World of Warcraft ราชันต่างภพ 590

Now you are reading World of Warcraft ราชันต่างภพ Chapter 590 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล

เสียงระฆังดังสะท้อนทั่วเมืองไลอ้อนบ่งบอกถึงสัญญาณของสงครามที่ใกล้เข้ามา ในดินแดนไลอ้อนมีนักผจญภัยจำนวนมากที่เดิมทีเดินทางมาเพื่อรอบุกเบิกนครลอยฟ้าแน็กแรม หากแต่นครแน็กแรมเวลานี้ยังไม่เปิดออก อีกทั้งดินแดนไลอ้อนก็กำลังเข้าสู่สภาวะสงคราม เซียวอวี๋กังวลว่าในหมู่คนเหล่านี้จะมีสายลับแฝงตัวเข้ามา เขาจึงต้องหาทางรับมือก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ เซียวอวี๋ได้ให้คำสัญญาเอาไว้ก่อนจะสลายกลุ่มนักผจญภัยว่าหากแน็กแรมเปิดออก ตัวเขาจะไม่ควบคุมไว้เพื่อบุกเบิกคนเดียว แต่จะแบ่งให้ทุกคนบุกเบิกไปด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ แม้จะไม่ค่อยพอใจกับคำสั่งสลายกลุ่มนักผจญภัยของเซียวอวี๋ พวกเขาก็ได้แต่ต้องปฏิบัติตาม เพราะอย่างไรเสียการอยู่ท่ามกลางการรบพุ่งขนาดใหญ่เช่นนี้ก็ไม่ส่งผลดีต่อพวกเขาเช่นกัน อีกทั้งเมื่อย้อนกลับไปเมื่อครั้งการบุกเบิกอัลคีราฟ เซียวอวี่ยังมีชื่อเสียงอันดีจากการรักษาสัญญา ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาคิดว่าเซียวอวี๋ย่อมต้องรักษาอย่างแน่นอน หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพของศาสนจักรก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตามองเห็น กำลังทหารที่แน่นขนัดดุจฝูงมดนั้นทำให้เซียวอวี่คิดถึงกองทัพทมิฬของโถวปากุ้ยขึ้นมา ต่างกันก็แต่คราของโถวปากุ้ยนั้นเป็นกองทัพมดดำ หากแต่กองทัพของศาสนจักรครานี้นั้นเป็นมดแดง “ในที่สุดก็มาแล้วสินะ มาเถอะ มาสะสางเรื่องราวให้จบ จากนั้นก็ถึงตาของเจ้าพวกลึกลับนั่น” เซียวอวี๋ตระหนักดีว่าศึกกับศาสนจักรครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ยังมีสงครามกับขุมกำลังลึกลับและกองทัพของกูดาลที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วรอเขาอยู่ ในวันแรก ฝ่ายศาสนจักรเลือกส่งกำลังส่วนน้อยออกมาหยั่งเชิง จำนวนทหารหลักหมื่นที่ส่งออกมานั้นมีหน้าที่แค่ประเมินความแข็งแกร่งแนวป้องกันของเมืองไลอ้อน เซียวอวี๋ที่เห็นศาสนจักรจัดกำลังออกมาเช่นนี้ก็เลือกแบ่งกำลังออกเป็นสามทัพ ทัพแรกเป็นกองพลรถถัง ทัพที่สองเป็นทัพม้า ขณะที่จัดคิเมร่า แบทไรเดอร์ อัศวินกริฟฟ่อน ไวเวิร์น เครื่องบินรบ และมังกรน้อยเป็นทัพที่สาม หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น กองพลรถถังคงถูกเก็บไว้ใช้ออกในช่วงท้ายเสมือนเป็นอาวุธลับชนิดหนึ่ง แต่การสั่งการของเซียวอวี๋นั้นขึ้นอยู่แรงบันดาลใจที่แวบผ่านมาในหัว และแรงบันดาลใจเช่นนี้ก็ทำให้เขามีเปรียบมานักต่อนักแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เดิมที หลังจากจัดตำแหน่งป้องกันเสร็จสิ้น กองกำลังทั้งหมดต่างก็ประจำตำแหน่งของตนบนกำแพงเตรียมพร้อมป้องกัน จะมีก็แต่กองพลรถถังที่ถูกซ่อนไว้หลังแนวกำแพงรอโอกาสเผยโฉมอย่างเงียบเชียบเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น หลังได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ ผ้าที่คลุมปกปิดรถถังไว้ก็ถูกเปิดออก