ?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หัวหน้าพูดอะไรอย่าง ‘ข้าคือผู้ถูกเลือก?’ …ยังไงก็เถอะ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขานะ”

เรื่องที่เฟลมไนท์ได้ยินจากเฟรไมน์ค่อนข้างกระจัดกระจาย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอาข้อมูลทุกอย่างมาประกอบเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดเลยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

เหตุการณ์สุดประหลาดที่เฟรไมน์ซึ่งเป็นคนเจ้าเล่ห์และมักจะปกปิดความรู้สึกอยู่เสมอ หลุดพูดอะไรบางอย่างออกมาให้ลูกน้องได้ยิน

เฟลมไนท์ที่เฝ้าสังเกตท่าทีของหัวหน้าเพื่อคอยระวังตัวอยู่เสมอสามารถตรวจจับท่าทางเหล่านั้นได้

แต่นั่นเป็นแค่การคาดเดาของเขา

เขาไม่ได้ยินเรื่องการทรยศออกมาจากปากของเฟรไมน์โดยตรง

กล่าวเพิ่มก็คือ เหตุการณ์ที่เฟรไมน์และจอมมารเผชิญค่อนข้างผิดปกติ และไม่สมเหตุสมผล

“อะไรนะ? นั่นฟังดูแย่ชะมัด! เอาน่า บอกข้าหน่อย สถานการณ์แบบนี้ไม่ควรจะลดการระวังตัวลงนะ เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่?”

เฟลมเมจรู้สึกหมดความอดทนและเพิ่มเสียงขึ้น

เฟลมไนท์ตัดสินใจได้ และพยักหน้าให้

สุดท้ายแล้ว ถ้ามัวแต่คิดเอาเองคงไม่ช่วยอะไร

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง และถามความเห็นของเขา

“โอ้ นั่นมัน ที่จริงแล้ว ก่อนที่หัวหน้ากับปีศาจตนอื่นจะมายังโลกใบนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะพบกับตัวตนบางอย่าง…จากนั้น ตัวตนนั้นก็บอกว่า–”

เขากลืนน้ำลาย

พูดตามตรง ตำแหน่งของเฟลมเมจในกองทัพจอมมารค่อนข้างสูง แต่เขายังคงไม่รู้เรื่องอะไร จอมมารและหัวหน้าของเขาต่างปิดปากเงียบ ราวกับว่ากำลังซ่อนอะไรอยู่

เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นย่อมไม่ธรรมดา

ความสงสัยและกังวลต่ออนาคตของพวกเขาเริ่มก่อตัว จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ?

ทั้งคู่ถูกกลืนกินโดยความรู้สึกพวกนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวนะ ทีมที่ไปก่อนล่วงหน้ากลับมาแล้ว ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น”

“บ้าจริง กำลังจะได้เรื่องแล้วแท้.. แล้วมีข้อมูลอื่นอีกไหม? ศัตรูเป็นพวกไหนกัน? ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเจอเมืองด้วย แล้วพวกเจ้าพบอะไรรึเปล่า?”

พุ่มไม้ขยับ เผยให้เห็นรูปร่างของนักรบออร์คที่คุ้นเคยซึ่งพวกเขาส่งออกไปล่วงหน้าเพื่อสอดแนม

ดูจากท่าทีแล้วไม่น่าจะมีปัญหา แม้ว่ามันจะพูดได้แต่มันก็มีสติปัญญาต่ำก็ตาม เฟลมเมจถอนหายใจ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างให้กับภาพตรงหน้า

“เฮ้ เจ้าน่ะ! เกิดอะไรขึ้น!?”

เขาตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึง

รูปลักษณ์ของมอนสเตอร์ที่กลับมาดูแปลกไป เมื่อเพ่งมองเขาก็พบความผิดปกติ

“เฮ้? อะไร?”

เสียงที่ไม่อาจจินตนาการได้ถูกส่งออกมาจากออร์คตนนั้น เสียงเล็กแหลมที่ราวกับถูกบีบออกมาจากลำคอ

นักรบออร์คเป็นมอนสเตอร์กึ่งมนุษย์ ที่มีลักษณะผสมกันระหว่างคนและหมู 

แต่ตอนนี้บนใบหน้าและดวงตาของมัน มีก้อนเนื้อที่มีสีแดง เขียว และเหลือง ขยับไปมาราวกับว่ามีหนอนชอนไชอยู่ภายใน

ดูเหมือนไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจากการโจมตี

ไม่มีท่าทางทรมานจากโรคร้าย

แต่เห็นได้ชัดว่ามันโดนปรสิตบางอย่างสิง

เมื่อปีศาจทั้งสองเห็น พวกเขารีบชักอาวุธออกมา และเพิ่มความระมัดระวังรอบๆตัว

“นั่นมัน? ดวงตา ดู…”

“อย่าเข้ามาใกล้นะ! ทุกคน เตรียมตัว!”

