[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit บทที่3 1

Now you are reading [นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit Chapter บทที่3 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 3 โจรสลัดอากาศสีดำยิ้มแย้มภายใต้แสงจันทร์ หมอผีสีแดงกู่ร้องสู่ดวงดาว

 

ตอนที่ 1

 

「เรย์จิ! ข้าฝากทีเหลือด้วย!」

 

「ครับ!」

 

ร่างยักษ์สีน้ำตาลวิ่งตัดผ่านเข้าไปในป่าลึก มันถูกเรียกว่ากิก้าโบ (Giga Boar) ที่ตัวใหญ่ประมาณรถบรรทุก 2 ตันได้ แถมยังสามารถล้มต้นไม้ต้นเล็กๆได้เลยด้วย

 

ขนของมันนั้นห่างไกลจากคำว่า “สวยงาม” แถมยังเปื้อนโคลนไปหมด บางทีคงเพราะวิ่งผ่านโคลนมาละมั้ง เส้นขนของมันหนาอย่างกับลวด ดังนั้นต่อให้ชนกับต้นไม้ก็ไม่หลุดออกมาง่ายๆหรอก

 

และคนที่กำลังวิ่งเข้าหามันจากด้านหน้า – ก็คือผมเอง

 

ผมยื่นสองมือไปข้างหน้าแล้วสร้างลูกบอลลมขนาดยักษ์ขึ้นด้วย【เวทย์ลม】

 

「ไม่ปล่อยให้แกผ่านไปหรอก!!!」

 

จังหวะที่ผมยิงลูกบอลลมออกไป มันก็ได้โดนเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันจังๆ

 

「บูโมวววววววว!!」

 

กิก้าโบเสียการทรงตัวล้มลงมาข้างหน้า กลิ้งแล้วลอยเข้าหาผมด้วยแรงโมเมนตัม

 

อย่างกับฉากรถไล่ล่ากันที่มีตามหนังแอคชั่น ตอนที่รถพลิกคว่ำแล้วลอยไปมา

 

「โอ๊ะ!」

 

ผมเอนกลับหลังหลบได้ในวินาทีสุดท้าย ในเวลาเดียวกันนั้นผมก็ได้สร้างเตียงลมด้วย【เวทย์ลม】เพื่อลบแรงโมเมนตัมของกิก้าโบ แถมด้วยการทำให้พื้นนุ่มขึ้นด้วย【เวทย์ดิน】เพื่อลดแรงกระแทก เพราะแรงกระแทกรุณแรงอาจทำให้เนื้อของมันเสียหายได้

 

「ฟูโก! ฟูโกโก!!」

 

「อุ๊บ แกยังไม่สลบไปสินะ… ค่อนข้างอึดเลยนะแกหน่ะ?」

 

ดูเหมือนว่ามันจะขาหักในตอนที่ล้มลง และก็เพราะพื้นมันนุ่มด้วย มันก็เลยลุกขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นมันเลยกลิ้งฝาดงวงฝาดงาไปมาเพื่อไม่ให้ผมเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ก็เป็นช่วงที่ต้องใช้เวทมนตร์เข้าช่วยละนะ ผมสร้างหินทรงกรวยปลายแหลมขึ้นมาจาก【เวทย์ดิน】แล้วยิงเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันที่ผมโจมตีด้วย【เวทย์ลม】ไปก่อนหน้านี้

 

「ฟูโก… โกกก…」

 

และแล้วกิก้าโบก็ได้ตายลงไป

 

ร่างของมันยังคงกระตุกอยู่แม้จะตายไปแล้ว บางทีคงเป็นกล้ามเนื้อกระตุกละมั้ง

 

「ฮะ-เฮ้ยยย์… จัดการมันไปแล้วรึ…?」

 

ผมยกมือขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหวาดๆนั้น

 

「เรียบร้อยแล้วครับ! ทางนี้ครับผม มูเกะซัง (Muge-san)!」

 

จากนั้นมูเกะซังก็เข้ามาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์

 

มันเป็นเครื่องจักรโลหะขนาดเล็กกว่าร้านราเมนแผงลอยที่ส่งเสียงนั้น มันมี 4 ล้อและรวมถึงตัวรถที่ทำจากเหล็ก ตัวรถนั้นขึ้นสนิมแล้ว

 

ขณะที่มันพ่นควันดำออกมาจากปล่องควัน มันก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าคนเดินเท้าเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้บรรทุกมนุษย์หรอก เพราะแทบทั้งตัวรถเป็นเครื่องยนต์นี้นา มูเกะซังต้องบังคับมันจากด้านหลังเอา