รถถังจำนวนหนึ่งพันคันแล่นผ่านประตูเมืองออกไปอย่างยิ่งใหญ่ พวกทหารนั้นไม่เคยเห็นยานเกราะพวกนี้มาก่อน ทั้งหมดได้แต่ปากอ้าตาค้างมองดูยักษ์เหล็กแล่นผ่านประตูเมืองไปเป็นทิวแถว รถถังภายในเกมนั้นจะสร้างขึ้นจากไม้ หากแต่รถถังที่ถูกอัญเชิญมายังโลกนี้นั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเหล็กหนา และเพื่อที่จะเสริมความแข็งแกร่งคงทนของรถถัง เซียวอวี๋ยังได้จัดสร้างแผ่นเหล็กเสริมเข้าไปอีกชั้น นี่ก็เพราะว่าเซียวอวี๋ทราบดี ไม่ว่ารถถังจะวิ่งได้เร็วเพียงใด มันก็วิ่งได้เร็วไม่เท่ากับม้า กระทั่งนักรบที่แข็งแกร่งบางคนยังรวดเร็วกว่ารถถังเสียอีก ดังนั้นจุดได้เปรียบของมันจึงเป็นความคงทน เป็นอสูรเหล็กที่กวาดผ่านไปทั่วทั้งสนามรบ ไม่ว่าศัตรูจะเป็นอะไร ที่รถถังเหล่านี้ต้องทำก็เพียงแค่พุ่งชน แต่ให้รถถังพังหมดสิ้นก็ช่าง บิดาก็แค่ต้องสร้างขึ้นใหม่ที่ฐานทัพและเอามาพุ่งชนพวกเจ้าใหม่ก็เท่านั้นเอง! สำหรับพวกทหาร เซียวอวี๋นั้นให้ความสำคัญกับชีวิตของพวกเขายิ่ง แต่สำหรับรถถังไร้ชีวิตจิตใจเหล่านี้ เซียวอวี๋ไม่กังวลความปลอดภัยของพวกมันแม้แต่น้อย หากพังก็สั่งสร้างใหม่ แม้ว่าราคาจะไม่ใช่ถูกๆ กระนั้นเวลานี้เซียวอวี๋ก็ไม่ขาดแคลนเงินทองแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง สุดยอดเครื่องจักรสังหารที่สมควรเผยโฉมในช่วงท้ายสงครามจึงถูกเข็นออกมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้น พวกศาสนจักรอาจจะรู้เรื่องที่เมืองไลอ้อนก่อสร้างแนวกำแพง พวกเขารู้ดีว่าการบุกตีแนวกำแพงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นวันนี้พวกเขาจึงไม่ได้เตรียมจะมาบุกโจมตี หากแต่มาเพื่อประเมินดูความแข็งแกร่งเพียงเท่านั้น และส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นพวกทหารม้า พวกเขาร้อยคิดพันคำนวณก็คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะส่งทัพใหญ่ออกมาต้อนรับทันทีที่เห็นพวกเขา ทั้งยังเห็นได้ชัดว่ามุ่งมั่นจะโจมตีพวกเขาแบบจริงจัง ขณะที่ทางฝั่งของพวกเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจจะเข้าสนามรบเลยด้วยซ้ำ ค่ายของพวกเขาตั้งห่างออกมาราวสิบกว่ากิโลเมตร นับว่าไกลจากแนวกำแพงมาก และระยะทางเท่านี้ก็เพียงพอให้กองทัพของเซียวอวี๋ไล่ล่าสังหารพวกเขาด้วย…. ครืน…………… “อา…นะ..นั่นมันอะไรน่ะ? ปีศาจ?” “ร..หรือว่าพวกมันจะเป็นอสูรเกราะเหล็กในตำนาน? แต่อสูรเกราะเหล็กจะมีรูปร่างแบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าพวกนี้มันไม่มีขาอยู่ด้านล่างด้วยซ้ำ!…นั่นมันล้อหรือ?” “อ้ากก…พวกมันยิงมาแล้ว!” “นั่น!…เจ้าพวกที่บินบนฟ้านั่นมันอะไรกัน? มังกร? ไฉนจึงมีมังกรอยู่มากมายนัก?!” “เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่มังกร มันคือคิเมร่า พวกมันแข็งแกร่งมาก รีบถอย!” ผู้บัญชาการอัศวินสีชาดรีบสั่งล่าถอยทันที แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรวดเร็วเพียงใด หรือยังจะเร็วกว่ากองทัพอากาศ? เพลิงของคิเมร่า ลูกระเบิดของแบทไรเดอร์ สายฟ้าของอัศวินกริฟฟ่อน หอกของนักรบไวเวิร์นและระเบิดของเครื่องบินรบต่างสาดเทเข้าใส่กองทัพศาสนจักรที่เบื้องล่างจนเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมา การทิ้งระเบิดทำให้พวกเขาวุ่นวายจนทำให้การถอยทัพเกิดความล่าช้า และกองพลรถถังที่ไล่หลังมาก็ตามทันพวกเขาแล้ว ความเร็วของรถถังนั้นทำให้เซียวอวี่รู้สึกผิดคาด หลังจากติดตั้งเกราะเหล็กเข้าไปมากมาย ความเร็วของรถถังกลับไม่ลดลง เพียงพริบตาพวกมันก็วิ่งทันกองทัพอากาศที่อยู่ด้านบนแล้ว เหล่าทหารของศาสนจักรต่างก็รีบหนีกันอย่างสุดกำลัง แต่ยามเมื่อพวกเขาทิ้งระยะห่างได้สำเร็จ กองพลรถถังก็พลันเปิดฉากยิง เสียงกระหน่ำยิงดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงตูมตามพร้อมแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดหลุมบ่อขึ้นจำนวนมาก จากนั้นปืนรองของรถถังก็ยิงออกไปเป็นระลอกที่สอง และปิดท้ายด้วยปืนไฟที่ด้านหน้าตัวรถ กองทัพศาสนจักรในเวลานี้นับว่าอเนจอนาถอย่างมาก สำหรับการไล่ล่ากองทัพที่แตกพ่าย กองพลรถถังก็เปรียบเสมือนค้อนขนาดใหญ่ที่ไล่หวดฟาดอีกฝ่ายจนยับเยิน หลายครั้งรถถังยังวิ่งทับกลุ่มทหารศาสนจักรไปเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าอีกฝ่ายจะขี่ม้าอยู่ด้วยก็ตาม รถถังก็ไม่สนใจสิ่งใดและวิ่งทับทั้งคนทั้งม้าไปพร้อมกัน กองพลรถถังเวลานี้นับว่าเป็นจ้าวแห่งสนามรบอย่างแท้จริง เครื่องบินรบที่ด้านบนเองก็แสดงอำนาจการโจมตีได้ดีเช่นกัน พวกมันคล่องแคล่วและรวดเร็วกว่าพวกแบทไรเดอร์ อีกทั้งพลังของลูกระเบิดยังรุนแรงกว่า เครื่องจักรสังหารจากยุคใหม่ไล่เข่นฆ่าไปตลอดทาง ยามที่พวกมันจวนจะไปถึงค่ายของศาสนจักร กองทัพนับหมื่นของศาสนจักรก็ถูกสังหารเรียบไม่หลงเหลือ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เซียวอวี๋ที่ขี่มังกรน้อยก้นำกองกำลังที่เหลือมาถึงหน้าค่ายของฝ่ายศาสนจักร เซียวอวี๋กระแอมเสียงก่อนจะตะโกนเข้าไปในค่ายว่า “เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้ถ่อมตนทั้งหลาย มาเถอะ ให้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ส่องชำระพวกเจ้า…” ประโยคนี้ควรจะเป็นฝ่ายศาสนจักรที่กล่าว แต่คราวนี้กลับถูกเซียวอวี๋หยิบยกมาใช้ออก กองทัพศาสนจักรไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือใดๆกับเซียวอวี๋ที่บุกมาถึงหน้าค่ายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังรู้สึกหวาดหวั่นต่ออสูรเกราะเหล็กพวกนั้น ผลคือ พวกทหารของศาสนจักรทำได้เพียงมองดู พวกเขากลัวจนกระทั่งไม่กล้าส่งคนออกไปตอบโต้ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้หลักๆแล้วก็เพราะว่าที่นี่ไม่มีผู้บัญชาการระดับแม่ทัพประจำการ ดังนั้นพวกผู้บัญชาการระดับต่ำลงมาจึงไม่กล้าตัดสินใจใดๆ อูเธอร์ที่นั่งอยู่บนหลังมังกรน้อยกับเซียวอวี๋ยกชูค้อนในมือขึ้น แสงสีทองอร่ามพลันปะทุออกราวกับรัศมีของเทพเจ้า และการปรากฏของรัศมีที่ทรงพลังนี้เองได้ทำให้ผู้คนต่างนิ่งตะลึงงัน เซียวอวี๋มาที่นี่อย่างมีจุดประสงค์….เขามาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ขึ้นในใจของพวกทหารศัตรู หลังจากสำแดงอำนาจศักดิ์สิทธิ์แล้ว เซียวอวี๋ก็ถอนทัพกลับ อสูรเกราะเหล็กและสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจของพวกทหาร จนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น…..

