[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 17 Clash (3)

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 17 Clash (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มาคุยถึงอนาคตที่เป็นไปได้กันเถอะ”

ดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังย้อมโลกทั้งใบให้เป็นสีแดง คือสัญญาณว่าการต่อสู้ได้จบลง

ผู้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ และเป็นจุดจบสำหรับอัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส

“อนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น หากเจ้าทำตามคำสั่งของอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล ผู้ที่ตายอย่างน่าเวทนาตรงนั้น”

อาโทวหิ้วร่างของอัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัสที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างขึ้นมาด้วยหนวดของเธอ  และกล่าวกับเขาเล็กน้อย

เขาไม่มีกำลังที่จะสู้แล้ว ทักษะดาบของเวอร์เดลได้กรีดลึกเข้าไปในใจของเขา และมันทำให้เขาสูญเสียทั้งความปรารถนาและพลังที่จะต่อต้าน

อาโทวกล่าวออกมาช้าๆ

ถึงแม้ว่าหน้าที่ของอาโทวคือการสังหารเขาทันทีก็ตาม แต่เธอพูดราวกับว่าเธอจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น

“หากเจ้าเชื่อฟังการตัดสินใจของเขา ต่อให้ไม่เห็นด้วยก็ตาม เจ้าคงจะสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย เจ้าจะได้ส่งรายงานไปตามปกติ และผลการประเมินผลงานอาจจะแย่เล็กน้อยเท่านั้น

ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังสามารถสำเร็จภารกิจและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ภรรยา และลูกอันเป็นที่รักจะคอยต้อนรับเจ้า– สู่บ้านอันแสนอบอุ่นพร้อมกับซุปร้อนๆที่หอมกรุ่น ได้โอบกอดและกระซิบคำรักแก่พวกเขา เจ้าจะได้ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ภารกิจสำเร็จ และจะได้สาบานต่อพระเจ้าว่าจะรักษาความสงบสุขนี้ไว้ 

…. อีกทางหนึ่ง ข้าเองก็จะได้มั่นใจว่าความสงบสุขนั้นจะเกิดขึ้น

แม้แต่ข้าเองก็ยังโล่งใจที่ได้พบกับผู้ที่ไม่คาดคิดว่าจะเข้าใจพวกเรา เจ้าเองก็จะสามารถหลับตาลง โดยที่หวังว่าความสงบสุขนี้จะคงอยู่ตลอดไป ”

มันเป็นถ้อยคำอันแสนเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ทำไมเขาถึงไม่ทำแบบนั้น ทำไมเขาถึงเมินต่อคำแนะนำ และถูกอารมณ์พาไป?

มันคือความโกรธเกรี้ยว

“มาพูดถึงอนาคตที่เจ้าได้เลือกกันเถอะ”

โรนิอัสกำลังจะตาย

เลือดที่ไหลออกจากแผลสามารถทำให้เขาหมดสติได้เลย แต่เขายังมีลมหายใจ และดวงตาของเขาก็ยังเปิดอยู่เล็กน้อย

นี่คือหลักฐานว่าจิตวิญญาณเขายังไม่หายไป

“เจ้าจะตายหลังจากนี้ เจ้าจะทุกข์ทรมานอย่างน่าสมเพช และตายไปโดยไร้ซึ่งความสำเร็จใดๆ

ทีนี้ข้าก็รู้ชื่อครอบครัวของเจ้าแล้ว สิ่งต่อไปที่ข้าจะทำ คือสังหารพวกเขา

มาร์ชา และมีน่า ข้าจะทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานให้มากที่สุดก่อนที่จะฆ่าทิ้ง –โอ้ นางยังเป็นแค่ทารกสินะ เช่นนั้น ข้าก็จะกินนางเหมือนกับที่สัตว์ประหลาดควรจะทำแล้วกัน

จริงๆแล้ว ข้าก็ไม่ใช่พวกชอบกินเนื้อมนุษย์หรอก แต่หากข้าย่าง หรือต้ม แล้วปรุงรสสักหน่อย ก็ไม่ถึงกับกินไม่ได้ล่ะนะ ไม่ต้องกังวลไป”

อาโทวจ้องไปยังใบหน้าของโรนิอัสขณะที่เธอพูดออกมาอย่างแข็งขัน

ความเศร้าโศก เสียใจ และสิ้นหวัง ปรากฏอยู่บนใบหน้าเขา คำพูดของอาโทวเริ่มมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยความสุข รางกับว่าเธอกำลังเพลิดเพลินไปกับพวกมันทั้งหมดโดยไม่ลังเล

อาโทวกำลังเพลิดเพลินไปกับเหตุการณ์นี้

“ไม่เพียงเท่านั้นนะ แต่มันยังมีหมู่บ้านของควอเลียที่พวกเจ้าเข้าพักตอนที่เดินทางระหว่างทวีปทางเหนือกับทางใต้ด้วยใช่มั้ย?

