[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limitบทที่3 6
บทที่ 3 ตอนที่ 6
“เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” นั้นถูกสร้างขึ้นโดย ลา-ฟิซา (La-Fisa) จอมขมังเวทย์ผู้ที่ลงหลักปลักฐานอยู่ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว ด้วยความเล็กของที่นี่ ตัวตนของมันนั้นถูกค้นพบจากผู้คนมาเป็นเวลานานแล้ว มีทั้งที่ที่ใกล้ๆกลับส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจ และที่ที่ใกล้ๆกันกับที่นี่ด้วย
มันก็กว่า 500 ปีมาแล้วที่ชาวเลฟเข้ามาอยู่ที่ดินแดนนี้ ในตอนแรก พวกเขาแทบจะขุดอะไรไม่ได้เลย แต่จนกระทั่งพวกเขาค้นพบเขาวงกตและพบว่าสามารถหาอุปกรณ์เวทมนตร์จากที่นี่ได้ พวกเขาก็เลยรีบเร่งยึดครองเขาวงกต
ดูเหมือนพวกเขาจะมีผู้นำที่ยอดเยี่ยมด้วย เขาคนนั้นก็ได้เริ่มใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เวทมนตร์แล้วยกระดับชีวิตของชาวเลฟขึ้น เขาเริ่มค้าขายกับประเทศอื่นๆ — โดยการขายอุปกรณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นแทนที่จะเป็นตัวจากเขาวงกตเอา
อุปกรณ์จากเขาวงกตนั้นเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นหายนะได้ถ้าประเทศอื่นๆบุกเข้ามาโดยที่กองกำลังทหารของประเทศยังไม่ได้จัดตั้งขึ้น
และผลลัพธ์ก็คือ—ระบบปลีกวิเวกในปัจจุบัน
(หึมมม มีข้อมูลเกี่ยวกับลา-ฟิซาน้อยเกินไป)
ผมไม่มีทางลืมอะไรที่ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งได้ต้องขอบคุณ【World Ruler】ดังนั้นผมเลยเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยโดยอ่านข้อมูลจากเอกสารที่ได้รับมาจากกิลด์
อุปกรณ์ของผมมีมีดสั้นที่ได้มาจากเอิร์ลชายแดน, ถุงมือติดสนับมือ, และร้องเท้าบูทที่เสริมด้วยแผ่นเหล็ก ในเขาวงกตมีมอนสเตอร์ที่ปรากฏออกมาอยู่ 2 ประเภทนั่นก็คือ มอนสเตอร์ กับ ออโตมาตอน (automaton) ที่สร้างขึ้นโดยลา-ฟิซา พวกมอนสเตอร์นั้นจะเกินในถ้ำที่ไม่มีคนใช้มานานหลายปี และจะถ้ากำจัดมันก็จะได้หินเวทย์ด้วย หินเวทย์สามารถขายได้เพราะพวกมันเป็นเหมือนกับแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่
ปัญหาก็คือออโตมาตอน ที่แต่ละส่วนของมันคืออุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นพวกเราจะต้องจำกัดการเคลื่อนไหวของมันโดยที่ไม่ทำความเสียหายมากเกินไป …บางทีพวกเราอาจจะต้องสู้กับมันมือเปล่าเลยก็ได้
ถุงมือหนังติดสนับมือนั้นมีแผ่นโลหะติดอยู่ที่หลังมือ ซึ่งสามารถป้องกันได้ไปจนถึงข้อศอกเลย
นอกจากนั้น ผมยังซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างที่มีขายในร้านที่เราไปเมื่อวานมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือโลหะทรงกรมหมุนได้ที่เหมือนกับฟิดเจ็ตสปินเนอร์ และอีกอันก็คืออุปกรณ์เวทมนตร์ลึกลับที่ร้อนเองได้ ดูเหมือนมิมิโนะซังเองก็เคยซื้อของพวกนี้ด้วยเหมือนกัน