เฟลมไนท์ตะโกนออกมา

มอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆต่างก็สับสนและเริ่มส่งเสียงดัง

พวกมันไม่ทำตามคำสั่ง เพราะพวกมันเป็นเพียงมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาต่ำ

เฟลมเมจพยายามสนับสนุนด้วยการย้ำคำสั่งลงไป แต่นั่นยิ่งเพิ่มความสับสนเข้าไปอีก

สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่เป็นปีศาจสายต่อสู้

พวกเขาไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะสั่งการอย่างใจเย็น และควบคุมความวุ่นวายของทหาร

ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาระมัดระวังเกินไป และเอาแต่จดจ่อกับออร์คที่อยู่ข้างหน้า ทำให้ออร์คตัวอื่นๆที่โดนปรสิตสิงเข้าไปใกล้มอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆ 

“อู๊ด อู๊ด อู๊ด อู๊ดดดดดด”

“กรร? โกวววว!!”

“อะไรกัน..!?”

มีเสียงกรีดร้องและฉีกกระชากดังไปทั่ว แมลงขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนมดโผล่ออกมาจากส่วนที่ยื่น มันกระโจนเข้าใส่มอนสเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆ และกระชากลำคอของมันออกมาทั้งยวง

เมื่อมอนสเตอร์ตัวนั้นตาย ก็มีเหรียญทองปรากฎขึ้น และส่งเสียงโลหะกระทบกัน

ปีศาจทั้งสองกลับมามีสติเมื่อได้ยินเสียงเหรียญที่คุ้นเคย และเห็นแสงส่องออกมาจากต้นไม้ ทั้งคู่ต่างตะโกนออกมาอย่างเร่งรีบ

“ศัตรูบุก! เรากำลังถูกข้าศึกโจมตี! ตั้งรับซะ!”

พร้อมกันนั้น ก็มีแมลงแบบเดียวกันหล่นลงมาจากท้องฟ้า

เศษซากของทีมที่ไปสอดแนมด้านหน้าถูกส่งออกมาจากส่วนลึกของป่า

เฟลมไนท์ฟันใส่แมลงที่พุ่งเข้ามาหาเขา เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นปีศาจระดับต่ำโดนเคี้ยวจนตาย

“บัดซบ! แย่ชะมัด! โดนสวนกลับแบบนี้เพราะไอ้การห้ามเผาป่าพวกนั้นนั่นแหละ!”

ไม่ว่าเขาจะตะโกนออกมาแค่ไหน ความห่างชั้นของกองทัพมันต่างกันเกินไป

มอนสเตอร์ที่พวกเขานำมาไม่ได้อ่อนแอ

ที่จริงความสามารถในการต่อสู้ของยูนิตแต่ละตัวค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยซ้ำ

แต่สถานที่และจังหวะเวลานั้นแย่ มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด 

ทหารตกอยู่ในความสับสนเพราะทัศนวิสัยที่เลวร้ายของสนามรบ

กลิ่นอายที่ลดความสามารถของมอนสเตอร์

อีกอย่างคือ ศัตรูมีขนาดเล็กทำให้ยากต่อการรับมือ

แถมเพลิงที่พวกเขาภาคภูมิใจก็ถูกสั่งห้าม

สถานการณ์ทั้งหมดไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อย

“พวกเราจะทำยังไงดี? สถานการณ์เลวร้ายมาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะแย่แน่” 

“ถอยทัพ พวกเรารับมือไม่ไหว รายงานไปยังหัวหน้าซะ”

“ให้พวกมอนสเตอร์ล่อเอาไว้ ยังไงก็เรียกพวกมันออกมาได้เรื่อยๆอยู่แล้ว ถึงหัวหน้าจะด่าก็เถอะ”

“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยากมาตายในที่แบบนี้หรอกนะ”

ดูเหมือนทั้งคู่จะมีนิสัยคล้ายกับเจ้านายของพวกเขา

ทั้งสองคนทำการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและไร้ความปราณี พวกเขาออกคำสั่งให้มอนสเตอร์เป็นโล่ และถอนกำลังไปพร้อมกับฟันพวกแมลงที่พุ่งเข้าใส่

