คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 190 บอสก็คือบอส จงมั่นหวารนหาที่ตาย

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 190 บอสก็คือบอส จงมั่นหวารนหาที่ตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินหรี่ลง

ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็ค่อยๆ พูดขึ้น “คะแนนรวมเจ็ดร้อยสี่สิบห้า ภาษาจีนได้หนึ่งร้อยสี่สิบห้า วิชาที่เหลือได้คะแนนเต็ม ไม่ได้เป็นแค่ที่หนึ่งในฮู่เฉิง ยังได้คะแนนสูงที่สุดของข้อสอบรวมทั้งประเทศอีกด้วย”

ครั้งนี้เมืองฮู่เฉิงใช้ข้อสอบรวมของทั้งประเทศ เหมือนกับสิบมณฑลอื่น

จำนวนนักเรียนที่สอบรวมกันหลายล้านคน

สอบได้อันดับที่หนึ่งกับได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของข้อสอบรวมทั้งประเทศเป็นคนละเรื่องกัน

อิ๋งจื่อจินพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนเวินทิงหลานเกือบเชื่อแล้ว

มุมปากของเขากระตุก แอบเซ็ง “พี่เลิกแกล้งผมได้แล้ว”

“อืม” อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้วเล็กน้อย “งั้นก็รอไปก่อน”

เธอรินน้ำร้อนอย่างใจเย็น นั่งพิงเก้าอี้ “พ่อคะ เตรียมโทรศัพท์มือถือไว้ให้ดี อีกไม่กี่วันนี้พ่อจะต้องรับสายคนโทรมาหลายสาย หนูจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แล้วค่ะ”

“ได้” เวินเฟิงเหมียนไม่พูดอะไร แค่ยิ้ม “พ่อจะรอ”

ข่าวลือภายในเมืองมักจะแพร่ไปเร็วที่สุดเสมอ

เพียงแต่ตอนนั้นซูหร่วนนึกไม่ถึงว่า ข่าวลือที่แพร่ออกมาไม่ใช่ฟู่อวิ๋นเซินคิดจะตีท้ายครัวฟู่อี้หัน

แต่เป็นเรื่องที่เธอถูกขึ้นบัญชีดำของห้างเซ็นจูรี่ ต่อไปเข้าที่นั่นไม่ได้แล้ว

ห้างเซ็นจูรี่ผูกขาดการค้าสินค้าแบรนด์เนม เมื่อเป็นเช่นนี้ซูหร่วนก็ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับคอลเลกชั่นล่าสุดของฤดูกาลไม่ได้

เธอถึงขั้นที่โทรไปร้องเรียน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เล่นเอาเธอโมโหจนปาโทรศัพท์ทิ้ง

พวกสาวไฮโซเหน็บแนมเธอว่าอย่างไรบ้าง เธอก็รู้หมด

แต่เธอแต่งงานมาอยู่ฮู่เฉิงแล้ว กลับไปตี้ตูไม่ได้

ถ้าทำแบบนั้นฟู่หมิงเฉิงกับคุณนายฟู่จะไม่พอใจในตัวเธอแน่นอน

“ฟู่อี้หัน วันนั้นคุณหมายความว่ายังไงกันแน่” ซูหร่วนขอบตาแดง “เห็นๆ อยู่ว่าคนที่ควรไปคือเขา ทำไมคุณถึงลากฉันออกมา”

เธอเจอฟู่อวิ๋นเซินโดยบังเอิญ นอกจากความเกลียดชังแล้ว ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า

เธอเป็นคู่หมั้นของเขา แต่เขากลับไม่ได้ครอบครอง ทั้งยังต้องเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ใหญ่

แค่คิดดูซูหร่วนก็สะใจแล้ว

สีหน้าของฟู่อี้หันชะงักไปชั่วขณะ พูดเพียงว่า “ไม่ว่ายังไงอวิ๋นเซินก็เป็นน้องชายของผม คนที่คุณปู่รักที่สุดก็คือเขา”

“งั้นฉันไม่ใช่ภรรยาคุณหรือไง” ขณะที่ซูหร่วนพูดน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง “ตอนนั้นที่ฉันแต่งงานกับคุณต้องฝ่าฟันแรงกดดันของตระกูลขนาดไหน”

“เสี่ยวหร่วน ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” ฟู่อี้หันโอบเธอ พูดง้อเสียงเบา “อีกอย่างเรื่องนี้เดิมทีพวกเราก็ทำผิดต่ออวิ๋นเซินนะ”