ถึงข้าจะไม่มีเหตุผลให้ต้องทำก็เถอะ แต่ทันทีที่พบ ข้าจะสังหาร และเผาพวกเขาทั้งหมดให้ตาย

โอ้ และหากมีใครที่มีชื่อเดียวกันกับ ภรรยา หรือลูกของเจ้า ข้าก็จะทรมานพวกเขาช้าๆ ก่อนที่จะฆ่าทิ้ง ดังนั้นจงยินดีเสียเถอะ”

โรนิอัสส่ายหัวอย่างอ่อนแรง

ไฟแห่งชีวิตยังคงอยู่ในตัวเขา

มันคือการต่อต้านอย่างสิ้นหวัง และร้องขอความเมตตาด้วยลมหายใจสุดท้ายของเขา

“ข้าถูกคนสำคัญสอนมาว่า หากข้าประมาทผู้อื่น มันอาจจะเป็นจุดจบของข้า ดังนั้น ข้าจะต้องฆ่าพวกมัน ข้าจะเข่นฆ่านับร้อย นับพันคน ช่างน่าเสียดาย และถึงแม้ข้าจะไม่อยากทำ แต่ยังไงข้าก็จะฆ่าพวกมันอยู่ดี –นั่นคืออนาคตที่เจ้าได้เลือกยังไงล่ะ”

“ไม่ หยุดเถอะ… ข้าขอร้อง ได้โปรด หยุด”

เธอจงใจเมินเฉยต่อคำพูดที่สิ้นหวังพวกนั้น

เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ที่โรนิอัสเมินคำวิงวอนเพื่อความสงบสุขของอาโทว

อาโทวก็จะไม่ฟังความปรารถนาของโรนิอัสเช่นกัน

“เจ้าอาจจะเป็นคนดี สวดภาวนาต่อพระเจ้า รับใช้อาณาจักร ถูกรักโดยผู้คนและครอบครัวของเจ้า นั่นคือผู้ที่น่ายกย่อง และนั่นคือเหตุผล ที่ข้าเกลียดพวกที่คิดว่าตนเองถูกที่สุด”

ในที่สุดอาโทวก็พอใจกับการระบายคำสาปแช่งที่ติดอยู่ในอก

บางทีอาจจะตรงกว่าถ้าจะบอกว่าเธอเบื่อ

แต่จะยังไงก็ตาม มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า ชีวิตของชายที่ชื่อโรนิอัสจะถูกทำลายลงที่นี่

“ลาก่อน อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส ข้ามั่นใจว่าเจ้า ผู้ที่เป็นสุภาพบุรุษและกล้าหาญ จะได้ไปสู่สวรรค์ รายล้อมไปด้วยความรักของพระเจ้า เจ้าจะได้เฝ้ามองผู้ที่เจ้ารักทั้งหมดตายอย่างทุกข์ทรมาน จากที่นั่งพิเศษบนสวรรค์เลยล่ะ” 

แม่มดหัวเราะออกมา

ราวกับว่าเกลียดชัง และสาปแช่งให้กับทุกสรรพสิ่ง

โรนิอัสเสียใจที่เขาทำพลาดอย่างร้ายแรง สัมผัสของเขามองสิ่งชั่วร้ายนี่ออกอย่างไม่ต้องสงสัย และที่เหนือกว่าทั้งหมดนั้นคือ…

ความสิ้นหวัง เพราะคนที่เขารักกำลังจะตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของสิ่งชั่วร้ายนั่น ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า

“อ้ากกกกกก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

เพราะจิตใจอันคับแคบๆ และสำนึกในความยุติธรรมของคนๆหนึ่ง… ทำให้ทั้งคณะสำรวจได้พบกับหายนะอย่างไม่คาดคิดในทางตอนใต้ของทวีป โดยไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

……… 

…… 

… 

“สุดยอด… ท่านอาโทว ปล่อยให้เราจัดการกับศพเองเถอะครับ”

ร่างหนึ่งปรากฎขึ้นมาจากด้านหลัง

อาโทวจำเสียงนั้นได้ คนที่เดินออกมาจากป่าคือหัวหน้านักรบไกอา และอาโทวตอบเขาโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง

“ข้าจะช่วยเจ้าเอง จะได้ไม่เสียเวลา รีบๆทำให้เสร็จกันเถอะ”

จำนวนศพของคนที่ตายมีอยู่ราวๆห้าสิบร่าง

ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้โดยไม่จัดการให้ดี การต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่อาจจะถูกเปิดเผยเอาได้

แต่เลือดที่ไหลนองอยู่บนพื้นไม่ใช่อะไรที่จัดการได้ง่ายๆ

ถึงอย่างนั้น ความเสี่ยงที่กลิ่นของซากศพในบริเวณนี้จะดึงดูดสัตว์ร้าย และมอนสเตอร์ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการเก็บอาวุธของศัตรูกลับไปเพื่อเป็นทรัพยากรให้แก่อาณาจักรที่ยากจนของพวกเขา

ดังนั้น การกำจัดศพเป็นสิ่งที่ต้องทำ

อาโทวใช้รยางค์ของเธอรวบรวมศพไว้ในที่เดียวกันอย่างคล่องแคล่ว

ไกอาถามอาโทวในขณะที่เธอกำลังสั่งการเหล่านักรบให้แบกศพเข้าไปในป่า

“ดูเหมือนผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีสักเท่าไหร่นะครับ ท่านอาโทว”

“ใช่แล้วล่ะ ดูเหมือนพวกเขาจะมาเพื่อสำรวจเหตุการณ์ผิดปกติในป่านี้ สิ่งที่ข้าบอกได้ก็คือ พวกเขาอาจจะรู้สึกถึงตัวตนของพวกเราแล้ว”

“อะไรนะครับ! นะ..นั่นมัน….”

“อัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดลยอมรับฟังพวกเรา ข้าจึงคิดว่ามันจะได้ผล….”

 

ในตอนแรก อาโทวปลอมตัวเป็นหญิงสาวชาวดาร์กเอลฟ์เพื่อพูดคุยกับพวกเขา

มันเป็นกลยุทธ์เพื่อปิดบังตัวตนของไมน็อกกราห์ไม่ให้ใครรู้ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากองกำลังติดอาวุธนี้ต้องการอะไร

มันไม่เป็นไรหากพวกเขายอมกลับไป แต่ถ้าไม่ อาโทวจะให้ความสำคัญกับการรักษาความลับไว้ และฆ่าทุกคนทิ้งซะ

นี่เป็นแผนที่ทาคุโตะวางไว้

แต่เมื่อเริ่มเปิดม่าน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

บางทีมันอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เมื่อดูจากวัตถุประสงค์ของพวกเขาแล้ว เขาก็ต้องฆ่าทุกๆคนอยู่ดี

อย่างน้อยที่สุด เขาไม่อาจปล่อยให้ตัวตนของไมน็อกกราห์ถูกล่วงรู้ได้เป็นอันขาด

ดังนั้น ผลลัพธ์นี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ไกอาสั่งให้เหล่าลูกน้องของเขาเร่งมือขึ้น ขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ร้ายแรงที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่

ในขณะเดียวกัน เขาชำเลืองมองไปยังอาโทว และถามเธออย่างซื่อตรงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสงสัยก่อนหน้านี้

“ท่านอาโทว… ที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ ท่านพูดจริงหรือเปล่าครับ?”

“ที่ข้าพูดน่ะหรอ? โอ๊ะ! เรื่องลูกเมียของเขาอย่างนั้นรึ?”

ไกอาชะงักไปกับประโยคนั้น

ขณะที่อาโทวกำลังเจรจาต่อรองกับกองกำลังติดอาวุธพวกนั้น

เหล่าดาร์คเอลฟ์ได้ซ่อนตัวอยู่ภายในป่าและฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่เงียบๆ

พวกเขาได้รับคำสั่งจากราชาของไมน็อกกราห์ว่าห้ามปรากฎตัวจนกว่าอาโทวจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้

เพราะแบบนั้น เขาได้เฝ้าดูพวกเขามาสักพักใหญ่ๆแล้ว

ถึงแม้ว่าไกอาจะกลายเป็นเผ่าปีศาจ แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของอาโทว ก็ยังทำให้เขารู้สึกขนลุกอยู่ดี

คำพูดพวกนั้นเป็นแค่เรื่องโกหก หรือว่า….

อีกอย่างคือ เธอพูดราวกับจะสื่อว่า “นี่เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน?”