เส้นทางในดินแดนต้องสาปค่อนข้างแย่ แต่ถ้าคุณกำลังมุ่งเน้นไปที่การหลบหนี ก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

แต่ให้มีภัยคุกคามที่ไม่รู้จักปรากฎขึ้น ตราบเท่าที่มอนสเตอร์พวกนั้นทำหน้าที่เป็นโล่ให้ พวกเขาก็น่าจะหนีไปได้โดยไม่มีปัญหา

พวกเขาคือปีศาจระดับสูงของกองทัพจอมมาร

พวกเขามีพลังเทียบเท่ากับทหารนับร้อย

ที่จริงพวกเขาเคยประมือกับผู้กล้ามาแล้วหลายครั้งด้วยซ้ำ

ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร มันก็ยังไม่สายเกินไปสำหรับพวกเขา

ทั้งคู่ต่างก็ภูมิใจ

เพราะความคิดนั้น ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ตระหนักถึงภัยที่แท้จริง

“—แหมแหม นี่มันยังไงล่ะเนี่ย?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้องมาจากในป่า

เสียงที่ฟังดูเหมือนผู้หญิงนั่น

“ใครกัน!?”

การเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีสติปัญญาเป็นครั้งแรก

ยิ่งกว่านั้น ความกดดันที่ทำให้สัญชาตญาณเตือนของพวกเขาร่ำร้อง

“พวกนายคือกองทัพจอมมารที่ยิ่งใหญ่ใช่มั้ย? ตัวตนแห่งความมืดที่ต่อต้านแสงสว่าง และคุกคามความสงบสุขของโลกใบนี้น่ะ”

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!?”

เฟลมเมจร่ายเวทย์ไฟออกไปโดยไม่ทันคิด

ต่อให้มันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามายั้งมือ

โชคดีที่ต้นไม้ไม่ลุกไหม้ เพราะความชื้นและกลิ่นอายที่ดินแดนต้องสาปปลดปล่อยออกมา

แต่ปีศาจทั้งสองไม่มีเวลามาห่วงเรื่องนั้น

“พวกนายไม่ควรทำอย่างนั้นเลยนะ”

เสียงนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

มีบางอย่างกำลังปรากฎตัวออกมา

พวกปีศาจถูกจำกัดด้วยกฎที่ว่า หากศัตรูปรากฎตัวขึ้นแล้ว พวกมันจะไม่สามารถหนีได้

อีกอย่างคือ พวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูจะโผล่ออกมาจากทิศทางไหน

ต้นไม้ที่หนาทึบพวกนี้ทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเขาผิดเพี้ยน

“มันควรจะมืดมิด สวยงาม โหดร้าย และแน่นอนที่สุด…”

และในที่สุดเวลาแห่งการเผชิญหน้าได้มาถึง

…แมลงขนาดยักษ์ปรากฎตัวลงมาระหว่างต้นไม้เหล่านั้น

มันยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา พร้อมกับเสียงหึ่งๆที่ทำให้ทั้งสองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มันน่าสยองขวัญยิ่งกว่ามอนสเตอร์ใดๆที่พวกเขาเคยพบ

มันคือความสยดสยองต่อตัวตนจากมิติอื่น

ร่างของแมลงขนาดใหญ่และหน้าอกที่ยื่นออกมา

ปีกหลากสี และแขนที่มีรูปร่างเหมือนเคียวอันคมกริบ

เสียง ‘กิจิกิจิ’ ที่ดังก้องหูราวกับผลงานของนักร้องชั้นเลิศ

ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

อิสลา ราชินีแห่งแมลงทั้งปวง

พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัว ว่าตนเองได้เหยียบเข้ามาในเขตแดนของราชินีเข้าแล้ว

 

= สารานุกรม============

[เฟลมไนท์ และ เฟลมเมจ]

เลือด : 350

มานา : 100

พลังโจมตี : 25

พลังป้องกัน : 20

พลังเวทย์ : 13

ความเร็ว : 18

เฟรไมน์เป็นปีศาจปลาหมึก

ใช้อาวุธบางชนิดและเวทมนตร์เพื่อโจมตีผู้กล้า!

