Scholar’s Advanced Technological System 872 เธอโอเคไหม

Now you are reading Scholar’s Advanced Technological System Chapter 872 เธอโอเคไหม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หวังเจิ้งเฟยเป็นนักธุรกิจที่รอบรู้

เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจรจากับลู่โจว แต่ตอนที่เขากำลังจะพูดเขาก็รับรู้ข้อมูลจากสีหน้าของลู่โจวได้ทันที

ดูเหมือนว่าลู่โจวไม่อยากทำงานกับพวกเขาอีกแล้ว และพร้อมที่จะร่วมมือกับบริษัทสารกึ่งตัวนำของจีนที่อื่นๆ

เช่น ยูนิสเปลนเดอร์ที่มีความสามารถทางการผลิตเหมือนกับไฮซิลิคอน

ในตอนนั้นหวังเจิ้งเฟยจึงตัดสินใจ

ถ้าสตาร์สกายเทคโนโลยีร่วมมือกับยูนิสเปลนเดอร์หรือบริษัทสารกึ่งตัวนำที่อื่น กุญแจสู่อนาคตสารกึ่งตัวนำคาร์บอนต้องหลุดจากมือเขาไปแน่ๆ

ถ้าหัวเหว่ยอยากจะมีส่วนร่วมในการปฏิวัติคาร์บอนจริงๆ พวกเขาก็จะต้องซื้อชิปเหล่านี้จากบริษัทสารกึ่งตัวนำในราคาที่สูงกว่ามากๆ ถึงแม้พวกเขาจะมีอำนาจในการควบคุมไฮซิลิคอนทั้งหมด มันก็ไม่มีความหมายอะไร

แม้ว่าไฮซิลิคอนจะเป็นบริษัทลูกอันดับต้นๆ ของหัวเหว่ย แต่ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเวลาให้ทัน บริษัทอื่นก็อาจเข้ามามีอำนาจได้

ถ้าดูจากภายนอกอาจจะเหมือนว่าหัวเหว่ยกำลังประนีประนอม แต่มันอาจไม่เป็นเช่นนั้น

พวกเขาจะต้องเสียอะไรบางอย่างไปก่อน แต่ค่าตอบแทนที่ได้ในการลงทุนครั้งนี้จะทำให้ไฮซิลิคอนแข็งแรงขึ้น ผลิตภัณฑ์ของหัวเหว่ยก็จะประสิทธิภาพในการแข่งกับตลาดสากลได้

สิ่งนี้คุ้มค่ามากกว่าแค่การควบคุมบริษัทที่อาจจะล้าสมัยในอนาคต…

หวังเจิ้งเฟยที่กำลังรู้สึกเศร้า อยู่ดีๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมา

เหตุผลที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะต้องการจะเอาใจนักวิชาการลู่

แต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม!

หลังจากที่โมลิน่าออกจากจินหลิงเธอไม่ได้บินกลับพรินซ์ตันทันที เธอเลือกที่จะกลับไปที่บ้านเกิดที่ฝรั่งเศสในวันหยุดยาวแทน

ทุกคนต้องการเวลาพักเพื่อชาร์จสมองและผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย

โมลิน่าเองก็เหมือนกัน

แม้ว่าอาชีพของเธอจะเป็นงานอดิเรกของเธอด้วย แต่อาชีพของเธอก็ไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขตลอด

โดยเฉพาะตั้งแต่ตอนที่เธอต้องแข่งขันกับนักวิชาการคนอื่น…

การเดินทางไปจีนในครั้งนี้ทำให้สมองของเธอเหนื่อยล้ามาก

เธอรู้สึกว่าอาชีพทางคณิตศาสตร์ของเธอไปไม่ถึงไหนและเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนั้นช่างอ้างว้าง

ถ้าไม่ใช่เพราะรูปของศาสตราจารย์อาเบลที่แขวนอยู่ในบ้านคุณปู่ เธอก็อาจยอมแพ้เรื่องการทำงานในสายงานคณิตศาสตร์ไปแล้ว

ชายสูงวัยสวมชุดนอนเคาะประตูห้องนอนของโมลิน่า เขาเปิดประตูและเห็นหลานสาวของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาพูดพร้อมสายตาที่แฝงไปด้วยความกังวล