…คืนนั้น ผมตรวจสอบอุปกรณ์เวทมนตร์พวกนั้นโดยใช้【World Ruler】เห็นได้แค่ว่าตัวเองสามารถใช้พวกมันได้แค่เล่นฆ่าเวลาเท่านั้นเอง
「เรย์จิคุง เสร็จแล้วละ」
「โอ๊ะ มันเสร็จสมบูรณ์แล้วหรอครับ?」
มิมิโนะซังเอาเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวมาให้ผม อย่างไรก็ตาม แขนเสื้อกับชายเสื้อนั้นถูกเย็บด้วยด้ายเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก
สีของมันเป็นผ้าขนสัตว์สีธรรมชาติ และผสมสีสดใสอย่างสีแดงเข้มกับสีถั่วเขียวเข้าไปด้วย ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่มิมิโนะซังตัดขึ้นจะเป็นชุดแนว*ดรูอิด (Druid) ดั้งเดิม ผมก็คิดว่าเสื้อผ้าของมิมิโนะซังจะเป็นวัฒนธรรมฮาร์ฟลิงซะอีก แต่ดูเหมือนอิทธิพลของดรูอิดจะแข็งแกร่งกว่าละนะ
「มันรู้สึกสดชื่อและดูดีมากเลยครับ」
「ดีใจจัง มันพอดีไหม?」
「ครับ!」
ตอนที่ผมกลับมาเข้าร่วมกับซิวเวอร์บาลานซ์ มิมิโนะซังที่ปลาบปลื้มกับเรื่องที่ผมยังใส่ชุดที่เธอเคยทำให้ผมเมื่อ 4 ปีก่อน ก็ได้พูดว่าเธอจะต้องตัดชุดให้ผมอีกแน่นอน
「ชั้นได้ร่ายเวทย์หลายอันลงไปด้วยนะ ความเสียหายเล็กน้อยน่าจะคืนสภาพเองได้ด้วยความยืดหยุ่นของพืชที่ใช้ทำ แถมยังมีความแข็งแรงพร้อมกับการปรับอุณหภูมิและป้องกันเวทมนตร์ด้วยนะ」
「เอ๊ะ… มันสุดยอดมากกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี้ย」
「เพราะอุปกรณ์สวมใส่เป็นชีวิตของนักผจญภัยยังไงละ!」
มันก็จริงแห่ะ ขอโทษครับที่ผมคิดว่าอยากจะให้มันดูเท่กว่านี้ครับ
「…มิมิโนะซัง เธอใช้เงินเก็บที่เก็บสะสมมา 4 ปีไปเป็นจำนวนมากเพื่อชุดนั้น ใช่ไหมละจ๊ะ?」
「หว่า น็อน!?」
「งั้นหรอครับ!? ไม่ครับ ผมรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอครับ! โอ๊ะ คุณจะรับนี้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนได้ไหมครับ? มันเป็นมีดสั้นที่ได้รับมาจากบาบาเรี่ยน…」
「ไม่ มันไม่เป็นไรหรอก! ไม่เป็นไร! เธอเป็นสมาชิกปาร์ตี้ของชั้น แถมอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เงินกับของแบบนั้นนะ นอกจากนี้ ชั้นเองก็ยังสนุกที่ได้ทำมันด้วย… เดี๋ยวนะ? บาบาเรี่ยนอะไรนะ??」
「โอ๊ะ คือเรื่องมันยาวหน่ะครับ…」
และหัวข้อคุยก็เปลี่ยนไป
「ให้ตายสิ〜 เธอได้รับความรักมากเลยนะ หนุ่มน้อย」
「มาตอนไหนครับเนี้ย เซอรี่ซัง เดี๋ยวจะคุยนอกเรื่องกัน ทำไมคุณไม่ไปตรงมุมโน้นแล้วดื่มนมหรืออะไรเงียบๆละครับ…」
「พักหลังมานี้เธอแกล้งเค้าบ่อยไปแล้วนะ หนุ่มน้อย! เมื่อวานเองทุกคนก็พูดว่า “เยี่ยม” ด้วย! ฮึม!」
หลังจากนั้นสักพัก ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
พวกเราทานอาหารเช้าแล้วเตรียมตัวกัน พวกเราไม่ได้มีสัมภาระเยอะแยะอะไรเนื่องจากพวกเราออกเดินทางกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเราเลยบรรทุกสัมภาระเอาไว้ที่รถเข็นเล็กๆที่ติดอยู่กับเนโกะจัง
「ถ้าพวกนายเจอสมบัติมากมายละก็ พวกนายจะต้องเริ่มแบบสัมภาระกันเองนะ ฮ่าฮ่าฮ่า」มูเกะซังพูดติดตลก
「แน่นอน จะหาสมบัตมากมายจนเนโกะจังขนไม่ไหวเลยละ」ดันเต้ซังตอบกลับอย่างแข็งขัน
หน้าผาที่เป็นทางเข้าของ “เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว” นั้นอยู่ห่างจากบริษัทของมูเกะซังประมาณชั่วโมงนึง รางถูกตั้งเป็นเส้นตรงพร้อมกับแผ่นไม้ถูกยึดด้วยสายไฟหนาๆที่สามารถดึงขี้นได้—หรือที่เรียกกันว่าลิฟต์
มูเกะซังพูดคุยกับยามชาวเลฟที่ยืนหาวอยู่ แล้วพวกเราก็ถูกพาไปขึ้นไปยังลิฟต์ ถึงมันจะเป็นลิฟต์ แต่มันก็มีขนาดใหญ่มาก มีที่มากพอจะให้พวกเราทั้งหมดขึ้นไปพร้อมๆกับเนโกะจังได้เลย
「โอ๊ะ ขยับแล้ว!」
ดันเต้ซังดูพอใจที่พื้นตรงที่เขายืนอยู่เริ่มขยับ—ทว่ามิมิโนะซังกลับกอดแขนผมแน่นเลย
「…มิมิโนะซัง?」
「หะ-ให้ชั้นเกาะอยู่จนกว่าพวกเราจะถึงด้านบน ได้ไหม้?」
「แน่นอนครับ」
กลัวความสูงสินะ
ในท้ายที่สุด ลิฟต์ก็ได้หยุดลงห่างจากพื้นดินประมาณ 15 เมตร เมื่อพวกเราลงไปยังทางเดินที่ยื่นออกมา มูเกะซังก็โบกมือลงไปข้างล่าง แล้วลิฟต์ก็ได้กลับลงไป
「จากตรงนี้… พวกเราจะตรงไปยังทางเข้าของเขาวงกตกัน」
น้ำเสียงของมูเกะซังแข็งเล็กน้อย
อย่างที่คิด — ถึงเขาจะทำธุรกิจกับกองกองคาราวานที่โลก “ภายนอก” ถึงครั้งนี้จะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีขนาดไหน เขาก็คงรู้สึกถึงความแตกต่างในการเสี่ยงชีวิตของเขาอยู่ดี
ถ้ำอันมืดมิดตั้งอยู่เบื้องหน้าของพวกเรา ดวงอาทิตย์นั้นอยู่ที่อีกด้านของหน้าผา ดังนั้นจึงไม่มีแสงใดๆเลย พวกเราเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์ที่ห้อยอยู่ด้านหน้าเนโกะจัง และน็อนซังที่ถือตะเกียงเวทมนตร์อยู่เช่นกัน
ถ้ำนั้นกว้างมาก ถึงขนาดที่ถ้ามีใครสักคนเดินผ่านออกมาจากด้านใน พวกเราก็สามารถเดินผ่านกันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย–ถึงจะไม่มีสัญญาณของอะไรแบบนั้นเลยก็เุถอะ
「นี้สินะเขาวงกต」
หลังจากที่เดินมาได้ไม่กี่วินาที แสงสลัวๆก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า
ทางเข้านั้นใหญ่ถึงขนาดต้องเงยหน้ามอง และมันก็ค่อนข้างถูกสร้างขึ้นโดยรสนิยมแย่ๆด้วย
มีครึ่งวงกลมโพล่ออกมาทั้งซ้ายและขวาสร้างแสงสว่างให้กับทางเข้า
พื้นผิวของกำแพงนั้นเรียบเนียนไม่มีรอยขรุขระใดๆ
และส่วนของทางเข้านั้น… เป็น “ใบหน้ามนุษย์” ขนาดยักษ์
ใบหน้าที่แกะสลักอย่างประณีตนั้นอ้าปากกว้าง บางทีคงหมายถึงให้เข้าไปทางนี้
ผมจะอธิบายใบหน้าของมันยังไงดี… มันดูเหมือนกับกำลังทรมานและหวาดกลัว
สื่งที่ไม่น่าอภิรมย์ก็คือน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปาก ตามที่【World Ruler】บอก มันดูเหมือนจะเป็นน้ำใต้ดิน น้ำพวกนี้ถูกดึงมาตรงนี้อย่างตั้งใจ — เพื่อแสดงถึงกำลังน้ำลายไหลอย่างนั้นหรอ?