 

= ข้อความ=============

<! > ข้อผิดพลาดหมายเลข 008 (ข้อมูลผิดปกติ)

<! > ข้อมูลโปรไฟล์เกินกำหนด

 ―――――――――――――――――

เจอคำผิดช่วยคอมเมนท์ให้หน่อยเน้อ พอดีแปลในมือถือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 38 The Lurking Thing

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 38 The Lurking Thing at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มอนสเตอร์จำนวนมากคืบคลานอยู่ภายในป่า และพวกมันกำลังมุ่งไปเพื่อทำลายไมน็อกกราห์

แต่พวกมันไม่ได้เคลื่อนที่เร็วขนาดนั้น

การที่พวกมันเคลื่อนที่ได้ช้าเป็นเพราะมอนสเตอร์พวกนั้นไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำงานร่วมกัน รวมถึงเส้นทางที่สลับซับซ้อน แถมพวกมันยังทำไม่ได้แม้แต่เดินเรียงแถวเลยด้วยซ้ำ

ในหมู่มอนสเตอร์พวกนั้น มีแต่ปีศาจที่พอมีสติปัญญาซึ่งอยู่ภายใต้เฟรไมน์โดยตรงเท่านั้นที่รู้ว่าควรจะทำอะไร พวกมันควบคุมฝูงปีศาจอย่างทุลักทุเล

“แต่การที่ห้ามเผาป่านี่….หัวหน้าสั่งเรื่องที่ยากจังเลยนะ”

ปีศาจที่มีผมสีแดงเพลิงแสนพริ้วไหว สวมเสื้อคลุมสีแดงและถือดาบใหญ่ ปีศาจที่ถูกเรียกว่าเฟลมไนท์ถอนหายใจและบ่นออกมา

ปีศาจอีกตัวซึ่งมีรูปร่างคล้ายๆ แต่ถือคทาฝังอัญมณีที่ได้ยินประโยคนั้น เป็นปีศาจนักเวทย์ที่ถูกเรียกว่าเฟลมเมจ

ป่าที่รกทึบเบื้องหน้าทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหนื่อยใจ ขณะที่พร่ำบ่นเรื่องการเดินทัพที่แสนอีดอาด พวกเขาก็สั่งการปีศาจที่อยู่รอบๆ

“คงจะง่ายกว่านี้ถ้าแค่เผาทุกอย่างทิ้ง เราก็ทำอย่างนั้นมาตลอดนี่นา ทำไมครั้งนี้ถึงออกคำสั่งยากๆแบบนี้กันนะ?”

“เขาไม่อยากให้มันเด่นเกินไปน่ะสิ ก็นะ หัวหน้าของพวกเราชอบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังมากกว่า ข้าคิดว่าคราวนี้เขาก็คงวางแผนอะไรสักอย่างอยู่นั่นล่ะ”

“ถ้าพูดแบบนั้นต่อหน้าเขา เจ้าไม่รอดแน่”

“ข้าถึงได้พูดตอนที่เขาไม่อยู่ไงล่ะ”

หัวหน้าของพวกเขาคือหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ ปีศาจเพลิง เฟรไมน์ มีนิสัยเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม

เพิ่มเติมคือ เฟรไมน์เป็นพวกที่มีอารมณ์ร้ายและรับมือด้วยยาก

แม้ว่าเขาจะไม่โดนลงโทษง่ายๆ เพราะความสามารถที่มี แต่เขาก็ต้องระวังไม่ทำให้หัวหน้าหงุดหงิด การรับมือกับหัวหน้าอย่างหวาดหวั่นทุกวันทำให้เกิดความเครียดสะสมได้

เพราะแบบนั้น พวกเขาจึงบ่นออกมาเพื่อระบายความเครียดเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้สาเหตุของความเครียดไม่ใช่เพราะหัวหน้าของพวกเขาอย่างเดียว…

“แต่พวกเราถูกสั่งมาว่าไม่ให้เผามัน…ป่าที่น่าขนลุกพวกนี้ ต่อให้เป็นดินแดนของพวกเราก็ยังมีป่าที่ให้กลิ่นอายแบบนี้ไม่กี่ที่เองนะ”

พวกเขาไม่รู้ว่ากองทัพของตัวเองได้ย่างเท้าเข้าสู่เขตแดนของไมน็อกกราห์แล้ว

สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนไปเป็นดินแดนต้องสาป เพราะได้รับอิทธิพลจากไมน็อกกราห์

ทั้งต้นไม้และผินดินที่บิดเบี้ยวและเน่าเฟะ พร้อมกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ กลิ่นอายหนาแน่นที่ลอยอยู่รอบๆดอกไม้ซึ่งกำลังพ่นน้ำออกมา

พวกเขาเป็นปีศาจเหมือนกัน ดังนั้นกลิ่นอายพวกนี้จึงไม่ส่งผลต่อพวกเขา แต่ทัศนียภาพแบบนี้ก็ทำให้ทั้งคู่รู้สึกหวั่นใจ

“ใช่ นี่มันไม่น่าดูชมเอาซะเลย หัวหน้าสั่งมาว่าศัตรูที่อยู่ข้างหน้าเราจะเป็นสิ่งที่คอยขัดขวางจอมมาร…สงสัยจังนะว่าพวกมันเป็นใคร?”