“หนูยังคิดถึงปัญหานั่นอยู่อีกเหรอ”

“เปล่าค่ะ ค่อยคิดตอนที่กลับไปที่พรินซ์ตัน” โมลิน่าส่ายหัวและพูด “หนูจะไม่คิดเรื่องปัญหาคณิตศาสตร์อาทิตย์นี้”

ชายสูงวัย “พ่อของหนูสอนอยู่ที่เอกอล นอร์มาล ซูเพริเยอ แต่หนูแทบจะไม่ได้เจอเขาด้วยซ้ำ ทำไมหนูไม่มาอยู่ที่นี้เลยล่ะ”

โมลิน่าพูดอย่างไม่ลังเล “บรรยากาศที่พรินซ์ตันเหมาะสมกับหนูมากกว่า ที่นั่นมีนักวิชาการเก่งๆ มากมาย แม้แต่การดื่มชายามบ่ายยังสร้างแรงบันดาลใจให้หนูได้”

ชายสูงวัยพูด “แต่ที่เอกอล นอร์มาล ซูเพริเยอก็มีนักวิชาการเก่งๆ หลายคนเหมือนกันนะ”

โมลิน่าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่หนูไม่ชอบปารีส ปารีสมีแต่ขยะ”

และอีกอย่างเธอไม่อยากเจอพ่อของเธอ

ไม่ใช่เพราะเธอมีปัญหากับเขา แต่พวกเขาไม่ค่อยมีความผูกพันทางอารมณ์ เธอและพ่อของเธอเป็นคนคล้ายๆ กัน คนที่อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้คณิตศาสตร์

เธออาศัยอยู่ที่ชานเมืองปารีสตั้งแต่เด็กๆ และโตมาในบ้านของคุณปู่จนกระทั่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่พรินซ์ตัน

สิ่งเดียวที่เธอหลงเหลืออยู่ที่นี่ก็คือความทรงจำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ชายสูงวัยมองดูหลายสาวหัวดื้อและถอนหายใจ

“โอเค โมลิน่า ไม่ว่าจะอย่างไรปู่ก็หวังว่าหนูจะมีความสุข คณิตศาสตร์ไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ”

“อาจจะ” โมลิน่ามองไปที่รูปของอาเบลและพูด “แต่ไม่ใช่สำหรับหนู มันเป็นเพื่อนหนูมาทั้งชีวิต หนูอยากทำสิ่งที่พวกคุณปู่ทำไม่ได้”

ในเสี้ยววินาทีความเจ็บปวดเผยให้เห็นบนหน้าชายแก่คนนั้น

เขานั่งลงบนโซฟาและถอนหายใจ เขาพยายามพูดให้เธอได้คิดตาม

“บางสิ่งบางอย่างก็ต้องพึ่งพรสวรรค์โดยเฉพาะเรื่องของศิลปะ แม้แต่ศิลปินที่เรียนกับครูคนเดียวกันก็ยังเห็นโลกในมุมที่แตกต่างกัน ซึ่งคณิตศาสตร์ก็เหมือนศิลปะ หนูเข้าใจที่ปู่พยายามพูดไหม”

“ไม่เข้าใจค่ะ” โมลิน่าส่ายหัวและมองไปที่รูปภาพบนผนัง หลังจากนั้นเธอพูดด้วยท่าทีที่สับสน “หนูไม่เข้าใจ หนูเป็นญาติกับอาเบลแล้วทำไมถึงไม่ได้ความเก่งจากเขาบ้าง”

ชายสูงวัยมองไปที่โมลิน่าและลังเลเล็กน้อย

“โมลิน่า มีอยู่เรื่องหนึ่ง ปู่ไม่รู้ว่าควรบอกหนูหรือเปล่า”

“อะไรคะ”

ชายสูงวัยกำลังจะพูดแต่เขาก็ส่ายหัว

“ช่างมันเถอะ ลืมไปซะ”

โมลิน่า: “…”

วันหยุดยาวหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

โมลิน่ารู้สึกเหมือนสมองของเธอได้รับการฟื้นฟูแล้ว เธอนั่งเครื่องไปถึงสนามบินนิวยอร์ก ขึ้นแท็กซี่และเข้าไปดู arXiv ในมือถือ

เธอเห็นงานเขียนมากมายที่เป็นการพิสูจน์เชิงคณิตศาสตร์เกี่ยวกับค่าเอปซีลอน ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่ขยายค่าเอปซีลอนได้ถึงหนึ่งต่อหนึ่งหมื่น

วงการคณิตศาสตร์ใช้เวลาเจ็ดวันในการขยายตัวเลขจากหนึ่งต่อ 60 ล้านเป็นหนึ่งต่อหนึ่งหมื่น เป็นการพัฒนาที่ค่อนข้างดี

พวกเขากำลังเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที งานวิจัยการวิเคราะห์เส้นโค้งไฮเปอร์เอลลิปติกเป็นที่นิยมมากกว่าวิธีการพิสูจน์เส้นวิกฤตไปแล้ว

โมลิน่าอดไม่ได้ที่จะกดดันตัวเอง

เธอไม่อยากจะยอมรับว่าภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนลู่โจวทำให้วิทยานิพนธ์ที่เธอตั้งใจทำมาหลายปีไร้ความหมาย แต่เธอก็ยอมรับว่าวิธีการวิเคราะห์เส้นโค้งไฮเปอร์เอลลิปติกมีเหตุมีผลมากพอที่จะส่งผลต่อหัวข้อทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ทั้งหมด

แม้ว่าเป้าหมายของวิทยานิพนธ์สมมติฐานของรีมันน์ที่เธอทำจะต่างออกไป แต่เธอก็ควรอ่านวิทยานิพนธ์ของเขาไว้บ้าง…

โมลิน่าบอกตัวเองว่าเธอก็แค่อยากรู้ว่าคู่แข่งของเธอไปถึงไหนแล้ว แม้ว่าเธอจะคิดว่าผลงานวิจัยของลู่โจวออกมาดี ขนาดไหนแต่เธอก็ไม่อยากยอมแพ้เรื่องวิธีการพิสูจน์เส้นวิกฤต

ใช่ ฉันก็แค่ทำงานวิจัย…

หลังจากที่โมลิน่ากลับไปพรินซ์ตัน เธอวางกระเป๋าเดินทางไว้ในห้อง เธอไม่ยอมเสียเวลาและรีบไปห้องสมุดใกล้ๆ เธอตรงไปที่ห้องประชุมที่เธอและเวร่าได้จองไว้

แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็นเวร่านั่งฝันกลางวันอยู่แล้ว

“เธอโอเคไหม” โมลิน่าถาม

แก้มของเวร่าซีด ผมบลอนด์ของเธอดูขาดความเงางาม

เวร่าสังเกตเห็นโมลิน่า เธอจึงยิ้มให้อย่างอ่อนแรง

“ฉันไม่เป็นไร แค่เป็นหวัดเอง”

แต่โมลิน่าไม่เชื่อเลยสักนิด

โมลิน่าจับไหล่ของเวร่าและยื่นหน้าผากของตัวเองไปแตะหน้าผากเวร่า

หน้าผากของโมลิน่าสัมผัสถึงความร้อน เธอรีบยืนขึ้นทันที

“ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”

“ไม่เป็นไร ฉันไปมาแล้ว” เวร่าเลี่ยงที่จะสบตาและพูด “หมอให้ยาฉันมาแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

โมลิน่ามองไปที่เธออย่างสงสัยแล้วปล่อยไหล่เธอ

“จริงเหรอ?”

“ใช่”

เวร่ารู้สึกคันคอ เธอจึงหยิบกระดาษทิชชู่และไอออกมา

โมลิน่าไม่ค่อยแน่ใจแต่เธอรู้สึกเหมือนจะเห็นเลือดตรงกระดาษทิชชู่ของเวร่า

เธอโอเคหรือเปล่านะ

โมลิน่าเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

เวร่าไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่พวกเขาเริ่มสนิทกันแล้ว

เวร่าไม่อยากให้โมลิน่าเป็นห่วง เธอจึงฝืนยิ้มและพูด

“ไม่ต้องสนใจฉันหรอก เล่ามาว่าที่จินหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”

โมลิน่าถอนหายใจและพูด

“เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ

เด็กสาวตอบอย่างประหม่า “ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา”

“เขาออกจากพรินซ์ตันไปตั้งหลายปีแล้ว เขาสบายดีไหม”

