คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 89 เซิ่งชิงถังพูด นายบอกว่าภาพนี้เป็นของเว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 89 เซิ่งชิงถังพูด นายบอกว่าภาพนี้เป็นของเว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่นานก็มีคนขนอุปกรณ์เขียนภาพมาจากห้องศิลปะ กางโต๊ะบนเวทีที่ตรงหน้าที่นั่งแขกกิตติมศักดิ์

หลินสี่มองเด็กสาวด้วยความไม่พอใจ “ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้แล้ว งั้นก็จะให้โอกาสเธอสักครั้ง ขึ้นมาเขียนสิ”

ซิวอวี่โมโหทันที

“ไม่เป็นไร” มือของอิ๋งจื่อจินกดบ่าซิวอวี่ไว้เพื่อบอกว่าอย่าบุ่มบ่าม

เธอลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นเวที

พอเห็นภาพนี้พวกนักเรียนที่อยู่ล่างเวทีก็เริ่มอยู่ไม่สุข

แต่ละคนยืนขึ้น แทบอยากจะขึ้นเวทีไปดู ตื่นเต้นกันมากทีเดียว บนหน้าประหนึ่งเขียนว่า ‘รอชมคนหน้าแตก’

เจียงหรานสงบสติอารมณ์ ข่มความหงุดหงิด

“มือที่ชอบใช้ความรุนแรงแบบนั้นจะเขียนอะไรออกมาได้”

มือที่ใช้เขียนอักษรไม่ใช่ว่าจะต้องดูแลปกป้องอย่างดีเหรอ

“ฉันก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่พ่ออิ๋งทำเป็นทุกอย่างแน่นอน”

“…”

เจียงหรานรู้สึกว่าเขาปฏิเสธคำพูดนี้ไม่ได้

เพราะระยะนี้เขาอยู่ในช่วงสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอด

เขาจำต้องใจเย็นแล้วมองไปบนเวที

อีกด้านหนึ่ง จงจือหว่านขมวดคิ้ว สีหน้าสงสัย

เธอไม่เข้าใจ อิ๋งจื่อจินยังจะกล้าขึ้นไปทั้งที่ยอมรับว่าตัวเองโกง

เธอกับหลินสี่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ย่อมรู้จักนิสัยของหลินสี่ดี

ปกติหลินสี่เป็นคนใจเย็น แต่ถ้าเจอเรื่องเกี่ยวกับศิลปะก็จะเข้มงวดมาก ขนาดเธอยังเคยโดนสั่งสอนไปหลายครั้ง

ครั้งนี้อิ๋งจื่อจินปะทะกับหลินสี่ ต่อไปก็อย่าหวังจะได้เหยียบวงการศิลปะแม้เพียงครึ่งก้าว

ตระกูลเศรษฐีกับวงการศิลปะเกี่ยวข้องกัน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผู้เฒ่าจงยังจะเอ็นดูลูกเลี้ยงที่สร้างตราบาปในวงการศิลปะได้อีกเหรอ

อิ๋งจื่อจินมองแท่นฝนหมึกก็พบว่าหมึกถูกฝนไว้เรียบร้อยแล้ว ลดขั้นตอนไปได้มาก

เธอเชิดหน้าขึ้น ชี้ไปที่ม้วนภาพเขียน “อันนี้เป็นมูลค่าเท่าไร”

หลินสี่ข่มความโกรธ “อย่างน้อยก็ห้าล้าน เขียนของเธอไป”

อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “อืม จำไว้ด้วยนะ”

เธอก้มหน้า หยิบพู่กันขนหมาป่าออกมาจากกระบอก

ผู้ชมที่ดูถ่ายทอดสดต่างไม่เข้าใจ

[เธอหมายความว่าไง ให้หลินสี่จำอะไร]

[ไม่เข้าใจ แต่เธอก็กล้าจริงนะ เอาแค่ความกล้าหาญนี้ก็สมควรได้รับการปรบมือ]

[กล้าหาญอะไร ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้มากกว่า เดี๋ยวถ้าเขียนออกมาไม่ได้คงหน้าแตกยับเยิน]

หลินสี่มองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ

ที่ด้านหลังของเขา ผู้อำนวยการมองอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะ “ลงโทษไล่ออกไปหารือตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมที่เป็นผู้อำนวยการถึงไม่รู้เรื่องล่ะ”

“เรื่องแค่นี้ต้องรบกวนผู้อำนวยการด้วยเหรอครับ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะยิ้ม “ทุจริต แถมยังเล่นถึงหัวอาจารย์เว่ยโฮ่ว จะไม่ไล่ออกได้เหรอครับ”

ผู้อำนวยการขมวดคิ้ว “เรื่องนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”

“เธอก็กำลังเขียนอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะไม่คิดแบบนั้น “เดี๋ยวผู้อำนวยการดูก็รู้แล้ว เดิมทีเธอก็เป็นแค่เด็กที่มาจากบ้านนอก แล้วจะ…”

ทันใดนั้นเสียงได้หยุดลง

คอมเมนต์บนหน้าจอถ่ายทอดสดก็หยุดอย่างกะทันหัน

เพราะเวลานี้ ใครก็ตามที่จับตาดูบนเวที ต่างเห็นเด็กสาวยกมือซ้ายขึ้น จับพู่กันขนหมาป่าอีกอัน

เธอใช้แท่งไม้ทับกระดาษสำหรับเขียนอักษรพู่กันโดยเฉพาะไว้ ถอยหลังหนึ่งก้าวราวกับกำลังสังเกตอะไร จากนั้นถึงโน้มตัวลง

วินาทีถัดมามือทั้งสองที่จับพู่กันก็ขยับพร้อมกัน

[…]

[โอ้โห เขียนสองมือพร้อมกันเหรอ บ้าไปแล้ว เรื่องที่ขนาดหลินสี่ยังทำไม่ได้ ปีนี้เธอเพิ่งจะอายุเท่าไร]

[เร่เข้ามา! ศิลปะถูกคนแบบนี้เหยียบย่ำแล้ว!]

[พี่ช่างภาพ อย่าถ่ายเธอสิ ถ่ายที่ภาพเขียน เร็วเข้าๆ ให้พวกเราดูหน่อยว่าเธอเขียนได้ขยะแค่ไหน]

[ทุกคนใจเย็นๆ รอเธอเขียนเสร็จเดี๋ยวก็ได้เห็นแล้วว่าเป็นยังไง]

จงจือหว่านส่ายหน้าอีกครั้ง ผิดหวังยิ่งกว่าเดิม

มือซ้ายสัมพันธ์กับสมองซีกขวา มือขวาสัมพันธ์กับสมองซีกซ้าย

เขียนด้วยสองมือพร้อมกัน แถมยังต้องเขียนให้ได้ดี มันยากเสียยิ่งกว่ายาก

ยังไงซะการแยกประสาทในสมองก็มีอย่างจำกัด ถ้าไม่เคยฝึกมาไม่มีทางทำได้

บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงศิลปะที่อยู่บนเวทีต่างก็ตะลึงมาก แต่พวกเขาอยู่ค่อนข้างห่าง มองไม่เห็นว่าเด็กสาวเขียนอะไร

เพียงเวลาแค่ไม่กี่สิบวินาทีอิ๋งจื่อจินก็วางพู่กันลง

“เขียนเสร็จแล้วเหรอ” หลินสี่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พูดประชดปนโมโห “การเขียนอักษรห้ามใจร้อน เธอเขียนเสร็จเร็วขนาดนี้จะเขียนอะไรออกมาได้”

ขณะพูดก็เดินขึ้นหน้า หยิบกระดาษที่เขียนขึ้นมาดู

พอก้มดูสีหน้าของเขาก็ชะงักในชั่วขณะ

ตากล้องถ่ายตามหลินสี่อยู่ตลอด ขยายสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่มองเห็นแม้กระทั่งกล้ามเนื้อที่กระตุกเล็กน้อย

[ดูเหมือนหลินสี่จะตะลึง เขาเห็นอะไรน่ะ]

[คงไม่ได้เขียนได้น่าเกลียดมากหรอกนะ]

[สงสัยจัง ขอพวกเราดูบ้างสิว่าเป็นไง]

หลินสี่มองอักษรที่อยู่บนกระดาษ ดวงตาเบิกโพลงอย่างรุนแรง แม้แต่นิ้วก็เริ่มสั่น รู้สึกเหลือเชื่อมาก

กระดาษหนึ่งแผ่นแบ่งเป็นสองกรอบ

ด้านหนึ่งเป็นอักษรแบบจ้วน อีกด้านหนึ่งเป็นอักษรแบบข่าย

รูปแบบอักษรที่แตกต่างกัน สไตล์ก็ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

อักษรมีชีวิตชีวา ไหลลื่นไม่มีสะดุด

แต่ละเส้นคมชัดได้สัดส่วน

หากไม่ได้เห็นกับตา หลินสี่ไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของเด็กมัธยมปลายอายุสิบเจ็ดคนนี้

แถมยังเป็นการเขียนโดยใช้สองมือพร้อมกัน

เป็นไปได้ยังไง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ภาพเขียนอักษรนี้ดูทรงพลัง ราวกับมีสายฟ้าพุ่งออกมาจากในอักษร ชวนให้ตะลึงงัน

ทำให้หลินสี่รู้สึกกดดันอย่างหนัก แทบจะไม่กล้าจ้องนานเกินไป

สิบกว่าวินาทีผ่านไป เขายังคงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ตากล้องเดินขึ้นหน้า เขาเองก็ตกใจ กระซิบเตือน “คุณหลินครับ ช่วยยกขึ้นหน่อยครับ กล้องจะจับภาพ”

หลินสี่ยังคงอึ้งอยู่ แต่ก็กางกระดาษออก

ภาพเขียนอักษรสองภาพปรากฏบนหน้าจอใหญ่ เผยโฉมให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจน

จงจือหว่านกำลังหัวเราะพูดคุยกับหัวหน้าชมรมศิลปะ เวลานี้ได้เงยหน้ามองไป

รอยยิ้มหยุดชะงัก สมองว่างเปล่า “…”

เสียงที่อยู่ข้างหูราวกับหายไปหมดในชั่วขณะนั้น

เกิดความเงียบขึ้นภายในงานอีกครั้ง

คอมเมนต์บนหน้าจอถ่ายทอดสดประเดประดังอย่างกะทันหัน

[โอ้โห ภาพนี้มัน…]

[พูดตามตรง พอเทียบกันแบบนี้ ภาพเขียนของเว่ยโฮ่วดูเป็นขยะไปเลย]

[เขียนด้วยสองมือพร้อมกันแบบรวดเดียวจบ แถมเขียนเป็นอักษรสองแบบ แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าโคตรเทพ]

[เธอเขียนได้ดีขนาดนี้ยังต้องทุจริตอีกเหรอ]

[อย่าหาว่าฉันใส่ร้ายเลยนะ ทำไมฉันสงสัยว่ามีคนแอบสับเปลี่ยนผลงานของเธอล่ะ จงใจใส่ร้ายว่าเธอทุจริต]

เมื่อครู่แดกดันกันมากขนาดไหน ตอนนี้ก็กลับลำกันมากขนาดนั้น โดยเฉพาะบรรดาผู้ชมที่รอดูเหตุการณ์พลิกมาตลอด

[ขอโทษนะ หลินสี่คลื่นลูกใหม่ที่พวกเธอว่าน่ะ…ฉันชอบไม่ลง ถึงขั้นเกลียดเลยล่ะ]

[เอาแค่ท่าทางเมื่อกี้ของเขา อวดดีมากไม่ใช่เหรอ งั้นก็ให้หลินสี่เขียนตอนนี้บ้างสิ เขาอายุยี่สิบแปดแล้วใช่ไหม เด็กคนนี้อายุสิบเจ็ดแถมใช้สองมือเขียน ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเพิ่มเขียนด้วยสองเท้าหรือเปล่า]

[มือเท้าเขียนพร้อมกันเหรอ ประเมินหลินสี่สูงไปแล้ว พวกเธอบอกว่าตอนหลินสี่อายุสิบสองขายภาพเขียนออกไปได้ในราคาห้าแสน แต่ทำไมฉันได้ยินมาว่าคนที่ซื้อเป็นปู่ของเขาล่ะ]

[ว้าว นี่สินะเบื้องหลัง! เมื่อกี้ฉันได้ยินอิ๋งจื่อจินถามหลินสี่ว่า ‘ขยะ’ นั่นเท่าไร หลินสี่บอกห้าล้าน งั้นภาพที่เธอเขียนไม่สิบล้านไปเลยเหรอ]

[หลินสี่ต่างหากที่ตบหน้าตัวเอง ว่ากันตามตรง ถ้าเขาแอบไปเคลียร์กับนักเรียนคนนั้นเป็นการส่วนตัว ถ้านักเรียนไม่ยอมปรับปรุงตัวค่อยบอกโรงเรียนให้ไล่ออกก็ยังไม่สาย อีกอย่าง เขาก็ไม่ใช่อาจารย์ชิงจื้อด้วยรึเปล่า]

เนื่องจากนักเรียนทั้งมอต้นและมอปลายรวมกันมีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ครูอาจารย์ ข้างเวทีสองฝั่งจึงมีหน้าจอขนาดใหญ่ให้รับชมด้วย

บนหน้าจอเป็นภาพถ่ายทอดสด อีกทั้งผู้เข้าร่วมประกวดยังเป็นเยาวชน ทางโรงเรียนถ่ายทอดให้ชมไปพร้อมกันจึงไม่ได้มีการปิดคอมเมนต์บนหน้าจอ

คอมเมนต์ที่เยาะเย้ยอิ๋งจื่อจินก่อนหน้านี้หายไปนานแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงคอมเมนต์ประชดหลินสี่ที่อวดดีเกินไป

สมองของจงจือหว่านเกิดเสียงอื้อ แทบไม่ได้ยินว่าคนรอบตัวพูดอะไรกัน

ริมฝีปากของเธอค่อยๆ ซีดลง ใบหน้าก็ซีดเผือด

เป็นไปได้ยังไง

อิ๋งจื่อจินเขียนออกมาได้จริงเหรอ

ไม่ได้โกหกหรอกเหรอ

“คุณหลินครับ ไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงมั่นใจว่านักเรียนอิ๋งจื่อจินขโมยผลงานของอาจารย์เว่ยโฮ่วมาเหรอครับ” ผู้อำนวยการมองอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะด้วยสายตาเย็นชา “แต่ตอนนี้เรื่องกระจ่างแล้ว คุณหยามศักดิ์ศรีของเธอ ควรจะขอโทษนักเรียนอิ๋งหรือเปล่า”

[โอ๊ยๆๆ ฉันชอบผู้อำนวยการคนนี้ ไม่ใช่แบบที่เห็นแก่หน้าตัวเอง ไม่ใช่พวกชอบประจบคนมีอิทธิพลด้วย]

[หลินสี่ควรขอโทษ โชคดีที่สาวน้อยจิตใจแข็งแกร่ง ฉันยังหลอนข่าวนักเรียนโดดตึกตายเมื่อหลายวันก่อนอยู่เลย]

หลินสี่ตัวแข็งทื่อ รู้สึกอายมาก

แต่เขาไม่ได้ขอโทษ กลับพูดว่า “แต่ภาพเขียนอักษรพู่กันภาพนี้เป็นของอาจารย์เว่ยโฮ่วจริงๆ”

ต่อให้อิ๋งจื่อจินเขียนได้ดีแค่ไหน ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่ได้แอบขโมยมา

ผู้อำนวยการยังไม่ทันได้พูด ทันใดนั้นประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงก็ลุกขึ้น สีหน้าตกใจ “ประธานเซิ่ง”

อิ๋งจื่อจินหันหน้าไป

ห่างออกไปไม่กี่เมตร เซิ่งชิงถังสวมหมวกฟางกับรองเท้าแตะ กำลังเดินมาทางที่นั่งแขกผู้ทรงคุณวุฒิ

ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงเข้ามาต้อนรับ “ประธานเซิ่งมาได้ยังไงครับ”

หากพูดถึงสถานะในวงการศิลปะ เซิ่งชิงถังอยู่ในอันดับต้นๆ

ถึงแม้เขาจะถอนตัวจากสมาคมภาพเขียนอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไปแล้ว แต่คนอื่นๆ ก็ยังคงเรียกเขาว่าประธานเซิ่งด้วยความเคารพ

“มาดูน่ะ” เซิ่งชิงถังส่ายมือ “วันนี้ว่างพอดี”

เขาไม่มีทางบอกหรอกว่า เขาอยากอาศัยหน้าแก่ๆ ของตัวเองมาเอาภาพเขียนอักษรพู่กันของหมออิ๋งกลับไปด้วย

ภาพที่ดีขนาดนั้นเอามาประกวดเทศกาลศิลปะทำไม

ควรให้เขาใส่กรอบไว้แล้วแขวนที่ผนังมองดูทุกวัน

คนพวกนี้มีเหรอจะเข้าใจแก่นแท้ของภาพ

ถุย!

แต่เมื่อกี้เขาได้ยินอะไรนะ

ผู้เฒ่าเซิ่งโมโหแล้ว

หลินสี่ก็ตกใจ “ผู้อาวุโสเซิ่ง”

เซิ่งชิงถังกลับไม่สนใจเขา แค่ชี้ไปที่ม้วนภาพเขียนแล้วพูด “นายบอกว่าภาพเขียนม้วนนี้เป็นของเว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 89 เซิ่งชิงถังพูด นายบอกว่าภาพนี้เป็นของเว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 89 เซิ่งชิงถังพูด นายบอกว่าภาพนี้เป็นของเว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่นานก็มีคนขนอุปกรณ์เขียนภาพมาจากห้องศิลปะ กางโต๊ะบนเวทีที่ตรงหน้าที่นั่งแขกกิตติมศักดิ์

หลินสี่มองเด็กสาวด้วยความไม่พอใจ “ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้แล้ว งั้นก็จะให้โอกาสเธอสักครั้ง ขึ้นมาเขียนสิ”

ซิวอวี่โมโหทันที

“ไม่เป็นไร” มือของอิ๋งจื่อจินกดบ่าซิวอวี่ไว้เพื่อบอกว่าอย่าบุ่มบ่าม

เธอลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นเวที

พอเห็นภาพนี้พวกนักเรียนที่อยู่ล่างเวทีก็เริ่มอยู่ไม่สุข

แต่ละคนยืนขึ้น แทบอยากจะขึ้นเวทีไปดู ตื่นเต้นกันมากทีเดียว บนหน้าประหนึ่งเขียนว่า ‘รอชมคนหน้าแตก’

เจียงหรานสงบสติอารมณ์ ข่มความหงุดหงิด

“มือที่ชอบใช้ความรุนแรงแบบนั้นจะเขียนอะไรออกมาได้”

มือที่ใช้เขียนอักษรไม่ใช่ว่าจะต้องดูแลปกป้องอย่างดีเหรอ

“ฉันก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่พ่ออิ๋งทำเป็นทุกอย่างแน่นอน”

“…”

เจียงหรานรู้สึกว่าเขาปฏิเสธคำพูดนี้ไม่ได้

เพราะระยะนี้เขาอยู่ในช่วงสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอด

เขาจำต้องใจเย็นแล้วมองไปบนเวที

อีกด้านหนึ่ง จงจือหว่านขมวดคิ้ว สีหน้าสงสัย

เธอไม่เข้าใจ อิ๋งจื่อจินยังจะกล้าขึ้นไปทั้งที่ยอมรับว่าตัวเองโกง

เธอกับหลินสี่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ย่อมรู้จักนิสัยของหลินสี่ดี

ปกติหลินสี่เป็นคนใจเย็น แต่ถ้าเจอเรื่องเกี่ยวกับศิลปะก็จะเข้มงวดมาก ขนาดเธอยังเคยโดนสั่งสอนไปหลายครั้ง

ครั้งนี้อิ๋งจื่อจินปะทะกับหลินสี่ ต่อไปก็อย่าหวังจะได้เหยียบวงการศิลปะแม้เพียงครึ่งก้าว

ตระกูลเศรษฐีกับวงการศิลปะเกี่ยวข้องกัน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผู้เฒ่าจงยังจะเอ็นดูลูกเลี้ยงที่สร้างตราบาปในวงการศิลปะได้อีกเหรอ

อิ๋งจื่อจินมองแท่นฝนหมึกก็พบว่าหมึกถูกฝนไว้เรียบร้อยแล้ว ลดขั้นตอนไปได้มาก

เธอเชิดหน้าขึ้น ชี้ไปที่ม้วนภาพเขียน “อันนี้เป็นมูลค่าเท่าไร”

หลินสี่ข่มความโกรธ “อย่างน้อยก็ห้าล้าน เขียนของเธอไป”

อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “อืม จำไว้ด้วยนะ”

เธอก้มหน้า หยิบพู่กันขนหมาป่าออกมาจากกระบอก

ผู้ชมที่ดูถ่ายทอดสดต่างไม่เข้าใจ

[เธอหมายความว่าไง ให้หลินสี่จำอะไร]

[ไม่เข้าใจ แต่เธอก็กล้าจริงนะ เอาแค่ความกล้าหาญนี้ก็สมควรได้รับการปรบมือ]

[กล้าหาญอะไร ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้มากกว่า เดี๋ยวถ้าเขียนออกมาไม่ได้คงหน้าแตกยับเยิน]

หลินสี่มองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ

ที่ด้านหลังของเขา ผู้อำนวยการมองอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะ “ลงโทษไล่ออกไปหารือตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมที่เป็นผู้อำนวยการถึงไม่รู้เรื่องล่ะ”

“เรื่องแค่นี้ต้องรบกวนผู้อำนวยการด้วยเหรอครับ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะยิ้ม “ทุจริต แถมยังเล่นถึงหัวอาจารย์เว่ยโฮ่ว จะไม่ไล่ออกได้เหรอครับ”

ผู้อำนวยการขมวดคิ้ว “เรื่องนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”

“เธอก็กำลังเขียนอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะไม่คิดแบบนั้น “เดี๋ยวผู้อำนวยการดูก็รู้แล้ว เดิมทีเธอก็เป็นแค่เด็กที่มาจากบ้านนอก แล้วจะ…”

ทันใดนั้นเสียงได้หยุดลง

คอมเมนต์บนหน้าจอถ่ายทอดสดก็หยุดอย่างกะทันหัน

เพราะเวลานี้ ใครก็ตามที่จับตาดูบนเวที ต่างเห็นเด็กสาวยกมือซ้ายขึ้น จับพู่กันขนหมาป่าอีกอัน

เธอใช้แท่งไม้ทับกระดาษสำหรับเขียนอักษรพู่กันโดยเฉพาะไว้ ถอยหลังหนึ่งก้าวราวกับกำลังสังเกตอะไร จากนั้นถึงโน้มตัวลง

วินาทีถัดมามือทั้งสองที่จับพู่กันก็ขยับพร้อมกัน

[…]

[โอ้โห เขียนสองมือพร้อมกันเหรอ บ้าไปแล้ว เรื่องที่ขนาดหลินสี่ยังทำไม่ได้ ปีนี้เธอเพิ่งจะอายุเท่าไร]

[เร่เข้ามา! ศิลปะถูกคนแบบนี้เหยียบย่ำแล้ว!]

[พี่ช่างภาพ อย่าถ่ายเธอสิ ถ่ายที่ภาพเขียน เร็วเข้าๆ ให้พวกเราดูหน่อยว่าเธอเขียนได้ขยะแค่ไหน]

[ทุกคนใจเย็นๆ รอเธอเขียนเสร็จเดี๋ยวก็ได้เห็นแล้วว่าเป็นยังไง]

จงจือหว่านส่ายหน้าอีกครั้ง ผิดหวังยิ่งกว่าเดิม

มือซ้ายสัมพันธ์กับสมองซีกขวา มือขวาสัมพันธ์กับสมองซีกซ้าย

เขียนด้วยสองมือพร้อมกัน แถมยังต้องเขียนให้ได้ดี มันยากเสียยิ่งกว่ายาก

ยังไงซะการแยกประสาทในสมองก็มีอย่างจำกัด ถ้าไม่เคยฝึกมาไม่มีทางทำได้

บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงศิลปะที่อยู่บนเวทีต่างก็ตะลึงมาก แต่พวกเขาอยู่ค่อนข้างห่าง มองไม่เห็นว่าเด็กสาวเขียนอะไร

เพียงเวลาแค่ไม่กี่สิบวินาทีอิ๋งจื่อจินก็วางพู่กันลง

“เขียนเสร็จแล้วเหรอ” หลินสี่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พูดประชดปนโมโห “การเขียนอักษรห้ามใจร้อน เธอเขียนเสร็จเร็วขนาดนี้จะเขียนอะไรออกมาได้”

ขณะพูดก็เดินขึ้นหน้า หยิบกระดาษที่เขียนขึ้นมาดู

พอก้มดูสีหน้าของเขาก็ชะงักในชั่วขณะ

ตากล้องถ่ายตามหลินสี่อยู่ตลอด ขยายสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่มองเห็นแม้กระทั่งกล้ามเนื้อที่กระตุกเล็กน้อย

[ดูเหมือนหลินสี่จะตะลึง เขาเห็นอะไรน่ะ]

[คงไม่ได้เขียนได้น่าเกลียดมากหรอกนะ]

[สงสัยจัง ขอพวกเราดูบ้างสิว่าเป็นไง]

หลินสี่มองอักษรที่อยู่บนกระดาษ ดวงตาเบิกโพลงอย่างรุนแรง แม้แต่นิ้วก็เริ่มสั่น รู้สึกเหลือเชื่อมาก

กระดาษหนึ่งแผ่นแบ่งเป็นสองกรอบ

ด้านหนึ่งเป็นอักษรแบบจ้วน อีกด้านหนึ่งเป็นอักษรแบบข่าย

รูปแบบอักษรที่แตกต่างกัน สไตล์ก็ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

อักษรมีชีวิตชีวา ไหลลื่นไม่มีสะดุด

แต่ละเส้นคมชัดได้สัดส่วน

หากไม่ได้เห็นกับตา หลินสี่ไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของเด็กมัธยมปลายอายุสิบเจ็ดคนนี้

แถมยังเป็นการเขียนโดยใช้สองมือพร้อมกัน

เป็นไปได้ยังไง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ภาพเขียนอักษรนี้ดูทรงพลัง ราวกับมีสายฟ้าพุ่งออกมาจากในอักษร ชวนให้ตะลึงงัน

ทำให้หลินสี่รู้สึกกดดันอย่างหนัก แทบจะไม่กล้าจ้องนานเกินไป

สิบกว่าวินาทีผ่านไป เขายังคงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ตากล้องเดินขึ้นหน้า เขาเองก็ตกใจ กระซิบเตือน “คุณหลินครับ ช่วยยกขึ้นหน่อยครับ กล้องจะจับภาพ”

หลินสี่ยังคงอึ้งอยู่ แต่ก็กางกระดาษออก

ภาพเขียนอักษรสองภาพปรากฏบนหน้าจอใหญ่ เผยโฉมให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจน

จงจือหว่านกำลังหัวเราะพูดคุยกับหัวหน้าชมรมศิลปะ เวลานี้ได้เงยหน้ามองไป

รอยยิ้มหยุดชะงัก สมองว่างเปล่า “…”

เสียงที่อยู่ข้างหูราวกับหายไปหมดในชั่วขณะนั้น

เกิดความเงียบขึ้นภายในงานอีกครั้ง

คอมเมนต์บนหน้าจอถ่ายทอดสดประเดประดังอย่างกะทันหัน

[โอ้โห ภาพนี้มัน…]

[พูดตามตรง พอเทียบกันแบบนี้ ภาพเขียนของเว่ยโฮ่วดูเป็นขยะไปเลย]

[เขียนด้วยสองมือพร้อมกันแบบรวดเดียวจบ แถมเขียนเป็นอักษรสองแบบ แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าโคตรเทพ]

[เธอเขียนได้ดีขนาดนี้ยังต้องทุจริตอีกเหรอ]

[อย่าหาว่าฉันใส่ร้ายเลยนะ ทำไมฉันสงสัยว่ามีคนแอบสับเปลี่ยนผลงานของเธอล่ะ จงใจใส่ร้ายว่าเธอทุจริต]

เมื่อครู่แดกดันกันมากขนาดไหน ตอนนี้ก็กลับลำกันมากขนาดนั้น โดยเฉพาะบรรดาผู้ชมที่รอดูเหตุการณ์พลิกมาตลอด

[ขอโทษนะ หลินสี่คลื่นลูกใหม่ที่พวกเธอว่าน่ะ…ฉันชอบไม่ลง ถึงขั้นเกลียดเลยล่ะ]

[เอาแค่ท่าทางเมื่อกี้ของเขา อวดดีมากไม่ใช่เหรอ งั้นก็ให้หลินสี่เขียนตอนนี้บ้างสิ เขาอายุยี่สิบแปดแล้วใช่ไหม เด็กคนนี้อายุสิบเจ็ดแถมใช้สองมือเขียน ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเพิ่มเขียนด้วยสองเท้าหรือเปล่า]

[มือเท้าเขียนพร้อมกันเหรอ ประเมินหลินสี่สูงไปแล้ว พวกเธอบอกว่าตอนหลินสี่อายุสิบสองขายภาพเขียนออกไปได้ในราคาห้าแสน แต่ทำไมฉันได้ยินมาว่าคนที่ซื้อเป็นปู่ของเขาล่ะ]

[ว้าว นี่สินะเบื้องหลัง! เมื่อกี้ฉันได้ยินอิ๋งจื่อจินถามหลินสี่ว่า ‘ขยะ’ นั่นเท่าไร หลินสี่บอกห้าล้าน งั้นภาพที่เธอเขียนไม่สิบล้านไปเลยเหรอ]

[หลินสี่ต่างหากที่ตบหน้าตัวเอง ว่ากันตามตรง ถ้าเขาแอบไปเคลียร์กับนักเรียนคนนั้นเป็นการส่วนตัว ถ้านักเรียนไม่ยอมปรับปรุงตัวค่อยบอกโรงเรียนให้ไล่ออกก็ยังไม่สาย อีกอย่าง เขาก็ไม่ใช่อาจารย์ชิงจื้อด้วยรึเปล่า]

เนื่องจากนักเรียนทั้งมอต้นและมอปลายรวมกันมีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ครูอาจารย์ ข้างเวทีสองฝั่งจึงมีหน้าจอขนาดใหญ่ให้รับชมด้วย

บนหน้าจอเป็นภาพถ่ายทอดสด อีกทั้งผู้เข้าร่วมประกวดยังเป็นเยาวชน ทางโรงเรียนถ่ายทอดให้ชมไปพร้อมกันจึงไม่ได้มีการปิดคอมเมนต์บนหน้าจอ

คอมเมนต์ที่เยาะเย้ยอิ๋งจื่อจินก่อนหน้านี้หายไปนานแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงคอมเมนต์ประชดหลินสี่ที่อวดดีเกินไป

สมองของจงจือหว่านเกิดเสียงอื้อ แทบไม่ได้ยินว่าคนรอบตัวพูดอะไรกัน

ริมฝีปากของเธอค่อยๆ ซีดลง ใบหน้าก็ซีดเผือด

เป็นไปได้ยังไง

อิ๋งจื่อจินเขียนออกมาได้จริงเหรอ

ไม่ได้โกหกหรอกเหรอ

“คุณหลินครับ ไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงมั่นใจว่านักเรียนอิ๋งจื่อจินขโมยผลงานของอาจารย์เว่ยโฮ่วมาเหรอครับ” ผู้อำนวยการมองอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะด้วยสายตาเย็นชา “แต่ตอนนี้เรื่องกระจ่างแล้ว คุณหยามศักดิ์ศรีของเธอ ควรจะขอโทษนักเรียนอิ๋งหรือเปล่า”

[โอ๊ยๆๆ ฉันชอบผู้อำนวยการคนนี้ ไม่ใช่แบบที่เห็นแก่หน้าตัวเอง ไม่ใช่พวกชอบประจบคนมีอิทธิพลด้วย]

[หลินสี่ควรขอโทษ โชคดีที่สาวน้อยจิตใจแข็งแกร่ง ฉันยังหลอนข่าวนักเรียนโดดตึกตายเมื่อหลายวันก่อนอยู่เลย]

หลินสี่ตัวแข็งทื่อ รู้สึกอายมาก

แต่เขาไม่ได้ขอโทษ กลับพูดว่า “แต่ภาพเขียนอักษรพู่กันภาพนี้เป็นของอาจารย์เว่ยโฮ่วจริงๆ”

ต่อให้อิ๋งจื่อจินเขียนได้ดีแค่ไหน ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่ได้แอบขโมยมา

ผู้อำนวยการยังไม่ทันได้พูด ทันใดนั้นประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงก็ลุกขึ้น สีหน้าตกใจ “ประธานเซิ่ง”

อิ๋งจื่อจินหันหน้าไป

ห่างออกไปไม่กี่เมตร เซิ่งชิงถังสวมหมวกฟางกับรองเท้าแตะ กำลังเดินมาทางที่นั่งแขกผู้ทรงคุณวุฒิ

ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงเข้ามาต้อนรับ “ประธานเซิ่งมาได้ยังไงครับ”

หากพูดถึงสถานะในวงการศิลปะ เซิ่งชิงถังอยู่ในอันดับต้นๆ

ถึงแม้เขาจะถอนตัวจากสมาคมภาพเขียนอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไปแล้ว แต่คนอื่นๆ ก็ยังคงเรียกเขาว่าประธานเซิ่งด้วยความเคารพ

“มาดูน่ะ” เซิ่งชิงถังส่ายมือ “วันนี้ว่างพอดี”

เขาไม่มีทางบอกหรอกว่า เขาอยากอาศัยหน้าแก่ๆ ของตัวเองมาเอาภาพเขียนอักษรพู่กันของหมออิ๋งกลับไปด้วย

ภาพที่ดีขนาดนั้นเอามาประกวดเทศกาลศิลปะทำไม

ควรให้เขาใส่กรอบไว้แล้วแขวนที่ผนังมองดูทุกวัน

คนพวกนี้มีเหรอจะเข้าใจแก่นแท้ของภาพ

ถุย!

แต่เมื่อกี้เขาได้ยินอะไรนะ

ผู้เฒ่าเซิ่งโมโหแล้ว

หลินสี่ก็ตกใจ “ผู้อาวุโสเซิ่ง”

เซิ่งชิงถังกลับไม่สนใจเขา แค่ชี้ไปที่ม้วนภาพเขียนแล้วพูด “นายบอกว่าภาพเขียนม้วนนี้เป็นของเว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+