“ข้าคิดว่า ที่แน่ๆคงไม่ใช่ผู้กล้า”

“ฮ่ะฮ่ะ นั่นสินะ”

เสียงหัวเราะแห้งๆดังอยู่ในดินแดนต้องสาป มอนสเตอร์ระดับต่ำที่อยู่ใกล้ๆมองไปที่พวกเขาทั้งคู่ราวกับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากหัวเราะออกมา ความเงียบที่น่าพิศวงก็เข้าปกคลุม และดวงตาของทั้งคู่ก็ประสานเข้าด้วยกัน

ในเกม Brave Quest การพูดถึงผู้กล้าเป็นเรื่องต้องห้ามของกองทัพจอมมาร

หากเอ่ยคำนั้นออกมาโดยไม่มีเหตุผลจะได้รับการลงโทษอย่างหนัก

ไม่ว่าจะเป็นการล้อเล่นหรือพูดด้วยความตั้งใจก็ตาม

เฟลมไนท์ตนนั้นกล่าวถึงผู้กล้าออกมาอย่างมีจุดประสงค์

เขาต้องการจะทดสอบว่าคู่สนทนาของเขาสมควรจะได้ฟังเรื่องอันตรายที่กำลังจะพูดออกมาหรือไม่

และแน่นอน เฟลมเมจตนนั้นผ่านการทดสอบ

“เจ้ารู้รึเปล่าว่าหัวหน้ากำลังจะทรยศจอมมาร?”

“โฮ่ยโฮ่ย อะไรกัน? เกินไปรึเปล่า? อย่าพูดล้อเล่นอะไรแบบนี้ ถ้าหัวหน้าได้ยินเข้านี่เรื่องใหญ่แน่”

“ข้าว่าภารกิจคราวนี้น่าจะไม่ได้รับอนุญาตจากจอมมาร”

“เฮ้ นั่นหมายความว่า…”

เฟลมเมจตกตะลึงเมื่อพบว่ามันมากกว่าที่เขาคิดไว้

เขาคิดว่าจะได้ยินความลับอะไรบางอย่าง เพราะอีกฝ่ายพูดเพื่อทดสอบเขาก่อนหน้านี้ แต่การทรยศจอมมารเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เขาคิดเอาไว้

เท่าที่เขารู้ กองทัพจอมมารนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ให้เฟรไมน์จะเป็นพวกเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม แต่ความจงรักภักดีของเขาไม่ใช่เรื่องน่ากังขา

ท่าทีตกตะลึงของเขาไม่ได้เป็นเพราะได้ยินเรื่องเลวร้าย แต่เป็นเพราะเขากำลังสงสัย “ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น”

“หยุดเลย ข้าแค่คิดนะ อาจเป็นเพราะว่าบรรยากาศรอบๆตัวหัวหน้ามันต่างไปจากปกติน่ะสิ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นขี้ขลาดเลย! เจ้าพูดออกมาขนาดนี้ ทำให้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันคงพอจะสัมผัสอะไรได้บ้าง รวมไปถึงรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย จะไม่ดีกว่าหรอถ้ามีใครให้คุยเรื่องพวกนี้ด้วยน่ะ?”

เขาพูดเสียงดังออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น จากนั้นก็ลดเสียงลง และพยายามปลอบใจคู่สนทนา

เฟลมไนท์ที่ได้ยินอย่างนั้นจึงพยักหน้าอย่างแข็งขัน และเริ่มพูดออกมา

“เจ้าจำตอนที่พวกเรามาโลกใบนี้ได้รึเปล่า? ตอนแรกข้าว่ามันเป็นสถานที่เดิมแบบคนอื่นๆ แต่ว่า…”

“ไม่ต้องสงสัยเลย ข้าก็คิดเหมือนกัน ไม่เหมือนกับมอนสเตอร์ที่อัญเชิญมาพวกนั้น ข้าจำได้ว่าพวกปีศาจและมอนสเตอร์ที่มีตำแหน่งแบบพวกเรามาด้วยกันทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเลย”

