บัลลังก์หมอยาเซียน 1100 แยกแยะจริงเท็จได้

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 1100 แยกแยะจริงเท็จได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทังหยางไม่มีไฝที่ใต้คาง นั่นก็หมายความว่าคนที่ถูกตัดลิ้นจนขาดคนนั้น ก็คือทังหยางตัวจริงอย่างนั้นรึ?

แต่หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า นี่เป็นกลยุทธ์ที่ยังไม่ทันสมบูรณ์ ก็ถูกพวกเขาบุกเข้ามาทำลายแผนจนแตกกระเจิง ดังนั้น ใครคือทังหยางตัวจริงกันแน่ ชั่วขณะนี้จึงไม่สามารถอาศัยแค่การดูว่ามีหรือไม่มีไฝใต้คางมาตัดสินได้

หรงเยว่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่เห็นฮูหยินเหยา จึงอดถามด้วยใบหน้าซีดเผือดไม่ได้ว่า “ท่านชาย ฮูหยินเหยาล่ะ?”

ท่านชายสี่พูดอย่างเฉยเมย: “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนรับผิดชอบเฝ้าดูนางจากทางด้านหลังหรอกรึ?”

“อะไรคือข้ารับผิดชอบด้านหลัง? เป็นเจ้าต่างหากที่ต้องตามอยู่ด้านหลัง ข้าเป็นหน่วยบุกให้ด้านหน้า มันก็ต้องเป็นกลุ่มที่รับผิดชอบด้านหลัง ที่ต้องคอยดูแลความปลอดภัยของฮูหยินเหยาอยู่แล้วสิ ที่ข้าไปเชิญเจ้ามา ก็หวังว่าจะให้เจ้าดูแลความปลอดภัยให้ฮูหยินเหยาต่างหาก!” หรงเยว่ร้อนรนกังวลใจแทบแย่แล้ว

ท่านชายสี่ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเค้นคำพูดลอดริมฝีปากออกมาสองสามประโยคว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน ใครตามด้านหลังยังไม่ชัดเจนอีกรึ? ข้าเข้ามาก่อนแท้ ๆ”

“ นั่นเป็นเพราะข้าคิดว่าเจ้าพบตัวฮูหยินเหยาแล้ว ถึงได้เข้ามาก่อน แล้วเจ้าก็ตามรอยฮูหยินเหยามาตลอดทาง พื้นฐานข้ามีหน้าที่รับผิดชอบในการบุกโจมตีด้านหน้า….” หรงเยว่รู้ว่าท่านชายสี่เริ่มโยนความผิดหน้าด้าน ๆ แล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญมากจนชนิดที่ใต้หล้านี้ไม่มีใครเกินอีกด้วย จึงไม่มัวเสียเวลาพูดอะไรอีก รีบพาคนออกไปตามหาทันที

ท่านชายสี่มองตามเงาแผ่นหลังของหรงเยว่อย่างไม่พอใจ “พอแต่งงานแล้ว เริ่มผลักความรับผิดชอบเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ”

หยู่เหวินเห้าก็ร้อนใจมากเช่นกัน เขายังไม่รู้เรื่องของฮูหยินเหยา หลังจากถามจนได้ความแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนอย่างรุนแรง “นั่นหมายความว่า ฮูหยินเหยาน่าจะเกิดเรื่องแล้วน่ะสิ?”

ท่านชายสี่พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง: “ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรอกน่า ตอนที่พวกเรามา ก็มีคนไปบอกฮุ่ยเทียนให้รีบมาแล้วล่ะ ถ้าฮุ่ยเทียนมา ฮูหยินเหยาไม่มีทางเกิดเรื่องได้แน่”

หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกหรงเยว่ล่ะ? เมื่อครู่นางร้อนใจแทบแย่แล้ว”

“ นางเริ่มรู้จักผลักความรับผิดชอบแล้ว ยังไม่ควรให้บทเรียนนางสักหน่อยหรือ? ให้นางร้อนใจนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นไรไป ” ท่านชายสี่พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ยี่หระ

เมื่อหยู่เหวินเห้าได้ยินว่าฮูหยินเหยาจะปลอดภัย ก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของทังหยางที่มีถึงสองคน เขาปรายตามองทั้งสองแวบหนึ่งด้วยความปวดหัว ทำได้แค่พาทั้งสองคนกลับไปด้วย

