Scholar’s Advanced Technological System 1246 เชียร์ส แด่อนาคตที่ดีกว่าเดิม!

Now you are reading Scholar’s Advanced Technological System Chapter 1246 เชียร์ส แด่อนาคตที่ดีกว่าเดิม! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พวกเรากำลังจะเดินทางถึงปักกิ่งแล้ว ผู้โดยสารทุกท่าน โปรดอย่าลืมหยิบสัมภาระและเดินออกจากรถไฟด้วยความเป็นระเบียบด้วยนะคะ”

เสียงประกาศจากรถไฟไม่ได้รบกวนบทสนทนาของชายสูงวัยทั้งสองคนเลย

ชายสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขามีชื่อว่าหลิวเพ่ยจง เขายังเป็นคนเมืองเจียงหลิงอีกด้วย

ถึงแม้ดูเหมือนหลิวเพ่ยจงจะไม่เชื่อคำพูดเขา แต่ลู่ปังกั๋วก็ไม่ได้สนใจ ชีวิตวัยเกษียณของเขาที่มีแต่การดื่มชา การอ่านหนังสือพิมพ์ไปวันๆ ได้หล่อหลอมให้จิตใจและอารมณ์ของเขาสงบนิ่ง

ชีวิตของเขากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาต้องโมโห

เขาก็จะอวดต่อไปอยู่ดี ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อคำพูดเขาหรือไม่ก็ตาม

ทั้งสองคนยังคงคุยกันอย่างเพลิดเพลินไปตลอดทาง

“เอ่อ…”

“ว่าไง?”

“ลูกชายคุณมีคนรักหรือยัง? ”

“ยังเลย” ผู้เฒ่าลู่ถอนหายใจพลางบ่น “เขาก็เกือบจะสามสิบอยู่แล้ว ผมก็เริ่มกังวลเรื่องนี้แล้วเนี่ย”

หลิวเพ่ยจงพยายามปลอบเขา “พวกผู้ชายควรจะโฟกัสไปที่งานตัวเองมากกว่า ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จน่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องจะหาภรรยาไม่ได้หรอกนะ อย่าไปกดดันลูกคุณมากนักเลย”

จริงๆ หลิวเพ่ยจงกำลังหัวเราะอยู่ในใจ

แหม อวดลูกหนักมากนะคุณน่ะ

ถ้าลูกคุณเก่งขนาดนั้นจริงล่ะก็ ทำไมยังหาภรรยาไม่ได้อีกล่ะ?

หลิวเพ่ยจงรู้สึกว่าเขามองผู้เฒ่าลู่ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

แต่ลู่ปังกั๋วก็ไม่ได้สังเกตว่าหลิวเพ่ยจงได้มอง ‘คำโกหก’ ของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เขายังคง ‘อวด’ ต่อไป

“เฮ้อ ผมไม่ได้กังวลเรื่องงานเขาเลย ก็บอกเขาตลอดว่าเงินน่ะไม่สำคัญหรอก ความหมายและเป้าหมายต่างหากคือสัจธรรมของชีวิต เขาหาเงินได้มากกว่าที่เขาจะใช้เสียอีก แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ? โอ๊ย! คุณมาหยิกผมทำไมเนี่ย?”

ฟางเหมยที่นั่งอยู่ข้างเขามองลู่ปังกั๋วด้วยสายตาคาดโทษ ข้อความจากสายตาเธอมันชัดเจนมาก เหมือนกับเธอกำลังบอกว่า “อย่าทำให้ฉันอายต่อหน้าคนแปลกหน้าพวกนี้เด็ดขาด”

เมื่อเห็นว่าภรรยาของตัวเองโกรธแค่ไหนแล้ว ลู่ปังกั๋วก็หยุดพูดแล้วหันไปหาทางทำให้ภรรยาของเขาใจเย็นลง

หลิวเพ่ยจงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

หาเงินได้มากกว่าที่จะใช้เหรอ?

ตาเฒ่าตรงหน้านี่เมาแอ๋แล้ว!