ท่าทีของอาโทวมักจะเป็นเช่นนั้น ไกอาได้แต่ตกตะลึง

“ข้าแค่อยากเห็นสีหน้าของอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั่นว่าจะเป็นยังไง ดังนั้นเลยขู่ไปนิดหน่อย ข้าเป็นพวกรักสงบนะ ทำเรื่องอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก…”

ไกอาได้แต่รู้สึกขนลุกเมื่อเห็นเด็กสาวหัวเราะอย่างเบิกบาน

ตอนแรกที่ได้พบกัน เขามีแต่ความหวาดกลัว จากการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันจนถึงตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกว่า อาโทวเองก็เหมือนๆกันกับมนุษย์ทั่วๆไป

โดยเฉพาะบางอย่างที่หลุดออกมาเล็กน้อย

เขาคิดว่าบางครั้งเธอก็ราวกับเด็กสาวทั่วๆไปจริงๆ อย่างท่าทีหดหู่เมื่อเธอไม่ได้รับความสนใจจากราชานั่น

ไกอาคิดว่าเขาคงเข้าใจผิดไปเอง

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือปีศาจที่อยู่ในมิติอื่น

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกเห็นใจพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกฆ่า

หากอาโทวไม่ได้ฆ่าพวกเขา บางทีไกอา และดาร์คเอลฟ์คนอื่นๆอาจจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน

ว่ากันว่าการสอบสวนของอาณาจักรทางตะวันตกนั้นโหดร้าย และจะไม่ยอมอภัยให้กับตัวตนชั่วร้ายเป็นอันขาด

พวกเขายึดมั่นในกฎระเบียบและความยุติธรรม และไกอาเองก็ไม่รู้เลยว่าพวกนั้นจะทำอะไรบ้าง เมื่อตัวตนของไมน็อกกราห์ถูกเปิดโปง

มันคงเป็นเรื่องโง่เง่าที่จะแสดงความเมตตาต่อคณะสำรวจ ในเมื่อเหล่าดาร์คเอลฟ์เพิ่งจะได้พบกับสถานที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา

ไกอาไม่ลืมว่าเผ่าของเขาได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างไร

เขาไม่ต้องหยุดคิดเลยว่าใครมาก่อน ระหว่างคนที่เขารักและรู้จัก กับเหล่าคนแปลกหน้า

“เอาล่ะ หยุดคุยเล่นกันเท่านี้ มีอีกหลายเรื่องที่จะต้องถวายรายงานแก่องค์ราชา”

“หืม? ท่านกังวลเรื่องอะไรงั้นหรอครับ?”

ถึงแม้วิกฤตที่เผชิญเพิ่งจะจบลงก็ตาม

ไกอาเอียงหัว รู้สึกสงสัยที่เห็นอาโทวมีท่าทีเร่งรีบ

ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาไม่นึกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด

“ใช่ ข้าได้ข้อมูลบางอย่างมาตอนที่สังหารศัตรู — และดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดี”

ตอนที่อาโทวสังหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล ความรู้ของเขาก็ได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ

ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลไร้ประโยชน์เกี่ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่มันก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเมย์เฮมในเขตทางตอนเหนือที่มากพอจะดึงดูดความสนใจของอาโทว

และยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนที่ถูกเรียกว่า แม่มด

มหันตภัยที่คาดการณ์ว่าเทียบเท่ากับสิ่งที่นักบุญหญิงแห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควอเลีย และสหพันธ์แห่งจิตวิญญาณเอลนาร์กำลังเผชิญอยู่

โชคดีที่พวกเขายังไม่เคยเผชิญหน้ากัน แต่หากอาโทวคิดถูก ตัวตนนั้นน่าจะมีพลังอยู่ในระดับผู้กล้า

ไมน็อกกราห์ยังขาดแคลนในด้านของอำนาจ และความแข็งแกร่งของอาณาจักร

พลังของผู้กล้าเป็นข้อได้เปรียบเดียวที่พวกเขามี ซึ่งมันจะไร้ประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายเองก็มีเช่นเดียวกัน

พวกเราจะต้องคิดหามาตรการรับมือเรื่องนี้ และแนวทางในอนาคตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไกอาเองก็รู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์จากท่าทางของอาโทว และพยักหน้าอย่างเงียบงัน

ความกังวลของเธอคือปัญหาของอาณาจักร ซึ่งจะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน

ไกอาส่งสัญญาณให้เหล่านักรบรีบเร่งมือขึ้น และเข้าไปช่วยพวกเขาอีกแรงหนึ่ง

“โลกกำลังจะเปลี่ยนไป”

 

กลับมาแล้วครับ =w=

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 17 Clash (3)