ทุกคนที่ถูกจับได้ในเรือนนั้น ต่างก็ถูกนำตัวกลับไปด้วยเช่นกัน

นี่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่ของพวกเขา มีคนไม่มาก ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่ถูกทำลาย ทั้งยังสามารถช่วยคนออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้แน่

เมื่อทังหยางทั้งสองถูกพาตัวกลับไป หยวนชิงหลิงก็ยังรู้สึกว่า ไม่ว่าคนไหนจะเป็นตัวจริง นางก็รู้สึกทุกข์ทรมานใจไม่ต่างกัน

หมอหลวงเฉาเพิ่งจะกลับมาพร้อมกับฮูหยินใหญ่พอดี จึงรีบเข้ามาช่วยทำการรักษา

หมอหลวงเฉารับผิดชอบรักษาคนที่ลิ้นถูกตัด หยวนชิงหลิงตรวจสอบอาการของคนที่เหมือนจะมีอาการสมองเสื่อม หยวนชิงหลิงให้สวีอีลองตรวจสอบดูว่า มีบาดแผลบนร่างกายของเขาบ้างหรือไม่ หรือว่ามีร่องรอยการถูกทุบตีบ้างหรือไม่ หลังจากที่สวีอีตรวจสอบดูแล้ว  กับส่วนของมือ ล้วนไม่มีบาดแผล มีรอยแผลเป็นอยู่บ้าง สวีอีบอกว่าเป็นบาดแผลเมื่อสมัยก่อนตอนที่อยู่ในสนามรบ ทำศึกจึงได้รับบาดเจ็บ จากนั้นสวีอีก็ไปดูอีกคนที่อยู่ทางฝั่งหมอหลวงเฉา มีรอยแผลเป็นเหมือนกันทุกประการ แม้แต่ตำแหน่งก็ยังเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้มีแผลเป็นใหม่ ๆ ที่เละเทะกระดำกระด่างเพิ่มเข้ามามากขึ้น ทำให้ใครที่ได้เห็นต่างก็อดรู้สึกสงสารจับใจไม่ได้

คนที่ถูกตัดลิ้นขาดคนนั้นยังมีสติชัดเจนครบถ้วน ยังจำสวีอีกับหมดหลวงเฉาได้ เขามีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสวีอีทำท่าเหมือนอยากจะยื่นมือออกไปจับมือสวีอีสักหน่อย แม้กระทั่งจะแตะมือสวีอีสักครั้งก็ยังทำไม่ได้

สวีอีจ้องมือทั้งสองข้างของเขา นิ้วมือทั้งสิบบิดเบี้ยวผิดรูปอย่างรุนแรง ไม่สามารถยืดออกได้ หรือแม้แต่จะออกแรงสักนิดก็ยังทำไม่ได้

สวีอีร้องไห้ด้วยความทรมานใจอย่างสุดจะฝืน แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นทังหยางตัวจริงหรือตัวปลอม แต่เขาคิดในใจว่าถ้าเป็นตัวจริง แล้วต้องมาโดนทรมานถึงขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมีดคม ๆ กรีดแทงเข้าไปที่หัวใจจริง ๆ

ขณะทำความสะอาดแผล เนื่องจากลิ้นในปากนั้นถูกตัดออกไป บาดแผลนั้นดูเรียบ เวลาที่อ้าปาก ก็จะมีเพียงหลุมดำ ๆ หลุมหนึ่ง ซึ่งดูแล้วชวนให้รู้สึกว่าน่าหวาดกลัวมาก

หยวนชิงหลิงทำการตรวจสอบอาการทั้งหมดเท่าที่ทำได้ให้กับทังหยางอีกคนแล้ว หลังจากจัดการกับบาดแผลเสร็จ โดยพื้นฐานแล้ว ต้องพอตัดสินได้แล้วว่าเป็นเพราะโดนวางยา หรือเป็นเพราะโดนมนต์กู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเกิดอาการสมองเสื่อมแบบนี้ได้แน่ ๆ

หยู่เหวินเห้าสั่งให้คนไปคุมตัวฮูหยินทังมา เพื่อให้นางระบุตัวตน

ฮูหยินทังถึงกับอึ้งจนตาค้าง บอกได้แค่ว่าไม่รู้ว่าใครคือตัวจริงใครคือตัวปลอม หยู่เหวินเห้าจึงสั่งให้คนมาคุมตัวนางออกไป จากนั้นให้นำตัวไปสอบปากคำพร้อม ๆ กับพวกที่จับกลับมาได้

