บัลลังก์หมอยาเซียน 1003 ตะบึงไปยังหนานเจียง

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 1003 ตะบึงไปยังหนานเจียง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ออกมาจากอุโมงค์เวลา เป็นตำหนักบรรทมของไทเฮา

เป็นเวลานานหยวนชิงหลิงก็สงบอารมณ์จิตใจลงไม่ได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานี้ ก็เป็นการจากบ้านอีกครั้งแล้ว อดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลพรากออกมา

ไทเฮาหลงพูดปลอบใจว่า “ไม่จำเป็นต้องเสียใจมากเกินไป ขอเพียงมีใจ อย่างไรเสียก็สามารถพบกันได้อีก”

หยวนชิงหลิงมองไทเฮาหลงด้วยน้ำตา “ถ้าหากวันหน้าคิดถึงบ้าน สามารถมาขอร้องพระองค์ให้ส่งหม่อมฉันอีกสักครั้งได้หรือไม่ ”

“ไม่ดี ”ไทเฮาหลงยิ้ม จ้องมองนาง “คิดหาวิธีเอาเองเถอะ ไตร่ตรองให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ก็สามารถไขความลับของทะเลสาบจิ้งได้ ”

ใช่แล้ว ยังมีทะเลสาบจิ้ง หยวนชิงหลิงตัดสินใจเงียบๆ หลังจากกลับไปจัดการเรื่องของหมันเอ๋อเสร็จแล้ว ก็จะพาพวกเด็กๆไปที่ทะเลสาบจิ้ง

พูดถึงอะซี่กับสวีอีที่เอายันต์เลือดเดินทางตรงไปยังหนานเจียง

หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ก็ไม่เคยจะได้ออกเดินทางกันตามลำพังในที่ที่มีระยะทางไกลเช่นนี้ และการไปครั้งนี้ยังเป็นการไปเสี่ยงอันตราย

ฉะนั้นตลอดการเดินทางในครั้งนี้สวีอีรู้สึกจิตใจไม่สงบนัก ได้แต่กำชับอยู่ตลอด ถ้าหากพบเจอกับอันตราย มีโอกาสให้รีบหนีทันที อย่าสนใจเขาอย่างเด็ดขาด

อะซี่นั้นชอบที่จะคิดสวนทางกับเขา ควบม้าห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มสดใสราวกับแสงอาทิตย์ “ไม่ ข้ากับเจ้าต้องตายก็ตายพร้อมกัน”

สวีอีนิ่งอึ้ง ไล่ตามนาง “ตอนที่แต่งงานกัน เจ้าเคยรับปากแล้วว่าเรื่องใหญ่ล้วนจะเชื่อฟังข้า”

“เรื่องของประเทศชาติจึงจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ความเป็นความตายและเกียรติยศส่วนตัวเป็นเรื่องเล็ก”อะซี่ยิ้ม “ท่านย่าบอกกับพวกเราเช่นนี้”

“แต่งงานออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี ตอนนี้เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”สวีอีรู้สึกลนลานขึ้นมา “เจ้าจำคำพูดนี้เอาไว้ให้ดี ถ้าหากมีอันตราย จำเป็นต้องหนี หนีกลับไปแล้วค่อยคิดหาวิธีการมาช่วยข้า”

“เจ้าตายใจเถอะ สวีอี เกี่ยวกับปัญหานี้ข้าไม่มีทางฟังเจ้าอย่างแน่นอน ในเมื่อพวกเราออกรบพร้อมกัน ถ้าหากท่านมีอันตราย ข้าไม่มีทางหลบหนีอย่างเด็ดขาด ในเมื่อแต่งงานกับเจ้าแล้ว ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่และตายพร้อมกับเจ้า ถ้าหากข้ามีอันตราย เจ้าจะทิ้งข้าไว้ไม่สนใจหรือ”