“ผิดต่อเขายังไง” ซูหร่วนผลักเขาออก “เขาจะช่วยดูสภาพตัวเองได้ไหมว่าเป็นแบบไหน คู่ควรกับฉันเหรอ”

ฟู่อี้หันถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก

“พออยู่ต่อหน้าฉันก็เริ่มพูดจาหยอกล้อกับผู้หญิงคนอื่น” ซูหร่วนทำสีหน้าขยะแขยง “เห็นๆ อยู่ว่าเขาไม่เห็นพี่สะใภ้ใหญ่อย่างฉันอยู่ในสายตา”

เธอสืบมาแล้ว รู้ประวัติของเด็กสาวคนนั้น

เป็นเด็กที่ตระกูลอิ๋งรับมาเลี้ยง

ตระกูลอิ๋งสู้ตระกูลฟู่ไม่ได้ ยิ่งเทียบชั้นกับเธอไม่ได้เข้าไปใหญ่

ลูกเลี้ยงกับหนุ่มเสเพลก็เหมาะสมกันดีนะ

ฟู่อี้หันได้ยินแบบนี้กลับสงสัย “แต่ว่าเสี่ยวหร่วน แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับคุณ อวิ๋นเซินก็เป็นผู้ชาย เขาจะอยู่กับคนต่างเพศไม่ได้เหรอ”

ผู้เฒ่าฟู่อยากให้ฟู่อวิ๋นเซินมีครอบครัวมากเหลือเกิน ไม่อย่างนั้นคงไม่หาคู่หมั้นคู่หมายให้

ซูหร่วนอึ้ง

ราวกับถูกตบที่หน้าหนึ่งฉาด แสบร้อนไปหมด

“พี่สะใภ้ใหญ่ดุจมารดา สนใจฉันหน่อยจะเป็นอะไรไป” ซูหร่วนสีหน้าเย็นชา “ที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะพวกคุณตามใจจนเคยตัวเหรอ”

เห็นได้ชัดว่าฟู่อี้หันไม่อยากคุยกับเธอเรื่องนี้ต่อ จึงพูดขึ้น “อีกเดี๋ยวชุดกับเครื่องประดับสำหรับใส่ในงานเลี้ยงที่ผมวานให้คนเอามาจากตี้ตูก็จะมาถึงแล้ว ผมมีธุระนิดหน่อยต้องไปปรึกษาคุณพ่อ คุณพักผ่อนไปก่อนนะ”

ไม่รอซูหร่วนพูดเขาก็รีบเดินออกไปเหมือนกำลังหนีอะไร

ซูหร่วนโมโหตะโกนตามหลัง “ฟู่อี้หัน!”

ประตูปิดลง ไม่มีเสียงตอบรับดังกลับมา

ซูหร่วนเก็บความน้อยใจไว้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาตระกูลซู

ที่หน้าประตู

ฟู่อี้หันถอนหายใจโล่งอก

ก่อนกลับมาซูหร่วนดูปกติมาก

หลังจากเจอฟู่อวิ๋นเซินก็หัวร้อนกระฟัดกระเฟียด เกลี้ยกล่อมอะไรไม่ได้เลย

“พี่ใหญ่”

มีเสียงเรียกด้วยความดีใจ

ฟู่อี้หันหันหน้าไปแล้วพยักหน้า “อีเฉิน”

“พี่ใหญ่ ในที่สุดผมก็ได้เจอพี่แล้ว” พอฟู่อีเฉินเห็นฟู่อี้หันก็แทบจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง “พี่ใหญ่ พี่คงไม่รู้ว่าช่วงนี้ชีวิตผมเป็นยังไง”

เขาเล่าเรื่องที่ฟู่อวิ๋นเซินจับเขาไปทรมานให้ฟังก่อน ต่อมาก็เล่าเรื่องที่ถูกคุณนายฟู่พาไปหาหมอแผนกประสาทมาทั้งประเทศ

ใครจะไปรู้ ฟู่อี้หันยิ่งฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น

หลังจากฟังจบเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฟู่อีเฉิน นายต้องไปนั่งทบทวนตัวเองดูแล้วนะ วันๆ เอาแต่พูดจาไร้สาระ”

ฟู่อี้หันไม่ได้ฟังต่อ หันตัวเดินขึ้นชั้นบน ไปห้องทำงานที่อยู่ชั้นสาม

ฟู่อีเฉินตะลึงเบิกตาโพลง

ทำไมไม่มีใครเชื่อเขาเลยสักคน!

“พ่อครับ อีเฉินเกลียดอวิ๋นเซินมากเกินไปแล้ว” ฟู่อี้หันเข้ามาในห้องทำงานแล้วส่ายหน้า “ไม่สู้พ่อบอกเขาไปว่าอวิ๋นเซินไม่มีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอด ไม่มีอะไรให้ต้องระแวง”

“ไม่จำเป็น” ฟู่หมิงเฉิงวางเอกสารในมือลง เงยหน้าแสยะยิ้ม “เขาไม่มีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอด แต่ท่านผู้เฒ่าอยากยกอวี้เซียงฟังให้เขา”

“นั่นก็จริง…” ฟู่อี้หันเงียบไปชั่วครู่ “แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาควรได้”

เรื่องในตอนนั้นมันคลุมเครือจริงๆ

“เลิกพูดถึงเขา” ฟู่หมิงเฉิงกวักมือเรียก “อี้หัน ลองมาดูเอกสารนี้สิ”

ไอคิวของเวินทิงหลานสูงมาก เกินกว่าระดับของอัจฉริยะ

สำหรับเขาการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนข้อสอบของเด็กเล็ก

เวินเฟิงเหมียนก็รู้ว่าผลสอบของเวินทิงหลานไม่มีทางแย่แน่นอน

แต่เรื่องที่เขาไม่คาดคิดก็คือตอนที่อีกสองวันคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงจะออก โทรศัพท์ของเขาก็มีสายเข้านับไม่ถ้วน

มหาวิทยาลัยตี้ตู มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน มหาวิทยาลัยฮู่เฉิงเจียวทง…

มหาวิทยาลัยที่อยู่สิบอันดับแรกของมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ จำนวนเก้าร้อยแปดสิบห้าแห่งต่างโทรมากันหมด

มหาวิทยาลัยจะรู้คะแนนเร็วกว่านักเรียน ดังนั้นพอพวกเขารู้ว่าครั้งนี้ในฮู่เฉิงมีคนสอบวิทยาศาสตร์ได้คะแนนเต็มจึงทนรอต่อไปไม่ไหว

ไม่เคยมีใครได้คะแนนเต็มวิชาวิทยาศาสตร์มาก่อน แต่พวกมหาวิทยาลัยไม่มีทางรังเกียจที่ได้เยอะ

โทรศัพท์สายแรกมาจากสาขาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยตี้ตู “คุณพ่อของเวินทิงหลานใช่ไหมครับ ผมเป็นศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยตี้ตูนะครับ คุณพ่อช่วยให้ลูกชายเลือกเข้าสาขาฟิสิกส์ด้วยนะครับ!”

ยังมีสายจากสาขาคณิตศาสตร์มหาวิทยาลัยตี้ตู ซึ่งก็พูดแบบเดียวกัน แต่เพิ่มอีกหน่อยว่า “อย่าไปหลงคารมสาขาฟิสิกส์นะครับ หลอกลวงทั้งนั้น มาสาขาคณิตศาสตร์นะครับ ทุนหนา!”

มีสายเข้าอย่างต่อเนื่องหลายสิบสาย เล่นเอาเวินเฟิงเหมียนก็ทนไม่ไหวแล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ในบรรดาหลายสิบสายนี้ สองในสามโทรมาจากมหาวิทยาลัยตี้ตู

สาขาละสาย

จนกระทั่งถึงสายที่คณะวิศวกรรมสื่อสารโทรมา เวินเฟิงเหมียนถึงได้ถามในสิ่งที่คาใจ “มหาวิทยาลัยตี้ตูของพวกคุณต่างคนต่างอยู่เหรอ”

“…”

ตอนที่คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เฝ้ารอกันทั้งเมืองประกาศออกมา จงมั่นหวาก็ดีใจมาก

เพราะอิ๋งเย่ว์เซวียนเรียนเสร็จจากยุโรปกลับมาแล้ว

พ่อบ้านเปิดประตู พูดอย่างนอบน้อม “คุณหนูใหญ่”

“สวัสดีค่ะคุณอาพ่อบ้าน” อิ๋งเย่ว์เซวียนยิ้ม “หนูมีของมาฝากด้วยนะคะ”

พ่อบ้านตะลึง “คุณหนูใหญ่เกรงใจเกินไปแล้วครับ”

“เสี่ยวเซวียน แม่รอลูกมานานแล้ว นั่งเครื่องบินสิบชั่วโมงเหนื่อยหรือเปล่า” จงมั่นหวารับกระเป๋าเดินทางมาจากมือ พูดอย่างเป็นห่วง “ดูซูบลงนะ”

“ที่ไหนกันคะแม่” อิ๋งเย่ว์เซวียนถอดหมวกออก “หนูอ้วนขึ้นตั้งเกือบสามโล”

เธอเหลือบมองห้องโถงแล้วถามด้วยความสงสัย “น้องไม่อยู่เหรอคะ”

รอยยิ้มของจงมั่นหวาหายไปทันที “ไม่อยู่ ออกไปแล้ว”

ลูกสาวแท้ๆ ของเธอตัดขาดกับเธอ จะให้พูดออกไปได้อย่างไร

โดยเฉพาะต่อหน้ารุ่นเด็ก

เธอจะขายหน้าไม่ได้

อิ๋งเย่ว์เซวียนยังอยากถามอะไรต่อ แต่ก็เหนื่อยมากจริงๆ จึงขึ้นไปพักผ่อนชั้นบน

จงมั่นหวามองของฝากบนพื้นพลางพูด “เสี่ยวเซวียนเด็กคนนี้รู้ประสาจริงๆ”

พ่อบ้านก็ยิ้ม “ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะมีของมาฝากคนใช้ทุกคนเลยนะครับ”

คุณหนูบ้านอื่นเอาใจใส่แบบนี้ที่ไหนกัน

ไม่กี่นาทีต่อมาอิ๋งเย่ว์เซวียนก็เดินลงมาจากชั้นบนพร้อมสีหน้าลนลานเป็นครั้งแรก

จงมั่นหวาตกใจ “มีอะไรเหรอ”

“แม่คะ แม่เห็นเพชรสีชมพูที่พี่ให้หนูไหม” อิ๋งเย่ว์เซวียนร้อนใจ “หนูใส่ไว้ในลิ้นชัก แต่มันไม่อยู่แล้ว ค้นทั่วห้องก็ไม่เจอ”

“เพชรสีชมพูเหรอ” จงมั่นหวานึกออกแล้ว วันเกิดปีที่แล้วอิ๋งเทียนลี่ว์ให้อิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นของขวัญวันเกิด “ไม่มีเหรอ”

“หาไม่เจอค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนรู้สึกเศร้า “พี่ก็จะกลับมาแล้ว หนูทำหายไปจะทำไงดีคะ”

“ของอยู่ในบ้านดีๆ จะ…” ทันใดนั้นสีหน้าของจงมั่นหวาก็ขรึมลง “จะต้องเป็นฝีมือน้องสาวของลูกแน่ ไม่งั้นใครจะเอาไป”

“แม่พูดเหลวไหลอะไรคะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนอึ้งเล็กน้อย เธอชักโกรธ “น้องจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!”

“ถ้าไม่ใช่น้องสาวของลูกแล้วยังจะมีใครอีก” จงมั่นหวาแสยะยิ้ม “ห้องของลูกติดกับห้องของน้อง อยากจะเข้าจะออกก็ได้เสมอ”

อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่อยู่บ้านตระกูลอิ๋งหนึ่งปี เธอก็ได้ให้คนรับใช้ไปเก็บกวาดเพื่อให้สะอาดอยู่เสมอ พร้อมเข้าพัก

“แม่คะ แม่อคติกับน้องมากเกินไปแล้ว” อิ๋งเย่ว์เซวียนขมวดคิ้ว “น้องมีเหตุผลอะไรจะต้องทำแบบนั้น แม่ช่วยไปถามคนใช้ให้หน่อยว่ามันตกตอนทำความสะอาดหรือเปล่า”

“ไม่ต้องถามหรอก คนรับใช้จะยุ่งกับของมีค่าในบ้านได้ยังไง ไม่อยากทำงานบ้านนี้แล้วเหรอ” จงมั่นหวาตอบโดยไม่ต้องคิด “ถ้าลูกบอกว่าน้องไม่มีเหตุผลต้องทำ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

“ลูกกับน้องเกิดวันเดียวกัน ลูกมีของขวัญ แต่น้องไม่มี แถมยังเป็นของขวัญที่พี่ชายให้ มีเหรอจะไม่อิจฉา”

จงมั่นหวาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “แม่จะโทรเรียกมาเดี๋ยวนี้ เอาเพชรสีชมพูมาคืนลูก ถ้าไม่มาแม่จะแจ้งตำรวจ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 190 บอสก็คือบอส จงมั่นหวารนหาที่ตาย

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 190 บอสก็คือบอส จงมั่นหวารนหาที่ตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินหรี่ลง

ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็ค่อยๆ พูดขึ้น “คะแนนรวมเจ็ดร้อยสี่สิบห้า ภาษาจีนได้หนึ่งร้อยสี่สิบห้า วิชาที่เหลือได้คะแนนเต็ม ไม่ได้เป็นแค่ที่หนึ่งในฮู่เฉิง ยังได้คะแนนสูงที่สุดของข้อสอบรวมทั้งประเทศอีกด้วย”

ครั้งนี้เมืองฮู่เฉิงใช้ข้อสอบรวมของทั้งประเทศ เหมือนกับสิบมณฑลอื่น

จำนวนนักเรียนที่สอบรวมกันหลายล้านคน

สอบได้อันดับที่หนึ่งกับได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของข้อสอบรวมทั้งประเทศเป็นคนละเรื่องกัน

อิ๋งจื่อจินพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนเวินทิงหลานเกือบเชื่อแล้ว

มุมปากของเขากระตุก แอบเซ็ง “พี่เลิกแกล้งผมได้แล้ว”

“อืม” อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้วเล็กน้อย “งั้นก็รอไปก่อน”

เธอรินน้ำร้อนอย่างใจเย็น นั่งพิงเก้าอี้ “พ่อคะ เตรียมโทรศัพท์มือถือไว้ให้ดี อีกไม่กี่วันนี้พ่อจะต้องรับสายคนโทรมาหลายสาย หนูจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แล้วค่ะ”

“ได้” เวินเฟิงเหมียนไม่พูดอะไร แค่ยิ้ม “พ่อจะรอ”

ข่าวลือภายในเมืองมักจะแพร่ไปเร็วที่สุดเสมอ

เพียงแต่ตอนนั้นซูหร่วนนึกไม่ถึงว่า ข่าวลือที่แพร่ออกมาไม่ใช่ฟู่อวิ๋นเซินคิดจะตีท้ายครัวฟู่อี้หัน

แต่เป็นเรื่องที่เธอถูกขึ้นบัญชีดำของห้างเซ็นจูรี่ ต่อไปเข้าที่นั่นไม่ได้แล้ว

ห้างเซ็นจูรี่ผูกขาดการค้าสินค้าแบรนด์เนม เมื่อเป็นเช่นนี้ซูหร่วนก็ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับคอลเลกชั่นล่าสุดของฤดูกาลไม่ได้

เธอถึงขั้นที่โทรไปร้องเรียน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เล่นเอาเธอโมโหจนปาโทรศัพท์ทิ้ง

พวกสาวไฮโซเหน็บแนมเธอว่าอย่างไรบ้าง เธอก็รู้หมด

แต่เธอแต่งงานมาอยู่ฮู่เฉิงแล้ว กลับไปตี้ตูไม่ได้

ถ้าทำแบบนั้นฟู่หมิงเฉิงกับคุณนายฟู่จะไม่พอใจในตัวเธอแน่นอน

“ฟู่อี้หัน วันนั้นคุณหมายความว่ายังไงกันแน่” ซูหร่วนขอบตาแดง “เห็นๆ อยู่ว่าคนที่ควรไปคือเขา ทำไมคุณถึงลากฉันออกมา”

เธอเจอฟู่อวิ๋นเซินโดยบังเอิญ นอกจากความเกลียดชังแล้ว ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า

เธอเป็นคู่หมั้นของเขา แต่เขากลับไม่ได้ครอบครอง ทั้งยังต้องเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ใหญ่

แค่คิดดูซูหร่วนก็สะใจแล้ว

สีหน้าของฟู่อี้หันชะงักไปชั่วขณะ พูดเพียงว่า “ไม่ว่ายังไงอวิ๋นเซินก็เป็นน้องชายของผม คนที่คุณปู่รักที่สุดก็คือเขา”

“งั้นฉันไม่ใช่ภรรยาคุณหรือไง” ขณะที่ซูหร่วนพูดน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง “ตอนนั้นที่ฉันแต่งงานกับคุณต้องฝ่าฟันแรงกดดันของตระกูลขนาดไหน”

“เสี่ยวหร่วน ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” ฟู่อี้หันโอบเธอ พูดง้อเสียงเบา “อีกอย่างเรื่องนี้เดิมทีพวกเราก็ทำผิดต่ออวิ๋นเซินนะ”

“ผิดต่อเขายังไง” ซูหร่วนผลักเขาออก “เขาจะช่วยดูสภาพตัวเองได้ไหมว่าเป็นแบบไหน คู่ควรกับฉันเหรอ”

ฟู่อี้หันถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก

“พออยู่ต่อหน้าฉันก็เริ่มพูดจาหยอกล้อกับผู้หญิงคนอื่น” ซูหร่วนทำสีหน้าขยะแขยง “เห็นๆ อยู่ว่าเขาไม่เห็นพี่สะใภ้ใหญ่อย่างฉันอยู่ในสายตา”

เธอสืบมาแล้ว รู้ประวัติของเด็กสาวคนนั้น

เป็นเด็กที่ตระกูลอิ๋งรับมาเลี้ยง

ตระกูลอิ๋งสู้ตระกูลฟู่ไม่ได้ ยิ่งเทียบชั้นกับเธอไม่ได้เข้าไปใหญ่

ลูกเลี้ยงกับหนุ่มเสเพลก็เหมาะสมกันดีนะ

ฟู่อี้หันได้ยินแบบนี้กลับสงสัย “แต่ว่าเสี่ยวหร่วน แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับคุณ อวิ๋นเซินก็เป็นผู้ชาย เขาจะอยู่กับคนต่างเพศไม่ได้เหรอ”

ผู้เฒ่าฟู่อยากให้ฟู่อวิ๋นเซินมีครอบครัวมากเหลือเกิน ไม่อย่างนั้นคงไม่หาคู่หมั้นคู่หมายให้

ซูหร่วนอึ้ง

ราวกับถูกตบที่หน้าหนึ่งฉาด แสบร้อนไปหมด

“พี่สะใภ้ใหญ่ดุจมารดา สนใจฉันหน่อยจะเป็นอะไรไป” ซูหร่วนสีหน้าเย็นชา “ที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะพวกคุณตามใจจนเคยตัวเหรอ”

เห็นได้ชัดว่าฟู่อี้หันไม่อยากคุยกับเธอเรื่องนี้ต่อ จึงพูดขึ้น “อีกเดี๋ยวชุดกับเครื่องประดับสำหรับใส่ในงานเลี้ยงที่ผมวานให้คนเอามาจากตี้ตูก็จะมาถึงแล้ว ผมมีธุระนิดหน่อยต้องไปปรึกษาคุณพ่อ คุณพักผ่อนไปก่อนนะ”

ไม่รอซูหร่วนพูดเขาก็รีบเดินออกไปเหมือนกำลังหนีอะไร

ซูหร่วนโมโหตะโกนตามหลัง “ฟู่อี้หัน!”

ประตูปิดลง ไม่มีเสียงตอบรับดังกลับมา

ซูหร่วนเก็บความน้อยใจไว้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาตระกูลซู

ที่หน้าประตู

ฟู่อี้หันถอนหายใจโล่งอก

ก่อนกลับมาซูหร่วนดูปกติมาก

หลังจากเจอฟู่อวิ๋นเซินก็หัวร้อนกระฟัดกระเฟียด เกลี้ยกล่อมอะไรไม่ได้เลย

“พี่ใหญ่”

มีเสียงเรียกด้วยความดีใจ

ฟู่อี้หันหันหน้าไปแล้วพยักหน้า “อีเฉิน”

“พี่ใหญ่ ในที่สุดผมก็ได้เจอพี่แล้ว” พอฟู่อีเฉินเห็นฟู่อี้หันก็แทบจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง “พี่ใหญ่ พี่คงไม่รู้ว่าช่วงนี้ชีวิตผมเป็นยังไง”

เขาเล่าเรื่องที่ฟู่อวิ๋นเซินจับเขาไปทรมานให้ฟังก่อน ต่อมาก็เล่าเรื่องที่ถูกคุณนายฟู่พาไปหาหมอแผนกประสาทมาทั้งประเทศ

ใครจะไปรู้ ฟู่อี้หันยิ่งฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น

หลังจากฟังจบเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฟู่อีเฉิน นายต้องไปนั่งทบทวนตัวเองดูแล้วนะ วันๆ เอาแต่พูดจาไร้สาระ”

ฟู่อี้หันไม่ได้ฟังต่อ หันตัวเดินขึ้นชั้นบน ไปห้องทำงานที่อยู่ชั้นสาม

ฟู่อีเฉินตะลึงเบิกตาโพลง

ทำไมไม่มีใครเชื่อเขาเลยสักคน!

“พ่อครับ อีเฉินเกลียดอวิ๋นเซินมากเกินไปแล้ว” ฟู่อี้หันเข้ามาในห้องทำงานแล้วส่ายหน้า “ไม่สู้พ่อบอกเขาไปว่าอวิ๋นเซินไม่มีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอด ไม่มีอะไรให้ต้องระแวง”

“ไม่จำเป็น” ฟู่หมิงเฉิงวางเอกสารในมือลง เงยหน้าแสยะยิ้ม “เขาไม่มีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอด แต่ท่านผู้เฒ่าอยากยกอวี้เซียงฟังให้เขา”

“นั่นก็จริง…” ฟู่อี้หันเงียบไปชั่วครู่ “แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาควรได้”

เรื่องในตอนนั้นมันคลุมเครือจริงๆ

“เลิกพูดถึงเขา” ฟู่หมิงเฉิงกวักมือเรียก “อี้หัน ลองมาดูเอกสารนี้สิ”

ไอคิวของเวินทิงหลานสูงมาก เกินกว่าระดับของอัจฉริยะ

สำหรับเขาการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนข้อสอบของเด็กเล็ก

เวินเฟิงเหมียนก็รู้ว่าผลสอบของเวินทิงหลานไม่มีทางแย่แน่นอน

แต่เรื่องที่เขาไม่คาดคิดก็คือตอนที่อีกสองวันคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงจะออก โทรศัพท์ของเขาก็มีสายเข้านับไม่ถ้วน

มหาวิทยาลัยตี้ตู มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน มหาวิทยาลัยฮู่เฉิงเจียวทง…

มหาวิทยาลัยที่อยู่สิบอันดับแรกของมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ จำนวนเก้าร้อยแปดสิบห้าแห่งต่างโทรมากันหมด

มหาวิทยาลัยจะรู้คะแนนเร็วกว่านักเรียน ดังนั้นพอพวกเขารู้ว่าครั้งนี้ในฮู่เฉิงมีคนสอบวิทยาศาสตร์ได้คะแนนเต็มจึงทนรอต่อไปไม่ไหว

ไม่เคยมีใครได้คะแนนเต็มวิชาวิทยาศาสตร์มาก่อน แต่พวกมหาวิทยาลัยไม่มีทางรังเกียจที่ได้เยอะ

โทรศัพท์สายแรกมาจากสาขาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยตี้ตู “คุณพ่อของเวินทิงหลานใช่ไหมครับ ผมเป็นศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยตี้ตูนะครับ คุณพ่อช่วยให้ลูกชายเลือกเข้าสาขาฟิสิกส์ด้วยนะครับ!”

ยังมีสายจากสาขาคณิตศาสตร์มหาวิทยาลัยตี้ตู ซึ่งก็พูดแบบเดียวกัน แต่เพิ่มอีกหน่อยว่า “อย่าไปหลงคารมสาขาฟิสิกส์นะครับ หลอกลวงทั้งนั้น มาสาขาคณิตศาสตร์นะครับ ทุนหนา!”

มีสายเข้าอย่างต่อเนื่องหลายสิบสาย เล่นเอาเวินเฟิงเหมียนก็ทนไม่ไหวแล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ในบรรดาหลายสิบสายนี้ สองในสามโทรมาจากมหาวิทยาลัยตี้ตู

สาขาละสาย

จนกระทั่งถึงสายที่คณะวิศวกรรมสื่อสารโทรมา เวินเฟิงเหมียนถึงได้ถามในสิ่งที่คาใจ “มหาวิทยาลัยตี้ตูของพวกคุณต่างคนต่างอยู่เหรอ”

“…”

ตอนที่คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เฝ้ารอกันทั้งเมืองประกาศออกมา จงมั่นหวาก็ดีใจมาก

เพราะอิ๋งเย่ว์เซวียนเรียนเสร็จจากยุโรปกลับมาแล้ว

พ่อบ้านเปิดประตู พูดอย่างนอบน้อม “คุณหนูใหญ่”

“สวัสดีค่ะคุณอาพ่อบ้าน” อิ๋งเย่ว์เซวียนยิ้ม “หนูมีของมาฝากด้วยนะคะ”

พ่อบ้านตะลึง “คุณหนูใหญ่เกรงใจเกินไปแล้วครับ”

“เสี่ยวเซวียน แม่รอลูกมานานแล้ว นั่งเครื่องบินสิบชั่วโมงเหนื่อยหรือเปล่า” จงมั่นหวารับกระเป๋าเดินทางมาจากมือ พูดอย่างเป็นห่วง “ดูซูบลงนะ”

“ที่ไหนกันคะแม่” อิ๋งเย่ว์เซวียนถอดหมวกออก “หนูอ้วนขึ้นตั้งเกือบสามโล”

เธอเหลือบมองห้องโถงแล้วถามด้วยความสงสัย “น้องไม่อยู่เหรอคะ”

รอยยิ้มของจงมั่นหวาหายไปทันที “ไม่อยู่ ออกไปแล้ว”

ลูกสาวแท้ๆ ของเธอตัดขาดกับเธอ จะให้พูดออกไปได้อย่างไร

โดยเฉพาะต่อหน้ารุ่นเด็ก

เธอจะขายหน้าไม่ได้

อิ๋งเย่ว์เซวียนยังอยากถามอะไรต่อ แต่ก็เหนื่อยมากจริงๆ จึงขึ้นไปพักผ่อนชั้นบน

จงมั่นหวามองของฝากบนพื้นพลางพูด “เสี่ยวเซวียนเด็กคนนี้รู้ประสาจริงๆ”

พ่อบ้านก็ยิ้ม “ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะมีของมาฝากคนใช้ทุกคนเลยนะครับ”

คุณหนูบ้านอื่นเอาใจใส่แบบนี้ที่ไหนกัน

ไม่กี่นาทีต่อมาอิ๋งเย่ว์เซวียนก็เดินลงมาจากชั้นบนพร้อมสีหน้าลนลานเป็นครั้งแรก

จงมั่นหวาตกใจ “มีอะไรเหรอ”

“แม่คะ แม่เห็นเพชรสีชมพูที่พี่ให้หนูไหม” อิ๋งเย่ว์เซวียนร้อนใจ “หนูใส่ไว้ในลิ้นชัก แต่มันไม่อยู่แล้ว ค้นทั่วห้องก็ไม่เจอ”

“เพชรสีชมพูเหรอ” จงมั่นหวานึกออกแล้ว วันเกิดปีที่แล้วอิ๋งเทียนลี่ว์ให้อิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นของขวัญวันเกิด “ไม่มีเหรอ”

“หาไม่เจอค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนรู้สึกเศร้า “พี่ก็จะกลับมาแล้ว หนูทำหายไปจะทำไงดีคะ”

“ของอยู่ในบ้านดีๆ จะ…” ทันใดนั้นสีหน้าของจงมั่นหวาก็ขรึมลง “จะต้องเป็นฝีมือน้องสาวของลูกแน่ ไม่งั้นใครจะเอาไป”

“แม่พูดเหลวไหลอะไรคะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนอึ้งเล็กน้อย เธอชักโกรธ “น้องจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!”

“ถ้าไม่ใช่น้องสาวของลูกแล้วยังจะมีใครอีก” จงมั่นหวาแสยะยิ้ม “ห้องของลูกติดกับห้องของน้อง อยากจะเข้าจะออกก็ได้เสมอ”

อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่อยู่บ้านตระกูลอิ๋งหนึ่งปี เธอก็ได้ให้คนรับใช้ไปเก็บกวาดเพื่อให้สะอาดอยู่เสมอ พร้อมเข้าพัก

“แม่คะ แม่อคติกับน้องมากเกินไปแล้ว” อิ๋งเย่ว์เซวียนขมวดคิ้ว “น้องมีเหตุผลอะไรจะต้องทำแบบนั้น แม่ช่วยไปถามคนใช้ให้หน่อยว่ามันตกตอนทำความสะอาดหรือเปล่า”

“ไม่ต้องถามหรอก คนรับใช้จะยุ่งกับของมีค่าในบ้านได้ยังไง ไม่อยากทำงานบ้านนี้แล้วเหรอ” จงมั่นหวาตอบโดยไม่ต้องคิด “ถ้าลูกบอกว่าน้องไม่มีเหตุผลต้องทำ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

“ลูกกับน้องเกิดวันเดียวกัน ลูกมีของขวัญ แต่น้องไม่มี แถมยังเป็นของขวัญที่พี่ชายให้ มีเหรอจะไม่อิจฉา”

จงมั่นหวาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “แม่จะโทรเรียกมาเดี๋ยวนี้ เอาเพชรสีชมพูมาคืนลูก ถ้าไม่มาแม่จะแจ้งตำรวจ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+