หยู่เหวินเห้ายังส่งคนไปเชิญหงเย่มาด้วย การที่หงเย่ได้รับเชิญให้มาเป็นแขกที่จวนด้วยความจริงใจเช่นนี้ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียว

หงเย่มองสำรวจทังหยางทั้งสองอย่างละเอียด จากนั้นค่อยเดินออกไปพร้อมกับหยู่เหวินเห้า แล้วถามขึ้นว่า “ตัวเจ้าเองคิดว่า คนไหนคือตัวจริงล่ะ?”

หยู่เหวินเห้ารู้สึกทรมานใจอย่างอธิบายไม่ถูก นั่งลงตรงหน้าระเบียง ใช้มือทั้งสองถูที่ใบหน้า ดวงตาแดงก่ำ “จากการอนุมานแบบคร่าว ๆ น่าจะเป็นทังหยางคนที่มีอาการสมองเสื่อม”

“โอ๋? ทำไมล่ะ? ตามการอนุมาน น่าจะเป็นคนที่โดนตัดลิ้นมากกว่าไม่ใช่รึ? ในเมื่อเขาทั้งถูกทุบตีอย่างรุนแรง ทั้งยังถูกตัดลิ้นขาด ดูเหมือนว่าจะถูกใช้ทัณฑ์ทรมานขั้นสุดเชียวนะ !” หงเย่พูด

“ ก็เพราะว่าลิ้นถูกตัดออกนี่ล่ะ ข้าถึงเดาว่าเขาคงไม่ใช่ทังหยาง นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการอย่างหนึ่ง ความตั้งใจเดิมคือต้องการให้ข้าช่วยทังหยางตัวปลอมออกไป จากนั้นทังหยางตัวปลอมก็จะแฝงตัวอยู่ในจวนอ๋องฉู่ของข้า ทันทีที่ทำได้สำเร็จ ทังหยางตัวจริงก็จะถูกฆ่า หรือไม่ก็ย้ายตัวไปที่อื่น แต่ก็เห็นได้ชัดอีกเช่นกันว่า แผนการของพวกนั้นยังไม่ทันสำเร็จ พวกเราก็พบที่นี่เสียก่อน ซึ่งสิ่งนี้ยังเป็นการทำลายแผนการทั้งหมดของพวกนั้น รูปร่างหน้าตาของคนเรายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการตกแต่งปลอมแปลง หรือไม่ก็ใช้ยา แต่น้ำเสียงกลับไม่สามารถทำให้เหมือนกันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น พวกมันจึงตัดลิ้นของคนผู้นี้ ทำให้เขาไม่มีโอกาสพูดได้อีก กำจัดจุดที่จะทำให้คนจำง่ายที่สุดลงก่อน จึงจะสามารถป้องกันความผิดพลาดได้ดีที่สุด ”

หงเย่ประหลาดใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ เขาพยักหน้าเห็นด้วย “อื้ม วิเคราะห์ได้มีเหตุผล”

“ที่ข้ามีการคาดเดาเช่นนี้ ก็เพราะหลินเซียว!” ดวงตาของหยู่เหวินเห้ามืดทะมึน คล้ายกับมีหมอกควันสายหนึ่งก่อตัวขึ้น “ตอนนั้นหลินเซียวแกล้งปลอมเป็นข้าไปตีสนิทกับฉู่หมิงหยาง ฉู่หมิงหยางก็ดูไม่ออก อีกทั้งตอนนี้หลินเซียวที่ข้ารู้จัก เรียกว่าเป็นหนึ่งในสายลับที่มีความเชี่ยวชาญมากกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสายลับพวกนี้จะมีทักษะด้านการปลอมตัวศาสตร์หนึ่งที่ร้ายกาจมาก ”

หงเย่ก็นั่งลง พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “การปลอมตัวแบบนี้เรียกว่าวิชาผีจำแลงหน้าเมื่อเทียบกับทักษะการปลอมตัวธรรมดาทั่วไป ข้อดีของวิชาหน้าผีนี้คือไม่ต้องทำหน้ากากปลอมขึ้นมา สามารถใช้การกินยาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของบุคคลคนใดบุคคลหนึ่งได้ แต่หลังจากกินยาแก้พิษ หรือหยุดกินยาไปราว ๆ สองสามวัน ใบหน้าดั้งเดิมก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา ดังนั้นการที่จะแยกแยะทังหยางตัวจริงออกจากตัวปลอมจึงไม่ใช่เรื่องยาก แค่อดทนรออีกสักสองสามวันก็ได้แล้ว”

หยู่เหวินเห้ามองเขาเขม็ง “เจ้ารู้จักวิชาผีจำแลงหน้าหรือ?”