「ทุกทางเข่าของแต่ละเขาวงกตนั้นเป็นใบหน้า… ดูเหมือนที่นี่จะเป็นใบหน้าของเผ่ามนุษย์ ถ้าลองมองที่ตาของมันดีๆ มันเขียนว่า “ความหวาดกลัว (Fear)” ใช่ไหมละ? นั่นแหล่ะชื่อของเขาวงกตนี้ละ」มูเกะซังพูดในขณะที่พวกเรามองดูทางเข้าอย่างพูดไม่ออก
ส่วนนึงของนัยน์ตานั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า “ความหวาดกลัว” นั่นหมายความว่าใบหน้าของมนุษย์นี้กำลังหวาดกลัวงั้นหรอ?
「…พวกนายจะเอายังไงละ? ถ้าพวกนายอยากจะกลับละก็–」
「ไปต่อกันเถอะ」ดันเต้ซังตัดสินใจอย่างรวดเร็ว「ก็มีพวกทีมยึดครองอยู่ข้างในด้วยใช่ไหมละ? ถ้างั้นก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว」
ผมเองก็คิดเหมือนกัน
ดันเต้ซังเดินนำ และผมก็เป็นคนถัดไปโดยถือตะเกียงเวทมนตร์ของน็อนซังไปด้วย
เนโกะจังนั้นอยู่ท้ายขบวนตามพวกเรามาอย่างช้าๆพร้อมกับส่งเสียงออกมา พวกเราได้ย่างกรายเข้าไปในดันเจี้ยนที่เหมือนกับถูกใบหน้าของมนุษย์กลืนกินเข้าไป
========================================================
TL: คิดถึงกันไหมเอ๋ย 😀
Comments
[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limitบทที่3 6
บทที่ 3 ตอนที่ 6
“เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” นั้นถูกสร้างขึ้นโดย ลา-ฟิซา (La-Fisa) จอมขมังเวทย์ผู้ที่ลงหลักปลักฐานอยู่ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว ด้วยความเล็กของที่นี่ ตัวตนของมันนั้นถูกค้นพบจากผู้คนมาเป็นเวลานานแล้ว มีทั้งที่ที่ใกล้ๆกลับส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจ และที่ที่ใกล้ๆกันกับที่นี่ด้วย
มันก็กว่า 500 ปีมาแล้วที่ชาวเลฟเข้ามาอยู่ที่ดินแดนนี้ ในตอนแรก พวกเขาแทบจะขุดอะไรไม่ได้เลย แต่จนกระทั่งพวกเขาค้นพบเขาวงกตและพบว่าสามารถหาอุปกรณ์เวทมนตร์จากที่นี่ได้ พวกเขาก็เลยรีบเร่งยึดครองเขาวงกต
ดูเหมือนพวกเขาจะมีผู้นำที่ยอดเยี่ยมด้วย เขาคนนั้นก็ได้เริ่มใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เวทมนตร์แล้วยกระดับชีวิตของชาวเลฟขึ้น เขาเริ่มค้าขายกับประเทศอื่นๆ — โดยการขายอุปกรณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นแทนที่จะเป็นตัวจากเขาวงกตเอา
อุปกรณ์จากเขาวงกตนั้นเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นหายนะได้ถ้าประเทศอื่นๆบุกเข้ามาโดยที่กองกำลังทหารของประเทศยังไม่ได้จัดตั้งขึ้น
และผลลัพธ์ก็คือ—ระบบปลีกวิเวกในปัจจุบัน
(หึมมม มีข้อมูลเกี่ยวกับลา-ฟิซาน้อยเกินไป)
ผมไม่มีทางลืมอะไรที่ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งได้ต้องขอบคุณ【World Ruler】ดังนั้นผมเลยเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยโดยอ่านข้อมูลจากเอกสารที่ได้รับมาจากกิลด์