รถไฟเดินทางถึงสถานีในที่สุด

ผู้เฒ่าลู่กำลังจะหยิบสัมภาระตัวเองลง แต่ก็มีชายสองคนในชุดเครื่องแบบเดินมาพอดี

“เดี๋ยวผมช่วยเองครับคุณลู่”

“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม…เดี๋ยวนะ พวกเธอรู้ได้อย่างไรว่าผมแซ่ลู่? ”

“เอ่อ…มันเขียนอยู่บนตั๋วของคุณน่ะครับ”

“อ๋อ”

ลู่ปังกั๋วไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก เขาปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนจัดการกับสัมภาระของเขา

ชายสูงวัยที่นั่งตรงข้ามลู่ปังกั๋วกับฟางเหมยมองชายหนุ่มในเครื่องแบบทั้งสองคน พวกเขาดูไม่เหมือนพนักงานบนรถไฟเลย แต่พอเห็นว่าพนักงานบนรถไฟไม่ได้ทำอะไรพวกเขาก็แปลว่าพวกเขาไม่ใช่พวกต้มตุ๋นแน่ๆ เหมือนกัน

กลุ่มคนลงมาจากรถไฟแล้วเดินออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูง

หลิวเพ่ยจงกำลังจะนั่งแท็กซี่ไปโรงแรมแล้ว แต่เขาก็สังเกตเห็นว่า ไม่มีคนขับแท็กซี่ที่นั่นเลย

พวกเขาไปไหนกันหมด?

อะไรวะเนี่ย?!

วันนี้พวกคนขับแท็กซี่ไม่ทำงานกันเหรอ?

เขายังแปลกใจเช่นกันที่เห็นว่า สถานีรถไฟความเร็วสูงทั้งสถานีดูแตกต่างจากครั้งก่อนที่เขามามาก ถึงแม้โครงสร้างข้างในจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มีบางอย่างที่รู้สึกว่ามันต่างกันโดยสิ้นเชิง…

มันเหมือนกับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ นี้มีกฎและระเบียบมากขึ้น

“พวกคนขับแท็กซี่ไปไหนกันหมดเนี่ย?”

“…ไม่รู้เหมือนกัน”

ผู้เฒ่าลู่ก็สับสนเช่นกัน เขาสับสนว่าทำไม ‘พนักงานรถไฟ’ สองคนนั้นถึงมาช่วยเขาหยิบสัมภาระลงจากสถานีรถไฟ

ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ เขาซื้อตั๋วที่นั่งชั้นสองมานะ

ขนาดพวกที่นั่งชั้นหนึ่งไม่ได้รับบริการแบบนี้เลย

พอผู้เฒ่าลู่เดินมาถึงจุดจอดรถแท็กซี่ เขาก็กำลังจะหันไปขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองแล้วบอกให้พวกเขากลับไปได้แล้ว แต่เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น

รถคันสีดำที่มีธงสีแดงจอดอยู่ริมถนน มันครองพื้นที่จอดรถไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีรถคันไหนจอดอยู่ทั้งข้างหน้าหรือข้างหลังมันเลย

ชายในชุดสูททูนิกเดินมาข้างหน้า เขายิ้มเมื่อเห็นชายสูงวัยทั้งสองแล้วจึงพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นเขาก็รับกระเป๋าเดินทางจากชายหนุ่มทั้งสองมาแล้วบอกพวกเขาว่า “ขอบใจนะ เดี๋ยวต่อจากนี้ผมจัดการเอง” จากนั้นเขาก็วางกระเป๋าเดินทางทั้งสองลงไปในกระโปรงรถอย่างคล่องแคล่ว

ในขณะที่ลู่ปังกั๋วและฟางเหมยมองดูประตูรถเปิด พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออก

ผู้เฒ่าหลิวและภรรยาของเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนก็ตกอยู่ในอากัปกิริยาเดียวกัน เมื่อพวกเขาเห็นป้ายทะเบียนรถ ปากของพวกเขาก็อ้าหวอ และใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

“เอ่อ…พี่ลู่”

“อ่าฮะ มีอะไร…” ผู้เฒ่าลู่รู้ว่านี่ก็คงจะเกี่ยวกับลูกชายของเขาอีก

“ลูกชายคุณ…ยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม?”