“นี่เจ้ากำลังบอกว่ามีเพียงสี่ราชาสวรรค์ กับพวกระดับสูงเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์พวกนี้งั้นหรอ?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หัวหน้าพูดอะไรอย่าง ‘ข้าคือผู้ถูกเลือก?’ …ยังไงก็เถอะ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขานะ”

เรื่องที่เฟลมไนท์ได้ยินจากเฟรไมน์ค่อนข้างกระจัดกระจาย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอาข้อมูลทุกอย่างมาประกอบเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดเลยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

เหตุการณ์สุดประหลาดที่เฟรไมน์ซึ่งเป็นคนเจ้าเล่ห์และมักจะปกปิดความรู้สึกอยู่เสมอ หลุดพูดอะไรบางอย่างออกมาให้ลูกน้องได้ยิน

เฟลมไนท์ที่เฝ้าสังเกตท่าทีของหัวหน้าเพื่อคอยระวังตัวอยู่เสมอสามารถตรวจจับท่าทางเหล่านั้นได้

แต่นั่นเป็นแค่การคาดเดาของเขา

เขาไม่ได้ยินเรื่องการทรยศออกมาจากปากของเฟรไมน์โดยตรง

กล่าวเพิ่มก็คือ เหตุการณ์ที่เฟรไมน์และจอมมารเผชิญค่อนข้างผิดปกติ และไม่สมเหตุสมผล

“อะไรนะ? นั่นฟังดูแย่ชะมัด! เอาน่า บอกข้าหน่อย สถานการณ์แบบนี้ไม่ควรจะลดการระวังตัวลงนะ เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่?”

เฟลมเมจรู้สึกหมดความอดทนและเพิ่มเสียงขึ้น

เฟลมไนท์ตัดสินใจได้ และพยักหน้าให้

สุดท้ายแล้ว ถ้ามัวแต่คิดเอาเองคงไม่ช่วยอะไร

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง และถามความเห็นของเขา

“โอ้ นั่นมัน ที่จริงแล้ว ก่อนที่หัวหน้ากับปีศาจตนอื่นจะมายังโลกใบนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะพบกับตัวตนบางอย่าง…จากนั้น ตัวตนนั้นก็บอกว่า–”

เขากลืนน้ำลาย

พูดตามตรง ตำแหน่งของเฟลมเมจในกองทัพจอมมารค่อนข้างสูง แต่เขายังคงไม่รู้เรื่องอะไร จอมมารและหัวหน้าของเขาต่างปิดปากเงียบ ราวกับว่ากำลังซ่อนอะไรอยู่

เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นย่อมไม่ธรรมดา

ความสงสัยและกังวลต่ออนาคตของพวกเขาเริ่มก่อตัว จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ?

ทั้งคู่ถูกกลืนกินโดยความรู้สึกพวกนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวนะ ทีมที่ไปก่อนล่วงหน้ากลับมาแล้ว ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น”

“บ้าจริง กำลังจะได้เรื่องแล้วแท้.. แล้วมีข้อมูลอื่นอีกไหม? ศัตรูเป็นพวกไหนกัน? ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเจอเมืองด้วย แล้วพวกเจ้าพบอะไรรึเปล่า?”

พุ่มไม้ขยับ เผยให้เห็นรูปร่างของนักรบออร์คที่คุ้นเคยซึ่งพวกเขาส่งออกไปล่วงหน้าเพื่อสอดแนม

ดูจากท่าทีแล้วไม่น่าจะมีปัญหา แม้ว่ามันจะพูดได้แต่มันก็มีสติปัญญาต่ำก็ตาม เฟลมเมจถอนหายใจ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างให้กับภาพตรงหน้า

“เฮ้ เจ้าน่ะ! เกิดอะไรขึ้น!?”

เขาตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึง

รูปลักษณ์ของมอนสเตอร์ที่กลับมาดูแปลกไป เมื่อเพ่งมองเขาก็พบความผิดปกติ

“เฮ้? อะไร?”

เสียงที่ไม่อาจจินตนาการได้ถูกส่งออกมาจากออร์คตนนั้น เสียงเล็กแหลมที่ราวกับถูกบีบออกมาจากลำคอ

นักรบออร์คเป็นมอนสเตอร์กึ่งมนุษย์ ที่มีลักษณะผสมกันระหว่างคนและหมู 

แต่ตอนนี้บนใบหน้าและดวงตาของมัน มีก้อนเนื้อที่มีสีแดง เขียว และเหลือง ขยับไปมาราวกับว่ามีหนอนชอนไชอยู่ภายใน

ดูเหมือนไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจากการโจมตี

ไม่มีท่าทางทรมานจากโรคร้าย

แต่เห็นได้ชัดว่ามันโดนปรสิตบางอย่างสิง

เมื่อปีศาจทั้งสองเห็น พวกเขารีบชักอาวุธออกมา และเพิ่มความระมัดระวังรอบๆตัว

“นั่นมัน? ดวงตา ดู…”

“อย่าเข้ามาใกล้นะ! ทุกคน เตรียมตัว!”

เฟลมไนท์ตะโกนออกมา

มอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆต่างก็สับสนและเริ่มส่งเสียงดัง

พวกมันไม่ทำตามคำสั่ง เพราะพวกมันเป็นเพียงมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาต่ำ

เฟลมเมจพยายามสนับสนุนด้วยการย้ำคำสั่งลงไป แต่นั่นยิ่งเพิ่มความสับสนเข้าไปอีก

สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่เป็นปีศาจสายต่อสู้

พวกเขาไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะสั่งการอย่างใจเย็น และควบคุมความวุ่นวายของทหาร

ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาระมัดระวังเกินไป และเอาแต่จดจ่อกับออร์คที่อยู่ข้างหน้า ทำให้ออร์คตัวอื่นๆที่โดนปรสิตสิงเข้าไปใกล้มอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆ 

“อู๊ด อู๊ด อู๊ด อู๊ดดดดดด”

“กรร? โกวววว!!”

“อะไรกัน..!?”

มีเสียงกรีดร้องและฉีกกระชากดังไปทั่ว แมลงขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนมดโผล่ออกมาจากส่วนที่ยื่น มันกระโจนเข้าใส่มอนสเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆ และกระชากลำคอของมันออกมาทั้งยวง

เมื่อมอนสเตอร์ตัวนั้นตาย ก็มีเหรียญทองปรากฎขึ้น และส่งเสียงโลหะกระทบกัน

ปีศาจทั้งสองกลับมามีสติเมื่อได้ยินเสียงเหรียญที่คุ้นเคย และเห็นแสงส่องออกมาจากต้นไม้ ทั้งคู่ต่างตะโกนออกมาอย่างเร่งรีบ

“ศัตรูบุก! เรากำลังถูกข้าศึกโจมตี! ตั้งรับซะ!”

พร้อมกันนั้น ก็มีแมลงแบบเดียวกันหล่นลงมาจากท้องฟ้า

เศษซากของทีมที่ไปสอดแนมด้านหน้าถูกส่งออกมาจากส่วนลึกของป่า

เฟลมไนท์ฟันใส่แมลงที่พุ่งเข้ามาหาเขา เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นปีศาจระดับต่ำโดนเคี้ยวจนตาย

“บัดซบ! แย่ชะมัด! โดนสวนกลับแบบนี้เพราะไอ้การห้ามเผาป่าพวกนั้นนั่นแหละ!”

ไม่ว่าเขาจะตะโกนออกมาแค่ไหน ความห่างชั้นของกองทัพมันต่างกันเกินไป

มอนสเตอร์ที่พวกเขานำมาไม่ได้อ่อนแอ

ที่จริงความสามารถในการต่อสู้ของยูนิตแต่ละตัวค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยซ้ำ

แต่สถานที่และจังหวะเวลานั้นแย่ มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด 

ทหารตกอยู่ในความสับสนเพราะทัศนวิสัยที่เลวร้ายของสนามรบ

กลิ่นอายที่ลดความสามารถของมอนสเตอร์

อีกอย่างคือ ศัตรูมีขนาดเล็กทำให้ยากต่อการรับมือ

แถมเพลิงที่พวกเขาภาคภูมิใจก็ถูกสั่งห้าม

สถานการณ์ทั้งหมดไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อย

“พวกเราจะทำยังไงดี? สถานการณ์เลวร้ายมาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะแย่แน่” 

“ถอยทัพ พวกเรารับมือไม่ไหว รายงานไปยังหัวหน้าซะ”

“ให้พวกมอนสเตอร์ล่อเอาไว้ ยังไงก็เรียกพวกมันออกมาได้เรื่อยๆอยู่แล้ว ถึงหัวหน้าจะด่าก็เถอะ”

“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยากมาตายในที่แบบนี้หรอกนะ”

ดูเหมือนทั้งคู่จะมีนิสัยคล้ายกับเจ้านายของพวกเขา

ทั้งสองคนทำการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและไร้ความปราณี พวกเขาออกคำสั่งให้มอนสเตอร์เป็นโล่ และถอนกำลังไปพร้อมกับฟันพวกแมลงที่พุ่งเข้าใส่

เส้นทางในดินแดนต้องสาปค่อนข้างแย่ แต่ถ้าคุณกำลังมุ่งเน้นไปที่การหลบหนี ก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

แต่ให้มีภัยคุกคามที่ไม่รู้จักปรากฎขึ้น ตราบเท่าที่มอนสเตอร์พวกนั้นทำหน้าที่เป็นโล่ให้ พวกเขาก็น่าจะหนีไปได้โดยไม่มีปัญหา

พวกเขาคือปีศาจระดับสูงของกองทัพจอมมาร

พวกเขามีพลังเทียบเท่ากับทหารนับร้อย

ที่จริงพวกเขาเคยประมือกับผู้กล้ามาแล้วหลายครั้งด้วยซ้ำ

ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร มันก็ยังไม่สายเกินไปสำหรับพวกเขา

ทั้งคู่ต่างก็ภูมิใจ

เพราะความคิดนั้น ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ตระหนักถึงภัยที่แท้จริง

“—แหมแหม นี่มันยังไงล่ะเนี่ย?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้องมาจากในป่า

เสียงที่ฟังดูเหมือนผู้หญิงนั่น

“ใครกัน!?”

การเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีสติปัญญาเป็นครั้งแรก

ยิ่งกว่านั้น ความกดดันที่ทำให้สัญชาตญาณเตือนของพวกเขาร่ำร้อง

“พวกนายคือกองทัพจอมมารที่ยิ่งใหญ่ใช่มั้ย? ตัวตนแห่งความมืดที่ต่อต้านแสงสว่าง และคุกคามความสงบสุขของโลกใบนี้น่ะ”

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!?”

เฟลมเมจร่ายเวทย์ไฟออกไปโดยไม่ทันคิด

ต่อให้มันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามายั้งมือ

โชคดีที่ต้นไม้ไม่ลุกไหม้ เพราะความชื้นและกลิ่นอายที่ดินแดนต้องสาปปลดปล่อยออกมา

แต่ปีศาจทั้งสองไม่มีเวลามาห่วงเรื่องนั้น

“พวกนายไม่ควรทำอย่างนั้นเลยนะ”

เสียงนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

มีบางอย่างกำลังปรากฎตัวออกมา

พวกปีศาจถูกจำกัดด้วยกฎที่ว่า หากศัตรูปรากฎตัวขึ้นแล้ว พวกมันจะไม่สามารถหนีได้

อีกอย่างคือ พวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูจะโผล่ออกมาจากทิศทางไหน

ต้นไม้ที่หนาทึบพวกนี้ทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเขาผิดเพี้ยน

“มันควรจะมืดมิด สวยงาม โหดร้าย และแน่นอนที่สุด…”

และในที่สุดเวลาแห่งการเผชิญหน้าได้มาถึง

…แมลงขนาดยักษ์ปรากฎตัวลงมาระหว่างต้นไม้เหล่านั้น

มันยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา พร้อมกับเสียงหึ่งๆที่ทำให้ทั้งสองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มันน่าสยองขวัญยิ่งกว่ามอนสเตอร์ใดๆที่พวกเขาเคยพบ

มันคือความสยดสยองต่อตัวตนจากมิติอื่น

ร่างของแมลงขนาดใหญ่และหน้าอกที่ยื่นออกมา

ปีกหลากสี และแขนที่มีรูปร่างเหมือนเคียวอันคมกริบ

เสียง ‘กิจิกิจิ’ ที่ดังก้องหูราวกับผลงานของนักร้องชั้นเลิศ

ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

อิสลา ราชินีแห่งแมลงทั้งปวง

พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัว ว่าตนเองได้เหยียบเข้ามาในเขตแดนของราชินีเข้าแล้ว

 

= สารานุกรม============

[เฟลมไนท์ และ เฟลมเมจ]

เลือด : 350

มานา : 100

พลังโจมตี : 25

พลังป้องกัน : 20

พลังเวทย์ : 13

ความเร็ว : 18

เฟรไมน์เป็นปีศาจปลาหมึก

ใช้อาวุธบางชนิดและเวทมนตร์เพื่อโจมตีผู้กล้า!

 

= ข้อความ=============

<! > ข้อผิดพลาดหมายเลข 008 (ข้อมูลผิดปกติ)

<! > ข้อมูลโปรไฟล์เกินกำหนด

 ―――――――――――――――――

เจอคำผิดช่วยคอมเมนท์ให้หน่อยเน้อ พอดีแปลในมือถือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+