อุปกรณ์ของผมมีมีดสั้นที่ได้มาจากเอิร์ลชายแดน, ถุงมือติดสนับมือ, และร้องเท้าบูทที่เสริมด้วยแผ่นเหล็ก ในเขาวงกตมีมอนสเตอร์ที่ปรากฏออกมาอยู่ 2 ประเภทนั่นก็คือ มอนสเตอร์ กับ ออโตมาตอน (automaton) ที่สร้างขึ้นโดยลา-ฟิซา พวกมอนสเตอร์นั้นจะเกินในถ้ำที่ไม่มีคนใช้มานานหลายปี และจะถ้ากำจัดมันก็จะได้หินเวทย์ด้วย หินเวทย์สามารถขายได้เพราะพวกมันเป็นเหมือนกับแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่
ปัญหาก็คือออโตมาตอน ที่แต่ละส่วนของมันคืออุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นพวกเราจะต้องจำกัดการเคลื่อนไหวของมันโดยที่ไม่ทำความเสียหายมากเกินไป …บางทีพวกเราอาจจะต้องสู้กับมันมือเปล่าเลยก็ได้
ถุงมือหนังติดสนับมือนั้นมีแผ่นโลหะติดอยู่ที่หลังมือ ซึ่งสามารถป้องกันได้ไปจนถึงข้อศอกเลย
นอกจากนั้น ผมยังซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างที่มีขายในร้านที่เราไปเมื่อวานมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือโลหะทรงกรมหมุนได้ที่เหมือนกับฟิดเจ็ตสปินเนอร์ และอีกอันก็คืออุปกรณ์เวทมนตร์ลึกลับที่ร้อนเองได้ ดูเหมือนมิมิโนะซังเองก็เคยซื้อของพวกนี้ด้วยเหมือนกัน
…คืนนั้น ผมตรวจสอบอุปกรณ์เวทมนตร์พวกนั้นโดยใช้【World Ruler】เห็นได้แค่ว่าตัวเองสามารถใช้พวกมันได้แค่เล่นฆ่าเวลาเท่านั้นเอง
「เรย์จิคุง เสร็จแล้วละ」
「โอ๊ะ มันเสร็จสมบูรณ์แล้วหรอครับ?」
มิมิโนะซังเอาเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวมาให้ผม อย่างไรก็ตาม แขนเสื้อกับชายเสื้อนั้นถูกเย็บด้วยด้ายเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก
สีของมันเป็นผ้าขนสัตว์สีธรรมชาติ และผสมสีสดใสอย่างสีแดงเข้มกับสีถั่วเขียวเข้าไปด้วย ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่มิมิโนะซังตัดขึ้นจะเป็นชุดแนว*ดรูอิด (Druid) ดั้งเดิม ผมก็คิดว่าเสื้อผ้าของมิมิโนะซังจะเป็นวัฒนธรรมฮาร์ฟลิงซะอีก แต่ดูเหมือนอิทธิพลของดรูอิดจะแข็งแกร่งกว่าละนะ
「มันรู้สึกสดชื่อและดูดีมากเลยครับ」
「ดีใจจัง มันพอดีไหม?」
「ครับ!」
ตอนที่ผมกลับมาเข้าร่วมกับซิวเวอร์บาลานซ์ มิมิโนะซังที่ปลาบปลื้มกับเรื่องที่ผมยังใส่ชุดที่เธอเคยทำให้ผมเมื่อ 4 ปีก่อน ก็ได้พูดว่าเธอจะต้องตัดชุดให้ผมอีกแน่นอน
「ชั้นได้ร่ายเวทย์หลายอันลงไปด้วยนะ ความเสียหายเล็กน้อยน่าจะคืนสภาพเองได้ด้วยความยืดหยุ่นของพืชที่ใช้ทำ แถมยังมีความแข็งแรงพร้อมกับการปรับอุณหภูมิและป้องกันเวทมนตร์ด้วยนะ」
「เอ๊ะ… มันสุดยอดมากกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี้ย」