“อ่าฮะ…พวกเราก็เพิ่งคุยเรื่องนี้กันเมื่อห้านาทีก่อนนี่เอง”

ท่าทางของผู้เฒ่าหลิวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาคว้าแขนผู้เฒ่าลู่อย่างตื่นเต้น

“ผมมีหลานสาวที่ทำงานในปักกิ่งแล้วเธอก็บังเอิญโสดเหมือนกันด้วย ในเมื่อพวกเราคุยกันถูกคอขนาดนี้แล้ว พวกเราลองแนะนำลูกๆ หลานๆ เราให้รู้จักกันดีไหม? ผมจำได้ว่าผมมีนามบัตรหลานอยู่นะ น่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ขอลองหาก่อนแป๊บนึง…”

ลู่โจวไม่รู้เลยว่าพ่อของเขาได้เตรียมการ ‘ดูตัว’ ไว้ให้แล้ว

แต่ต่อให้เขารู้ เขาก็ไม่มีเวลาไปยุ่งเกี่ยวกับมันอยู่ดี

ที่ห้องโถงใหญ่ไม่ไกลจากโรงแรมกำลังมีงานเลี้ยงที่จัดไว้ให้แขกที่ได้รับเชิญอยู่

ในฐานะที่เป็นแขกขนสำคัญของงานเลี้ยง เขาจะได้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ เจ้าหน้าที่แต่งหน้าทำผมกำลังง่วนอยู่กับการทำให้เขาดูดี

ลู่โจวยืนอยู่หน้ากระจก ในขณะที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังหวีและแว็กซ์ผมให้เขา เขากระแอมแล้วบอกเธอว่า “จริงๆ แล้ว ผมว่า…ไม่ต้องแต่งเยอะก็ได้ครับ ผมดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”

สไตลิสต์ยิ้มและก็ยังคงทำผมของเขาต่อไป

“โถ นักวิชาการลู่ จะไม่เป็นตัวคุณได้อย่างไรกันคะ? ”

“อีกนานแค่ไหนกว่าจะเสร็จเหรอครับ? ”

“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วค่ะ”

“…เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนคุณก็พูดอย่างนี้นะครับ”

ในที่สุด

เขาก็แต่งเสร็จเสียที

เฉินยู่ซานยืนกอดอกอยู่หน้าประตู เมื่อเธอเห็นลู่โจวเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เธอก็มีท่าทีประหลาดใจ

“ไม่เลวนี่นา นายดูเป็นคนละคนเลยล่ะ”

ลู่โจวไม่ถูกใจสิ่งนี้

“เธอหมายความว่าไงน่ะ จะบอกว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่ดูดีเหรอ?”

แต่ก็นั่นแหละ สไตลิสต์แตกต่างจากช่างทำผมธรรมดาๆ ทั่วไป เขากังวลนิดหน่อยว่าเธอจะทำให้เขาดูแก่และมีอายุ แต่หลังจากที่ได้หวีและแว็กซ์ผม บรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป เขาดูไม่เหมือนนักวิจัยวิทยาศาสตร์อีกต่อไป เขาดูเหมือน…ศิลปินเพลงป๊อปมากกว่า

เฉินยู่ซานยังคงเหมือนเดิม

ลู่โจวรู้จักเธอมาเกือบเก้าปีแล้ว เขาชินกับความสวยของอีกฝ่ายมานาน แต่ตอนนี้เธอสวมชุดราตรียาว และเธอก็ดูเหมือนกับเจ้าหญิงไม่มีผิด ดวงตาเป็นประกายของเธอเหมือนอัญมณีที่เจียระไนแล้ว เขาอดเหลือบมองเธอครู่หนึ่งไม่ได้จริงๆ

เฉินยู่ซานยิ้มแล้วรวบผมไปไว้หลังหูของเธอ

“นายก็ดูดีตลอดนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยิ่งหล่อกว่าเดิมอีก! ”

เอิ่ม…

โอเค เข้าใจแล้ว

พอเข้าใจได้

ลู่โจวพอใจกับคำตอบ เขาก็เลยตัดสินใจเลิกถามเรื่องไร้สาระนี้ไป…

พวกเขาห่างจากห้องโถงใหญ่เพียงไม่กี่บล็อกเท่านั้น แต่พวกเขาก็นั่งอยู่ในรถซีดานสีดำที่จอดอยู่ที่หน้าโรงแรม