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Scholar’s Advanced Technological System 872 เธอโอเคไหม

Now you are reading Scholar’s Advanced Technological System Chapter 872 เธอโอเคไหม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หวังเจิ้งเฟยเป็นนักธุรกิจที่รอบรู้

เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจรจากับลู่โจว แต่ตอนที่เขากำลังจะพูดเขาก็รับรู้ข้อมูลจากสีหน้าของลู่โจวได้ทันที

ดูเหมือนว่าลู่โจวไม่อยากทำงานกับพวกเขาอีกแล้ว และพร้อมที่จะร่วมมือกับบริษัทสารกึ่งตัวนำของจีนที่อื่นๆ

เช่น ยูนิสเปลนเดอร์ที่มีความสามารถทางการผลิตเหมือนกับไฮซิลิคอน

ในตอนนั้นหวังเจิ้งเฟยจึงตัดสินใจ

ถ้าสตาร์สกายเทคโนโลยีร่วมมือกับยูนิสเปลนเดอร์หรือบริษัทสารกึ่งตัวนำที่อื่น กุญแจสู่อนาคตสารกึ่งตัวนำคาร์บอนต้องหลุดจากมือเขาไปแน่ๆ

ถ้าหัวเหว่ยอยากจะมีส่วนร่วมในการปฏิวัติคาร์บอนจริงๆ พวกเขาก็จะต้องซื้อชิปเหล่านี้จากบริษัทสารกึ่งตัวนำในราคาที่สูงกว่ามากๆ ถึงแม้พวกเขาจะมีอำนาจในการควบคุมไฮซิลิคอนทั้งหมด มันก็ไม่มีความหมายอะไร

แม้ว่าไฮซิลิคอนจะเป็นบริษัทลูกอันดับต้นๆ ของหัวเหว่ย แต่ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเวลาให้ทัน บริษัทอื่นก็อาจเข้ามามีอำนาจได้

ถ้าดูจากภายนอกอาจจะเหมือนว่าหัวเหว่ยกำลังประนีประนอม แต่มันอาจไม่เป็นเช่นนั้น

พวกเขาจะต้องเสียอะไรบางอย่างไปก่อน แต่ค่าตอบแทนที่ได้ในการลงทุนครั้งนี้จะทำให้ไฮซิลิคอนแข็งแรงขึ้น ผลิตภัณฑ์ของหัวเหว่ยก็จะประสิทธิภาพในการแข่งกับตลาดสากลได้

สิ่งนี้คุ้มค่ามากกว่าแค่การควบคุมบริษัทที่อาจจะล้าสมัยในอนาคต…

หวังเจิ้งเฟยที่กำลังรู้สึกเศร้า อยู่ดีๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมา

เหตุผลที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะต้องการจะเอาใจนักวิชาการลู่

แต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม!

หลังจากที่โมลิน่าออกจากจินหลิงเธอไม่ได้บินกลับพรินซ์ตันทันที เธอเลือกที่จะกลับไปที่บ้านเกิดที่ฝรั่งเศสในวันหยุดยาวแทน

ทุกคนต้องการเวลาพักเพื่อชาร์จสมองและผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย

โมลิน่าเองก็เหมือนกัน

แม้ว่าอาชีพของเธอจะเป็นงานอดิเรกของเธอด้วย แต่อาชีพของเธอก็ไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขตลอด

โดยเฉพาะตั้งแต่ตอนที่เธอต้องแข่งขันกับนักวิชาการคนอื่น…

การเดินทางไปจีนในครั้งนี้ทำให้สมองของเธอเหนื่อยล้ามาก

เธอรู้สึกว่าอาชีพทางคณิตศาสตร์ของเธอไปไม่ถึงไหนและเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนั้นช่างอ้างว้าง

ถ้าไม่ใช่เพราะรูปของศาสตราจารย์อาเบลที่แขวนอยู่ในบ้านคุณปู่ เธอก็อาจยอมแพ้เรื่องการทำงานในสายงานคณิตศาสตร์ไปแล้ว

ชายสูงวัยสวมชุดนอนเคาะประตูห้องนอนของโมลิน่า เขาเปิดประตูและเห็นหลานสาวของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาพูดพร้อมสายตาที่แฝงไปด้วยความกังวล