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 17 Clash (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มาคุยถึงอนาคตที่เป็นไปได้กันเถอะ”

ดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังย้อมโลกทั้งใบให้เป็นสีแดง คือสัญญาณว่าการต่อสู้ได้จบลง

ผู้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ และเป็นจุดจบสำหรับอัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส

“อนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น หากเจ้าทำตามคำสั่งของอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล ผู้ที่ตายอย่างน่าเวทนาตรงนั้น”

อาโทวหิ้วร่างของอัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัสที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างขึ้นมาด้วยหนวดของเธอ  และกล่าวกับเขาเล็กน้อย

เขาไม่มีกำลังที่จะสู้แล้ว ทักษะดาบของเวอร์เดลได้กรีดลึกเข้าไปในใจของเขา และมันทำให้เขาสูญเสียทั้งความปรารถนาและพลังที่จะต่อต้าน

อาโทวกล่าวออกมาช้าๆ

ถึงแม้ว่าหน้าที่ของอาโทวคือการสังหารเขาทันทีก็ตาม แต่เธอพูดราวกับว่าเธอจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น

“หากเจ้าเชื่อฟังการตัดสินใจของเขา ต่อให้ไม่เห็นด้วยก็ตาม เจ้าคงจะสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย เจ้าจะได้ส่งรายงานไปตามปกติ และผลการประเมินผลงานอาจจะแย่เล็กน้อยเท่านั้น

ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังสามารถสำเร็จภารกิจและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ภรรยา และลูกอันเป็นที่รักจะคอยต้อนรับเจ้า– สู่บ้านอันแสนอบอุ่นพร้อมกับซุปร้อนๆที่หอมกรุ่น ได้โอบกอดและกระซิบคำรักแก่พวกเขา เจ้าจะได้ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ภารกิจสำเร็จ และจะได้สาบานต่อพระเจ้าว่าจะรักษาความสงบสุขนี้ไว้ 

…. อีกทางหนึ่ง ข้าเองก็จะได้มั่นใจว่าความสงบสุขนั้นจะเกิดขึ้น

แม้แต่ข้าเองก็ยังโล่งใจที่ได้พบกับผู้ที่ไม่คาดคิดว่าจะเข้าใจพวกเรา เจ้าเองก็จะสามารถหลับตาลง โดยที่หวังว่าความสงบสุขนี้จะคงอยู่ตลอดไป ”

มันเป็นถ้อยคำอันแสนเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ทำไมเขาถึงไม่ทำแบบนั้น ทำไมเขาถึงเมินต่อคำแนะนำ และถูกอารมณ์พาไป?

มันคือความโกรธเกรี้ยว

“มาพูดถึงอนาคตที่เจ้าได้เลือกกันเถอะ”

โรนิอัสกำลังจะตาย

เลือดที่ไหลออกจากแผลสามารถทำให้เขาหมดสติได้เลย แต่เขายังมีลมหายใจ และดวงตาของเขาก็ยังเปิดอยู่เล็กน้อย

นี่คือหลักฐานว่าจิตวิญญาณเขายังไม่หายไป

“เจ้าจะตายหลังจากนี้ เจ้าจะทุกข์ทรมานอย่างน่าสมเพช และตายไปโดยไร้ซึ่งความสำเร็จใดๆ

ทีนี้ข้าก็รู้ชื่อครอบครัวของเจ้าแล้ว สิ่งต่อไปที่ข้าจะทำ คือสังหารพวกเขา

มาร์ชา และมีน่า ข้าจะทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานให้มากที่สุดก่อนที่จะฆ่าทิ้ง –โอ้ นางยังเป็นแค่ทารกสินะ เช่นนั้น ข้าก็จะกินนางเหมือนกับที่สัตว์ประหลาดควรจะทำแล้วกัน

จริงๆแล้ว ข้าก็ไม่ใช่พวกชอบกินเนื้อมนุษย์หรอก แต่หากข้าย่าง หรือต้ม แล้วปรุงรสสักหน่อย ก็ไม่ถึงกับกินไม่ได้ล่ะนะ ไม่ต้องกังวลไป”

อาโทวจ้องไปยังใบหน้าของโรนิอัสขณะที่เธอพูดออกมาอย่างแข็งขัน

ความเศร้าโศก เสียใจ และสิ้นหวัง ปรากฏอยู่บนใบหน้าเขา คำพูดของอาโทวเริ่มมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยความสุข รางกับว่าเธอกำลังเพลิดเพลินไปกับพวกมันทั้งหมดโดยไม่ลังเล

อาโทวกำลังเพลิดเพลินไปกับเหตุการณ์นี้

“ไม่เพียงเท่านั้นนะ แต่มันยังมีหมู่บ้านของควอเลียที่พวกเจ้าเข้าพักตอนที่เดินทางระหว่างทวีปทางเหนือกับทางใต้ด้วยใช่มั้ย?

ถึงข้าจะไม่มีเหตุผลให้ต้องทำก็เถอะ แต่ทันทีที่พบ ข้าจะสังหาร และเผาพวกเขาทั้งหมดให้ตาย

โอ้ และหากมีใครที่มีชื่อเดียวกันกับ ภรรยา หรือลูกของเจ้า ข้าก็จะทรมานพวกเขาช้าๆ ก่อนที่จะฆ่าทิ้ง ดังนั้นจงยินดีเสียเถอะ”

โรนิอัสส่ายหัวอย่างอ่อนแรง

ไฟแห่งชีวิตยังคงอยู่ในตัวเขา

มันคือการต่อต้านอย่างสิ้นหวัง และร้องขอความเมตตาด้วยลมหายใจสุดท้ายของเขา

“ข้าถูกคนสำคัญสอนมาว่า หากข้าประมาทผู้อื่น มันอาจจะเป็นจุดจบของข้า ดังนั้น ข้าจะต้องฆ่าพวกมัน ข้าจะเข่นฆ่านับร้อย นับพันคน ช่างน่าเสียดาย และถึงแม้ข้าจะไม่อยากทำ แต่ยังไงข้าก็จะฆ่าพวกมันอยู่ดี –นั่นคืออนาคตที่เจ้าได้เลือกยังไงล่ะ”

“ไม่ หยุดเถอะ… ข้าขอร้อง ได้โปรด หยุด”

เธอจงใจเมินเฉยต่อคำพูดที่สิ้นหวังพวกนั้น

เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ที่โรนิอัสเมินคำวิงวอนเพื่อความสงบสุขของอาโทว

อาโทวก็จะไม่ฟังความปรารถนาของโรนิอัสเช่นกัน

“เจ้าอาจจะเป็นคนดี สวดภาวนาต่อพระเจ้า รับใช้อาณาจักร ถูกรักโดยผู้คนและครอบครัวของเจ้า นั่นคือผู้ที่น่ายกย่อง และนั่นคือเหตุผล ที่ข้าเกลียดพวกที่คิดว่าตนเองถูกที่สุด”

ในที่สุดอาโทวก็พอใจกับการระบายคำสาปแช่งที่ติดอยู่ในอก

บางทีอาจจะตรงกว่าถ้าจะบอกว่าเธอเบื่อ

แต่จะยังไงก็ตาม มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า ชีวิตของชายที่ชื่อโรนิอัสจะถูกทำลายลงที่นี่

“ลาก่อน อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส ข้ามั่นใจว่าเจ้า ผู้ที่เป็นสุภาพบุรุษและกล้าหาญ จะได้ไปสู่สวรรค์ รายล้อมไปด้วยความรักของพระเจ้า เจ้าจะได้เฝ้ามองผู้ที่เจ้ารักทั้งหมดตายอย่างทุกข์ทรมาน จากที่นั่งพิเศษบนสวรรค์เลยล่ะ” 

แม่มดหัวเราะออกมา

ราวกับว่าเกลียดชัง และสาปแช่งให้กับทุกสรรพสิ่ง

โรนิอัสเสียใจที่เขาทำพลาดอย่างร้ายแรง สัมผัสของเขามองสิ่งชั่วร้ายนี่ออกอย่างไม่ต้องสงสัย และที่เหนือกว่าทั้งหมดนั้นคือ…

ความสิ้นหวัง เพราะคนที่เขารักกำลังจะตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของสิ่งชั่วร้ายนั่น ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า

“อ้ากกกกกก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

เพราะจิตใจอันคับแคบๆ และสำนึกในความยุติธรรมของคนๆหนึ่ง… ทำให้ทั้งคณะสำรวจได้พบกับหายนะอย่างไม่คาดคิดในทางตอนใต้ของทวีป โดยไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

……… 

…… 

… 

“สุดยอด… ท่านอาโทว ปล่อยให้เราจัดการกับศพเองเถอะครับ”

ร่างหนึ่งปรากฎขึ้นมาจากด้านหลัง

อาโทวจำเสียงนั้นได้ คนที่เดินออกมาจากป่าคือหัวหน้านักรบไกอา และอาโทวตอบเขาโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง

“ข้าจะช่วยเจ้าเอง จะได้ไม่เสียเวลา รีบๆทำให้เสร็จกันเถอะ”

จำนวนศพของคนที่ตายมีอยู่ราวๆห้าสิบร่าง

ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้โดยไม่จัดการให้ดี การต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่อาจจะถูกเปิดเผยเอาได้

แต่เลือดที่ไหลนองอยู่บนพื้นไม่ใช่อะไรที่จัดการได้ง่ายๆ

ถึงอย่างนั้น ความเสี่ยงที่กลิ่นของซากศพในบริเวณนี้จะดึงดูดสัตว์ร้าย และมอนสเตอร์ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการเก็บอาวุธของศัตรูกลับไปเพื่อเป็นทรัพยากรให้แก่อาณาจักรที่ยากจนของพวกเขา

ดังนั้น การกำจัดศพเป็นสิ่งที่ต้องทำ

อาโทวใช้รยางค์ของเธอรวบรวมศพไว้ในที่เดียวกันอย่างคล่องแคล่ว

ไกอาถามอาโทวในขณะที่เธอกำลังสั่งการเหล่านักรบให้แบกศพเข้าไปในป่า

“ดูเหมือนผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีสักเท่าไหร่นะครับ ท่านอาโทว”

“ใช่แล้วล่ะ ดูเหมือนพวกเขาจะมาเพื่อสำรวจเหตุการณ์ผิดปกติในป่านี้ สิ่งที่ข้าบอกได้ก็คือ พวกเขาอาจจะรู้สึกถึงตัวตนของพวกเราแล้ว”

“อะไรนะครับ! นะ..นั่นมัน….”

“อัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดลยอมรับฟังพวกเรา ข้าจึงคิดว่ามันจะได้ผล….”

 

ในตอนแรก อาโทวปลอมตัวเป็นหญิงสาวชาวดาร์กเอลฟ์เพื่อพูดคุยกับพวกเขา

มันเป็นกลยุทธ์เพื่อปิดบังตัวตนของไมน็อกกราห์ไม่ให้ใครรู้ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากองกำลังติดอาวุธนี้ต้องการอะไร

มันไม่เป็นไรหากพวกเขายอมกลับไป แต่ถ้าไม่ อาโทวจะให้ความสำคัญกับการรักษาความลับไว้ และฆ่าทุกคนทิ้งซะ

นี่เป็นแผนที่ทาคุโตะวางไว้

แต่เมื่อเริ่มเปิดม่าน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

บางทีมันอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เมื่อดูจากวัตถุประสงค์ของพวกเขาแล้ว เขาก็ต้องฆ่าทุกๆคนอยู่ดี

อย่างน้อยที่สุด เขาไม่อาจปล่อยให้ตัวตนของไมน็อกกราห์ถูกล่วงรู้ได้เป็นอันขาด

ดังนั้น ผลลัพธ์นี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ไกอาสั่งให้เหล่าลูกน้องของเขาเร่งมือขึ้น ขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ร้ายแรงที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่

ในขณะเดียวกัน เขาชำเลืองมองไปยังอาโทว และถามเธออย่างซื่อตรงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสงสัยก่อนหน้านี้

“ท่านอาโทว… ที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ ท่านพูดจริงหรือเปล่าครับ?”

“ที่ข้าพูดน่ะหรอ? โอ๊ะ! เรื่องลูกเมียของเขาอย่างนั้นรึ?”

ไกอาชะงักไปกับประโยคนั้น

ขณะที่อาโทวกำลังเจรจาต่อรองกับกองกำลังติดอาวุธพวกนั้น

เหล่าดาร์คเอลฟ์ได้ซ่อนตัวอยู่ภายในป่าและฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่เงียบๆ

พวกเขาได้รับคำสั่งจากราชาของไมน็อกกราห์ว่าห้ามปรากฎตัวจนกว่าอาโทวจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้

เพราะแบบนั้น เขาได้เฝ้าดูพวกเขามาสักพักใหญ่ๆแล้ว

ถึงแม้ว่าไกอาจะกลายเป็นเผ่าปีศาจ แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของอาโทว ก็ยังทำให้เขารู้สึกขนลุกอยู่ดี

คำพูดพวกนั้นเป็นแค่เรื่องโกหก หรือว่า….

อีกอย่างคือ เธอพูดราวกับจะสื่อว่า “นี่เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน?”

ท่าทีของอาโทวมักจะเป็นเช่นนั้น ไกอาได้แต่ตกตะลึง

“ข้าแค่อยากเห็นสีหน้าของอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั่นว่าจะเป็นยังไง ดังนั้นเลยขู่ไปนิดหน่อย ข้าเป็นพวกรักสงบนะ ทำเรื่องอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก…”

ไกอาได้แต่รู้สึกขนลุกเมื่อเห็นเด็กสาวหัวเราะอย่างเบิกบาน

ตอนแรกที่ได้พบกัน เขามีแต่ความหวาดกลัว จากการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันจนถึงตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกว่า อาโทวเองก็เหมือนๆกันกับมนุษย์ทั่วๆไป

โดยเฉพาะบางอย่างที่หลุดออกมาเล็กน้อย

เขาคิดว่าบางครั้งเธอก็ราวกับเด็กสาวทั่วๆไปจริงๆ อย่างท่าทีหดหู่เมื่อเธอไม่ได้รับความสนใจจากราชานั่น

ไกอาคิดว่าเขาคงเข้าใจผิดไปเอง

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือปีศาจที่อยู่ในมิติอื่น

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกเห็นใจพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกฆ่า

หากอาโทวไม่ได้ฆ่าพวกเขา บางทีไกอา และดาร์คเอลฟ์คนอื่นๆอาจจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน

ว่ากันว่าการสอบสวนของอาณาจักรทางตะวันตกนั้นโหดร้าย และจะไม่ยอมอภัยให้กับตัวตนชั่วร้ายเป็นอันขาด

พวกเขายึดมั่นในกฎระเบียบและความยุติธรรม และไกอาเองก็ไม่รู้เลยว่าพวกนั้นจะทำอะไรบ้าง เมื่อตัวตนของไมน็อกกราห์ถูกเปิดโปง

มันคงเป็นเรื่องโง่เง่าที่จะแสดงความเมตตาต่อคณะสำรวจ ในเมื่อเหล่าดาร์คเอลฟ์เพิ่งจะได้พบกับสถานที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา

ไกอาไม่ลืมว่าเผ่าของเขาได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างไร

เขาไม่ต้องหยุดคิดเลยว่าใครมาก่อน ระหว่างคนที่เขารักและรู้จัก กับเหล่าคนแปลกหน้า

“เอาล่ะ หยุดคุยเล่นกันเท่านี้ มีอีกหลายเรื่องที่จะต้องถวายรายงานแก่องค์ราชา”

“หืม? ท่านกังวลเรื่องอะไรงั้นหรอครับ?”

ถึงแม้วิกฤตที่เผชิญเพิ่งจะจบลงก็ตาม

ไกอาเอียงหัว รู้สึกสงสัยที่เห็นอาโทวมีท่าทีเร่งรีบ

ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาไม่นึกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด

“ใช่ ข้าได้ข้อมูลบางอย่างมาตอนที่สังหารศัตรู — และดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดี”

ตอนที่อาโทวสังหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล ความรู้ของเขาก็ได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ

ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลไร้ประโยชน์เกี่ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่มันก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเมย์เฮมในเขตทางตอนเหนือที่มากพอจะดึงดูดความสนใจของอาโทว

และยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนที่ถูกเรียกว่า แม่มด

มหันตภัยที่คาดการณ์ว่าเทียบเท่ากับสิ่งที่นักบุญหญิงแห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควอเลีย และสหพันธ์แห่งจิตวิญญาณเอลนาร์กำลังเผชิญอยู่

โชคดีที่พวกเขายังไม่เคยเผชิญหน้ากัน แต่หากอาโทวคิดถูก ตัวตนนั้นน่าจะมีพลังอยู่ในระดับผู้กล้า

ไมน็อกกราห์ยังขาดแคลนในด้านของอำนาจ และความแข็งแกร่งของอาณาจักร

พลังของผู้กล้าเป็นข้อได้เปรียบเดียวที่พวกเขามี ซึ่งมันจะไร้ประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายเองก็มีเช่นเดียวกัน

พวกเราจะต้องคิดหามาตรการรับมือเรื่องนี้ และแนวทางในอนาคตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไกอาเองก็รู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์จากท่าทางของอาโทว และพยักหน้าอย่างเงียบงัน

ความกังวลของเธอคือปัญหาของอาณาจักร ซึ่งจะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน

ไกอาส่งสัญญาณให้เหล่านักรบรีบเร่งมือขึ้น และเข้าไปช่วยพวกเขาอีกแรงหนึ่ง

“โลกกำลังจะเปลี่ยนไป”

 

กลับมาแล้วครับ =w=

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+