 

「โอ้ว ตัวใหญ่ชะมัด」

 

มูเกะซังกระพริบตาสีทองของเขา นัยน์ตาของเขานั้นเป็นแนวตั้งเหมือนกับแมว แถมผิวหน้าของเขายังมีสีเหลืองแซมน้ำตาลด้วย

 

เขาเป็นกึ่งมนุษย์ที่คล้ายกับกิ้งก่า เป็นพลเมืองของจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ

 

「เนโกะจังของข้าจะบรรทุกกิก้าโบนี้ไหวไหมเนี้ย?」

 

「มาลองดูกันครับ ถ้าไม่ได้ละก็ พวกเราก็คงต้องชําแหละเครื่องในออกมาเพื่อให้เบาขึ้น」

 

「ไม่ ไม่ได้! มันมีคำขอหลายอันเลยนะที่ต้องการเครื่องในหน่ะ ดังนั้นมาพยายามกันเต็มที่เลยนะ เนโกะจัง?」

 

เจ้ารถจักรไอน้ำสีดำขึ้นสนิมนั่นดูจะถูกเรียกว่า “เนโกะจัง” แถมมูเกะซังก็รักมันมากๆด้วย เขาบอกว่าอารมณ์ของรถมันจะขึ้นอยู่กับวันด้วย แต่แน่นอนละว่าผมไม่เชื่อ

 

มูเกะซังลงมาจากรถ เขาสวมชุดจั๊มสูทหนังแต่ก็ไม่ได้มีหางโพล่ออกมาจากหลังของเขาแต่อย่างใด เมื่อเขาเอาโซ่ต่อกับเนโกะจังและมัดรอบๆตัวกิก้าโบแล้วสตาร์ทเครื่อง มันก็เริ่มเคลื่อนที่พร้อมกับส่งเสียง “ฮี้ ฮี้” ออกมา

 

「เนโกะจังดูจะอารมณ์ไม่ดี แต่เธอก็จะทำให้ดีที่สุดนะ!」

 

「งะ-งั้นหรอครับ…?」

 

หลังจากนั้น มันก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการออกมาจากป่า—พวกเราออกมายังทุ่งหญ้ากว้างที่มีพื้นดินสีแดงแซมออกมาเป็นระยะๆ

 

แสงอาทิตย์ส่องลงมาร้อนระอุ ในด้านของฤดูละก็ มันก็ควรจะอยู่ในช่วงต้นหน้าร้อนสิ แต่ความร้อนนี้อย่างกับกลางหน้าร้อนเลย อยู่ใต้ร่มเงามันก็เย็นอยู่หรอก ทว่า… มันไม่มีร่มเงาที่ไหนเลยหน่ะสิ

 

จากตรงที่ห่างออกไป ดันเต้ซังกำลังโบกมือให้กับผมอยู่

 

「—นั่นกิก้าโบหรอ?」

 

「—ใหญ่โคตร! พวกนั้นล่าของแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี้ย?」

 

「—คิดว่าคืนนี้พวกเราคงจะได้กินเนื้ออร่อยๆกันแน่」

 

ผมได้ยินเสียงมีความสุขมาจากผู้คนของกองคาราวาน

 

「เรย์จิคุง〜 ทางนี้」มิมิโนะซังตะโกน

 

「ครับ กำลังไปครับ」

 

ผมตรงไปยังที่ที่มิมิโนะซังกับน็อนซังอยู่

 

ทั้งมิมิโนะซังกับน็อนซังดูจะกำลังพักผ่อนใต้ร่มกันแดดกันอยู่ เมื่อดันเต้ซังกับผมไปถึง พวกเขาก็เสริฟชาให้กับพวกเรา

 

ผมดื่มชาสมุนไพรแสนอร่อยหมดในอึกเดียวเลย

 

อ้าา ชาอร่อยๆหลังเสร็จงานนี้มันเยี่ยมจริงๆ

 

「…อ่าห์ ข้าอยากจะดื่มเบียร์ซักแก้วจริงๆ」ดันเต้ซังพึมพำ

 

「นั่นคงต้องทนรอจนกว่าจะถึงเมืองหน้านะครับ」ผมพูด

 

「กลับกันนะคะคุณพ่อ คุณพ่อควรจะงดดื่มไปสักพักนะคะ เงินที่คุณพ่อได้มามันไปลงกับค่าเหล้าหมดแล้วนะคะ」

 

「มะ-ไม่นะ คือมันก็แค่… เหล้ามันรสชาติดีขึ้นหลังจากที่คำสาปหายไปแล้วต่างหาก เป็นความผิดของเรย์จินั่นแหล่ะ」

 

หา?