เสียงระฆังดังสะท้อนทั่วเมืองไลอ้อนบ่งบอกถึงสัญญาณของสงครามที่ใกล้เข้ามา ในดินแดนไลอ้อนมีนักผจญภัยจำนวนมากที่เดิมทีเดินทางมาเพื่อรอบุกเบิกนครลอยฟ้าแน็กแรม หากแต่นครแน็กแรมเวลานี้ยังไม่เปิดออก อีกทั้งดินแดนไลอ้อนก็กำลังเข้าสู่สภาวะสงคราม เซียวอวี๋กังวลว่าในหมู่คนเหล่านี้จะมีสายลับแฝงตัวเข้ามา เขาจึงต้องหาทางรับมือก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ

เซียวอวี๋ได้ให้คำสัญญาเอาไว้ก่อนจะสลายกลุ่มนักผจญภัยว่าหากแน็กแรมเปิดออก ตัวเขาจะไม่ควบคุมไว้เพื่อบุกเบิกคนเดียว แต่จะแบ่งให้ทุกคนบุกเบิกไปด้วยกัน

ด้วยเหตุนี้ แม้จะไม่ค่อยพอใจกับคำสั่งสลายกลุ่มนักผจญภัยของเซียวอวี๋ พวกเขาก็ได้แต่ต้องปฏิบัติตาม เพราะอย่างไรเสียการอยู่ท่ามกลางการรบพุ่งขนาดใหญ่เช่นนี้ก็ไม่ส่งผลดีต่อพวกเขาเช่นกัน

อีกทั้งเมื่อย้อนกลับไปเมื่อครั้งการบุกเบิกอัลคีราฟ เซียวอวี่ยังมีชื่อเสียงอันดีจากการรักษาสัญญา ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาคิดว่าเซียวอวี๋ย่อมต้องรักษาอย่างแน่นอน

หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพของศาสนจักรก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตามองเห็น กำลังทหารที่แน่นขนัดดุจฝูงมดนั้นทำให้เซียวอวี่คิดถึงกองทัพทมิฬของโถวปากุ้ยขึ้นมา

