[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limitบทที่2 54

Now you are reading [นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit Chapter บทที่2 54 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 2 ตอนที่ 54

 

เมื่อเอิร์ลชายแดนพูดเสียงดัง พวกทหารก็พากันไปยังทหารที่สลบอยู่ – ปลุกพวกเขา – แล้วจากไป

 

「เรย์จิ!」

 

คุณหนูผู้ที่เฝ้าดูอยู่จากที่ไกลๆวิ่งเข้ามากอดผม

 

「เรย์จิ ไม่เป็นไรใช่ไหม? ชั้นรู้ว่านายชนะได้ก็จริง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี」

 

「ก็อย่างที่ผมบอกคุณหนูครับว่าผมไม่มีทางแพ้หรอกครับถ้าผมเอาจริง ถึงผมจะทำลายพื้นหินไปก็เถอะนะครับ ดังนั้นเดี๋ยวจะต้องปรับปรุงในส่วนนั้นด้วย」

 

ผมรู้สึกถึงคุณหนูที่ตัวสั่น ผมเลยลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน – แต่ก็ยังคงระแวดระวังเอิร์ลชายแดนอยู่

 

「คุคุคุ อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ มันทำให้ข้าอยากจะสู้กับเจ้าเลยนะ!」

 

「ถ้าคุณขวางทางผมละก็ ผมก็จะกำจัดคุณแม้คุณจะไม่อยากสู้ก็ตามนะครับ」

 

「เจ้านี้น่าสนใจจริงๆ! ดูเจ้าสู้กับคนกลางได้ว่าสุดยอดแล้ว แต่ตอนนี้ ข้าไม่สามารถประเมินขีดจำกัดของเจ้าได้เลย!」

 

เอิร์ลชายแดนลงจากม้าของเขาก่อนจะวางขวานศึกเอาไว้บนพื้น และเดินเข้ามาหาพร้อมกับเสียงหนักๆ

 

「ขอโทษด้วยที่เจ้าจะต้องจัดการกับทหารของตระกูลเอเบนแบบนั้น จริงๆแล้วข้ากะจะสู้แทนเจ้าซะด้วยซ้ำ แต่นั่นดูจะไม่จำเป็นซะแล้ว」

 

「หมายความว่ายังไงครับ?」

 

「ข้าเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการเพื่อมาขอโทษเจ้าจากราชันศักดิ์สิทธิ์หน่ะ」

 

「ผทไม่ต้องการครับ เพราะผมจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์และประเทศนี้แล้วครับ」ผมพูดพร้อมกับส่ายหัว

 

「งั้นรึ…」

 

เอิร์ลชายแดนลับตาลงพร้อมกับสีหน้าดุดัน

 

「ประเทศนี้ช่างโง่เขลา… ที่ปฏิบัติกับเจ้าผู้ที่ต่อสู้กับคนกลางและช่วยชีวิตผู้คนมากมายแบบนี้」

 

「ไม่ครับ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเทศนี้หรอกครับ มันก็แค่ผมมีบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำหน่ะครับ ไปกันเุถอะครับ คุณหนู」

 

「…อืม」

 

ถ้าเขาไม่ได้มาขวางทางผมละก็ งั้นก็ไม่เป็นไร ผมจับมือคุณหนูแล้วเดินผ่านเอิร์ลชายแดนไป

 

「เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าไม่ได้คิดที่จะพามิสอีวาไปด้วยใช่ไหมหน่ะ?」

 

「…แล้วถ้าผมจะทำแบบนั้นละครับ? คุณจะทุบผมด้วยอาวุธหน้าตาโหดเหี้ยมนั่นไหมละครับ?」

 

「เห้ยๆ จะหาเรื่องก็ให้มีขอบเขตกันหน่อย รู้ไหม อย่าไปหาเรื่องสู้โดยไม่จำเป็นสิ ข้าไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องของตระกูลซิวลิซส์หรอกนะ แค่อยากจะยืนยันเฉยๆ」

 

「…คุณพูดถูก」

 

ความอยากปะทะของผมดูจะยังไม่เย็นลงเลย

 

ผมจะต้องใจเย็นลง — ไม่งั้นผมก็ไม่ต่างอะไรกับหมาบ้าเลย

 

「ชั้นตัดสินใจที่จะอยู่กับเรย์จิค่ะ ดังนั้นลาก่อนนะคะ ท่านเอิร์ลประจำชายแดน」

 

เมื่อคุณหนูจีบปลายกระโปรงแล้วถอนสายบัวแบบลูกสาวขุนนาง เอิร์ลชายแดนก็พยักหน้าด้วยสีหน้าปั้นยาก

 

「เจ้าหนู… ไม่สิ เรย์จิ」

 

เอิร์ลชายแดนนำมีดพร้อมฝักที่เน็บอยู่ข้างเอวเขาออกมาแล้วโยนมันให้กับผม ผมรับมันอย่างทุลักทุเล

 

ฝักยาวประมาณ 30 เซนติเมตรตกแต่งด้วยเปลือกหอยสีรุ้ง ดูจะมีค่ามากๆ เมื่อผมดึงมันออกก็ปรากฏใบมีสีขาวราวกับหิมะ

 

「นี้มัน…? ดูเหมือนจะเป็นมิธริล」

 

「ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกถ้าเจ้ารู้ถึงขนาดนั้น อันนั้นข้าให้ ถือเป็นของขวัญจากลา」

 

「ผมรับมันไว้ไม่ได้หรอกครับ มันแพงเกินไป」

 

「ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ข้าก็แค่ชอบเจ้าเท่านั้นเอง คนอย่างเจ้าเดินไปมาโดยไม่มีอาวุธนั้นเป็นเรื่องน่าอดสูเกินไป …แล้วก็นี้เงินที่เจ้าสมควรจะได้รับ」

 

ครั้งนี้เขาโยนถุงหนังมาให้ เมื่อผมรับมัน ผมก็ได้ยินเสียงเหรียญทองกระทบกัน มั่นใจเลยว่านี้จะต้องเป็นเหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์สัญญาจะให้ผม อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่า “รางวัล” นี้ก็แค่ข้อแก้ตัวเท่านั้นเอง และเอิร์ลชายแดนเองก็ทนเห็นผมจากไปตัวเปล่าไม่ได้ – ที่เหมือนกับผมถูกขับไล่ออกนอกประเทศ – ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ของพวกนี้กับผม

 

「เข้าใจแล้วครับ ผมจะรับมันไว้」

 

ผมเก็บกระเป๋าหนังแล้วถือมีดเอาไว้ที่มือซ้าย

 

คนๆนี้ แค่คนๆนี้คนเดียว ที่ปฏิบัติกับผมโดยไม่แรงจูงใจซ่อนเร้นเหมือนขุนนางคนอื่นๆ ผมมั่นใจว่าเขาคงจะรู้ว่าผมมีผมสีดำตาสีดำแน่ๆ—ยิ่งมาในฐานะผู้แทนราชันศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ด้วย ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องหยาบคายที่จะไม่รับมันถ้าเขาต้องถ่อมาถึงนี้เพื่อส่งผมแบบนี้

 

…ไม่ แต่ถ้านี้เป็นกลอุบายเพื่อหลอกผมละ? ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ งั้นผมก็จะไม่เชื่อใจขุนนางอีกเลยทั้งชีวิตนี้

 

「ดูแลตัวเองด้วย และ ถ้าเจ้าอยากละก็ มาที่ดินแดนของข้าได้นะ คำเชิญนั่นจะอยู่จนกว่าข้าจะตายเลย ว่ะฮ่าๆๆๆ」

 

พวกเราโค้งคำนับต่อเอิร์ลชายแดนที่หัวเราะอย่างเริงร่าก่อนจะเริ่มเดินออกไป เหล่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์พยายามที่จะตามพวกเรามา ทว่าเอิร์ลชายแดนก็ได้หยุดพวกเขาเอาไว้ “อย่าไปยุ่งกับการเดินทางของลูกผู้ชาย” เขาคำรามแบบนั้น เขานี้มันคนจริงจริงๆ… ผมคงจะเทิดทูนเขาถ้าเขาไม่ได้ดูเหมือนเบอร์เซิร์กเกอร์ละก็นะ

 

พวกเราค่อยๆออกห่างจากคฤหาสน์ซิวลิซส์

 

ผมเดินผ่าน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” ขณะที่กุมมือของคุณหนูเอาไว้

 

แสงไฟจากตะเกียวเวทมนตร์ส่องสว่างเป็นทาง ทว่าไม่มีผู้คนผ่านไปผ่านมาเลย ที่นี่เป็นที่ที่ชนชั้นสูงของประเทศอาศัยอยู่

 

ถ้ามาคิดดูละก็ คุณหนูคงจะไม่เคยเดินทางบนถนนเส้นนี้โดยไม่ใช้รถม้าแน่ๆ อ่า ไม่สิ มีครั้งนึงที่เธอได้เดินอยู่เหมือนกัน ตอนที่พวกเราออกมาเดินบนถนนโดยที่ปลอมตัวเป็นสามัญชนครั้งนั้น

 

「…เงียบจังเลยนะครับ」ผมพูด

 

「อืม ก็นี้มันกลางดึกแล้วนี้นะ」

 

แสงจากบ้านเรือนนั้นมืดสนิท และผมก็ไม่รับรู้ถึงสัญญาณของผู้คนใดๆ

 

แทบจะรู้สึกเหมือนกับมีแค่ผมกับคุณหนูอยู่ในโลกใบนี้เพียงสองคนเท่านั้นเลย

 

「นายเกิดที่ไหนงั้นหรอ เรย์จิ?」

 

อยู่ๆคุณหนูก็ถามขึ้นมาแบบนั้น

 

「…เมืองในชนบทหน่ะครับ มีทุ่งข้าวกว้างใหญ๋แผ่ขยายรอบๆแม่น้ำสายใหญ่ ทุกๆวันผมจะไปโรงเรียนโดยเดินผ่านทุ่งข้าวพวกนั้นครับ」

 

「ทุ่งข้าว? โรงเรียน?」

 

「ทุ่งข้าวก็คือทุ่งที่ใช้ปลูกพืชชนิดนึงครับ ส่วนโรงเรียนก็… มันมีโรงเรียนสอนวิชาชีพสำหรับสามัญชนอยู่ในประเทศนี้ด้วยใช่ไหมละครับ? โรงเรียนที่ผมเรียนก็คือสอนเรื่องทั่วๆไปหน่ะครับ」

 

「นายมาจากตระกูลขุนนางงั้นหรอ เรย์จิ?」

 

「ฟุฟุ」

 

ผมเผลอหัวเราะออกมา มันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อคิดว่าพ่อของผมที่เป็นข้าราชการท้องที่จะเป็นขุนนางแบบนั้น

 

「ผมไม่ใช่ขุนนางหรอกครับ ผมมาจากครอบครัวสามัญชน… แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะครับ」

 

ผมรำลึกความทรงจำในชาติก่อนได้ที่เหมืองที่ 6 นั่น แต่ก็น่าแปลกที่ผมไม่เคยรู้สึกอะไรอย่างน่าคิดถึงหรืออยากกลับบ้านเลย มันอาจจะเป็นเพราะผมได้ตายอย่างสงบในชาติก่อนก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานาน หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นเพราะมันเหมือนความทรงจำที่ห่างไกลก็ได้

 

ทว่าในตอนนี้ ผมคิดถึงชีวิตในญี่ปุ่นเหลือเกิน

 

ผมอยากที่จะเดินไปกับคุณหนูในเมืองที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นแบบนั้น

 

「เรย์จิ งั้น…」

 

จากนั้นคุณหนูก็ถามอะไรผมหลายอย่าง มันคงเป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนถามถึงอดีตของผมมากขนาดนี้ ทั้งอาหารที่ชอบ, หนังสือที่ผมสนใจ, ใครที่ผมชื่นชอบ

 

อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานมันก็จะมาถึงจุดสิ้นสุด

 

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเราก็คือ “กำแพงที่ 3” ที่แยกระหว่าง “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” กับ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ออกจากกัน มีทหารยามที่ถือตะเกียงเวทมนตร์ที่ใหญ่เป็นพิเศษกำลังตรวจสอบผู้คนที่ผ่านเข้าออกอยู่

 

เมื่อยามได้ถามผมว่าทำไมถึงออกมาดึกดื่นแบบนี้ ผมก็ได้แสดงตราสัญลักษณ์ของตระกูลซิวลิซส์ขึ้น แล้วพวกเขาก็ถอยออกไป ผมไม่ใช่สมาชิกตระกูลซิวลิซส์อีกต่อไปแล้วก็จริง แต่เอิร์ลไม่ได้บอกผมให้ “คืน” มันนี้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไรหรอก

 

เนื่องจากมันยังเป็นกลางดึก ประตูของ “กำแพงที่ 3” จึงยังปิดอยู่ ทว่าเมื่อพวกเราต้องการจะออกไป พวกยามก็เลยต้องลำบากเปิดมันออก เมื่อประตูเปิดออก ความมืดมิดของ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ก็ได้ปรากฏพร้อมกับสายลมที่พัดพา

 

「คุณหนูครับ」ผมพูด「พวกเราคงจะต้องจากกันตรงนี้แล้วละครับ」

 

คุณหนูมองมาที่ผมอย่างตกตะลึง

 

「…เอ๊ะ?」

 

========================================================

TL: เรย์จิ… เอ็งนี้มัน…

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limitบทที่2 54

Now you are reading [นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit Chapter บทที่2 54 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 2 ตอนที่ 54

 

เมื่อเอิร์ลชายแดนพูดเสียงดัง พวกทหารก็พากันไปยังทหารที่สลบอยู่ – ปลุกพวกเขา – แล้วจากไป

 

「เรย์จิ!」

 

คุณหนูผู้ที่เฝ้าดูอยู่จากที่ไกลๆวิ่งเข้ามากอดผม

 

「เรย์จิ ไม่เป็นไรใช่ไหม? ชั้นรู้ว่านายชนะได้ก็จริง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี」

 

「ก็อย่างที่ผมบอกคุณหนูครับว่าผมไม่มีทางแพ้หรอกครับถ้าผมเอาจริง ถึงผมจะทำลายพื้นหินไปก็เถอะนะครับ ดังนั้นเดี๋ยวจะต้องปรับปรุงในส่วนนั้นด้วย」

 

ผมรู้สึกถึงคุณหนูที่ตัวสั่น ผมเลยลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน – แต่ก็ยังคงระแวดระวังเอิร์ลชายแดนอยู่

 

「คุคุคุ อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ มันทำให้ข้าอยากจะสู้กับเจ้าเลยนะ!」

 

「ถ้าคุณขวางทางผมละก็ ผมก็จะกำจัดคุณแม้คุณจะไม่อยากสู้ก็ตามนะครับ」

 

「เจ้านี้น่าสนใจจริงๆ! ดูเจ้าสู้กับคนกลางได้ว่าสุดยอดแล้ว แต่ตอนนี้ ข้าไม่สามารถประเมินขีดจำกัดของเจ้าได้เลย!」

 

เอิร์ลชายแดนลงจากม้าของเขาก่อนจะวางขวานศึกเอาไว้บนพื้น และเดินเข้ามาหาพร้อมกับเสียงหนักๆ

 

「ขอโทษด้วยที่เจ้าจะต้องจัดการกับทหารของตระกูลเอเบนแบบนั้น จริงๆแล้วข้ากะจะสู้แทนเจ้าซะด้วยซ้ำ แต่นั่นดูจะไม่จำเป็นซะแล้ว」

 

「หมายความว่ายังไงครับ?」

 

「ข้าเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการเพื่อมาขอโทษเจ้าจากราชันศักดิ์สิทธิ์หน่ะ」

 

「ผทไม่ต้องการครับ เพราะผมจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์และประเทศนี้แล้วครับ」ผมพูดพร้อมกับส่ายหัว

 

「งั้นรึ…」

 

เอิร์ลชายแดนลับตาลงพร้อมกับสีหน้าดุดัน

 

「ประเทศนี้ช่างโง่เขลา… ที่ปฏิบัติกับเจ้าผู้ที่ต่อสู้กับคนกลางและช่วยชีวิตผู้คนมากมายแบบนี้」

 

「ไม่ครับ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเทศนี้หรอกครับ มันก็แค่ผมมีบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำหน่ะครับ ไปกันเุถอะครับ คุณหนู」

 

「…อืม」

 

ถ้าเขาไม่ได้มาขวางทางผมละก็ งั้นก็ไม่เป็นไร ผมจับมือคุณหนูแล้วเดินผ่านเอิร์ลชายแดนไป

 

「เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าไม่ได้คิดที่จะพามิสอีวาไปด้วยใช่ไหมหน่ะ?」

 

「…แล้วถ้าผมจะทำแบบนั้นละครับ? คุณจะทุบผมด้วยอาวุธหน้าตาโหดเหี้ยมนั่นไหมละครับ?」

 

「เห้ยๆ จะหาเรื่องก็ให้มีขอบเขตกันหน่อย รู้ไหม อย่าไปหาเรื่องสู้โดยไม่จำเป็นสิ ข้าไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องของตระกูลซิวลิซส์หรอกนะ แค่อยากจะยืนยันเฉยๆ」

 

「…คุณพูดถูก」

 

ความอยากปะทะของผมดูจะยังไม่เย็นลงเลย

 

ผมจะต้องใจเย็นลง — ไม่งั้นผมก็ไม่ต่างอะไรกับหมาบ้าเลย

 

「ชั้นตัดสินใจที่จะอยู่กับเรย์จิค่ะ ดังนั้นลาก่อนนะคะ ท่านเอิร์ลประจำชายแดน」

 

เมื่อคุณหนูจีบปลายกระโปรงแล้วถอนสายบัวแบบลูกสาวขุนนาง เอิร์ลชายแดนก็พยักหน้าด้วยสีหน้าปั้นยาก

 

「เจ้าหนู… ไม่สิ เรย์จิ」

 

เอิร์ลชายแดนนำมีดพร้อมฝักที่เน็บอยู่ข้างเอวเขาออกมาแล้วโยนมันให้กับผม ผมรับมันอย่างทุลักทุเล

 

ฝักยาวประมาณ 30 เซนติเมตรตกแต่งด้วยเปลือกหอยสีรุ้ง ดูจะมีค่ามากๆ เมื่อผมดึงมันออกก็ปรากฏใบมีสีขาวราวกับหิมะ

 

「นี้มัน…? ดูเหมือนจะเป็นมิธริล」

 

「ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกถ้าเจ้ารู้ถึงขนาดนั้น อันนั้นข้าให้ ถือเป็นของขวัญจากลา」

 

「ผมรับมันไว้ไม่ได้หรอกครับ มันแพงเกินไป」

 

「ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ข้าก็แค่ชอบเจ้าเท่านั้นเอง คนอย่างเจ้าเดินไปมาโดยไม่มีอาวุธนั้นเป็นเรื่องน่าอดสูเกินไป …แล้วก็นี้เงินที่เจ้าสมควรจะได้รับ」

 