 

「คุณพ่อคะ… อยากจะติดคำสาปอีกงั้นหรือคะ?」

 

「คะ-แค่ล้อเล่นหน่ะ ใช่ไหม้ เรย์จิ?」

 

「อย่าลากผมไปเกี่ยวด้วยสิครับ…」

 

ผมรู้สึกว่าดันเต้ซังเริ่มกลายเป็นเหมือนเซอรี่ซังเข้าไปทุกที

 

และเซอรี่ซังที่พูดถึงก็กำลังหลับอยู่ในรถม้านั่นแหล่ะ เธอบอกว่าเธอพนันกับคนของกองคาราวานคนอื่นๆจนดึกดื่นแล้วชนะมาได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หนี้ของเธอที่ติดผมไว้มันเพิ่มขี้นเรื่อยๆหน่ะสิ ดังนั้นเธอแพ้มาต่างหาก ดูเหมือนมันคงถึงเวลาที่ต้องเข้มงวดกับเธอแล้วสิ…

 

「นอกจากนี้ กิก้าโบนั่นก็น่าจะได้ราคาดีไม่ใช่หรือไง?」ดันเต้ซังพูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง

 

มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้วที่จะออกไปล่าในช่วงพักเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าเล็กน้อย ทว่าวันนี้พวกเราโชคดีที่ล่าของดีมาได้

 

「เรย์จิซัง ดันเต้ซัง มาเริ่มหารกิก้าโบกันดีกว่า」มูเกะซังพูดในตอนที่เขามาถึง และพวกเราก็ได้ตรงไปทางเขา

 

จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆระหว่างราชอาณาจักรอัศวินนักบุญกับราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับการพัฒนาที่ชื่อว่า “เคเนี่ยน (Canion)” แต่เพราะมันถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน 3 ด้าน มันก็เลยช่วยกันการบุกรุกจากประเทศศัตรูได้

 

ชาวเลฟนั้นเป็นเผ่าพันธ์ุพิเศษที่ไม่สามารถใช้หินสกิลได้ เป็นเผ่าพันธ์ุกึ่งมนุษย์กิ้งก่า ในอดีตพวกเขานั้นถูกดูถูกข่มเหงหลายครั้งเพราะไม่สามารถใช้หินสกิลที่ใช้กันเป็นเรื่องปกติในโลกใบนี้ได้ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาขังตัวเองอยู่ในดินแดนจำกัดๆนี้

 

มองจากมุมกลับแล้ว มันก็ค่อนข้างยากที่คนนอกอย่างพวกเราจะเข้าไปในประเทศได้ — ดังนั้น มันจึงเป็นการดีที่พวกเราพบเข้ากับกองคาราวานที่มีชาวเลฟอยู่ และได้ทำความรู้จักกับพวกเขา

 

ไม่ว่าจะปลีกวิเวกขนาดไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะทำธุรกิจกับประเทศอื่นๆ และชาวเลฟที่ออกมาข้างนอกนั้นก็มีปฏิสัมพันธ์สูงด้วย

 

「มะ-มากขนาดนี้จะดีหรอ?」

 

「ไม่เป็นไรหรอก จากตรงนี้ก็ไม่ไกลจากจักรวรรดิแล้ว และที่จักรวรรดิเองไม่มีกิก้าโบด้วย ดังนั้นเนื้อสดๆจึงสามารถขายได้ในราคาสูงเลยละ」

 

เหรียญทองที่กองอยู่ตรงหน้าของผมกับดันเต้ซังนั้นเป็นค่าเงินของจักรวรรดิเลฟ และแต่ละเหรียญก็มีค่าประมาณ 50,000 เยนด้วย มีประมาณ 100 เหรียญทอง

 

「…ไชโย!!!」ดันเต้ซังตะโกนพร้อมกับท่ากำมัดขึ้นฟ้า แต่… ผมสงสัยจังว่าจากหมดนี้ น็อนซังจะให้เขาจริงๆเท่าไหร่กันแน่นะ…

 

「ซิวเวอร์บาลานซ์วางแผนที่จะออกไปจากจักรวรรดิทันทีที่งานของกิลด์เสร็จแล้วเลยหรือเปล่า?」

 

「ไม่หรอกครับ ที่นั่นมีคนที่ผมอยากจะเจอให้ได้อยู่… ดังนั้นผมจะพยายามขอให้อยู่ต่อได้ครับ」

 

「งั้นหรอๆ ช่วงนี้ข้าเองก็เข้าพบคนในจักรวรรดิได้ง่ายๆด้วย ดังนั้นข้าหวังว่านายจะเจอคนที่อยากพบง่ายๆเหมือนกัน」

 

「ขอบคุณครับ」

 

「แต่ให้ตายสิ สกิลที่นายใช้จัดการกิก้าโบตัวนี้มันสุดยอดไปเลยจริงๆนะเนี้ย」

 

「แล้วเนโกะจังละครับ?」

 

「เธอหลับอยู่ตรงนั้นหน่ะ」

 

รถจักรไอน้ำจอดอยู่เงียบๆที่ด้านหลังของรถม้า

 

จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเริ่มขึ้นจากเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้ถ่านหิน แล้วค่อยขยับขึ้นไปใช้พลังงานจากหินเวทย์ เรือเหาะเวทมนตร์เกือบทั้งหมดในโลกนี้นั้นสร้างขึ้นที่เลฟนี้หล่ะ

 

พวกเราเก็บเหรียญทองจากบนโต๊ะแล้วหลับไปหามิมิโนะซัง แน่นอนว่าส่วนของดันเต้ซังก็ถูกริบโดยน็อนซัง และแล้วตรงนั้นก็ได้มีนักรบที่ยืนสิ้นหวังอยู่

 

(พวกเราน่าจะถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว)

 

มันก็ผ่านมา 15 วันแล้วตั้งแต่ออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งครูวานยู ที่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน พวกเราน่าจะไปถึงชายแดนประเทศระหว่างราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กับจักรวรรดิ์เลฟในอีกประมาณ 2 วัน

 

ตอนที่ผมทำงานเป็นทาสขุดเหมือง เขาคนนั้นที่มอบความรู้ให้กับผมฟรีๆ — ตาแก่ฮินกาที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่า “อาจารย์” ของผมในโลกใบนี้ ตอนก่อนที่เขาจะตาย ตาแก่ฮินกาได้ฟากฟัง “หินฟอสฟอรัส” ที่ฟังเอาไว้ในฟันกรามของเขาให้กับผม

 

ตาแก่บอกว่าผมจะสามรถพบกับหลานสาวของเขา ลูลูช่าซังได้ด้วยสิ่งนี้–หรือผมจะเอาไปขาบก็ได้ถ้าผมต้องการ

 

ถึงจะมีเรื่องหลายๆอย่างเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่หนึ่งในเป้าหมายของผมก็คือการพบกับลูลูช่าซังเพื่อบอกช่วงเวลาสุดท้ายของตาแก่ อีกเป้าหมายนึงของผมก็คือการพบกับพี่สาวของผม ลาร์ค

 

ลูลูช่าซังอยู่ที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเป็นข้อมูลที่ผมได้มาจากราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนในจักรวรรดิหรือมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่โชคดีที่จักรวรรดินั้นเป็นประเทศเล็กๆ ดังนั้นการหาเธอก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

 

(พอนึกถึงตาแก่ฮินกาก็รู้สึกเศร้าขึ้น แต่ถึงยังนั้น…)

 

ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นวาระสุดท้ายของเขาในเหมืองที่ 6 ผมคิดว่าผมควรจะบอกใครสักคนนอกจากผมว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่ ยังไงซะ จากในมุมมองเขาเอลซังผู้เป็นนักบวชชั้นสูงแห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ตาแก่ฮินกาก็เป็นถึง “ผู้นำการถอดรหัสเอกสารโบราณ” เกี่ยวกับ “พันธสัญญา”, “โลกอื่น”, และ วิจัยเกี่ยวกับ “หินสกิล” ด้วย – ศาสตราจารย์ผู้ที่ถูกเรียกว่า “มันสมองของราชอาณาจักรฟอร์ชา”

 

「เรย์จิคุง ได้เวลาไปกันแล้วนะ」

 

「อา ครับ」

 

มิมิโนะซังเรียกให้ผมขึ้นไปบนรถม้า

 

เอาละถ้างั้นไปกันเลยดีกว่า สู่ดินแดนแห่งใหม่!

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit บทที่3 1

Now you are reading [นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit Chapter บทที่3 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 3 โจรสลัดอากาศสีดำยิ้มแย้มภายใต้แสงจันทร์ หมอผีสีแดงกู่ร้องสู่ดวงดาว

 

ตอนที่ 1

 

「เรย์จิ! ข้าฝากทีเหลือด้วย!」

 

「ครับ!」

 

ร่างยักษ์สีน้ำตาลวิ่งตัดผ่านเข้าไปในป่าลึก มันถูกเรียกว่ากิก้าโบ (Giga Boar) ที่ตัวใหญ่ประมาณรถบรรทุก 2 ตันได้ แถมยังสามารถล้มต้นไม้ต้นเล็กๆได้เลยด้วย

 

ขนของมันนั้นห่างไกลจากคำว่า “สวยงาม” แถมยังเปื้อนโคลนไปหมด บางทีคงเพราะวิ่งผ่านโคลนมาละมั้ง เส้นขนของมันหนาอย่างกับลวด ดังนั้นต่อให้ชนกับต้นไม้ก็ไม่หลุดออกมาง่ายๆหรอก

 

และคนที่กำลังวิ่งเข้าหามันจากด้านหน้า – ก็คือผมเอง

 

ผมยื่นสองมือไปข้างหน้าแล้วสร้างลูกบอลลมขนาดยักษ์ขึ้นด้วย【เวทย์ลม】

 

「ไม่ปล่อยให้แกผ่านไปหรอก!!!」

 

จังหวะที่ผมยิงลูกบอลลมออกไป มันก็ได้โดนเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันจังๆ

 

「บูโมวววววววว!!」

 

กิก้าโบเสียการทรงตัวล้มลงมาข้างหน้า กลิ้งแล้วลอยเข้าหาผมด้วยแรงโมเมนตัม

 

อย่างกับฉากรถไล่ล่ากันที่มีตามหนังแอคชั่น ตอนที่รถพลิกคว่ำแล้วลอยไปมา

 

「โอ๊ะ!」

 

ผมเอนกลับหลังหลบได้ในวินาทีสุดท้าย ในเวลาเดียวกันนั้นผมก็ได้สร้างเตียงลมด้วย【เวทย์ลม】เพื่อลบแรงโมเมนตัมของกิก้าโบ แถมด้วยการทำให้พื้นนุ่มขึ้นด้วย【เวทย์ดิน】เพื่อลดแรงกระแทก เพราะแรงกระแทกรุณแรงอาจทำให้เนื้อของมันเสียหายได้

 

「ฟูโก! ฟูโกโก!!」

 

「อุ๊บ แกยังไม่สลบไปสินะ… ค่อนข้างอึดเลยนะแกหน่ะ?」

 

ดูเหมือนว่ามันจะขาหักในตอนที่ล้มลง และก็เพราะพื้นมันนุ่มด้วย มันก็เลยลุกขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นมันเลยกลิ้งฝาดงวงฝาดงาไปมาเพื่อไม่ให้ผมเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ก็เป็นช่วงที่ต้องใช้เวทมนตร์เข้าช่วยละนะ ผมสร้างหินทรงกรวยปลายแหลมขึ้นมาจาก【เวทย์ดิน】แล้วยิงเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันที่ผมโจมตีด้วย【เวทย์ลม】ไปก่อนหน้านี้

 

「ฟูโก… โกกก…」

 

และแล้วกิก้าโบก็ได้ตายลงไป

 

ร่างของมันยังคงกระตุกอยู่แม้จะตายไปแล้ว บางทีคงเป็นกล้ามเนื้อกระตุกละมั้ง

 

「ฮะ-เฮ้ยยย์… จัดการมันไปแล้วรึ…?」

 

ผมยกมือขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหวาดๆนั้น

 

「เรียบร้อยแล้วครับ! ทางนี้ครับผม มูเกะซัง (Muge-san)!」

 

จากนั้นมูเกะซังก็เข้ามาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์

 

มันเป็นเครื่องจักรโลหะขนาดเล็กกว่าร้านราเมนแผงลอยที่ส่งเสียงนั้น มันมี 4 ล้อและรวมถึงตัวรถที่ทำจากเหล็ก ตัวรถนั้นขึ้นสนิมแล้ว

 

ขณะที่มันพ่นควันดำออกมาจากปล่องควัน มันก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าคนเดินเท้าเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้บรรทุกมนุษย์หรอก เพราะแทบทั้งตัวรถเป็นเครื่องยนต์นี้นา มูเกะซังต้องบังคับมันจากด้านหลังเอา

 

「โอ้ว ตัวใหญ่ชะมัด」

 

มูเกะซังกระพริบตาสีทองของเขา นัยน์ตาของเขานั้นเป็นแนวตั้งเหมือนกับแมว แถมผิวหน้าของเขายังมีสีเหลืองแซมน้ำตาลด้วย

 

เขาเป็นกึ่งมนุษย์ที่คล้ายกับกิ้งก่า เป็นพลเมืองของจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ

 

「เนโกะจังของข้าจะบรรทุกกิก้าโบนี้ไหวไหมเนี้ย?」

 

「มาลองดูกันครับ ถ้าไม่ได้ละก็ พวกเราก็คงต้องชําแหละเครื่องในออกมาเพื่อให้เบาขึ้น」

 

「ไม่ ไม่ได้! มันมีคำขอหลายอันเลยนะที่ต้องการเครื่องในหน่ะ ดังนั้นมาพยายามกันเต็มที่เลยนะ เนโกะจัง?」

 

เจ้ารถจักรไอน้ำสีดำขึ้นสนิมนั่นดูจะถูกเรียกว่า “เนโกะจัง” แถมมูเกะซังก็รักมันมากๆด้วย เขาบอกว่าอารมณ์ของรถมันจะขึ้นอยู่กับวันด้วย แต่แน่นอนละว่าผมไม่เชื่อ

 

มูเกะซังลงมาจากรถ เขาสวมชุดจั๊มสูทหนังแต่ก็ไม่ได้มีหางโพล่ออกมาจากหลังของเขาแต่อย่างใด เมื่อเขาเอาโซ่ต่อกับเนโกะจังและมัดรอบๆตัวกิก้าโบแล้วสตาร์ทเครื่อง มันก็เริ่มเคลื่อนที่พร้อมกับส่งเสียง “ฮี้ ฮี้” ออกมา

 

「เนโกะจังดูจะอารมณ์ไม่ดี แต่เธอก็จะทำให้ดีที่สุดนะ!」

 

「งะ-งั้นหรอครับ…?」

 

หลังจากนั้น มันก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการออกมาจากป่า—พวกเราออกมายังทุ่งหญ้ากว้างที่มีพื้นดินสีแดงแซมออกมาเป็นระยะๆ

 

แสงอาทิตย์ส่องลงมาร้อนระอุ ในด้านของฤดูละก็ มันก็ควรจะอยู่ในช่วงต้นหน้าร้อนสิ แต่ความร้อนนี้อย่างกับกลางหน้าร้อนเลย อยู่ใต้ร่มเงามันก็เย็นอยู่หรอก ทว่า… มันไม่มีร่มเงาที่ไหนเลยหน่ะสิ

 

จากตรงที่ห่างออกไป ดันเต้ซังกำลังโบกมือให้กับผมอยู่

 

「—นั่นกิก้าโบหรอ?」

 

「—ใหญ่โคตร! พวกนั้นล่าของแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี้ย?」

 

「—คิดว่าคืนนี้พวกเราคงจะได้กินเนื้ออร่อยๆกันแน่」

 

ผมได้ยินเสียงมีความสุขมาจากผู้คนของกองคาราวาน

 

「เรย์จิคุง〜 ทางนี้」มิมิโนะซังตะโกน

 

「ครับ กำลังไปครับ」

 

ผมตรงไปยังที่ที่มิมิโนะซังกับน็อนซังอยู่

 

ทั้งมิมิโนะซังกับน็อนซังดูจะกำลังพักผ่อนใต้ร่มกันแดดกันอยู่ เมื่อดันเต้ซังกับผมไปถึง พวกเขาก็เสริฟชาให้กับพวกเรา

 

ผมดื่มชาสมุนไพรแสนอร่อยหมดในอึกเดียวเลย

 

อ้าา ชาอร่อยๆหลังเสร็จงานนี้มันเยี่ยมจริงๆ

 

「…อ่าห์ ข้าอยากจะดื่มเบียร์ซักแก้วจริงๆ」ดันเต้ซังพึมพำ

 

「นั่นคงต้องทนรอจนกว่าจะถึงเมืองหน้านะครับ」ผมพูด

 

「กลับกันนะคะคุณพ่อ คุณพ่อควรจะงดดื่มไปสักพักนะคะ เงินที่คุณพ่อได้มามันไปลงกับค่าเหล้าหมดแล้วนะคะ」

 

「มะ-ไม่นะ คือมันก็แค่… เหล้ามันรสชาติดีขึ้นหลังจากที่คำสาปหายไปแล้วต่างหาก เป็นความผิดของเรย์จินั่นแหล่ะ」

 

หา?

 

「คุณพ่อคะ… อยากจะติดคำสาปอีกงั้นหรือคะ?」

 

「คะ-แค่ล้อเล่นหน่ะ ใช่ไหม้ เรย์จิ?」

 

「อย่าลากผมไปเกี่ยวด้วยสิครับ…」

 

ผมรู้สึกว่าดันเต้ซังเริ่มกลายเป็นเหมือนเซอรี่ซังเข้าไปทุกที

 

และเซอรี่ซังที่พูดถึงก็กำลังหลับอยู่ในรถม้านั่นแหล่ะ เธอบอกว่าเธอพนันกับคนของกองคาราวานคนอื่นๆจนดึกดื่นแล้วชนะมาได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หนี้ของเธอที่ติดผมไว้มันเพิ่มขี้นเรื่อยๆหน่ะสิ ดังนั้นเธอแพ้มาต่างหาก ดูเหมือนมันคงถึงเวลาที่ต้องเข้มงวดกับเธอแล้วสิ…

 

「นอกจากนี้ กิก้าโบนั่นก็น่าจะได้ราคาดีไม่ใช่หรือไง?」ดันเต้ซังพูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง

 

มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้วที่จะออกไปล่าในช่วงพักเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าเล็กน้อย ทว่าวันนี้พวกเราโชคดีที่ล่าของดีมาได้

 

「เรย์จิซัง ดันเต้ซัง มาเริ่มหารกิก้าโบกันดีกว่า」มูเกะซังพูดในตอนที่เขามาถึง และพวกเราก็ได้ตรงไปทางเขา

 

จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆระหว่างราชอาณาจักรอัศวินนักบุญกับราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับการพัฒนาที่ชื่อว่า “เคเนี่ยน (Canion)” แต่เพราะมันถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน 3 ด้าน มันก็เลยช่วยกันการบุกรุกจากประเทศศัตรูได้

 

ชาวเลฟนั้นเป็นเผ่าพันธ์ุพิเศษที่ไม่สามารถใช้หินสกิลได้ เป็นเผ่าพันธ์ุกึ่งมนุษย์กิ้งก่า ในอดีตพวกเขานั้นถูกดูถูกข่มเหงหลายครั้งเพราะไม่สามารถใช้หินสกิลที่ใช้กันเป็นเรื่องปกติในโลกใบนี้ได้ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาขังตัวเองอยู่ในดินแดนจำกัดๆนี้

 

มองจากมุมกลับแล้ว มันก็ค่อนข้างยากที่คนนอกอย่างพวกเราจะเข้าไปในประเทศได้ — ดังนั้น มันจึงเป็นการดีที่พวกเราพบเข้ากับกองคาราวานที่มีชาวเลฟอยู่ และได้ทำความรู้จักกับพวกเขา

 

ไม่ว่าจะปลีกวิเวกขนาดไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะทำธุรกิจกับประเทศอื่นๆ และชาวเลฟที่ออกมาข้างนอกนั้นก็มีปฏิสัมพันธ์สูงด้วย

 

「มะ-มากขนาดนี้จะดีหรอ?」

 

「ไม่เป็นไรหรอก จากตรงนี้ก็ไม่ไกลจากจักรวรรดิแล้ว และที่จักรวรรดิเองไม่มีกิก้าโบด้วย ดังนั้นเนื้อสดๆจึงสามารถขายได้ในราคาสูงเลยละ」

 

เหรียญทองที่กองอยู่ตรงหน้าของผมกับดันเต้ซังนั้นเป็นค่าเงินของจักรวรรดิเลฟ และแต่ละเหรียญก็มีค่าประมาณ 50,000 เยนด้วย มีประมาณ 100 เหรียญทอง

 

「…ไชโย!!!」ดันเต้ซังตะโกนพร้อมกับท่ากำมัดขึ้นฟ้า แต่… ผมสงสัยจังว่าจากหมดนี้ น็อนซังจะให้เขาจริงๆเท่าไหร่กันแน่นะ…

 

「ซิวเวอร์บาลานซ์วางแผนที่จะออกไปจากจักรวรรดิทันทีที่งานของกิลด์เสร็จแล้วเลยหรือเปล่า?」

 

「ไม่หรอกครับ ที่นั่นมีคนที่ผมอยากจะเจอให้ได้อยู่… ดังนั้นผมจะพยายามขอให้อยู่ต่อได้ครับ」

 

「งั้นหรอๆ ช่วงนี้ข้าเองก็เข้าพบคนในจักรวรรดิได้ง่ายๆด้วย ดังนั้นข้าหวังว่านายจะเจอคนที่อยากพบง่ายๆเหมือนกัน」

 

「ขอบคุณครับ」

 

「แต่ให้ตายสิ สกิลที่นายใช้จัดการกิก้าโบตัวนี้มันสุดยอดไปเลยจริงๆนะเนี้ย」

 

「แล้วเนโกะจังละครับ?」

 

「เธอหลับอยู่ตรงนั้นหน่ะ」

 

รถจักรไอน้ำจอดอยู่เงียบๆที่ด้านหลังของรถม้า

 

จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเริ่มขึ้นจากเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้ถ่านหิน แล้วค่อยขยับขึ้นไปใช้พลังงานจากหินเวทย์ เรือเหาะเวทมนตร์เกือบทั้งหมดในโลกนี้นั้นสร้างขึ้นที่เลฟนี้หล่ะ

 

พวกเราเก็บเหรียญทองจากบนโต๊ะแล้วหลับไปหามิมิโนะซัง แน่นอนว่าส่วนของดันเต้ซังก็ถูกริบโดยน็อนซัง และแล้วตรงนั้นก็ได้มีนักรบที่ยืนสิ้นหวังอยู่

 

(พวกเราน่าจะถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว)

 

มันก็ผ่านมา 15 วันแล้วตั้งแต่ออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งครูวานยู ที่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน พวกเราน่าจะไปถึงชายแดนประเทศระหว่างราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กับจักรวรรดิ์เลฟในอีกประมาณ 2 วัน

 

ตอนที่ผมทำงานเป็นทาสขุดเหมือง เขาคนนั้นที่มอบความรู้ให้กับผมฟรีๆ — ตาแก่ฮินกาที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่า “อาจารย์” ของผมในโลกใบนี้ ตอนก่อนที่เขาจะตาย ตาแก่ฮินกาได้ฟากฟัง “หินฟอสฟอรัส” ที่ฟังเอาไว้ในฟันกรามของเขาให้กับผม

 

ตาแก่บอกว่าผมจะสามรถพบกับหลานสาวของเขา ลูลูช่าซังได้ด้วยสิ่งนี้–หรือผมจะเอาไปขาบก็ได้ถ้าผมต้องการ

 

ถึงจะมีเรื่องหลายๆอย่างเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่หนึ่งในเป้าหมายของผมก็คือการพบกับลูลูช่าซังเพื่อบอกช่วงเวลาสุดท้ายของตาแก่ อีกเป้าหมายนึงของผมก็คือการพบกับพี่สาวของผม ลาร์ค

 

ลูลูช่าซังอยู่ที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเป็นข้อมูลที่ผมได้มาจากราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนในจักรวรรดิหรือมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่โชคดีที่จักรวรรดินั้นเป็นประเทศเล็กๆ ดังนั้นการหาเธอก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

 

(พอนึกถึงตาแก่ฮินกาก็รู้สึกเศร้าขึ้น แต่ถึงยังนั้น…)

 

ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นวาระสุดท้ายของเขาในเหมืองที่ 6 ผมคิดว่าผมควรจะบอกใครสักคนนอกจากผมว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่ ยังไงซะ จากในมุมมองเขาเอลซังผู้เป็นนักบวชชั้นสูงแห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ตาแก่ฮินกาก็เป็นถึง “ผู้นำการถอดรหัสเอกสารโบราณ” เกี่ยวกับ “พันธสัญญา”, “โลกอื่น”, และ วิจัยเกี่ยวกับ “หินสกิล” ด้วย – ศาสตราจารย์ผู้ที่ถูกเรียกว่า “มันสมองของราชอาณาจักรฟอร์ชา”

 

「เรย์จิคุง ได้เวลาไปกันแล้วนะ」

 

「อา ครับ」

 

มิมิโนะซังเรียกให้ผมขึ้นไปบนรถม้า

 

เอาละถ้างั้นไปกันเลยดีกว่า สู่ดินแดนแห่งใหม่!

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+