“หนูยังคิดถึงปัญหานั่นอยู่อีกเหรอ”

“เปล่าค่ะ ค่อยคิดตอนที่กลับไปที่พรินซ์ตัน” โมลิน่าส่ายหัวและพูด “หนูจะไม่คิดเรื่องปัญหาคณิตศาสตร์อาทิตย์นี้”

ชายสูงวัย “พ่อของหนูสอนอยู่ที่เอกอล นอร์มาล ซูเพริเยอ แต่หนูแทบจะไม่ได้เจอเขาด้วยซ้ำ ทำไมหนูไม่มาอยู่ที่นี้เลยล่ะ”

โมลิน่าพูดอย่างไม่ลังเล “บรรยากาศที่พรินซ์ตันเหมาะสมกับหนูมากกว่า ที่นั่นมีนักวิชาการเก่งๆ มากมาย แม้แต่การดื่มชายามบ่ายยังสร้างแรงบันดาลใจให้หนูได้”

ชายสูงวัยพูด “แต่ที่เอกอล นอร์มาล ซูเพริเยอก็มีนักวิชาการเก่งๆ หลายคนเหมือนกันนะ”

โมลิน่าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่หนูไม่ชอบปารีส ปารีสมีแต่ขยะ”

และอีกอย่างเธอไม่อยากเจอพ่อของเธอ

ไม่ใช่เพราะเธอมีปัญหากับเขา แต่พวกเขาไม่ค่อยมีความผูกพันทางอารมณ์ เธอและพ่อของเธอเป็นคนคล้ายๆ กัน คนที่อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้คณิตศาสตร์

เธออาศัยอยู่ที่ชานเมืองปารีสตั้งแต่เด็กๆ และโตมาในบ้านของคุณปู่จนกระทั่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่พรินซ์ตัน

สิ่งเดียวที่เธอหลงเหลืออยู่ที่นี่ก็คือความทรงจำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ชายสูงวัยมองดูหลายสาวหัวดื้อและถอนหายใจ

“โอเค โมลิน่า ไม่ว่าจะอย่างไรปู่ก็หวังว่าหนูจะมีความสุข คณิตศาสตร์ไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ”

“อาจจะ” โมลิน่ามองไปที่รูปของอาเบลและพูด “แต่ไม่ใช่สำหรับหนู มันเป็นเพื่อนหนูมาทั้งชีวิต หนูอยากทำสิ่งที่พวกคุณปู่ทำไม่ได้”

ในเสี้ยววินาทีความเจ็บปวดเผยให้เห็นบนหน้าชายแก่คนนั้น

เขานั่งลงบนโซฟาและถอนหายใจ เขาพยายามพูดให้เธอได้คิดตาม

“บางสิ่งบางอย่างก็ต้องพึ่งพรสวรรค์โดยเฉพาะเรื่องของศิลปะ แม้แต่ศิลปินที่เรียนกับครูคนเดียวกันก็ยังเห็นโลกในมุมที่แตกต่างกัน ซึ่งคณิตศาสตร์ก็เหมือนศิลปะ หนูเข้าใจที่ปู่พยายามพูดไหม”

“ไม่เข้าใจค่ะ” โมลิน่าส่ายหัวและมองไปที่รูปภาพบนผนัง หลังจากนั้นเธอพูดด้วยท่าทีที่สับสน “หนูไม่เข้าใจ หนูเป็นญาติกับอาเบลแล้วทำไมถึงไม่ได้ความเก่งจากเขาบ้าง”

ชายสูงวัยมองไปที่โมลิน่าและลังเลเล็กน้อย

“โมลิน่า มีอยู่เรื่องหนึ่ง ปู่ไม่รู้ว่าควรบอกหนูหรือเปล่า”

“อะไรคะ”

ชายสูงวัยกำลังจะพูดแต่เขาก็ส่ายหัว

“ช่างมันเถอะ ลืมไปซะ”

โมลิน่า: “…”

วันหยุดยาวหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

โมลิน่ารู้สึกเหมือนสมองของเธอได้รับการฟื้นฟูแล้ว เธอนั่งเครื่องไปถึงสนามบินนิวยอร์ก ขึ้นแท็กซี่และเข้าไปดู arXiv ในมือถือ

เธอเห็นงานเขียนมากมายที่เป็นการพิสูจน์เชิงคณิตศาสตร์เกี่ยวกับค่าเอปซีลอน ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่ขยายค่าเอปซีลอนได้ถึงหนึ่งต่อหนึ่งหมื่น

วงการคณิตศาสตร์ใช้เวลาเจ็ดวันในการขยายตัวเลขจากหนึ่งต่อ 60 ล้านเป็นหนึ่งต่อหนึ่งหมื่น เป็นการพัฒนาที่ค่อนข้างดี

พวกเขากำลังเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที งานวิจัยการวิเคราะห์เส้นโค้งไฮเปอร์เอลลิปติกเป็นที่นิยมมากกว่าวิธีการพิสูจน์เส้นวิกฤตไปแล้ว

โมลิน่าอดไม่ได้ที่จะกดดันตัวเอง

เธอไม่อยากจะยอมรับว่าภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนลู่โจวทำให้วิทยานิพนธ์ที่เธอตั้งใจทำมาหลายปีไร้ความหมาย แต่เธอก็ยอมรับว่าวิธีการวิเคราะห์เส้นโค้งไฮเปอร์เอลลิปติกมีเหตุมีผลมากพอที่จะส่งผลต่อหัวข้อทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ทั้งหมด

แม้ว่าเป้าหมายของวิทยานิพนธ์สมมติฐานของรีมันน์ที่เธอทำจะต่างออกไป แต่เธอก็ควรอ่านวิทยานิพนธ์ของเขาไว้บ้าง…

โมลิน่าบอกตัวเองว่าเธอก็แค่อยากรู้ว่าคู่แข่งของเธอไปถึงไหนแล้ว แม้ว่าเธอจะคิดว่าผลงานวิจัยของลู่โจวออกมาดี ขนาดไหนแต่เธอก็ไม่อยากยอมแพ้เรื่องวิธีการพิสูจน์เส้นวิกฤต

ใช่ ฉันก็แค่ทำงานวิจัย…

หลังจากที่โมลิน่ากลับไปพรินซ์ตัน เธอวางกระเป๋าเดินทางไว้ในห้อง เธอไม่ยอมเสียเวลาและรีบไปห้องสมุดใกล้ๆ เธอตรงไปที่ห้องประชุมที่เธอและเวร่าได้จองไว้

แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็นเวร่านั่งฝันกลางวันอยู่แล้ว

“เธอโอเคไหม” โมลิน่าถาม

แก้มของเวร่าซีด ผมบลอนด์ของเธอดูขาดความเงางาม

เวร่าสังเกตเห็นโมลิน่า เธอจึงยิ้มให้อย่างอ่อนแรง

“ฉันไม่เป็นไร แค่เป็นหวัดเอง”

แต่โมลิน่าไม่เชื่อเลยสักนิด

โมลิน่าจับไหล่ของเวร่าและยื่นหน้าผากของตัวเองไปแตะหน้าผากเวร่า

หน้าผากของโมลิน่าสัมผัสถึงความร้อน เธอรีบยืนขึ้นทันที

“ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”

“ไม่เป็นไร ฉันไปมาแล้ว” เวร่าเลี่ยงที่จะสบตาและพูด “หมอให้ยาฉันมาแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

โมลิน่ามองไปที่เธออย่างสงสัยแล้วปล่อยไหล่เธอ

“จริงเหรอ?”

“ใช่”

เวร่ารู้สึกคันคอ เธอจึงหยิบกระดาษทิชชู่และไอออกมา

โมลิน่าไม่ค่อยแน่ใจแต่เธอรู้สึกเหมือนจะเห็นเลือดตรงกระดาษทิชชู่ของเวร่า

เธอโอเคหรือเปล่านะ

โมลิน่าเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

เวร่าไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่พวกเขาเริ่มสนิทกันแล้ว

เวร่าไม่อยากให้โมลิน่าเป็นห่วง เธอจึงฝืนยิ้มและพูด

“ไม่ต้องสนใจฉันหรอก เล่ามาว่าที่จินหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”

โมลิน่าถอนหายใจและพูด

“เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ

เด็กสาวตอบอย่างประหม่า “ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา”

“เขาออกจากพรินซ์ตันไปตั้งหลายปีแล้ว เขาสบายดีไหม”

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+