ครั้งนี้เขาโยนถุงหนังมาให้ เมื่อผมรับมัน ผมก็ได้ยินเสียงเหรียญทองกระทบกัน มั่นใจเลยว่านี้จะต้องเป็นเหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์สัญญาจะให้ผม อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่า “รางวัล” นี้ก็แค่ข้อแก้ตัวเท่านั้นเอง และเอิร์ลชายแดนเองก็ทนเห็นผมจากไปตัวเปล่าไม่ได้ – ที่เหมือนกับผมถูกขับไล่ออกนอกประเทศ – ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ของพวกนี้กับผม

 

「เข้าใจแล้วครับ ผมจะรับมันไว้」

 

ผมเก็บกระเป๋าหนังแล้วถือมีดเอาไว้ที่มือซ้าย

 

คนๆนี้ แค่คนๆนี้คนเดียว ที่ปฏิบัติกับผมโดยไม่แรงจูงใจซ่อนเร้นเหมือนขุนนางคนอื่นๆ ผมมั่นใจว่าเขาคงจะรู้ว่าผมมีผมสีดำตาสีดำแน่ๆ—ยิ่งมาในฐานะผู้แทนราชันศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ด้วย ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องหยาบคายที่จะไม่รับมันถ้าเขาต้องถ่อมาถึงนี้เพื่อส่งผมแบบนี้

 

…ไม่ แต่ถ้านี้เป็นกลอุบายเพื่อหลอกผมละ? ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ งั้นผมก็จะไม่เชื่อใจขุนนางอีกเลยทั้งชีวิตนี้

 

「ดูแลตัวเองด้วย และ ถ้าเจ้าอยากละก็ มาที่ดินแดนของข้าได้นะ คำเชิญนั่นจะอยู่จนกว่าข้าจะตายเลย ว่ะฮ่าๆๆๆ」

 

พวกเราโค้งคำนับต่อเอิร์ลชายแดนที่หัวเราะอย่างเริงร่าก่อนจะเริ่มเดินออกไป เหล่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์พยายามที่จะตามพวกเรามา ทว่าเอิร์ลชายแดนก็ได้หยุดพวกเขาเอาไว้ “อย่าไปยุ่งกับการเดินทางของลูกผู้ชาย” เขาคำรามแบบนั้น เขานี้มันคนจริงจริงๆ… ผมคงจะเทิดทูนเขาถ้าเขาไม่ได้ดูเหมือนเบอร์เซิร์กเกอร์ละก็นะ

 

พวกเราค่อยๆออกห่างจากคฤหาสน์ซิวลิซส์

 

ผมเดินผ่าน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” ขณะที่กุมมือของคุณหนูเอาไว้

 

แสงไฟจากตะเกียวเวทมนตร์ส่องสว่างเป็นทาง ทว่าไม่มีผู้คนผ่านไปผ่านมาเลย ที่นี่เป็นที่ที่ชนชั้นสูงของประเทศอาศัยอยู่

 

ถ้ามาคิดดูละก็ คุณหนูคงจะไม่เคยเดินทางบนถนนเส้นนี้โดยไม่ใช้รถม้าแน่ๆ อ่า ไม่สิ มีครั้งนึงที่เธอได้เดินอยู่เหมือนกัน ตอนที่พวกเราออกมาเดินบนถนนโดยที่ปลอมตัวเป็นสามัญชนครั้งนั้น

 

「…เงียบจังเลยนะครับ」ผมพูด

 

「อืม ก็นี้มันกลางดึกแล้วนี้นะ」

 

แสงจากบ้านเรือนนั้นมืดสนิท และผมก็ไม่รับรู้ถึงสัญญาณของผู้คนใดๆ

 

แทบจะรู้สึกเหมือนกับมีแค่ผมกับคุณหนูอยู่ในโลกใบนี้เพียงสองคนเท่านั้นเลย

 

「นายเกิดที่ไหนงั้นหรอ เรย์จิ?」

 

