คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 761 คณบดีนอร์แมน ‘กล้าแย่งลูกศิษย์ฉันเลยเหรอ!’

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 761 คณบดีนอร์แมน ‘กล้าแย่งลูกศิษย์ฉันเลยเหรอ!’ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 761 คณบดีนอร์แมน ‘กล้าแย่งลูกศิษย์ฉันเลยเหรอ!’

แต่ไหนแต่ไรมาสำนักวิจัยมีอาจารย์น้อย มีนักศึกษาเยอะ

อาจารย์ชั้นยอดของคณะวิศวกรรมศาสตร์มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

ด้วยเหตุนี้พวกอาจารย์จึงใช้เกณฑ์ความสามารถและผลงานของนักศึกษาเป็นตัวตัดสินว่าจะรับหรือไม่รับเป็นศิษย์ในความดูแลมาตลอด

ใช่ว่านักศึกษาทุกคนหลังจากสอบผ่านเข้าคณะมาจะมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นของตัวเองทั้งหมด

โดยทั่วไป อาจารย์หนึ่งคนอย่างมากสุดรับนักศึกษามาดูแลพร้อมกันได้สามคนถึงจะใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า พัฒนาความสามารถได้

มั่วเฟิงมีลูกศิษย์ในสังกัดแค่บิลคนเดียว

เขาเป็นคนมีความสามารถ นักศึกษาหลายคนแย่งกันอุตลุดอยากให้เขารับเป็นศิษย์

แต่อิ๋งจื่อจินที่ไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำส่วนตัวกลับไปได้ถึงขั้นนี้แล้ว

มั่วเฟิงมั่นใจในตัวเองมาก หากมีการชี้แนะจากเขาเพิ่มเข้าไป คณะวิศวกรรมศาสตร์จะต้องเจริญก้าวหน้าเร็วกว่าเดิม

และเห็นได้ชัดว่าสถานะกับอิทธิพลของอิ๋งจื่อจินแข็งแกร่งกว่าบิลเยอะ

เธอได้รับบัตรเข้าตลาดประมูลลอเรนท์ตั้งแต่ตอนที่เธอยังไม่กลับตระกูลเรนเกล

แถมตอนนี้เธอยังเป็นคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียวของตระกูล

สถานะที่สูงส่งแบบนี้ ในแวดวงไฮโซก็มีแค่คุณชายใหญ่ของตระกูลอวี้เท่านั้นที่เทียบได้

“มีแล้วค่ะ” อิ๋งจื่อจินเอารายงานโปรเจ็กต์ไปยื่นที่ช่อง “หลบหน่อยค่ะ”

มั่วเฟิงกลับไม่หลบ เขาขมวดคิ้ว “นักศึกษาอิ๋ง อาจารย์รู้ว่าเธอไม่พอใจท่าทีของอาจารย์เมื่อก่อนนี้ เธอเข้าใจอาจารย์ผิดนะ”

“แต่เธอน่าจะรู้ว่า ในคณะวิศวะไม่มีอาจารย์คนไหนที่มีความรู้ความสามารถมากไปกว่าอาจารย์อีกแล้ว”

อย่างคณบดีนอร์แมนหรือบรรดาอาจารย์กิตติมศักดิ์ก็ไม่รับลูกศิษย์กันแล้ว

“อาจารย์มั่วเฟิง หนูยอมรับความสามารถของอาจารย์ค่ะ” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า สายตาเย็นชา “แต่หนูไม่ชอบนิสัยของอาจารย์ค่ะ”

“มีใจที่รักผลประโยชน์เป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่การเห็นแต่ผลประโยชน์ อาจารย์เปลี่ยนอาชีพดีกว่านะคะ”

มั่วเฟิงสีหน้าเปลี่ยน หน้าแดงเล็กน้อย

คำพูดแบบนี้คล้ายคำพูดที่คณบดีนอร์แมนเคยพูดกับเขา

เขาไม่เคยปิดบังการแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ปฏิบัติต่อพลเมืองชั้นหนึ่งกับชั้นสองต่างกัน

แต่ถูกนักศึกษาสั่งสอนต่อหน้าแบบนี้ มั่วเฟิงรู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “นักศึกษาอิ๋ง อาจารย์ขอโทษเธอแล้ว เธอจะเอาอนาคตกับความก้าวหน้าของตัวเองมาเดิมพันเพราะเคืองใจอาจารย์ไม่ได้นะ”

“ถ้าอาจารย์รับเธอเป็นศิษย์ อาจารย์มั่นใจว่าจะทำให้เธอเลื่อนเป็นนักวิจัยระดับเอสได้ในครึ่งปี”

อิ๋งจื่อจินบอกว่ามีอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว มั่วเฟิงไม่เชื่อ

“งั้นเอาแบบนี้ นี่เป็นโจทย์ที่อาจารย์ที่ปรึกษาของหนูออกค่ะ” อิ๋งจื่อจินหมดความอดทน หยิบกระดาษออกมาหนึ่งใบ “ลองดูก่อนนะคะว่าอาจารย์มั่วเฟิงทำได้หรือเปล่า”

มั่วเฟิงรับมาทันที พูดด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น “ง่ายมาก ทำได้อยู่แล้ว”

แต่หลังจากเขาอ่านโจทย์เสร็จ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทีละนิด

โจทย์ในกระดาษใบนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นจุดยากของส่วนขับเคลื่อนใจกลางยานอวกาศข้ามจักรวาล

ถูกจัดเป็นหนึ่งในสามโจทย์ยากของคณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน

อย่าว่าแต่ให้เขาแก้เลย ต่อให้เป็นคนออกโจทย์ก็ใช่ว่าจะมีความสามารถนี้

มือของมั่วเฟิงที่จับกระดาษอยู่กำลังสั่น

ราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ ทำเย็นเฉียบไปทั้งตัว แทบยืนไม่อยู่แล้ว

คนที่เอาโจทย์แบบนี้ออกมาให้ทำได้ก็มีแค่…

ชั่วขณะนั้นเขานึกถึงคณบดีนอร์แมนกับบรรดาอาจารย์กิตติมศักดิ์

มั่วเฟิงเงยหน้าด้วยความตกใจ หน้าซีดลง เขาตะลึงหนัก “เธอ…”

“น่าเสียดายนะคะอาจารย์มั่วเฟิง” อิ๋งจื่อจินสวมหมวก ยิ้มพลางพูด “เมื่อก่อนหนูยอมรับในความสามารถของอาจารย์ แต่ดูจากตอนนั้นก็แค่งั้นๆ”

“ยังไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ของหนูหรอกค่ะ”

อิ๋งจื่อจินเก็บเอกสาร สะพายกระเป๋าเดินออกไป

มั่วเฟิงอึ้งอยู่ที่เดิม อ้าปากค้าง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เขาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตจนตัวชา ร่างกายแข็งทื่อ

พอคิดว่าอิ๋งจื่อจินถูกหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดของคณะวิศวกรรมศาสตร์รับเป็นศิษย์แล้ว มั่วเฟิงก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลก

เขาเป็นอาจารย์อันดับหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ก็เทียบกับอาจารย์กิตติมศักดิ์หรือคณบดีนอร์แมนไม่ได้เลย

มั่วเฟิงหน้าซีด

เนื่องจากมีประตูเก็บเสียงกั้นอยู่ บิลจึงไม่ได้ยินว่ามั่วเฟิงคุยอะไรกับอิ๋งจื่อจิน

แต่เท่าที่เธอรู้จักมั่วเฟิง มั่วเฟิงต้องอยากรับอิ๋งจื่อจินเป็นศิษย์แน่

บิลกัดฟันกรอด เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ

เธอไม่มีตำแหน่งคุณหนูใหญ่ก็ช่าง เรื่องอย่างชาติกำเนิดไม่ใช่ว่าใครจะเลือกได้

แต่ตอนนี้ แม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอก็เลือกอิ๋งจื่อจิน ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเธอเลยสักนิด

เกียรติมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ

หัวใจของบิลเหมือนถูกทิ่มแทง

“รุ่นพี่บิล ยะ อย่าเสียใจไปเลยนะคะ” นักศึกษาคนหนึ่งปลอบบิล “นักศึกษาอิ๋งไม่ใช่คน ในเน็ตบอกว่าเธอเป็นเทพในหมู่อัจฉริยะ”

“พวกเราอย่าไปเทียบเลย ทำตัวเองให้ดีก็พอแล้วค่ะ”

คำพูดนี้ทำให้อารมณ์ของบิลคุกรุ่นยิ่งกว่าเดิม

เธอกำกระเป๋าในมือแน่น แสยะยิ้ม “คิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้ามาสอนฉัน ฉันจะเทียบ มีอะไรไหม”

เธอเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก มองจากด้านหลังดูรีบร้อน

“เฮ้อ พอเถอะ ไปพูดแบบนี้กับยัยนั่นทำไม” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งมองบน “เมื่อก่อนตอนนักศึกษาอิ๋งยังไม่ถูกรับกลับไป ยัยนั่นก็ใช้อำนาจกับสถานะไปข่ม”

“ตอนนี้สถานะกลับกันแล้ว ยัยนั่นกลับมาบ่นว่ามีเกียรติมีอำนาจแล้วยังไง สองมาตรฐาน คิดว่าตัวเองเลิศเลอเสียเต็มประดา”

พวกนักศึกษาทยอยส่งรายงานโปรเจ็กต์กันต่อ และก็ไม่มีใครทักทายมั่วเฟิงที่ยังยืนช็อกอยู่ที่เดิม

อาจารย์เป็นแบบไหนศิษย์ก็เป็นแบบนั้น

ไม่มีอะไรควรค่าให้สงสาร

อีกด้านหนึ่ง อิ๋งจื่อจินไปที่ห้องทำงานของคณบดีนอร์แมน

ยื่นผลการทำโปรเจ็กต์ในช่วงนี้ให้เขาตรวจดู

“เอ๊ะ” คณบดีนอร์แมนถือภาพปืนเลเซอร์รุ่นใหม่ ถามด้วยความสงสัย “นี่มันปืนที่เอสวายออกแบบไม่ใช่เหรอ”

ช่วงนี้เขาก็ดูไลฟ์สดของเอสวายเหมือนกัน

เจ้าของไลฟ์สายวิศวกรรมดาวดวงใหม่คนนี้ได้ครองพื้นที่ไลฟ์สดทั้งหมดของเว็บดับบลิวไปแล้ว

แม้จะยังขาดความรู้บางอย่างไปบ้าง แต่ชนะตรงที่มีความคิดสร้างสรรค์เยอะ

“ค่ะ หนูเอง” อิ๋งจื่อจินอธิบาย “อยากทำเงินให้ได้หน่อยก่อนค่ะ”

“อ่อๆ หาเงินนี่เอง…เดี๊ยว!” คณบดีนอร์แมนเพิ่งเอะใจ “เธอว่าไงนะ เอสวายคือเธอเหรอ!”

อย่าว่าแต่ชาวเน็ตเลย แม้แต่เขาก็คิดว่าเป็นอาจารย์คนไหนมานั่งไลฟ์สด

โอ้โห ลูกศิษย์ของเขาเองเหรอ

หัวใจของคณบดีนอร์แมนเกือบรับไม่ไหว เขาค่อยๆ ตั้งสติ “กะ เก่งเกินไปแล้ว”

อิ๋งจื่อจิน “…”

เธอหยิบกล่องออกมาหลายใบ ในนั้นเป็นยาที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

ยังไม่ทราบสาเหตุที่คนพวกนั้นเล่นงานเธอ แต่คิดว่าก็คงหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับคณะวิศวกรรมศาสตร์

แต่ตอนนี้คนที่ขับเคลื่อนคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างแท้จริงคือคณบดีนอร์แมน สติปัญญาของเขาเทียบได้กับไซมอน แบรนด์

มีความเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นเป้าหมายของการถูกลอบฆ่า

เธอต้องป้องกันไว้ก่อน

“ลูกศิษย์” คราวนี้คณบดีนอร์แมนภูมิใจมาก “อาจารย์จะโชว์ผลงานในระยะนี้ให้ดู”

ขณะพูดเขาก็รวบรวมกำลังภายใน เริ่มใช้วิชาตัวเบา

หลังจากเดินไปบนกำแพงหนึ่งรอบ คณบดีนอร์แมนก็จบการโชว์ “เป็นไงบ้าง”

อิ๋งจื่อจินกระแอม “อาจารย์คะ”

คณบดีนอร์แมนสีหน้าจริงจัง “ว่ามาเลย”

“ท่าแบบนี้…” อิ๋งจื่อจินพูดอ้อมๆ “เหมือนฝึกวิชาพลังคางคกเลยค่ะ”

คณบดีนอร์แมน “…”

เขาต้องพยายามลดน้ำหนักแล้ว

คณบดีนอร์แมนกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ดันแว่นตา “จริงสิ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเธอบอกแค่ไปส่งรายงานโปรเจ็กต์ ทำไมเพิ่งมาล่ะ”

อิ๋งจื่อจินหาวหวอด เล่าแบบสรุปสั้นๆ

คณบดีนอร์แมนโมโหขึ้นมาทันที เป็นครั้งแรกที่พูดหยาบ “แม่งเอ๊ย กล้ามาแย่งลูกศิษย์ฉัน!”

กว่าเขาจะได้ลูกศิษย์อัจฉริยะสักคนมันง่ายเหรอ

อิ๋งจื่อจินชงชาหนึ่งถ้วย “ดื่มค่ะอาจารย์”

“อ่อ” คณบดีนอร์แมนเปลี่ยนเป็นว่าง่ายในหนึ่งวินาที

หลังดื่มเสร็จเขาก็รู้สึกได้ว่า “ลูกศิษย์ อาจารย์รู้สึกตัวเบาขึ้นเยอะอีกแล้ว”

“ค่ะ” อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้ ตอบเสียงเนือย “อาศัยความโกรธของอาจารย์ช่วยขับพิษส่วนหนึ่งในตับออกไปค่ะ”

คณบดีนอร์แมน “…”

เป็นวันที่ถูกลูกศิษย์หลอกอีกแล้ว

อีกด้านหนึ่ง

คณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์

ทรัพยากรของคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ถูกหั่นครึ่งเพราะการแข่งเมื่อต้นเดือน

คณบดีคณะพันธุศาสตร์ทำได้เพียงจัดสรรจากในคลังของตัวเอง

ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเล่นงานคณะวิศวะกับคณบดีนอร์แมนอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีอีเมลเข้ามาหนึ่งฉบับ

ในอีเมลเขียนเรื่องการดัดแปลงพันธุกรรมตัวอ่อนในตอนนั้นอย่างละเอียด

พออ่านจบ คณบดีคณะพันธุศาสตร์ก็สีหน้าเปลี่ยน

เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเขายังเป็นเพียงนักวิจัยธรรมดา

แม้จะไม่มีอำนาจที่แท้จริง แต่กลับโชคดีที่ได้เข้าร่วมโปรเจ็กต์ดัดแปลงพันธุกรรมตัวอ่อนในครั้งนั้น

เนื่องจากมีการทำกับตัวอ่อนโดยตรง สุดท้ายก็ถูกสำนักผู้วิเศษสั่งยุติทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่าขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์

นักวิจัยที่เสนอโปรเจ็กต์นี้จึงถูกตัดสินโทษประหาร

แต่เนื่องจากคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ขึ้นตรงกับผู้วิเศษนักมายากล ผู้วิเศษนักมายากลก็เลยถูกลงโทษจากการประชุมของเหล่าผู้วิเศษเช่นกัน

แต่ลงโทษอะไร คนธรรมดาอย่างพวกเขาย่อมไม่รู้

ร่างทดลองที่ล้มเหลวหนีออกไปได้ ทั้งยังมีชีวิตปกติสุขดีมาจนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดผลอย่างไรตามมา

ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าสำนักผู้วิเศษจะกล่าวโทษอย่างไร

คณบดีคณะพันธุศาสตร์เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เขาติดต่อพวกอัศวินที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมทันที

ฝีมือการต่อสู้เทียบได้กับปรมาจารย์จอมยุทธ์ที่มีวรยุทธ์สองร้อยปี

[สมาพันธ์แฮกเกอร์ สองพี่น้องฉินหลิงเยี่ยนกับฉินหลิงอวี๋ จัดการให้สิ้นซากภายในเจ็ดวัน!]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด