[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limitบทที่2 52 ส่วนที่ 1

Now you are reading [นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit Chapter บทที่2 52 ส่วนที่ 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 1

 

สื่งที่เข้ามาในหัวของผมก็คือชายแก่มากความรู้แต่ขี้เหงา ผู้ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆของเหมือง

 

ขนาดตอนที่เขาจากไป เขาก็ยังปรารถนาให้ผมมีความสุข

 

เขาพูดถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการตามล้างตามเช็ดสิ่งที่พ่อของดยุคทำ ดูเหมือนว่าเขาจะระเหระหนเข้ามาในอาณาเขตดยุคอเคนบาคในตอนที่ราชอาณาจักรล่มสลายสินะ

 

(แต่ คำพูดสุดท้ายของต่าแก่ฮินกาก็คือ…!)

 

ในตอนนั้นผมได้ดูดกลืน【World Ruler】เข้ามาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผมจดจำทุกคำพูด

 

——ข้าคงอยู่เพื่อถูกลงโทษ, สำหรับบาปที่ข้าไม่อาจชดใช้ได้แม้ความตาย, ทว่าข้ากลับได้อาบแสงอาทิตย์อย่างเป็นสุขในนาทีสุดท้ายเช่นนี้, โอ้พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกครองสรวงสวรรค์และผืนดิน, ขอพระองค์ทรงประทานพรแก่เด็กผู้ถูกเกลียดชังนี้ด้วยเถิด…

 

ตาแก่ฮินกาได้ทำ “บาป” อะไรไว้งั้นหรอ? เกี่ยวกับหินสกิลหรือเปล่า? หรือเกี่ยวอะไรกับการล่มสลายของราชอาณาจักรฟอร์ชางั้นหรอ?

 

หรือว่าบางที… “เด็กผู้ถูกเกลียดชัง” นั้นจะหมายถึงผมสีดำกับตาสีดำของผม

 

「เออ, กระผมได้บังคับให้ฝ่าบาทส่งทีมวิจัยไปเก็บรวบรวมบทความของดร.ฮินกาอย่างไม่มีเหตุผลขอรับ, มันเหลืออยู่ไม่มาก, แต่กระผมก็ได้คัดลอกมันเอาไว้หมดแล้ว, และส่งมันให้กับญาติทางสายเลือดไปขอรับ, เออ, บทความหลายๆอันของดร.ฮินกานั้นขัดต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมขอรับ, ดังนั้นกระผมเลยดีใจที่เห็นท่านสนใจมัน」เอลพูดต่อแม้ว่าผมจะยังตกอยู่ในความคิดอยู่

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะครับ!」ประโยคนึงจากปากของเอลซังทำให้ผมตะลึง「คุณพูดว่าญาติทางสายเลือดของตาแก่ฮินกายังงั้นหรอครับ!?」

 

「เขาไม่ใช่ตาแก่ขอรับ, เป็นศาสตราจารย์ต่างหากขอรับ, เออ, เอาเถอะขอรับ, จากมุมมองของเรย์จิซัง, เขาก็คงจะเป็นตาแก่จริงๆขอรับ」

 

「ขะ-ขอโทษครับ หลุดปากไปหน่อย งั้น เกี่ยวกับญาติทางสายเลือดของดร.ฮินกาละครับ?」

 

「ขอดูก่อนนะขอรับ… มันมีประเทศแปลกๆที่ชื่อว่าจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟอยู่ขอรับ, เออ, ลูกสาวของเขาย้ายไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่เธอแต่งงานแล้วขอรับ」

 

ลูกสาวของต่าแก่ฮินกานั้นอยู่ต่างประเทศในตอนที่ราชอาณาจักรฟอร์ชาถูกทำลาย ดังนั้นเธอเลยรอดจากเคราะห์ร้ายไป

 

「ลูกสาวของเขายังอยู่ในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟหรือเปล่าครับ?」

 

「ตอนนี้, มันก็… 10 ปี, ไม่สิ, 15 ปีมาแล้วขอรับ, ถ้าท่านสนใจในงานของเขาละก็, ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มีก็อปปี้อยู่นะขอรับ」

 

「…ไม่ครับ ผมอยากจะเห็นของจริงหน่ะครับ ขอข้อมูลติดต่อลูกสาวของเขาจะได้ไหมครับ!?」

 

「ไม่มีปัญหาขอรับ, เออ, เธอคนนั้นมีชื่อว่าเอ็มม่าขอรับ, และสามีของเธอเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟด้วยขอรับ, ถ้ากระผมจำไม่ผิด, เธอเองก็มีลูกสาวด้วยเหมือนกันขอรับ」

 

…ลูลูช่าซัง!

 

ผมสังหรณ์ได้ทันทีเลยว่าเป็นเธอ แต่พูดไปมากกว่านี้จะสร้างความน่าสงสัยมากขึ้นได้ – ถึงผมจะสร้างไปมากพอแล้วก็เถอะ – ดังนั้นผมเลยปิดปากเงียบ

 

หลังจากที่ผมได้ข้อมูลที่ตามหาในที่ที่คาดไม่ถึงนี้แล้ว ผมก็กลับไปยังคฤหาสน์

 

** นักบวชชั้นสูงเอล **

 

หัวหน้าตระกูลเอเบน, หนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่, ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของกระต่ายยักษ์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

 

「…ท่านเอล เรย์จิโดโนะไปแล้วสินะครับ?」

 

「เออ, เขาไปแล้วขอรับ」

 

「แล้ว ท่านคิดยังไงกับ “เด็กแห่งหายนะ” นั่นครับ?」ลอร์ดเอเบนถามขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้างๆเอล

 

「ขอรับ, ข้ามั่นใจว่าเรย์จิซังเป็น “เด็กแห่งหายนะ” แน่นอนขอรับ, ทว่า… หลังจากที่กระผมมองดูเขาด้วยตาของตัวเองแล้ว, ผมไม่อยากเชื่อเลยขอรับ, ผมไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้ายใดๆจากเขาเลยขอรับ」เอลตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองลอร์ดเอเบน

 

「ถ้าตามบันทึกโบราณเป็นความจริงละก็ “เด็กแห่งหายนะ” นั้นจะมีผมสีดำกับตาสีดำและถือครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ครับ มันได้บอกเอาไว้ว่าเด็กคนนั้นสามารถทำลายได้แม้กระทั่งประเทศเลยครับ แต่เรย์จิโดโนะมีผมสีฟ้านี้ครับ」

 

「สีผมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขอรับ, เออ, เขาคงจะย้อมผมนะขอรับ — อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าการมีผมสีดำตาสีดำเป็นเรื่องเลวร้ายขอรับ」

 

「มันอาจจะเป้นแฟชั่นก็ได้ครับ」

 

「แหม! หัวหน้าตระกูลเอเบนไม่ควรสร้างสมมติฐานที่ไร้ความหมายนะขอรับ」

 

「ข้าก็แค่คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดหน่ะครับ แล้ว ท่านเอลครับ ท่านเชื่อรึยังครับว่าเด็กคนนั้นเป็น “เด็กแห่งหายนะ” หน่ะครับ?」

 

「…เออ กระผมเองก็บอกไม่ได้ขอรับ」

 

「ทำไมหล่ะ?」

 

「ฝ่าบาทบอกให้ท่านสังหารเขาตรงนี้ทันทีที่ท่านยืนยันได้ว่าเขาเป็น “เด็กแห่งหายนะ” ไม่ใช่หรือครับ …งั้น พูดอีกอย่างก็คือ ท่านปล่อยเขาหนีไปงั้นหรือครับ?」

 

เมื่อลอร์ดเอเบนยกมือขึ้น เงาสีดำกว่า 10 ร่างที่ซ่อนอยู่ในสวนก็ได้ยืนขึ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาไม่ใช่ทั้งคนคุ้มกันของลอร์ดหรือทหารยามของพระราชวังแต่อย่างใด แต่แน่นอนว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร

 

「เออ, กระผมยืนยันไม่ได้ขอรับ」

 

「…………」

 

ถึงปากของเขาจะยังยิ้มอยู่ แต่ดวงตาของฮาร์ฟลิงคนนี้นั้นเย็นชาจนหน้ากลัว เขาคิดว่าเรย์จิจะต้องมีผมสีเดิมเป็นสีดำอย่างแน่นอน คนกลางเองก็เรียกเขาว่า “เด็กแห่งหายนะ” ด้วย “เด็กแห่งหายนะ” จะต้องถูกฆ่า นั่นเป็นสามัญสำนึกของชนชั้นสูงในประเทศนี้

 

อย่างไรก็ตาม เอลก็ไม่ได้ทำมัน เขารู้สึกมีความสุขที่ได้พูดถึงดร.ฮินกาเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานอย่างนั้นหรือ? และก็อย่างที่เขาบอกกับลอร์ดเอเบนไปว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกถึงความมุ้งร้ายใดๆเลย

 

(…ไม่, จะไปทำร้ายเด็กที่เสี่ยงชีวิตช่วยพวกเราทุกคนได้ยังไงกัน?)

 

เอลคิดแบบนั้น แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไป ถ้าเขาพูดแบบนั้นกับหัวหน้าตระกูลขุนนางละก็ เขาก็คงจะถูกหัวเราะเยอะแล้วถูกบอกว่า “ถ้างั้น ข้าจะกำจัดเขาเอง” เพียงเท่านั้น

 

(พลังที่เด็กคนนั้นใช้กับคนกลางนั้นเหนือหลักเหตุผลไปแล้ว, ถ้าพลังนั่นหันเข้าใส่ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ละก็…)

 

มีหลักฐานอยู่หลายอย่างในบันทึกโบราณว่า “เด็กแห่งหายนะ” จะกลายเป็น “หายนะ” ที่แท้จริงและได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ภัยคุกคามนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า “โลกอื่น” ที่ยังควบคุมได้ด้วย “พันธสัญญา” ซะอีก  

 

(แต่, ถึงยังนั้น, จำเป็นที่จะต้องฆ่าเด็กน้อยบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้กลายเป็น “หายนะ” อย่างนั้นหรอ?, เออ, ถ้าเลี้ยงดูเขามาอย่างระมัดระวังละก็, บางทีเขาอาจจะนำประโยชน์มหาศาลมาสู่โลกนี้ก็ได้?)

 

แต่สมมติฐานนี้ก็ แน่นอนว่าเป็น “สมมติฐานอันไร้เหตุผล” มันเป็นความคิดสุดอันตรายที่อาจถึงชึวิตของเอลได้ถ้ามันออกมาจากปากของเขา

 

ยังไงซะ บทความของดร.ฮินกานั้นก็ใกล้เคียงกับความคิดนี้ ถึงจะมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นในอดีต แต่พวกเราก็ไม่ควรประเมินศักยภาพของมนุษย์ผิดไป — มันเป็นความคิดที่ตรงข้ามกับเหล่าขุนนางที่คิดว่าถ้าฆ่าเด็กจะสามารถหยุด “หายนะ” ได้ พวกเขาก็ควรฆ่า

 

「เออ, พวกเราไม่ควรยุ่งกับเด็กคนนั้นนะขอรับ」

 

「…ถ้ายังนั้น รายงานกับฝ่าบาทแบบนั้นไปแล้วกันครับ」

 

ในสายตาของกระต่ายไม่มีความไม่สบายใจอยู่เลย

 

「ยิ่งไปกว่านั้นขอรับ, เรื่องของตระกูลริเวียร์เป็นยังไงบ้างขอรับ?」

 

「ไม่มีปัญหา หลังฐานทั้งหมดครบแล้ว และฝ่าบาทเองก็สั่งให้ลงมือแล้วครับ เหนือสิ่งอื่นใด “ลอร์ดเลือดเย็น” เองก็เป็นคนทำงานนี้ด้วยครับ ท่านไม่ยินดีหรือครับ ท่านเอล? คนบาปที่ละเมิดแท่นบูชาที่ 1 ที่ท่านหวงแหนที่สุดจะถูกสำเร็จโทษแล้วหน่ะครับ」

 

「…เออ, จริงด้วยขอรับ」

 

เมื่อเอลตอบกลับไป หัวหน้าตระกูลเอเบนก็ยืนขึ้นแล้วออกไปจากห้อง เอลถอนหายใจเล็กน้อยจากความรู้สึกที่ได้ถูกปลดปล่อยจากความกดดันนั้น

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limitบทที่2 52 ส่วนที่ 1

Now you are reading [นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit Chapter บทที่2 52 ส่วนที่ 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 1

 

สื่งที่เข้ามาในหัวของผมก็คือชายแก่มากความรู้แต่ขี้เหงา ผู้ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆของเหมือง

 

ขนาดตอนที่เขาจากไป เขาก็ยังปรารถนาให้ผมมีความสุข

 

เขาพูดถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการตามล้างตามเช็ดสิ่งที่พ่อของดยุคทำ ดูเหมือนว่าเขาจะระเหระหนเข้ามาในอาณาเขตดยุคอเคนบาคในตอนที่ราชอาณาจักรล่มสลายสินะ

 

(แต่ คำพูดสุดท้ายของต่าแก่ฮินกาก็คือ…!)

 

ในตอนนั้นผมได้ดูดกลืน【World Ruler】เข้ามาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผมจดจำทุกคำพูด

 

——ข้าคงอยู่เพื่อถูกลงโทษ, สำหรับบาปที่ข้าไม่อาจชดใช้ได้แม้ความตาย, ทว่าข้ากลับได้อาบแสงอาทิตย์อย่างเป็นสุขในนาทีสุดท้ายเช่นนี้, โอ้พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกครองสรวงสวรรค์และผืนดิน, ขอพระองค์ทรงประทานพรแก่เด็กผู้ถูกเกลียดชังนี้ด้วยเถิด…

 

ตาแก่ฮินกาได้ทำ “บาป” อะไรไว้งั้นหรอ? เกี่ยวกับหินสกิลหรือเปล่า? หรือเกี่ยวอะไรกับการล่มสลายของราชอาณาจักรฟอร์ชางั้นหรอ?

 

หรือว่าบางที… “เด็กผู้ถูกเกลียดชัง” นั้นจะหมายถึงผมสีดำกับตาสีดำของผม

 

「เออ, กระผมได้บังคับให้ฝ่าบาทส่งทีมวิจัยไปเก็บรวบรวมบทความของดร.ฮินกาอย่างไม่มีเหตุผลขอรับ, มันเหลืออยู่ไม่มาก, แต่กระผมก็ได้คัดลอกมันเอาไว้หมดแล้ว, และส่งมันให้กับญาติทางสายเลือดไปขอรับ, เออ, บทความหลายๆอันของดร.ฮินกานั้นขัดต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมขอรับ, ดังนั้นกระผมเลยดีใจที่เห็นท่านสนใจมัน」เอลพูดต่อแม้ว่าผมจะยังตกอยู่ในความคิดอยู่

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะครับ!」ประโยคนึงจากปากของเอลซังทำให้ผมตะลึง「คุณพูดว่าญาติทางสายเลือดของตาแก่ฮินกายังงั้นหรอครับ!?」

 

「เขาไม่ใช่ตาแก่ขอรับ, เป็นศาสตราจารย์ต่างหากขอรับ, เออ, เอาเถอะขอรับ, จากมุมมองของเรย์จิซัง, เขาก็คงจะเป็นตาแก่จริงๆขอรับ」

 

「ขะ-ขอโทษครับ หลุดปากไปหน่อย งั้น เกี่ยวกับญาติทางสายเลือดของดร.ฮินกาละครับ?」

 

「ขอดูก่อนนะขอรับ… มันมีประเทศแปลกๆที่ชื่อว่าจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟอยู่ขอรับ, เออ, ลูกสาวของเขาย้ายไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่เธอแต่งงานแล้วขอรับ」

 

ลูกสาวของต่าแก่ฮินกานั้นอยู่ต่างประเทศในตอนที่ราชอาณาจักรฟอร์ชาถูกทำลาย ดังนั้นเธอเลยรอดจากเคราะห์ร้ายไป

 

「ลูกสาวของเขายังอยู่ในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟหรือเปล่าครับ?」

 

「ตอนนี้, มันก็… 10 ปี, ไม่สิ, 15 ปีมาแล้วขอรับ, ถ้าท่านสนใจในงานของเขาละก็, ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มีก็อปปี้อยู่นะขอรับ」

 

「…ไม่ครับ ผมอยากจะเห็นของจริงหน่ะครับ ขอข้อมูลติดต่อลูกสาวของเขาจะได้ไหมครับ!?」

 

「ไม่มีปัญหาขอรับ, เออ, เธอคนนั้นมีชื่อว่าเอ็มม่าขอรับ, และสามีของเธอเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟด้วยขอรับ, ถ้ากระผมจำไม่ผิด, เธอเองก็มีลูกสาวด้วยเหมือนกันขอรับ」

 

…ลูลูช่าซัง!

 

ผมสังหรณ์ได้ทันทีเลยว่าเป็นเธอ แต่พูดไปมากกว่านี้จะสร้างความน่าสงสัยมากขึ้นได้ – ถึงผมจะสร้างไปมากพอแล้วก็เถอะ – ดังนั้นผมเลยปิดปากเงียบ

 

หลังจากที่ผมได้ข้อมูลที่ตามหาในที่ที่คาดไม่ถึงนี้แล้ว ผมก็กลับไปยังคฤหาสน์

 

** นักบวชชั้นสูงเอล **

 

หัวหน้าตระกูลเอเบน, หนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่, ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของกระต่ายยักษ์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

 

「…ท่านเอล เรย์จิโดโนะไปแล้วสินะครับ?」

 

「เออ, เขาไปแล้วขอรับ」

 

「แล้ว ท่านคิดยังไงกับ “เด็กแห่งหายนะ” นั่นครับ?」ลอร์ดเอเบนถามขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้างๆเอล

 

「ขอรับ, ข้ามั่นใจว่าเรย์จิซังเป็น “เด็กแห่งหายนะ” แน่นอนขอรับ, ทว่า… หลังจากที่กระผมมองดูเขาด้วยตาของตัวเองแล้ว, ผมไม่อยากเชื่อเลยขอรับ, ผมไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้ายใดๆจากเขาเลยขอรับ」เอลตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองลอร์ดเอเบน

 

「ถ้าตามบันทึกโบราณเป็นความจริงละก็ “เด็กแห่งหายนะ” นั้นจะมีผมสีดำกับตาสีดำและถือครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ครับ มันได้บอกเอาไว้ว่าเด็กคนนั้นสามารถทำลายได้แม้กระทั่งประเทศเลยครับ แต่เรย์จิโดโนะมีผมสีฟ้านี้ครับ」

 

「สีผมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขอรับ, เออ, เขาคงจะย้อมผมนะขอรับ — อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าการมีผมสีดำตาสีดำเป็นเรื่องเลวร้ายขอรับ」

 

「มันอาจจะเป้นแฟชั่นก็ได้ครับ」

 

「แหม! หัวหน้าตระกูลเอเบนไม่ควรสร้างสมมติฐานที่ไร้ความหมายนะขอรับ」

 

「ข้าก็แค่คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดหน่ะครับ แล้ว ท่านเอลครับ ท่านเชื่อรึยังครับว่าเด็กคนนั้นเป็น “เด็กแห่งหายนะ” หน่ะครับ?」

 

「…เออ กระผมเองก็บอกไม่ได้ขอรับ」

 

「ทำไมหล่ะ?」

 

「ฝ่าบาทบอกให้ท่านสังหารเขาตรงนี้ทันทีที่ท่านยืนยันได้ว่าเขาเป็น “เด็กแห่งหายนะ” ไม่ใช่หรือครับ …งั้น พูดอีกอย่างก็คือ ท่านปล่อยเขาหนีไปงั้นหรือครับ?」

 

เมื่อลอร์ดเอเบนยกมือขึ้น เงาสีดำกว่า 10 ร่างที่ซ่อนอยู่ในสวนก็ได้ยืนขึ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาไม่ใช่ทั้งคนคุ้มกันของลอร์ดหรือทหารยามของพระราชวังแต่อย่างใด แต่แน่นอนว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร

 

「เออ, กระผมยืนยันไม่ได้ขอรับ」

 

「…………」

 

ถึงปากของเขาจะยังยิ้มอยู่ แต่ดวงตาของฮาร์ฟลิงคนนี้นั้นเย็นชาจนหน้ากลัว เขาคิดว่าเรย์จิจะต้องมีผมสีเดิมเป็นสีดำอย่างแน่นอน คนกลางเองก็เรียกเขาว่า “เด็กแห่งหายนะ” ด้วย “เด็กแห่งหายนะ” จะต้องถูกฆ่า นั่นเป็นสามัญสำนึกของชนชั้นสูงในประเทศนี้

 

อย่างไรก็ตาม เอลก็ไม่ได้ทำมัน เขารู้สึกมีความสุขที่ได้พูดถึงดร.ฮินกาเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานอย่างนั้นหรือ? และก็อย่างที่เขาบอกกับลอร์ดเอเบนไปว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกถึงความมุ้งร้ายใดๆเลย

 

(…ไม่, จะไปทำร้ายเด็กที่เสี่ยงชีวิตช่วยพวกเราทุกคนได้ยังไงกัน?)

 

เอลคิดแบบนั้น แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไป ถ้าเขาพูดแบบนั้นกับหัวหน้าตระกูลขุนนางละก็ เขาก็คงจะถูกหัวเราะเยอะแล้วถูกบอกว่า “ถ้างั้น ข้าจะกำจัดเขาเอง” เพียงเท่านั้น

 

(พลังที่เด็กคนนั้นใช้กับคนกลางนั้นเหนือหลักเหตุผลไปแล้ว, ถ้าพลังนั่นหันเข้าใส่ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ละก็…)

 

มีหลักฐานอยู่หลายอย่างในบันทึกโบราณว่า “เด็กแห่งหายนะ” จะกลายเป็น “หายนะ” ที่แท้จริงและได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ภัยคุกคามนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า “โลกอื่น” ที่ยังควบคุมได้ด้วย “พันธสัญญา” ซะอีก  

 

(แต่, ถึงยังนั้น, จำเป็นที่จะต้องฆ่าเด็กน้อยบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้กลายเป็น “หายนะ” อย่างนั้นหรอ?, เออ, ถ้าเลี้ยงดูเขามาอย่างระมัดระวังละก็, บางทีเขาอาจจะนำประโยชน์มหาศาลมาสู่โลกนี้ก็ได้?)

 

แต่สมมติฐานนี้ก็ แน่นอนว่าเป็น “สมมติฐานอันไร้เหตุผล” มันเป็นความคิดสุดอันตรายที่อาจถึงชึวิตของเอลได้ถ้ามันออกมาจากปากของเขา

 

ยังไงซะ บทความของดร.ฮินกานั้นก็ใกล้เคียงกับความคิดนี้ ถึงจะมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นในอดีต แต่พวกเราก็ไม่ควรประเมินศักยภาพของมนุษย์ผิดไป — มันเป็นความคิดที่ตรงข้ามกับเหล่าขุนนางที่คิดว่าถ้าฆ่าเด็กจะสามารถหยุด “หายนะ” ได้ พวกเขาก็ควรฆ่า

 

「เออ, พวกเราไม่ควรยุ่งกับเด็กคนนั้นนะขอรับ」

 

「…ถ้ายังนั้น รายงานกับฝ่าบาทแบบนั้นไปแล้วกันครับ」

 

ในสายตาของกระต่ายไม่มีความไม่สบายใจอยู่เลย

 

「ยิ่งไปกว่านั้นขอรับ, เรื่องของตระกูลริเวียร์เป็นยังไงบ้างขอรับ?」

 

「ไม่มีปัญหา หลังฐานทั้งหมดครบแล้ว และฝ่าบาทเองก็สั่งให้ลงมือแล้วครับ เหนือสิ่งอื่นใด “ลอร์ดเลือดเย็น” เองก็เป็นคนทำงานนี้ด้วยครับ ท่านไม่ยินดีหรือครับ ท่านเอล? คนบาปที่ละเมิดแท่นบูชาที่ 1 ที่ท่านหวงแหนที่สุดจะถูกสำเร็จโทษแล้วหน่ะครับ」

 

「…เออ, จริงด้วยขอรับ」

 

เมื่อเอลตอบกลับไป หัวหน้าตระกูลเอเบนก็ยืนขึ้นแล้วออกไปจากห้อง เอลถอนหายใจเล็กน้อยจากความรู้สึกที่ได้ถูกปลดปล่อยจากความกดดันนั้น

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+