อยู่ๆคุณหนูก็ถามขึ้นมาแบบนั้น

 

「…เมืองในชนบทหน่ะครับ มีทุ่งข้าวกว้างใหญ๋แผ่ขยายรอบๆแม่น้ำสายใหญ่ ทุกๆวันผมจะไปโรงเรียนโดยเดินผ่านทุ่งข้าวพวกนั้นครับ」

 

「ทุ่งข้าว? โรงเรียน?」

 

「ทุ่งข้าวก็คือทุ่งที่ใช้ปลูกพืชชนิดนึงครับ ส่วนโรงเรียนก็… มันมีโรงเรียนสอนวิชาชีพสำหรับสามัญชนอยู่ในประเทศนี้ด้วยใช่ไหมละครับ? โรงเรียนที่ผมเรียนก็คือสอนเรื่องทั่วๆไปหน่ะครับ」

 

「นายมาจากตระกูลขุนนางงั้นหรอ เรย์จิ?」

 

「ฟุฟุ」

 

ผมเผลอหัวเราะออกมา มันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อคิดว่าพ่อของผมที่เป็นข้าราชการท้องที่จะเป็นขุนนางแบบนั้น

 

「ผมไม่ใช่ขุนนางหรอกครับ ผมมาจากครอบครัวสามัญชน… แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะครับ」

 

ผมรำลึกความทรงจำในชาติก่อนได้ที่เหมืองที่ 6 นั่น แต่ก็น่าแปลกที่ผมไม่เคยรู้สึกอะไรอย่างน่าคิดถึงหรืออยากกลับบ้านเลย มันอาจจะเป็นเพราะผมได้ตายอย่างสงบในชาติก่อนก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานาน หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นเพราะมันเหมือนความทรงจำที่ห่างไกลก็ได้

 

ทว่าในตอนนี้ ผมคิดถึงชีวิตในญี่ปุ่นเหลือเกิน

 

ผมอยากที่จะเดินไปกับคุณหนูในเมืองที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นแบบนั้น

 

「เรย์จิ งั้น…」

 

จากนั้นคุณหนูก็ถามอะไรผมหลายอย่าง มันคงเป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนถามถึงอดีตของผมมากขนาดนี้ ทั้งอาหารที่ชอบ, หนังสือที่ผมสนใจ, ใครที่ผมชื่นชอบ

 

อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานมันก็จะมาถึงจุดสิ้นสุด

 

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเราก็คือ “กำแพงที่ 3” ที่แยกระหว่าง “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” กับ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ออกจากกัน มีทหารยามที่ถือตะเกียงเวทมนตร์ที่ใหญ่เป็นพิเศษกำลังตรวจสอบผู้คนที่ผ่านเข้าออกอยู่

 

เมื่อยามได้ถามผมว่าทำไมถึงออกมาดึกดื่นแบบนี้ ผมก็ได้แสดงตราสัญลักษณ์ของตระกูลซิวลิซส์ขึ้น แล้วพวกเขาก็ถอยออกไป ผมไม่ใช่สมาชิกตระกูลซิวลิซส์อีกต่อไปแล้วก็จริง แต่เอิร์ลไม่ได้บอกผมให้ “คืน” มันนี้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไรหรอก

 

เนื่องจากมันยังเป็นกลางดึก ประตูของ “กำแพงที่ 3” จึงยังปิดอยู่ ทว่าเมื่อพวกเราต้องการจะออกไป พวกยามก็เลยต้องลำบากเปิดมันออก เมื่อประตูเปิดออก ความมืดมิดของ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ก็ได้ปรากฏพร้อมกับสายลมที่พัดพา

 

「คุณหนูครับ」ผมพูด「พวกเราคงจะต้องจากกันตรงนี้แล้วละครับ」

 

คุณหนูมองมาที่ผมอย่างตกตะลึง

 

「…เอ๊ะ?」

 

========================================================

TL: เรย์จิ… เอ็งนี้มัน…

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+