เมื่อพวกเขาลงจากรถที่หน้าทางเข้าห้องโถงใหญ่ พวกเขาก็บังเอิญเจอกับฟางเหมยและผู้เฒ่าลู่พอดี

เมื่อผู้เฒ่าลู่ได้เห็นลูกชายของตัวเอง เขาก็แทบจะจำอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาจ้องอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกออกในที่สุดว่าอีกฝ่ายคือลู่โจว แต่พอเขากำลังจะทักทายลูกตัวเอง ความสนใจของเขาก็ถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างลู่โจวดึงไปจนหมด

ดวงตาของผู้เฒ่าลู่เบิกกว้าง เขาคว้าตัวฟางเหมยมาแล้วชี้ไปที่เฉินยู่ซานด้วยความตื่นเต้น

ลู่โจวมองพ่อแม่ของเขาที่กำลังช็อก เขาก็ไม่รู้ว่าพวกพ่อแม่ตื่นเต้นอะไรกัน ลู่โจวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เฉินยู่ซานรู้สึกว่าเธอกำลังเป็นจุดสนใจ เธอจึงยิ้มที่มุมปากอย่างมั่นใจ

ถึงแม้เธอจะทำท่าทางมั่นใจ แต่เธอก็ไม่ได้อยากจะมีภาพลักษณ์เป็นคนก้าวร้าวแต่อย่างใด

เธอค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของลู่โจวแล้วพาเขาไปทักทายพ่อแม่ของเขา ในทางกลับกัน ลู่โจวนั้นงงมาก

หลังจากนั้นเธอก็พาคู่สามีภรรยาและตัวลู่โจวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่

ลู่โจวไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินยู่ซานถึงทำแบบนี้…

ในห้องโถงใหญ่

แขกกลุ่มใหญ่นั่งตามที่นั่งของตน

โต๊ะกลมปูด้วยผ้าไหมทอง แก้วไวน์วางอย่างเป็นระเบียบ พนักงานกำลังรินไวน์และเครื่องดื่มอื่นๆ

หลังจากผ่านการแสดงดนตรีสุดยิ่งใหญ่และพิธีเปิดไปได้ ชายสูงวัยที่มีผมสีขาวในชุดสูททูนิกก็เดินขึ้นมาบนเวทีและเอื้อมมือไปหยิบไมโครโฟน

เขายิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “หลังผ่านมาทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี เวลาหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว

เมื่อมองย้อนกลับไปยังอดีตและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้” “จะเห็นว่ามันช่างเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคเช่นกัน”

“อย่างไรก็ถาม ไม่ว่าถนนเส้นนี้จะยากเย็นสักเพียงใด ไม่ว่าสภาพอากาศจะแปรปรวนสักแค่ไหน ปัญญาและความกล้าของพวกเราก็จะผลักดันให้สามารถผ่านพ้นพายุนี้ไปได้ และไม่มีสิ่งใดจะสามารถหยุดยั้งพวกเรา”

“ในวันอันทรงเกียรตินี้ ผมขออวยพรให้อนาคตของพวกเรา เป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิม และสวยงามกว่าเดิม! ”

“ขอให้พวกเราชูแก้วขึ้นมาอวยพรให้กับอนาคตของแผ่นดินแม่พวกเราด้วยเถิด! ”

ทุกคนในงานเลี้ยงชูแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมา

“เชียร์ส! ”

ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข

ทุกคนต่างมีรอยยิ้มจากใจจริงประดับอยู่บนใบหน้า

เสียงผู้ชมเริ่มเงียบลง

แขกและทูตจากต่างประเทศหลายคนก็หยุดพูดคุยกันและมองไปทางเวทีด้วยความสงสัย

ชายสูงวัยบนเวทีมองไปรอบๆ เขากระแอมแล้วพูดขึ้นว่า

“เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำงานหนักให้กับประชาชนของเราและให้กับอนาคตอันสดใสของพวกเรา…

ในฐานะตัวแทนของทุกคน ผมอยากจะมอบเกียรติระดับสูงสุด รางวัลเหรียญเกียรติยศแห่งชาติให้กับผู้ที่นำความเจริญรุ่งเรืองและปัญญามาให้แก่พวกเราทุกคน

“ผู้ที่ได้รับรางวัลก็คือ

ลู่โจว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Scholar’s Advanced Technological System 1246 เชียร์ส แด่อนาคตที่ดีกว่าเดิม!

Now you are reading Scholar’s Advanced Technological System Chapter 1246 เชียร์ส แด่อนาคตที่ดีกว่าเดิม! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พวกเรากำลังจะเดินทางถึงปักกิ่งแล้ว ผู้โดยสารทุกท่าน โปรดอย่าลืมหยิบสัมภาระและเดินออกจากรถไฟด้วยความเป็นระเบียบด้วยนะคะ”

เสียงประกาศจากรถไฟไม่ได้รบกวนบทสนทนาของชายสูงวัยทั้งสองคนเลย

ชายสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขามีชื่อว่าหลิวเพ่ยจง เขายังเป็นคนเมืองเจียงหลิงอีกด้วย

ถึงแม้ดูเหมือนหลิวเพ่ยจงจะไม่เชื่อคำพูดเขา แต่ลู่ปังกั๋วก็ไม่ได้สนใจ ชีวิตวัยเกษียณของเขาที่มีแต่การดื่มชา การอ่านหนังสือพิมพ์ไปวันๆ ได้หล่อหลอมให้จิตใจและอารมณ์ของเขาสงบนิ่ง

ชีวิตของเขากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาต้องโมโห

เขาก็จะอวดต่อไปอยู่ดี ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อคำพูดเขาหรือไม่ก็ตาม

ทั้งสองคนยังคงคุยกันอย่างเพลิดเพลินไปตลอดทาง

“เอ่อ…”

“ว่าไง?”

“ลูกชายคุณมีคนรักหรือยัง? ”

“ยังเลย” ผู้เฒ่าลู่ถอนหายใจพลางบ่น “เขาก็เกือบจะสามสิบอยู่แล้ว ผมก็เริ่มกังวลเรื่องนี้แล้วเนี่ย”

หลิวเพ่ยจงพยายามปลอบเขา “พวกผู้ชายควรจะโฟกัสไปที่งานตัวเองมากกว่า ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จน่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องจะหาภรรยาไม่ได้หรอกนะ อย่าไปกดดันลูกคุณมากนักเลย”

จริงๆ หลิวเพ่ยจงกำลังหัวเราะอยู่ในใจ

แหม อวดลูกหนักมากนะคุณน่ะ

ถ้าลูกคุณเก่งขนาดนั้นจริงล่ะก็ ทำไมยังหาภรรยาไม่ได้อีกล่ะ?

หลิวเพ่ยจงรู้สึกว่าเขามองผู้เฒ่าลู่ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

แต่ลู่ปังกั๋วก็ไม่ได้สังเกตว่าหลิวเพ่ยจงได้มอง ‘คำโกหก’ ของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เขายังคง ‘อวด’ ต่อไป

“เฮ้อ ผมไม่ได้กังวลเรื่องงานเขาเลย ก็บอกเขาตลอดว่าเงินน่ะไม่สำคัญหรอก ความหมายและเป้าหมายต่างหากคือสัจธรรมของชีวิต เขาหาเงินได้มากกว่าที่เขาจะใช้เสียอีก แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ? โอ๊ย! คุณมาหยิกผมทำไมเนี่ย?”

ฟางเหมยที่นั่งอยู่ข้างเขามองลู่ปังกั๋วด้วยสายตาคาดโทษ ข้อความจากสายตาเธอมันชัดเจนมาก เหมือนกับเธอกำลังบอกว่า “อย่าทำให้ฉันอายต่อหน้าคนแปลกหน้าพวกนี้เด็ดขาด”

เมื่อเห็นว่าภรรยาของตัวเองโกรธแค่ไหนแล้ว ลู่ปังกั๋วก็หยุดพูดแล้วหันไปหาทางทำให้ภรรยาของเขาใจเย็นลง

หลิวเพ่ยจงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

หาเงินได้มากกว่าที่จะใช้เหรอ?

ตาเฒ่าตรงหน้านี่เมาแอ๋แล้ว!

รถไฟเดินทางถึงสถานีในที่สุด

ผู้เฒ่าลู่กำลังจะหยิบสัมภาระตัวเองลง แต่ก็มีชายสองคนในชุดเครื่องแบบเดินมาพอดี

“เดี๋ยวผมช่วยเองครับคุณลู่”

“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม…เดี๋ยวนะ พวกเธอรู้ได้อย่างไรว่าผมแซ่ลู่? ”

“เอ่อ…มันเขียนอยู่บนตั๋วของคุณน่ะครับ”

“อ๋อ”

ลู่ปังกั๋วไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก เขาปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนจัดการกับสัมภาระของเขา

ชายสูงวัยที่นั่งตรงข้ามลู่ปังกั๋วกับฟางเหมยมองชายหนุ่มในเครื่องแบบทั้งสองคน พวกเขาดูไม่เหมือนพนักงานบนรถไฟเลย แต่พอเห็นว่าพนักงานบนรถไฟไม่ได้ทำอะไรพวกเขาก็แปลว่าพวกเขาไม่ใช่พวกต้มตุ๋นแน่ๆ เหมือนกัน

กลุ่มคนลงมาจากรถไฟแล้วเดินออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูง

หลิวเพ่ยจงกำลังจะนั่งแท็กซี่ไปโรงแรมแล้ว แต่เขาก็สังเกตเห็นว่า ไม่มีคนขับแท็กซี่ที่นั่นเลย

พวกเขาไปไหนกันหมด?

อะไรวะเนี่ย?!

วันนี้พวกคนขับแท็กซี่ไม่ทำงานกันเหรอ?

เขายังแปลกใจเช่นกันที่เห็นว่า สถานีรถไฟความเร็วสูงทั้งสถานีดูแตกต่างจากครั้งก่อนที่เขามามาก ถึงแม้โครงสร้างข้างในจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มีบางอย่างที่รู้สึกว่ามันต่างกันโดยสิ้นเชิง…

มันเหมือนกับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ นี้มีกฎและระเบียบมากขึ้น

“พวกคนขับแท็กซี่ไปไหนกันหมดเนี่ย?”

“…ไม่รู้เหมือนกัน”

ผู้เฒ่าลู่ก็สับสนเช่นกัน เขาสับสนว่าทำไม ‘พนักงานรถไฟ’ สองคนนั้นถึงมาช่วยเขาหยิบสัมภาระลงจากสถานีรถไฟ

ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ เขาซื้อตั๋วที่นั่งชั้นสองมานะ

ขนาดพวกที่นั่งชั้นหนึ่งไม่ได้รับบริการแบบนี้เลย

พอผู้เฒ่าลู่เดินมาถึงจุดจอดรถแท็กซี่ เขาก็กำลังจะหันไปขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองแล้วบอกให้พวกเขากลับไปได้แล้ว แต่เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น

รถคันสีดำที่มีธงสีแดงจอดอยู่ริมถนน มันครองพื้นที่จอดรถไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีรถคันไหนจอดอยู่ทั้งข้างหน้าหรือข้างหลังมันเลย

ชายในชุดสูททูนิกเดินมาข้างหน้า เขายิ้มเมื่อเห็นชายสูงวัยทั้งสองแล้วจึงพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นเขาก็รับกระเป๋าเดินทางจากชายหนุ่มทั้งสองมาแล้วบอกพวกเขาว่า “ขอบใจนะ เดี๋ยวต่อจากนี้ผมจัดการเอง” จากนั้นเขาก็วางกระเป๋าเดินทางทั้งสองลงไปในกระโปรงรถอย่างคล่องแคล่ว

ในขณะที่ลู่ปังกั๋วและฟางเหมยมองดูประตูรถเปิด พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออก

ผู้เฒ่าหลิวและภรรยาของเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนก็ตกอยู่ในอากัปกิริยาเดียวกัน เมื่อพวกเขาเห็นป้ายทะเบียนรถ ปากของพวกเขาก็อ้าหวอ และใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

“เอ่อ…พี่ลู่”

“อ่าฮะ มีอะไร…” ผู้เฒ่าลู่รู้ว่านี่ก็คงจะเกี่ยวกับลูกชายของเขาอีก

“ลูกชายคุณ…ยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม?”