หงเย่พูดอย่างเย็นชาว่า: “ตอนแรกข้าคิดว่า ข้ารู้กลอุบายทั้งหมดของเขาเป็นอย่างดี แต่ก็คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายเขาก็ยังมีลูกไม้ซ่อนไว้อีกชั้นจนได้ คนที่ตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้นจะต้องไม่ใช่เขาแน่ แต่เป็นคนที่กินยา แล้วใช้ วิชาผีจำแลงหน้าปลอมตัวให้ดูเหมือนเขา ตัวเขาคงหนีไปนานแล้ว การที่วันนี้ข้ามาวิเคราะห์ตำแหน่งที่ซ่อนกับเจ้า แล้วเจ้าสามารถหาตัวเจอได้ตามตำแหน่งที่ข้าบอก เช่นนั้นก็มั่นใจได้เลยว่า เป็นเขาแน่นอน”

หยู่เหวินเห้ามองดูความโกรธเกรี้ยวที่เพิ่มขึ้นในดวงตาของเขา ชั่วขณะหนึ่งเกิดความรู้สึกผสมปนเปที่ยากจะเอ่ย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

แต่ความโกรธของหงเย่ก็ค่อย ๆ ถูกระงับลงอย่างช้า ๆ แต่กลับปรากฏสัมผัสบางอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่าน่าสยดสยองเข้ามาแทนที่ “ก็ดี! ก็ดีแล้ว! ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ตลอดเลยล่ะ ว่าเขาตายสบายเกินไปจริง ๆ”

หลังจากการแก้แค้น วันเวลานับจากนั้นก็เหมือนจะสูญเสียทิศทางไป ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ต้องอย่างนี้สิถึงจะดี!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บัลลังก์หมอยาเซียน 1100 แยกแยะจริงเท็จได้

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 1100 แยกแยะจริงเท็จได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทังหยางไม่มีไฝที่ใต้คาง นั่นก็หมายความว่าคนที่ถูกตัดลิ้นจนขาดคนนั้น ก็คือทังหยางตัวจริงอย่างนั้นรึ?

แต่หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า นี่เป็นกลยุทธ์ที่ยังไม่ทันสมบูรณ์ ก็ถูกพวกเขาบุกเข้ามาทำลายแผนจนแตกกระเจิง ดังนั้น ใครคือทังหยางตัวจริงกันแน่ ชั่วขณะนี้จึงไม่สามารถอาศัยแค่การดูว่ามีหรือไม่มีไฝใต้คางมาตัดสินได้

หรงเยว่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่เห็นฮูหยินเหยา จึงอดถามด้วยใบหน้าซีดเผือดไม่ได้ว่า “ท่านชาย ฮูหยินเหยาล่ะ?”

ท่านชายสี่พูดอย่างเฉยเมย: “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนรับผิดชอบเฝ้าดูนางจากทางด้านหลังหรอกรึ?”

“อะไรคือข้ารับผิดชอบด้านหลัง? เป็นเจ้าต่างหากที่ต้องตามอยู่ด้านหลัง ข้าเป็นหน่วยบุกให้ด้านหน้า มันก็ต้องเป็นกลุ่มที่รับผิดชอบด้านหลัง ที่ต้องคอยดูแลความปลอดภัยของฮูหยินเหยาอยู่แล้วสิ ที่ข้าไปเชิญเจ้ามา ก็หวังว่าจะให้เจ้าดูแลความปลอดภัยให้ฮูหยินเหยาต่างหาก!” หรงเยว่ร้อนรนกังวลใจแทบแย่แล้ว

ท่านชายสี่ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเค้นคำพูดลอดริมฝีปากออกมาสองสามประโยคว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน ใครตามด้านหลังยังไม่ชัดเจนอีกรึ? ข้าเข้ามาก่อนแท้ ๆ”

“ นั่นเป็นเพราะข้าคิดว่าเจ้าพบตัวฮูหยินเหยาแล้ว ถึงได้เข้ามาก่อน แล้วเจ้าก็ตามรอยฮูหยินเหยามาตลอดทาง พื้นฐานข้ามีหน้าที่รับผิดชอบในการบุกโจมตีด้านหน้า….” หรงเยว่รู้ว่าท่านชายสี่เริ่มโยนความผิดหน้าด้าน ๆ แล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญมากจนชนิดที่ใต้หล้านี้ไม่มีใครเกินอีกด้วย จึงไม่มัวเสียเวลาพูดอะไรอีก รีบพาคนออกไปตามหาทันที

ท่านชายสี่มองตามเงาแผ่นหลังของหรงเยว่อย่างไม่พอใจ “พอแต่งงานแล้ว เริ่มผลักความรับผิดชอบเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ”

หยู่เหวินเห้าก็ร้อนใจมากเช่นกัน เขายังไม่รู้เรื่องของฮูหยินเหยา หลังจากถามจนได้ความแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนอย่างรุนแรง “นั่นหมายความว่า ฮูหยินเหยาน่าจะเกิดเรื่องแล้วน่ะสิ?”

ท่านชายสี่พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง: “ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรอกน่า ตอนที่พวกเรามา ก็มีคนไปบอกฮุ่ยเทียนให้รีบมาแล้วล่ะ ถ้าฮุ่ยเทียนมา ฮูหยินเหยาไม่มีทางเกิดเรื่องได้แน่”

หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกหรงเยว่ล่ะ? เมื่อครู่นางร้อนใจแทบแย่แล้ว”

“ นางเริ่มรู้จักผลักความรับผิดชอบแล้ว ยังไม่ควรให้บทเรียนนางสักหน่อยหรือ? ให้นางร้อนใจนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นไรไป ” ท่านชายสี่พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ยี่หระ

เมื่อหยู่เหวินเห้าได้ยินว่าฮูหยินเหยาจะปลอดภัย ก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของทังหยางที่มีถึงสองคน เขาปรายตามองทั้งสองแวบหนึ่งด้วยความปวดหัว ทำได้แค่พาทั้งสองคนกลับไปด้วย

ทุกคนที่ถูกจับได้ในเรือนนั้น ต่างก็ถูกนำตัวกลับไปด้วยเช่นกัน

นี่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่ของพวกเขา มีคนไม่มาก ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่ถูกทำลาย ทั้งยังสามารถช่วยคนออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้แน่

เมื่อทังหยางทั้งสองถูกพาตัวกลับไป หยวนชิงหลิงก็ยังรู้สึกว่า ไม่ว่าคนไหนจะเป็นตัวจริง นางก็รู้สึกทุกข์ทรมานใจไม่ต่างกัน

หมอหลวงเฉาเพิ่งจะกลับมาพร้อมกับฮูหยินใหญ่พอดี จึงรีบเข้ามาช่วยทำการรักษา

หมอหลวงเฉารับผิดชอบรักษาคนที่ลิ้นถูกตัด หยวนชิงหลิงตรวจสอบอาการของคนที่เหมือนจะมีอาการสมองเสื่อม หยวนชิงหลิงให้สวีอีลองตรวจสอบดูว่า มีบาดแผลบนร่างกายของเขาบ้างหรือไม่ หรือว่ามีร่องรอยการถูกทุบตีบ้างหรือไม่ หลังจากที่สวีอีตรวจสอบดูแล้ว  กับส่วนของมือ ล้วนไม่มีบาดแผล มีรอยแผลเป็นอยู่บ้าง สวีอีบอกว่าเป็นบาดแผลเมื่อสมัยก่อนตอนที่อยู่ในสนามรบ ทำศึกจึงได้รับบาดเจ็บ จากนั้นสวีอีก็ไปดูอีกคนที่อยู่ทางฝั่งหมอหลวงเฉา มีรอยแผลเป็นเหมือนกันทุกประการ แม้แต่ตำแหน่งก็ยังเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้มีแผลเป็นใหม่ ๆ ที่เละเทะกระดำกระด่างเพิ่มเข้ามามากขึ้น ทำให้ใครที่ได้เห็นต่างก็อดรู้สึกสงสารจับใจไม่ได้

คนที่ถูกตัดลิ้นขาดคนนั้นยังมีสติชัดเจนครบถ้วน ยังจำสวีอีกับหมดหลวงเฉาได้ เขามีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสวีอีทำท่าเหมือนอยากจะยื่นมือออกไปจับมือสวีอีสักหน่อย แม้กระทั่งจะแตะมือสวีอีสักครั้งก็ยังทำไม่ได้

สวีอีจ้องมือทั้งสองข้างของเขา นิ้วมือทั้งสิบบิดเบี้ยวผิดรูปอย่างรุนแรง ไม่สามารถยืดออกได้ หรือแม้แต่จะออกแรงสักนิดก็ยังทำไม่ได้

สวีอีร้องไห้ด้วยความทรมานใจอย่างสุดจะฝืน แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นทังหยางตัวจริงหรือตัวปลอม แต่เขาคิดในใจว่าถ้าเป็นตัวจริง แล้วต้องมาโดนทรมานถึงขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมีดคม ๆ กรีดแทงเข้าไปที่หัวใจจริง ๆ

ขณะทำความสะอาดแผล เนื่องจากลิ้นในปากนั้นถูกตัดออกไป บาดแผลนั้นดูเรียบ เวลาที่อ้าปาก ก็จะมีเพียงหลุมดำ ๆ หลุมหนึ่ง ซึ่งดูแล้วชวนให้รู้สึกว่าน่าหวาดกลัวมาก

หยวนชิงหลิงทำการตรวจสอบอาการทั้งหมดเท่าที่ทำได้ให้กับทังหยางอีกคนแล้ว หลังจากจัดการกับบาดแผลเสร็จ โดยพื้นฐานแล้ว ต้องพอตัดสินได้แล้วว่าเป็นเพราะโดนวางยา หรือเป็นเพราะโดนมนต์กู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเกิดอาการสมองเสื่อมแบบนี้ได้แน่ ๆ

หยู่เหวินเห้าสั่งให้คนไปคุมตัวฮูหยินทังมา เพื่อให้นางระบุตัวตน

ฮูหยินทังถึงกับอึ้งจนตาค้าง บอกได้แค่ว่าไม่รู้ว่าใครคือตัวจริงใครคือตัวปลอม หยู่เหวินเห้าจึงสั่งให้คนมาคุมตัวนางออกไป จากนั้นให้นำตัวไปสอบปากคำพร้อม ๆ กับพวกที่จับกลับมาได้

หยู่เหวินเห้ายังส่งคนไปเชิญหงเย่มาด้วย การที่หงเย่ได้รับเชิญให้มาเป็นแขกที่จวนด้วยความจริงใจเช่นนี้ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียว

หงเย่มองสำรวจทังหยางทั้งสองอย่างละเอียด จากนั้นค่อยเดินออกไปพร้อมกับหยู่เหวินเห้า แล้วถามขึ้นว่า “ตัวเจ้าเองคิดว่า คนไหนคือตัวจริงล่ะ?”

หยู่เหวินเห้ารู้สึกทรมานใจอย่างอธิบายไม่ถูก นั่งลงตรงหน้าระเบียง ใช้มือทั้งสองถูที่ใบหน้า ดวงตาแดงก่ำ “จากการอนุมานแบบคร่าว ๆ น่าจะเป็นทังหยางคนที่มีอาการสมองเสื่อม”

“โอ๋? ทำไมล่ะ? ตามการอนุมาน น่าจะเป็นคนที่โดนตัดลิ้นมากกว่าไม่ใช่รึ? ในเมื่อเขาทั้งถูกทุบตีอย่างรุนแรง ทั้งยังถูกตัดลิ้นขาด ดูเหมือนว่าจะถูกใช้ทัณฑ์ทรมานขั้นสุดเชียวนะ !” หงเย่พูด

“ ก็เพราะว่าลิ้นถูกตัดออกนี่ล่ะ ข้าถึงเดาว่าเขาคงไม่ใช่ทังหยาง นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการอย่างหนึ่ง ความตั้งใจเดิมคือต้องการให้ข้าช่วยทังหยางตัวปลอมออกไป จากนั้นทังหยางตัวปลอมก็จะแฝงตัวอยู่ในจวนอ๋องฉู่ของข้า ทันทีที่ทำได้สำเร็จ ทังหยางตัวจริงก็จะถูกฆ่า หรือไม่ก็ย้ายตัวไปที่อื่น แต่ก็เห็นได้ชัดอีกเช่นกันว่า แผนการของพวกนั้นยังไม่ทันสำเร็จ พวกเราก็พบที่นี่เสียก่อน ซึ่งสิ่งนี้ยังเป็นการทำลายแผนการทั้งหมดของพวกนั้น รูปร่างหน้าตาของคนเรายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการตกแต่งปลอมแปลง หรือไม่ก็ใช้ยา แต่น้ำเสียงกลับไม่สามารถทำให้เหมือนกันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น พวกมันจึงตัดลิ้นของคนผู้นี้ ทำให้เขาไม่มีโอกาสพูดได้อีก กำจัดจุดที่จะทำให้คนจำง่ายที่สุดลงก่อน จึงจะสามารถป้องกันความผิดพลาดได้ดีที่สุด ”

หงเย่ประหลาดใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ เขาพยักหน้าเห็นด้วย “อื้ม วิเคราะห์ได้มีเหตุผล”

“ที่ข้ามีการคาดเดาเช่นนี้ ก็เพราะหลินเซียว!” ดวงตาของหยู่เหวินเห้ามืดทะมึน คล้ายกับมีหมอกควันสายหนึ่งก่อตัวขึ้น “ตอนนั้นหลินเซียวแกล้งปลอมเป็นข้าไปตีสนิทกับฉู่หมิงหยาง ฉู่หมิงหยางก็ดูไม่ออก อีกทั้งตอนนี้หลินเซียวที่ข้ารู้จัก เรียกว่าเป็นหนึ่งในสายลับที่มีความเชี่ยวชาญมากกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสายลับพวกนี้จะมีทักษะด้านการปลอมตัวศาสตร์หนึ่งที่ร้ายกาจมาก ”

หงเย่ก็นั่งลง พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “การปลอมตัวแบบนี้เรียกว่าวิชาผีจำแลงหน้าเมื่อเทียบกับทักษะการปลอมตัวธรรมดาทั่วไป ข้อดีของวิชาหน้าผีนี้คือไม่ต้องทำหน้ากากปลอมขึ้นมา สามารถใช้การกินยาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของบุคคลคนใดบุคคลหนึ่งได้ แต่หลังจากกินยาแก้พิษ หรือหยุดกินยาไปราว ๆ สองสามวัน ใบหน้าดั้งเดิมก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา ดังนั้นการที่จะแยกแยะทังหยางตัวจริงออกจากตัวปลอมจึงไม่ใช่เรื่องยาก แค่อดทนรออีกสักสองสามวันก็ได้แล้ว”

หยู่เหวินเห้ามองเขาเขม็ง “เจ้ารู้จักวิชาผีจำแลงหน้าหรือ?”

หงเย่พูดอย่างเย็นชาว่า: “ตอนแรกข้าคิดว่า ข้ารู้กลอุบายทั้งหมดของเขาเป็นอย่างดี แต่ก็คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายเขาก็ยังมีลูกไม้ซ่อนไว้อีกชั้นจนได้ คนที่ตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้นจะต้องไม่ใช่เขาแน่ แต่เป็นคนที่กินยา แล้วใช้ วิชาผีจำแลงหน้าปลอมตัวให้ดูเหมือนเขา ตัวเขาคงหนีไปนานแล้ว การที่วันนี้ข้ามาวิเคราะห์ตำแหน่งที่ซ่อนกับเจ้า แล้วเจ้าสามารถหาตัวเจอได้ตามตำแหน่งที่ข้าบอก เช่นนั้นก็มั่นใจได้เลยว่า เป็นเขาแน่นอน”

หยู่เหวินเห้ามองดูความโกรธเกรี้ยวที่เพิ่มขึ้นในดวงตาของเขา ชั่วขณะหนึ่งเกิดความรู้สึกผสมปนเปที่ยากจะเอ่ย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

แต่ความโกรธของหงเย่ก็ค่อย ๆ ถูกระงับลงอย่างช้า ๆ แต่กลับปรากฏสัมผัสบางอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่าน่าสยดสยองเข้ามาแทนที่ “ก็ดี! ก็ดีแล้ว! ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ตลอดเลยล่ะ ว่าเขาตายสบายเกินไปจริง ๆ”

หลังจากการแก้แค้น วันเวลานับจากนั้นก็เหมือนจะสูญเสียทิศทางไป ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ต้องอย่างนี้สิถึงจะดี!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+