สวีอีได้ยินคำพูดนี้ ก็นิ่งไปชั่วครู่ ดวงตามีความร้อนผะผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

สิ้นสุดคำพูดของอะซี่ สวีอีก็ไม่พูดถึงเรื่องที่ถ้าหากพบเจออันตรายให้นางหนีไปก่อน เพราะคิดในทางกลับกัน ถ้าหากอะซี่มีอันตราย เขาเองก็ไม่มีทางหนีไปก่อนแน่นอน

และพูดถึงหยู่เหวินเทียนที่พาแม่นมฉินเร่งเดินทางไปที่หนานเจียง ว่ากันตามความเร็วในการเดินทาง จะไปรวมตัวกับพวกพี่สามที่เมืองลู่ของหนานเจียง หลังจากรวมตัวกันแล้ว ก็สามารถขึ้นภูเขาไปด้วยกัน

ระหว่างทางเสียเวลาอยู่บ้าง เพราะหลังจากที่เดินทางมาได้ประมาณสองวันครึ่ง หมันเอ๋อก็ปรากฏตัวขึ้น

การปรากฏตัวของหมันเอ๋อทำให้แม่นมฉินตื่นเต้นมาก จะให้นางกลับเมืองหลวงทันที แต่ว่าหมันเอ๋อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอม หาทางออกกันไม่ได้เป็นเวลาครึ่งวัน และด้วยเหตุนี้ทำให้เสียเวลาไปครึ่งวัน

สุดท้ายหยู่เหวินเทียนตัดสินใจจะพาหมันเอ๋อไปด้วย เขาเกลี้ยกล่อมแม่นมฉินด้วยตนเอง ถ้าหากเป็นกังวลในตัวหมันเอ๋อ เขาจะพยายามอย่างสุดกำลังในการปกป้องความปลอดภัยของหมันเอ๋อ

แม่นมฉินยังคงไม่เห็นด้วย นางไม่ได้ดูถูกหยู่เหวินเทียนหรือไม่เชื่อในตัวเขา แต่ความซับซ้อนและโหดเหี้ยมของเจียงเป่ย เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีทางนึกถึงได้

ในความคิดของนาง หยู่เหวินเทียนเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แค่ปกป้องตนเองยังลำบากไหนเลยจะสามารถปกป้องหมันเอ๋อได้ และเมื่อถึงยามคับขันอันตรายที่สุด โรมรันฆ่าฟันกัน ใครยังจะมีเวลาไปสนใจคนอื่นอีก

นางดึงตัวหมันเอ๋อเข้าไปในป่า ยังไม่ทันได้พูดจา หมันเอ๋อก็พูดขึ้นมาว่า “แม่นมฉิน ท่านอย่าได้ร่ายเวทมนตร์หรือคาถาต่อข้า ที่ท่านรู้พวกนั้น ข้าก็รู้ ข้าแก้ไขได้ ”

แม่นมฉินรู้สึกท้อใจขึ้นมาทันที “หมันเอ๋อ ทำไมเจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า เจ้าจะไปไม่ได้”

“พระชายารัชทายาทบอกว่า ”หมันเอ๋อมองนาง สายตามีแววซับซ้อน“ ท่านเป็นแม่ของข้า แต่ข้าสามารถบอกท่านอย่างมั่นใจได้ว่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ลูกสาวของท่าน ข้าไม่ใช่ลูกสาวของอ๋องหนานเจียง”

แม่นมฉินสีหน้าขาวซีด  ท่านเองก็คงจะเกลียดคนเจียงเป่ยเข้ากระดูกดำ พวกเขาฆ่าสามีของท่าน ฆ่าลูกสาวของท่าน การไปครั้งนี้ของท่านก็เพื่อแก้แค้น ข้าสามารถให้ความช่วยเหลือได้ ท่านเชื่อข้า ”