“อ่าฮะ…พวกเราก็เพิ่งคุยเรื่องนี้กันเมื่อห้านาทีก่อนนี่เอง”

ท่าทางของผู้เฒ่าหลิวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาคว้าแขนผู้เฒ่าลู่อย่างตื่นเต้น

“ผมมีหลานสาวที่ทำงานในปักกิ่งแล้วเธอก็บังเอิญโสดเหมือนกันด้วย ในเมื่อพวกเราคุยกันถูกคอขนาดนี้แล้ว พวกเราลองแนะนำลูกๆ หลานๆ เราให้รู้จักกันดีไหม? ผมจำได้ว่าผมมีนามบัตรหลานอยู่นะ น่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ขอลองหาก่อนแป๊บนึง…”

ลู่โจวไม่รู้เลยว่าพ่อของเขาได้เตรียมการ ‘ดูตัว’ ไว้ให้แล้ว

แต่ต่อให้เขารู้ เขาก็ไม่มีเวลาไปยุ่งเกี่ยวกับมันอยู่ดี

ที่ห้องโถงใหญ่ไม่ไกลจากโรงแรมกำลังมีงานเลี้ยงที่จัดไว้ให้แขกที่ได้รับเชิญอยู่

ในฐานะที่เป็นแขกขนสำคัญของงานเลี้ยง เขาจะได้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ เจ้าหน้าที่แต่งหน้าทำผมกำลังง่วนอยู่กับการทำให้เขาดูดี

ลู่โจวยืนอยู่หน้ากระจก ในขณะที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังหวีและแว็กซ์ผมให้เขา เขากระแอมแล้วบอกเธอว่า “จริงๆ แล้ว ผมว่า…ไม่ต้องแต่งเยอะก็ได้ครับ ผมดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”

สไตลิสต์ยิ้มและก็ยังคงทำผมของเขาต่อไป

“โถ นักวิชาการลู่ จะไม่เป็นตัวคุณได้อย่างไรกันคะ? ”

“อีกนานแค่ไหนกว่าจะเสร็จเหรอครับ? ”

“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วค่ะ”

“…เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนคุณก็พูดอย่างนี้นะครับ”

ในที่สุด

เขาก็แต่งเสร็จเสียที

เฉินยู่ซานยืนกอดอกอยู่หน้าประตู เมื่อเธอเห็นลู่โจวเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เธอก็มีท่าทีประหลาดใจ

“ไม่เลวนี่นา นายดูเป็นคนละคนเลยล่ะ”

ลู่โจวไม่ถูกใจสิ่งนี้

“เธอหมายความว่าไงน่ะ จะบอกว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่ดูดีเหรอ?”

แต่ก็นั่นแหละ สไตลิสต์แตกต่างจากช่างทำผมธรรมดาๆ ทั่วไป เขากังวลนิดหน่อยว่าเธอจะทำให้เขาดูแก่และมีอายุ แต่หลังจากที่ได้หวีและแว็กซ์ผม บรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป เขาดูไม่เหมือนนักวิจัยวิทยาศาสตร์อีกต่อไป เขาดูเหมือน…ศิลปินเพลงป๊อปมากกว่า

เฉินยู่ซานยังคงเหมือนเดิม

ลู่โจวรู้จักเธอมาเกือบเก้าปีแล้ว เขาชินกับความสวยของอีกฝ่ายมานาน แต่ตอนนี้เธอสวมชุดราตรียาว และเธอก็ดูเหมือนกับเจ้าหญิงไม่มีผิด ดวงตาเป็นประกายของเธอเหมือนอัญมณีที่เจียระไนแล้ว เขาอดเหลือบมองเธอครู่หนึ่งไม่ได้จริงๆ

เฉินยู่ซานยิ้มแล้วรวบผมไปไว้หลังหูของเธอ

“นายก็ดูดีตลอดนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยิ่งหล่อกว่าเดิมอีก! ”

เอิ่ม…

โอเค เข้าใจแล้ว

พอเข้าใจได้

ลู่โจวพอใจกับคำตอบ เขาก็เลยตัดสินใจเลิกถามเรื่องไร้สาระนี้ไป…

พวกเขาห่างจากห้องโถงใหญ่เพียงไม่กี่บล็อกเท่านั้น แต่พวกเขาก็นั่งอยู่ในรถซีดานสีดำที่จอดอยู่ที่หน้าโรงแรม