「เพราะอุปกรณ์สวมใส่เป็นชีวิตของนักผจญภัยยังไงละ!」
มันก็จริงแห่ะ ขอโทษครับที่ผมคิดว่าอยากจะให้มันดูเท่กว่านี้ครับ
「…มิมิโนะซัง เธอใช้เงินเก็บที่เก็บสะสมมา 4 ปีไปเป็นจำนวนมากเพื่อชุดนั้น ใช่ไหมละจ๊ะ?」
「หว่า น็อน!?」
「งั้นหรอครับ!? ไม่ครับ ผมรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอครับ! โอ๊ะ คุณจะรับนี้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนได้ไหมครับ? มันเป็นมีดสั้นที่ได้รับมาจากบาบาเรี่ยน…」
「ไม่ มันไม่เป็นไรหรอก! ไม่เป็นไร! เธอเป็นสมาชิกปาร์ตี้ของชั้น แถมอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เงินกับของแบบนั้นนะ นอกจากนี้ ชั้นเองก็ยังสนุกที่ได้ทำมันด้วย… เดี๋ยวนะ? บาบาเรี่ยนอะไรนะ??」
「โอ๊ะ คือเรื่องมันยาวหน่ะครับ…」
และหัวข้อคุยก็เปลี่ยนไป
「ให้ตายสิ〜 เธอได้รับความรักมากเลยนะ หนุ่มน้อย」
「มาตอนไหนครับเนี้ย เซอรี่ซัง เดี๋ยวจะคุยนอกเรื่องกัน ทำไมคุณไม่ไปตรงมุมโน้นแล้วดื่มนมหรืออะไรเงียบๆละครับ…」
「พักหลังมานี้เธอแกล้งเค้าบ่อยไปแล้วนะ หนุ่มน้อย! เมื่อวานเองทุกคนก็พูดว่า “เยี่ยม” ด้วย! ฮึม!」
หลังจากนั้นสักพัก ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
พวกเราทานอาหารเช้าแล้วเตรียมตัวกัน พวกเราไม่ได้มีสัมภาระเยอะแยะอะไรเนื่องจากพวกเราออกเดินทางกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเราเลยบรรทุกสัมภาระเอาไว้ที่รถเข็นเล็กๆที่ติดอยู่กับเนโกะจัง
「ถ้าพวกนายเจอสมบัติมากมายละก็ พวกนายจะต้องเริ่มแบบสัมภาระกันเองนะ ฮ่าฮ่าฮ่า」มูเกะซังพูดติดตลก
「แน่นอน จะหาสมบัตมากมายจนเนโกะจังขนไม่ไหวเลยละ」ดันเต้ซังตอบกลับอย่างแข็งขัน
หน้าผาที่เป็นทางเข้าของ “เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว” นั้นอยู่ห่างจากบริษัทของมูเกะซังประมาณชั่วโมงนึง รางถูกตั้งเป็นเส้นตรงพร้อมกับแผ่นไม้ถูกยึดด้วยสายไฟหนาๆที่สามารถดึงขี้นได้—หรือที่เรียกกันว่าลิฟต์
มูเกะซังพูดคุยกับยามชาวเลฟที่ยืนหาวอยู่ แล้วพวกเราก็ถูกพาไปขึ้นไปยังลิฟต์ ถึงมันจะเป็นลิฟต์ แต่มันก็มีขนาดใหญ่มาก มีที่มากพอจะให้พวกเราทั้งหมดขึ้นไปพร้อมๆกับเนโกะจังได้เลย
「โอ๊ะ ขยับแล้ว!」
ดันเต้ซังดูพอใจที่พื้นตรงที่เขายืนอยู่เริ่มขยับ—ทว่ามิมิโนะซังกลับกอดแขนผมแน่นเลย
「…มิมิโนะซัง?」
「หะ-ให้ชั้นเกาะอยู่จนกว่าพวกเราจะถึงด้านบน ได้ไหม้?」
「แน่นอนครับ」
กลัวความสูงสินะ
ในท้ายที่สุด ลิฟต์ก็ได้หยุดลงห่างจากพื้นดินประมาณ 15 เมตร เมื่อพวกเราลงไปยังทางเดินที่ยื่นออกมา มูเกะซังก็โบกมือลงไปข้างล่าง แล้วลิฟต์ก็ได้กลับลงไป
「จากตรงนี้… พวกเราจะตรงไปยังทางเข้าของเขาวงกตกัน」
น้ำเสียงของมูเกะซังแข็งเล็กน้อย
อย่างที่คิด — ถึงเขาจะทำธุรกิจกับกองกองคาราวานที่โลก “ภายนอก” ถึงครั้งนี้จะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีขนาดไหน เขาก็คงรู้สึกถึงความแตกต่างในการเสี่ยงชีวิตของเขาอยู่ดี
ถ้ำอันมืดมิดตั้งอยู่เบื้องหน้าของพวกเรา ดวงอาทิตย์นั้นอยู่ที่อีกด้านของหน้าผา ดังนั้นจึงไม่มีแสงใดๆเลย พวกเราเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์ที่ห้อยอยู่ด้านหน้าเนโกะจัง และน็อนซังที่ถือตะเกียงเวทมนตร์อยู่เช่นกัน
ถ้ำนั้นกว้างมาก ถึงขนาดที่ถ้ามีใครสักคนเดินผ่านออกมาจากด้านใน พวกเราก็สามารถเดินผ่านกันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย–ถึงจะไม่มีสัญญาณของอะไรแบบนั้นเลยก็เุถอะ
「นี้สินะเขาวงกต」
หลังจากที่เดินมาได้ไม่กี่วินาที แสงสลัวๆก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า
ทางเข้านั้นใหญ่ถึงขนาดต้องเงยหน้ามอง และมันก็ค่อนข้างถูกสร้างขึ้นโดยรสนิยมแย่ๆด้วย
มีครึ่งวงกลมโพล่ออกมาทั้งซ้ายและขวาสร้างแสงสว่างให้กับทางเข้า
พื้นผิวของกำแพงนั้นเรียบเนียนไม่มีรอยขรุขระใดๆ
และส่วนของทางเข้านั้น… เป็น “ใบหน้ามนุษย์” ขนาดยักษ์
ใบหน้าที่แกะสลักอย่างประณีตนั้นอ้าปากกว้าง บางทีคงหมายถึงให้เข้าไปทางนี้
ผมจะอธิบายใบหน้าของมันยังไงดี… มันดูเหมือนกับกำลังทรมานและหวาดกลัว
สื่งที่ไม่น่าอภิรมย์ก็คือน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปาก ตามที่【World Ruler】บอก มันดูเหมือนจะเป็นน้ำใต้ดิน น้ำพวกนี้ถูกดึงมาตรงนี้อย่างตั้งใจ — เพื่อแสดงถึงกำลังน้ำลายไหลอย่างนั้นหรอ?
「ทุกทางเข่าของแต่ละเขาวงกตนั้นเป็นใบหน้า… ดูเหมือนที่นี่จะเป็นใบหน้าของเผ่ามนุษย์ ถ้าลองมองที่ตาของมันดีๆ มันเขียนว่า “ความหวาดกลัว (Fear)” ใช่ไหมละ? นั่นแหล่ะชื่อของเขาวงกตนี้ละ」มูเกะซังพูดในขณะที่พวกเรามองดูทางเข้าอย่างพูดไม่ออก
ส่วนนึงของนัยน์ตานั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า “ความหวาดกลัว” นั่นหมายความว่าใบหน้าของมนุษย์นี้กำลังหวาดกลัวงั้นหรอ?
「…พวกนายจะเอายังไงละ? ถ้าพวกนายอยากจะกลับละก็–」
「ไปต่อกันเถอะ」ดันเต้ซังตัดสินใจอย่างรวดเร็ว「ก็มีพวกทีมยึดครองอยู่ข้างในด้วยใช่ไหมละ? ถ้างั้นก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว」
ผมเองก็คิดเหมือนกัน
ดันเต้ซังเดินนำ และผมก็เป็นคนถัดไปโดยถือตะเกียงเวทมนตร์ของน็อนซังไปด้วย
เนโกะจังนั้นอยู่ท้ายขบวนตามพวกเรามาอย่างช้าๆพร้อมกับส่งเสียงออกมา พวกเราได้ย่างกรายเข้าไปในดันเจี้ยนที่เหมือนกับถูกใบหน้าของมนุษย์กลืนกินเข้าไป
========================================================
TL: คิดถึงกันไหมเอ๋ย 😀
Comments