“ข้าไม่ต้องการแก้แค้น”แม่นมฉินเงยหน้าขึ้นถอนหายใจยาว เศร้าเสียใจระคนจนใจ “ข้าไม่มีทางแก้แค้นได้สำเร็จ ข้าตามไป ก็แค่หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าต้องเสี่ยงอันตราย ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อคำพูดที่พระชายารัชทายาทหรือไม่ ข้าก็เป็นแม่ของเจ้าจริงๆ

เจ้าเชื่อฟังข้า กลับไป ตอนนี้บนโลกใบนี้เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของอ๋องเจียงหนาน เจ้าจะเป็นอะไรไปไม่ได้ คนของเจียงเป่ยไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ พวกเขาจะจับตัวเจ้ากลับไปเป็นสาวหมอผี เจ้ายินดีจะเป็นปรปักษ์กับคนเจียงหนานจริงหรือ”

“แม่นมฉิน ท่านใจเย็นๆลงบ้าง”หมันเอ๋อขมวดคิ้วขึ้นมา เฮ้อ นางเองก็น่าสงสารเสียจริงๆ “

ข้าไม่ใช่ลูกสาวของท่านจริงๆ ข้ารู้ว่าการพูดเช่นนี้ดูโหดเหี้ยมอยู่บ้าง ถ้าหากข้าแกล้งยอมรับว่าเป็นลูกสาวท่าน บางทีอาจสามารถปลอบประโลมท่านได้บ้าง ให้หัวใจของท่านได้สบายขึ้นมาหน่อย

แต่ข้าไม่ใช่ลูกสาวของท่านจริงๆ ข้าไม่สามารถโกหกหลอกลวงท่านได้ ถ้าหากท่านไม่ยินดีจะแก้แค้น ไม่อยากจะไปเจียงเป่ย เช่นนั้นท่านก็กลับไป ข้าจะไปกับอ๋องชุน ข้าจำเป็นต้องไปที่เจียงเป่ยสักครั้ง”

พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไป

แม่นมฉินต้านนางเอาไว้ไม่อยู่ สุดท้ายก็ได้แต่เห็นด้วยกับคำพูดของอ๋องชุน พานางเดินทางไปด้วยกัน

เสียเวลาระหว่างทางไปครึ่งวัน จึงหมายความว่าต้องเร่งเดินทางเพื่อรักษาเวลา จึงจะสามารถพบกับพี่สามได้ หยู่เหวินเทียนรู้ว่าพี่สามต้องกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากที่จะช่วยเหลือจวิ้นจู่แน่ เพราะมาถึงบริเวณใกล้เคียงหนานเจียงแล้ว ถ้าหากต้องรอนาน เขาคงจะพาคนขึ้นไปทันที

อะซี่กับสวีอีออกเดินทางช้าไปหลายวัน แต่ดีที่ทั้งสองคนต่างก็ควบม้าห้อตะลึงออกเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องพากองทัพมาด้วย และระยะทางจากเมืองหลวงของแคว้นต้าโจวไปยังหนานเจียงนั้นก็ใกล้กว่าการเดินทางจากจวนเจียงเป่ยหรือแม้กระทั่งเมืองหลวงไปยังหนานเจียงอยู่บ้าง ฉะนั้น ขอเพียงไม่เสียเวลาระหว่างเดินทาง แม้จะไม่สามารถรวมตัว แต่หลังจากขึ้นเขาไปแล้วสามารถไล่ตามได้ทัน

ราวกับแข่งขันกับความเร็วของเวลาแห่งความเป็นความตาย ทุกคนต่างก็เร่งเดินทางกันอย่างไม่ยอมหยุด

ตอนที่หยู่เหวินเทียนและลู่หยวนเร่งเดินทางไปถึงเมืองลู่ก็เป็นเวลายามไฮ่(23.00น.-01.00น.)แล้ว อ๋องเว่ยนั้นรอจนทนไม่ไหวแล้ว ที่จริงเขารอมาเป็นเวลาหนึ่งวันแล้ว แม้จะพากองทัพใหญ่มาด้วย แต่ด้วยจิตใจที่จะช่วยคนทำให้เดินทางกันอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงล่วงหน้ามาถึงเมืองลู่ก่อนหนึ่งวัน

ถ้าหากวันนี้หยู่เหวินเทียนยังมาไม่ถึงอีก พรุ่งนี้เขาก็จะพากองทัพขึ้นภูเขากันตั้งแต่เช้าตรู่

ยังดี ที่เร่งมาถึง

หยู่เหวินเทียนรู้สึกหวาดกลัวอ๋องอันอยู่บ้าง เห็นเขาก็มาด้วย ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็เข้าไปทักทายเรียกเขาว่าพี่สี่อย่างขลาดกลัว

อ๋องอันเหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง “น้องห้าให้เจ้ามาหรือ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน จะทำงานใหญ่อะไรได้ พาคนมาก็พอ ไม่ต้องตามขึ้นไปบนเขา ”

หยู่เหวินเทียนถูกดูถูก ในใจรู้สึกไม่พอใจมาก โต้แย้งว่า “ข้าเคยออกรบในสนามรบแล้ว ข้าไม่กลัวที่จะต้องไปเจียงเป่ย”

อ๋องอันเอ่ยเสียงเย็นว่า “เคยออกรบแล้วอย่างไร คนมากมายก็เคยออกรบ แม้แต่บัณฑิตยังเคยเป็นผู้บัญชาการทหารยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้า ตอนเจ้าออกรบข้างกายเจ้ามีคนตั้งเท่าไหร่คอยปกป้องเจ้า การไปเจียงเป่ยครั้งนี้ คงไม่มีใครสามารถดูแลเจ้าได้ พวกเราคนน้อย เจ้าอย่าได้เพิ่มความวุ่นวายอย่างเด็ดขาด กลับไปเถอะ”

หยู่เหวินเทียนแม้จะกลัวเขา พอได้ยินคำพูดนี้ก็ดื้อดึงขึ้นมา “ข้าไม่กลับไป ข้าจะตามพี่สามขึ้นเขาไปด้วยกัน “

อ๋องอันกลอกตาขึ้น พูดกับอ๋องเว่ยว่า “เจ้าบอกเขา ประเดี๋ยวพวกเราจะได้ไม่ต้องมาคอยปกป้องเขา”

อ๋องเอ่ยกลับพูดว่า “ข้าเชื่อในตัวน้องเก้า น้องเก้าได้เปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว”

อ๋องอันรู้สึกขัดใจ “เหลวไหล ถ้าหากเขาเป็นอะไรไป เสด็จพ่อกล่าวโทษขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ เจ้าอย่าได้ผลักมาบนตัวข้า ตอนนี้ข้าเองแม้แต่ผีสางเทวดายังรังเกียจ คนใกล้ชิดก็ตีตัวออกห่างไปหมดแล้ว แบกรับโทษทัณฑ์นี้ไม่ไหว”

“ข้าจะแบกรับเอง ข้าอายุยี่สิบแล้วนะ”หยู่เหวินเทียนโมโหจนเบิกตากว้าง

อ๋องอันนิ่งอึ้ง มองเขาอย่างประหลาดใจ “ยี่สิบแล้วหรือ”

หยู่เหวินเห้ารู้สึกล้มเหลวมาก ทำไมทุกคนจึงได้คิดว่าเขายังเป็นเด็ก เขาอายุยี่สิบปีแล้ว ยี่สิบแล้ว คนมากมายตอนอายุยี่สิบต่างก็ลูกชายแล้ว

อ๋องอันยังคงนิ่งอึ้ง น้องเก้ายี่สิบปีแล้ว เขาโตกว่าน้องเก้าหนึ่งรอบ เขาอายุสามสิบสองปีแล้ว เฮ้อ เขาก็อายุสามสิบสองปีแล้ว ได้ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บัลลังก์หมอยาเซียน 1003 ตะบึงไปยังหนานเจียง

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 1003 ตะบึงไปยังหนานเจียง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ออกมาจากอุโมงค์เวลา เป็นตำหนักบรรทมของไทเฮา

เป็นเวลานานหยวนชิงหลิงก็สงบอารมณ์จิตใจลงไม่ได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานี้ ก็เป็นการจากบ้านอีกครั้งแล้ว อดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลพรากออกมา

ไทเฮาหลงพูดปลอบใจว่า “ไม่จำเป็นต้องเสียใจมากเกินไป ขอเพียงมีใจ อย่างไรเสียก็สามารถพบกันได้อีก”

หยวนชิงหลิงมองไทเฮาหลงด้วยน้ำตา “ถ้าหากวันหน้าคิดถึงบ้าน สามารถมาขอร้องพระองค์ให้ส่งหม่อมฉันอีกสักครั้งได้หรือไม่ ”

“ไม่ดี ”ไทเฮาหลงยิ้ม จ้องมองนาง “คิดหาวิธีเอาเองเถอะ ไตร่ตรองให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ก็สามารถไขความลับของทะเลสาบจิ้งได้ ”

ใช่แล้ว ยังมีทะเลสาบจิ้ง หยวนชิงหลิงตัดสินใจเงียบๆ หลังจากกลับไปจัดการเรื่องของหมันเอ๋อเสร็จแล้ว ก็จะพาพวกเด็กๆไปที่ทะเลสาบจิ้ง

พูดถึงอะซี่กับสวีอีที่เอายันต์เลือดเดินทางตรงไปยังหนานเจียง

หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ก็ไม่เคยจะได้ออกเดินทางกันตามลำพังในที่ที่มีระยะทางไกลเช่นนี้ และการไปครั้งนี้ยังเป็นการไปเสี่ยงอันตราย

ฉะนั้นตลอดการเดินทางในครั้งนี้สวีอีรู้สึกจิตใจไม่สงบนัก ได้แต่กำชับอยู่ตลอด ถ้าหากพบเจอกับอันตราย มีโอกาสให้รีบหนีทันที อย่าสนใจเขาอย่างเด็ดขาด

อะซี่นั้นชอบที่จะคิดสวนทางกับเขา ควบม้าห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มสดใสราวกับแสงอาทิตย์ “ไม่ ข้ากับเจ้าต้องตายก็ตายพร้อมกัน”

สวีอีนิ่งอึ้ง ไล่ตามนาง “ตอนที่แต่งงานกัน เจ้าเคยรับปากแล้วว่าเรื่องใหญ่ล้วนจะเชื่อฟังข้า”

“เรื่องของประเทศชาติจึงจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ความเป็นความตายและเกียรติยศส่วนตัวเป็นเรื่องเล็ก”อะซี่ยิ้ม “ท่านย่าบอกกับพวกเราเช่นนี้”

“แต่งงานออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี ตอนนี้เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”สวีอีรู้สึกลนลานขึ้นมา “เจ้าจำคำพูดนี้เอาไว้ให้ดี ถ้าหากมีอันตราย จำเป็นต้องหนี หนีกลับไปแล้วค่อยคิดหาวิธีการมาช่วยข้า”

“เจ้าตายใจเถอะ สวีอี เกี่ยวกับปัญหานี้ข้าไม่มีทางฟังเจ้าอย่างแน่นอน ในเมื่อพวกเราออกรบพร้อมกัน ถ้าหากท่านมีอันตราย ข้าไม่มีทางหลบหนีอย่างเด็ดขาด ในเมื่อแต่งงานกับเจ้าแล้ว ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่และตายพร้อมกับเจ้า ถ้าหากข้ามีอันตราย เจ้าจะทิ้งข้าไว้ไม่สนใจหรือ”

สวีอีได้ยินคำพูดนี้ ก็นิ่งไปชั่วครู่ ดวงตามีความร้อนผะผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

สิ้นสุดคำพูดของอะซี่ สวีอีก็ไม่พูดถึงเรื่องที่ถ้าหากพบเจออันตรายให้นางหนีไปก่อน เพราะคิดในทางกลับกัน ถ้าหากอะซี่มีอันตราย เขาเองก็ไม่มีทางหนีไปก่อนแน่นอน

และพูดถึงหยู่เหวินเทียนที่พาแม่นมฉินเร่งเดินทางไปที่หนานเจียง ว่ากันตามความเร็วในการเดินทาง จะไปรวมตัวกับพวกพี่สามที่เมืองลู่ของหนานเจียง หลังจากรวมตัวกันแล้ว ก็สามารถขึ้นภูเขาไปด้วยกัน

ระหว่างทางเสียเวลาอยู่บ้าง เพราะหลังจากที่เดินทางมาได้ประมาณสองวันครึ่ง หมันเอ๋อก็ปรากฏตัวขึ้น

การปรากฏตัวของหมันเอ๋อทำให้แม่นมฉินตื่นเต้นมาก จะให้นางกลับเมืองหลวงทันที แต่ว่าหมันเอ๋อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอม หาทางออกกันไม่ได้เป็นเวลาครึ่งวัน และด้วยเหตุนี้ทำให้เสียเวลาไปครึ่งวัน

สุดท้ายหยู่เหวินเทียนตัดสินใจจะพาหมันเอ๋อไปด้วย เขาเกลี้ยกล่อมแม่นมฉินด้วยตนเอง ถ้าหากเป็นกังวลในตัวหมันเอ๋อ เขาจะพยายามอย่างสุดกำลังในการปกป้องความปลอดภัยของหมันเอ๋อ

แม่นมฉินยังคงไม่เห็นด้วย นางไม่ได้ดูถูกหยู่เหวินเทียนหรือไม่เชื่อในตัวเขา แต่ความซับซ้อนและโหดเหี้ยมของเจียงเป่ย เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีทางนึกถึงได้

ในความคิดของนาง หยู่เหวินเทียนเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แค่ปกป้องตนเองยังลำบากไหนเลยจะสามารถปกป้องหมันเอ๋อได้ และเมื่อถึงยามคับขันอันตรายที่สุด โรมรันฆ่าฟันกัน ใครยังจะมีเวลาไปสนใจคนอื่นอีก

นางดึงตัวหมันเอ๋อเข้าไปในป่า ยังไม่ทันได้พูดจา หมันเอ๋อก็พูดขึ้นมาว่า “แม่นมฉิน ท่านอย่าได้ร่ายเวทมนตร์หรือคาถาต่อข้า ที่ท่านรู้พวกนั้น ข้าก็รู้ ข้าแก้ไขได้ ”

แม่นมฉินรู้สึกท้อใจขึ้นมาทันที “หมันเอ๋อ ทำไมเจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า เจ้าจะไปไม่ได้”

“พระชายารัชทายาทบอกว่า ”หมันเอ๋อมองนาง สายตามีแววซับซ้อน“ ท่านเป็นแม่ของข้า แต่ข้าสามารถบอกท่านอย่างมั่นใจได้ว่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ลูกสาวของท่าน ข้าไม่ใช่ลูกสาวของอ๋องหนานเจียง”

แม่นมฉินสีหน้าขาวซีด  ท่านเองก็คงจะเกลียดคนเจียงเป่ยเข้ากระดูกดำ พวกเขาฆ่าสามีของท่าน ฆ่าลูกสาวของท่าน การไปครั้งนี้ของท่านก็เพื่อแก้แค้น ข้าสามารถให้ความช่วยเหลือได้ ท่านเชื่อข้า ”

“ข้าไม่ต้องการแก้แค้น”แม่นมฉินเงยหน้าขึ้นถอนหายใจยาว เศร้าเสียใจระคนจนใจ “ข้าไม่มีทางแก้แค้นได้สำเร็จ ข้าตามไป ก็แค่หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าต้องเสี่ยงอันตราย ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อคำพูดที่พระชายารัชทายาทหรือไม่ ข้าก็เป็นแม่ของเจ้าจริงๆ

เจ้าเชื่อฟังข้า กลับไป ตอนนี้บนโลกใบนี้เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของอ๋องเจียงหนาน เจ้าจะเป็นอะไรไปไม่ได้ คนของเจียงเป่ยไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ พวกเขาจะจับตัวเจ้ากลับไปเป็นสาวหมอผี เจ้ายินดีจะเป็นปรปักษ์กับคนเจียงหนานจริงหรือ”

“แม่นมฉิน ท่านใจเย็นๆลงบ้าง”หมันเอ๋อขมวดคิ้วขึ้นมา เฮ้อ นางเองก็น่าสงสารเสียจริงๆ “

ข้าไม่ใช่ลูกสาวของท่านจริงๆ ข้ารู้ว่าการพูดเช่นนี้ดูโหดเหี้ยมอยู่บ้าง ถ้าหากข้าแกล้งยอมรับว่าเป็นลูกสาวท่าน บางทีอาจสามารถปลอบประโลมท่านได้บ้าง ให้หัวใจของท่านได้สบายขึ้นมาหน่อย

แต่ข้าไม่ใช่ลูกสาวของท่านจริงๆ ข้าไม่สามารถโกหกหลอกลวงท่านได้ ถ้าหากท่านไม่ยินดีจะแก้แค้น ไม่อยากจะไปเจียงเป่ย เช่นนั้นท่านก็กลับไป ข้าจะไปกับอ๋องชุน ข้าจำเป็นต้องไปที่เจียงเป่ยสักครั้ง”

พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไป

แม่นมฉินต้านนางเอาไว้ไม่อยู่ สุดท้ายก็ได้แต่เห็นด้วยกับคำพูดของอ๋องชุน พานางเดินทางไปด้วยกัน

เสียเวลาระหว่างทางไปครึ่งวัน จึงหมายความว่าต้องเร่งเดินทางเพื่อรักษาเวลา จึงจะสามารถพบกับพี่สามได้ หยู่เหวินเทียนรู้ว่าพี่สามต้องกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากที่จะช่วยเหลือจวิ้นจู่แน่ เพราะมาถึงบริเวณใกล้เคียงหนานเจียงแล้ว ถ้าหากต้องรอนาน เขาคงจะพาคนขึ้นไปทันที

อะซี่กับสวีอีออกเดินทางช้าไปหลายวัน แต่ดีที่ทั้งสองคนต่างก็ควบม้าห้อตะลึงออกเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องพากองทัพมาด้วย และระยะทางจากเมืองหลวงของแคว้นต้าโจวไปยังหนานเจียงนั้นก็ใกล้กว่าการเดินทางจากจวนเจียงเป่ยหรือแม้กระทั่งเมืองหลวงไปยังหนานเจียงอยู่บ้าง ฉะนั้น ขอเพียงไม่เสียเวลาระหว่างเดินทาง แม้จะไม่สามารถรวมตัว แต่หลังจากขึ้นเขาไปแล้วสามารถไล่ตามได้ทัน

ราวกับแข่งขันกับความเร็วของเวลาแห่งความเป็นความตาย ทุกคนต่างก็เร่งเดินทางกันอย่างไม่ยอมหยุด

ตอนที่หยู่เหวินเทียนและลู่หยวนเร่งเดินทางไปถึงเมืองลู่ก็เป็นเวลายามไฮ่(23.00น.-01.00น.)แล้ว อ๋องเว่ยนั้นรอจนทนไม่ไหวแล้ว ที่จริงเขารอมาเป็นเวลาหนึ่งวันแล้ว แม้จะพากองทัพใหญ่มาด้วย แต่ด้วยจิตใจที่จะช่วยคนทำให้เดินทางกันอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงล่วงหน้ามาถึงเมืองลู่ก่อนหนึ่งวัน

ถ้าหากวันนี้หยู่เหวินเทียนยังมาไม่ถึงอีก พรุ่งนี้เขาก็จะพากองทัพขึ้นภูเขากันตั้งแต่เช้าตรู่

ยังดี ที่เร่งมาถึง

หยู่เหวินเทียนรู้สึกหวาดกลัวอ๋องอันอยู่บ้าง เห็นเขาก็มาด้วย ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็เข้าไปทักทายเรียกเขาว่าพี่สี่อย่างขลาดกลัว

อ๋องอันเหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง “น้องห้าให้เจ้ามาหรือ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน จะทำงานใหญ่อะไรได้ พาคนมาก็พอ ไม่ต้องตามขึ้นไปบนเขา ”

หยู่เหวินเทียนถูกดูถูก ในใจรู้สึกไม่พอใจมาก โต้แย้งว่า “ข้าเคยออกรบในสนามรบแล้ว ข้าไม่กลัวที่จะต้องไปเจียงเป่ย”

อ๋องอันเอ่ยเสียงเย็นว่า “เคยออกรบแล้วอย่างไร คนมากมายก็เคยออกรบ แม้แต่บัณฑิตยังเคยเป็นผู้บัญชาการทหารยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้า ตอนเจ้าออกรบข้างกายเจ้ามีคนตั้งเท่าไหร่คอยปกป้องเจ้า การไปเจียงเป่ยครั้งนี้ คงไม่มีใครสามารถดูแลเจ้าได้ พวกเราคนน้อย เจ้าอย่าได้เพิ่มความวุ่นวายอย่างเด็ดขาด กลับไปเถอะ”

หยู่เหวินเทียนแม้จะกลัวเขา พอได้ยินคำพูดนี้ก็ดื้อดึงขึ้นมา “ข้าไม่กลับไป ข้าจะตามพี่สามขึ้นเขาไปด้วยกัน “

อ๋องอันกลอกตาขึ้น พูดกับอ๋องเว่ยว่า “เจ้าบอกเขา ประเดี๋ยวพวกเราจะได้ไม่ต้องมาคอยปกป้องเขา”

อ๋องเอ่ยกลับพูดว่า “ข้าเชื่อในตัวน้องเก้า น้องเก้าได้เปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว”

อ๋องอันรู้สึกขัดใจ “เหลวไหล ถ้าหากเขาเป็นอะไรไป เสด็จพ่อกล่าวโทษขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ เจ้าอย่าได้ผลักมาบนตัวข้า ตอนนี้ข้าเองแม้แต่ผีสางเทวดายังรังเกียจ คนใกล้ชิดก็ตีตัวออกห่างไปหมดแล้ว แบกรับโทษทัณฑ์นี้ไม่ไหว”

“ข้าจะแบกรับเอง ข้าอายุยี่สิบแล้วนะ”หยู่เหวินเทียนโมโหจนเบิกตากว้าง

อ๋องอันนิ่งอึ้ง มองเขาอย่างประหลาดใจ “ยี่สิบแล้วหรือ”

หยู่เหวินเห้ารู้สึกล้มเหลวมาก ทำไมทุกคนจึงได้คิดว่าเขายังเป็นเด็ก เขาอายุยี่สิบปีแล้ว ยี่สิบแล้ว คนมากมายตอนอายุยี่สิบต่างก็ลูกชายแล้ว

อ๋องอันยังคงนิ่งอึ้ง น้องเก้ายี่สิบปีแล้ว เขาโตกว่าน้องเก้าหนึ่งรอบ เขาอายุสามสิบสองปีแล้ว เฮ้อ เขาก็อายุสามสิบสองปีแล้ว ได้ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+