เมื่อพวกเขาลงจากรถที่หน้าทางเข้าห้องโถงใหญ่ พวกเขาก็บังเอิญเจอกับฟางเหมยและผู้เฒ่าลู่พอดี

เมื่อผู้เฒ่าลู่ได้เห็นลูกชายของตัวเอง เขาก็แทบจะจำอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาจ้องอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกออกในที่สุดว่าอีกฝ่ายคือลู่โจว แต่พอเขากำลังจะทักทายลูกตัวเอง ความสนใจของเขาก็ถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างลู่โจวดึงไปจนหมด

ดวงตาของผู้เฒ่าลู่เบิกกว้าง เขาคว้าตัวฟางเหมยมาแล้วชี้ไปที่เฉินยู่ซานด้วยความตื่นเต้น

ลู่โจวมองพ่อแม่ของเขาที่กำลังช็อก เขาก็ไม่รู้ว่าพวกพ่อแม่ตื่นเต้นอะไรกัน ลู่โจวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เฉินยู่ซานรู้สึกว่าเธอกำลังเป็นจุดสนใจ เธอจึงยิ้มที่มุมปากอย่างมั่นใจ

ถึงแม้เธอจะทำท่าทางมั่นใจ แต่เธอก็ไม่ได้อยากจะมีภาพลักษณ์เป็นคนก้าวร้าวแต่อย่างใด

เธอค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของลู่โจวแล้วพาเขาไปทักทายพ่อแม่ของเขา ในทางกลับกัน ลู่โจวนั้นงงมาก

หลังจากนั้นเธอก็พาคู่สามีภรรยาและตัวลู่โจวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่

ลู่โจวไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินยู่ซานถึงทำแบบนี้…

ในห้องโถงใหญ่

แขกกลุ่มใหญ่นั่งตามที่นั่งของตน

โต๊ะกลมปูด้วยผ้าไหมทอง แก้วไวน์วางอย่างเป็นระเบียบ พนักงานกำลังรินไวน์และเครื่องดื่มอื่นๆ

หลังจากผ่านการแสดงดนตรีสุดยิ่งใหญ่และพิธีเปิดไปได้ ชายสูงวัยที่มีผมสีขาวในชุดสูททูนิกก็เดินขึ้นมาบนเวทีและเอื้อมมือไปหยิบไมโครโฟน

เขายิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “หลังผ่านมาทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี เวลาหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว

เมื่อมองย้อนกลับไปยังอดีตและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้” “จะเห็นว่ามันช่างเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคเช่นกัน”

“อย่างไรก็ถาม ไม่ว่าถนนเส้นนี้จะยากเย็นสักเพียงใด ไม่ว่าสภาพอากาศจะแปรปรวนสักแค่ไหน ปัญญาและความกล้าของพวกเราก็จะผลักดันให้สามารถผ่านพ้นพายุนี้ไปได้ และไม่มีสิ่งใดจะสามารถหยุดยั้งพวกเรา”

“ในวันอันทรงเกียรตินี้ ผมขออวยพรให้อนาคตของพวกเรา เป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิม และสวยงามกว่าเดิม! ”

“ขอให้พวกเราชูแก้วขึ้นมาอวยพรให้กับอนาคตของแผ่นดินแม่พวกเราด้วยเถิด! ”

ทุกคนในงานเลี้ยงชูแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมา

“เชียร์ส! ”

ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข

ทุกคนต่างมีรอยยิ้มจากใจจริงประดับอยู่บนใบหน้า

เสียงผู้ชมเริ่มเงียบลง

แขกและทูตจากต่างประเทศหลายคนก็หยุดพูดคุยกันและมองไปทางเวทีด้วยความสงสัย

ชายสูงวัยบนเวทีมองไปรอบๆ เขากระแอมแล้วพูดขึ้นว่า

“เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำงานหนักให้กับประชาชนของเราและให้กับอนาคตอันสดใสของพวกเรา…

ในฐานะตัวแทนของทุกคน ผมอยากจะมอบเกียรติระดับสูงสุด รางวัลเหรียญเกียรติยศแห่งชาติให้กับผู้ที่นำความเจริญรุ่งเรืองและปัญญามาให้แก่พวกเราทุกคน

“ผู้ที่ได้รับรางวัลก็คือ

ลู่โจว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+