ต่างกันก็แต่คราของโถวปากุ้ยนั้นเป็นกองทัพมดดำ หากแต่กองทัพของศาสนจักรครานี้นั้นเป็นมดแดง

“ในที่สุดก็มาแล้วสินะ มาเถอะ มาสะสางเรื่องราวให้จบ จากนั้นก็ถึงตาของเจ้าพวกลึกลับนั่น”

เซียวอวี๋ตระหนักดีว่าศึกกับศาสนจักรครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ยังมีสงครามกับขุมกำลังลึกลับและกองทัพของกูดาลที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วรอเขาอยู่

ในวันแรก ฝ่ายศาสนจักรเลือกส่งกำลังส่วนน้อยออกมาหยั่งเชิง จำนวนทหารหลักหมื่นที่ส่งออกมานั้นมีหน้าที่แค่ประเมินความแข็งแกร่งแนวป้องกันของเมืองไลอ้อน

เซียวอวี๋ที่เห็นศาสนจักรจัดกำลังออกมาเช่นนี้ก็เลือกแบ่งกำลังออกเป็นสามทัพ ทัพแรกเป็นกองพลรถถัง ทัพที่สองเป็นทัพม้า ขณะที่จัดคิเมร่า แบทไรเดอร์ อัศวินกริฟฟ่อน ไวเวิร์น เครื่องบินรบ และมังกรน้อยเป็นทัพที่สาม

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น กองพลรถถังคงถูกเก็บไว้ใช้ออกในช่วงท้ายเสมือนเป็นอาวุธลับชนิดหนึ่ง แต่การสั่งการของเซียวอวี๋นั้นขึ้นอยู่แรงบันดาลใจที่แวบผ่านมาในหัว

และแรงบันดาลใจเช่นนี้ก็ทำให้เขามีเปรียบมานักต่อนักแล้ว

ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เดิมที หลังจากจัดตำแหน่งป้องกันเสร็จสิ้น กองกำลังทั้งหมดต่างก็ประจำตำแหน่งของตนบนกำแพงเตรียมพร้อมป้องกัน จะมีก็แต่กองพลรถถังที่ถูกซ่อนไว้หลังแนวกำแพงรอโอกาสเผยโฉมอย่างเงียบเชียบเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น

หลังได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ ผ้าที่คลุมปกปิดรถถังไว้ก็ถูกเปิดออก รถถังจำนวนหนึ่งพันคันแล่นผ่านประตูเมืองออกไปอย่างยิ่งใหญ่ พวกทหารนั้นไม่เคยเห็นยานเกราะพวกนี้มาก่อน ทั้งหมดได้แต่ปากอ้าตาค้างมองดูยักษ์เหล็กแล่นผ่านประตูเมืองไปเป็นทิวแถว

รถถังภายในเกมนั้นจะสร้างขึ้นจากไม้ หากแต่รถถังที่ถูกอัญเชิญมายังโลกนี้นั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเหล็กหนา และเพื่อที่จะเสริมความแข็งแกร่งคงทนของรถถัง เซียวอวี๋ยังได้จัดสร้างแผ่นเหล็กเสริมเข้าไปอีกชั้น

นี่ก็เพราะว่าเซียวอวี๋ทราบดี ไม่ว่ารถถังจะวิ่งได้เร็วเพียงใด มันก็วิ่งได้เร็วไม่เท่ากับม้า กระทั่งนักรบที่แข็งแกร่งบางคนยังรวดเร็วกว่ารถถังเสียอีก ดังนั้นจุดได้เปรียบของมันจึงเป็นความคงทน เป็นอสูรเหล็กที่กวาดผ่านไปทั่วทั้งสนามรบ

ไม่ว่าศัตรูจะเป็นอะไร ที่รถถังเหล่านี้ต้องทำก็เพียงแค่พุ่งชน แต่ให้รถถังพังหมดสิ้นก็ช่าง บิดาก็แค่ต้องสร้างขึ้นใหม่ที่ฐานทัพและเอามาพุ่งชนพวกเจ้าใหม่ก็เท่านั้นเอง!

สำหรับพวกทหาร เซียวอวี๋นั้นให้ความสำคัญกับชีวิตของพวกเขายิ่ง แต่สำหรับรถถังไร้ชีวิตจิตใจเหล่านี้ เซียวอวี๋ไม่กังวลความปลอดภัยของพวกมันแม้แต่น้อย หากพังก็สั่งสร้างใหม่ แม้ว่าราคาจะไม่ใช่ถูกๆ กระนั้นเวลานี้เซียวอวี๋ก็ไม่ขาดแคลนเงินทองแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง สุดยอดเครื่องจักรสังหารที่สมควรเผยโฉมในช่วงท้ายสงครามจึงถูกเข็นออกมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้น

พวกศาสนจักรอาจจะรู้เรื่องที่เมืองไลอ้อนก่อสร้างแนวกำแพง พวกเขารู้ดีว่าการบุกตีแนวกำแพงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นวันนี้พวกเขาจึงไม่ได้เตรียมจะมาบุกโจมตี หากแต่มาเพื่อประเมินดูความแข็งแกร่งเพียงเท่านั้น และส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นพวกทหารม้า

พวกเขาร้อยคิดพันคำนวณก็คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะส่งทัพใหญ่ออกมาต้อนรับทันทีที่เห็นพวกเขา ทั้งยังเห็นได้ชัดว่ามุ่งมั่นจะโจมตีพวกเขาแบบจริงจัง ขณะที่ทางฝั่งของพวกเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจจะเข้าสนามรบเลยด้วยซ้ำ

ค่ายของพวกเขาตั้งห่างออกมาราวสิบกว่ากิโลเมตร นับว่าไกลจากแนวกำแพงมาก และระยะทางเท่านี้ก็เพียงพอให้กองทัพของเซียวอวี๋ไล่ล่าสังหารพวกเขาด้วย….

ครืน……………

“อา…นะ..นั่นมันอะไรน่ะ? ปีศาจ?”

“ร..หรือว่าพวกมันจะเป็นอสูรเกราะเหล็กในตำนาน? แต่อสูรเกราะเหล็กจะมีรูปร่างแบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าพวกนี้มันไม่มีขาอยู่ด้านล่างด้วยซ้ำ!…นั่นมันล้อหรือ?”

“อ้ากก…พวกมันยิงมาแล้ว!”

“นั่น!…เจ้าพวกที่บินบนฟ้านั่นมันอะไรกัน? มังกร? ไฉนจึงมีมังกรอยู่มากมายนัก?!”

“เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่มังกร มันคือคิเมร่า พวกมันแข็งแกร่งมาก รีบถอย!”

ผู้บัญชาการอัศวินสีชาดรีบสั่งล่าถอยทันที แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรวดเร็วเพียงใด หรือยังจะเร็วกว่ากองทัพอากาศ? เพลิงของคิเมร่า ลูกระเบิดของแบทไรเดอร์ สายฟ้าของอัศวินกริฟฟ่อน หอกของนักรบไวเวิร์นและระเบิดของเครื่องบินรบต่างสาดเทเข้าใส่กองทัพศาสนจักรที่เบื้องล่างจนเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมา

การทิ้งระเบิดทำให้พวกเขาวุ่นวายจนทำให้การถอยทัพเกิดความล่าช้า และกองพลรถถังที่ไล่หลังมาก็ตามทันพวกเขาแล้ว

ความเร็วของรถถังนั้นทำให้เซียวอวี่รู้สึกผิดคาด หลังจากติดตั้งเกราะเหล็กเข้าไปมากมาย ความเร็วของรถถังกลับไม่ลดลง เพียงพริบตาพวกมันก็วิ่งทันกองทัพอากาศที่อยู่ด้านบนแล้ว เหล่าทหารของศาสนจักรต่างก็รีบหนีกันอย่างสุดกำลัง

แต่ยามเมื่อพวกเขาทิ้งระยะห่างได้สำเร็จ กองพลรถถังก็พลันเปิดฉากยิง เสียงกระหน่ำยิงดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงตูมตามพร้อมแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดหลุมบ่อขึ้นจำนวนมาก

จากนั้นปืนรองของรถถังก็ยิงออกไปเป็นระลอกที่สอง และปิดท้ายด้วยปืนไฟที่ด้านหน้าตัวรถ กองทัพศาสนจักรในเวลานี้นับว่าอเนจอนาถอย่างมาก

สำหรับการไล่ล่ากองทัพที่แตกพ่าย กองพลรถถังก็เปรียบเสมือนค้อนขนาดใหญ่ที่ไล่หวดฟาดอีกฝ่ายจนยับเยิน หลายครั้งรถถังยังวิ่งทับกลุ่มทหารศาสนจักรไปเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าอีกฝ่ายจะขี่ม้าอยู่ด้วยก็ตาม รถถังก็ไม่สนใจสิ่งใดและวิ่งทับทั้งคนทั้งม้าไปพร้อมกัน กองพลรถถังเวลานี้นับว่าเป็นจ้าวแห่งสนามรบอย่างแท้จริง

เครื่องบินรบที่ด้านบนเองก็แสดงอำนาจการโจมตีได้ดีเช่นกัน พวกมันคล่องแคล่วและรวดเร็วกว่าพวกแบทไรเดอร์ อีกทั้งพลังของลูกระเบิดยังรุนแรงกว่า

เครื่องจักรสังหารจากยุคใหม่ไล่เข่นฆ่าไปตลอดทาง ยามที่พวกมันจวนจะไปถึงค่ายของศาสนจักร กองทัพนับหมื่นของศาสนจักรก็ถูกสังหารเรียบไม่หลงเหลือ

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เซียวอวี๋ที่ขี่มังกรน้อยก้นำกองกำลังที่เหลือมาถึงหน้าค่ายของฝ่ายศาสนจักร เซียวอวี๋กระแอมเสียงก่อนจะตะโกนเข้าไปในค่ายว่า “เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้ถ่อมตนทั้งหลาย มาเถอะ ให้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ส่องชำระพวกเจ้า…”

ประโยคนี้ควรจะเป็นฝ่ายศาสนจักรที่กล่าว แต่คราวนี้กลับถูกเซียวอวี๋หยิบยกมาใช้ออก

กองทัพศาสนจักรไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือใดๆกับเซียวอวี๋ที่บุกมาถึงหน้าค่ายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังรู้สึกหวาดหวั่นต่ออสูรเกราะเหล็กพวกนั้น

ผลคือ พวกทหารของศาสนจักรทำได้เพียงมองดู พวกเขากลัวจนกระทั่งไม่กล้าส่งคนออกไปตอบโต้

เหตุผลที่เป็นเช่นนี้หลักๆแล้วก็เพราะว่าที่นี่ไม่มีผู้บัญชาการระดับแม่ทัพประจำการ ดังนั้นพวกผู้บัญชาการระดับต่ำลงมาจึงไม่กล้าตัดสินใจใดๆ

อูเธอร์ที่นั่งอยู่บนหลังมังกรน้อยกับเซียวอวี๋ยกชูค้อนในมือขึ้น แสงสีทองอร่ามพลันปะทุออกราวกับรัศมีของเทพเจ้า และการปรากฏของรัศมีที่ทรงพลังนี้เองได้ทำให้ผู้คนต่างนิ่งตะลึงงัน

เซียวอวี๋มาที่นี่อย่างมีจุดประสงค์….เขามาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ขึ้นในใจของพวกทหารศัตรู

หลังจากสำแดงอำนาจศักดิ์สิทธิ์แล้ว เซียวอวี๋ก็ถอนทัพกลับ อสูรเกราะเหล็กและสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจของพวกทหาร จนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น…..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด