คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 829 การตายของซาโรห์ สถานการณ์พลิก!

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 829 การตายของซาโรห์ สถานการณ์พลิก! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 829 การตายของซาโรห์ สถานการณ์พลิก!

ในบรรดาผู้วิเศษยี่สิบสองคน ผู้วิเศษวันพิพากษาไม่ใช่ผู้วิเศษสายต่อสู้

แต่เธอมีดาบพิพากษาอยู่ในมือ พลังต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้วิเศษสายต่อสู้

ถึงขั้นที่เมื่อรวมกับอาณาเขตพิพากษาโดยรอบ ความสามารถโดยรวมยังอยู่เหนือกว่าผู้วิเศษเดวิล

ผู้วิเศษสี่คนแรกสุดที่ถือกำเนิดมีความแข็งแกร่งมาก

“ฝูอีเหรอ” หลิงเหมียนซีอึ้งก่อน จากนั้นก็ดีใจมาก “ฝูอี!”

“เก็บตัวไปนาน เพิ่งออกมา” เย่ว์ฝูอีลงมายืนบนพื้น ทั้งยังกอดดาบในมือไว้ พยักหน้าเล็กน้อย “ปล่อยให้เธอรอนาน”

“ไม่นานๆ” หลิงเหมียนซีวิ่งเข้าไปกอดเย่ว์ฝูอี “ฉันดีใจมากที่ได้เจอเธอ”

ผู้วิเศษลำดับที่ยี่สิบเอ็ด ผู้วิเศษวันพิพากษา เย่ว์ฝูอี

อัลไคด์ดวงตาเบิกโพลง “วันพิพากษา!”

ผู้วิเศษวันพิพากษากับผู้วิเศษยมทูตต่างหักล้างกัน

คนที่พวกเขากลัวที่สุดไม่ใช่ฟู่อวิ๋นเซิน แต่เป็นวันพิพากษา

ผู้วิเศษวันพิพากษาออกมาในเวลานี้เนี่ยนะ!

หอคอยกับโจ้วเหยียนก็สีหน้าเปลี่ยน ถอยไปด้านข้างในชั่วพริบตา ยืนอยู่กับอัลไคด์

ไม่มีใครเคยสู้กับผู้วิเศษที่ถือกำเนิดสี่คนแรกสุด พลังของวันพิพากษาแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเขาไม่รู้

อิ๋งจื่อจินหันหน้าไป “ฝูอี”

“อืม ฉันบังคับปลุกตัวเองให้ตื่น ตอนนี้พลังยังกลับมาไม่หมด ต้องพักอีกหลายชั่วโมง” เย่ว์ฝูอีลูบแขนเสื้อลง นั่งขัดสมาธิ “ดังนั้นยังร่วมทำสงครามไม่ได้ โทษที มาช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “คุ้มกันเหมียนซีไว้ แล้วก็ชาวเมืองรอบๆ ด้วย”

ผู้วิเศษวันพิพากษาที่แสดงถึง ‘การคืนชีพ’ เป็นไพ่เด็ดที่พวกเขาเอาไว้ต่อกรกับผู้วิเศษยมทูต

เย่ว์ฝูอีพยักหน้าเล็กน้อย “ได้”

“ฝูอี นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอก็เป็นผู้วิเศษ” หลิงเหมียนซีกะพริบตาปริบๆ “ก็ว่าอยู่ ทำไมพรสวรรค์จอมยุทธ์ของเธอถึงได้ดีขนาดนั้น”

“ฉันเองก็เพิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเมื่อไม่กี่วันก่อน ต่อมาความทรงจำกับพลังก็พอจะฝืนกลับมาได้บ้าง” เย่ว์ฝูอียิ้มบาง “เลยทำให้พลังของฉันยังไม่สมบูรณ์”

ผู้วิเศษที่ถือกำเนิดสี่คนแรกแตกต่างจากผู้วิเศษคนอื่น

ต่อให้พวกเขาไม่กลับสำนักผู้วิเศษก็สามารถฟื้นคืนความทรงจำได้โดยถูกแรงกระตุ้นภายนอกในระดับหนึ่ง

“ไม่เป็นไร มาก็พอแล้ว” หลิงเหมียนซีโอบบ่าเย่ว์ฝูอี “ตราบใดที่ตอนนี้ยมทูตยังไม่ออกมา พวกอาอิ๋งก็รับมือได้อยู่แล้ว”

ระหว่างพูดเธอก็ผายมือออก “แต่พวกเขาก็น่าสนใจจริงๆ ถึงกับบอกว่ามนุษย์สูญพันธุ์ไม่ดีตรงไหน ข้ออ้างอะไรกัน”

“ฉันได้ยินแล้ว แต่ฉันว่าเขาพูดถูก” เย่ว์ฝูอีเงยหน้า “กิจกรรมของมนุษย์สร้างความเลวร้ายให้สภาพแวดล้อมโลกขึ้นเรื่อยๆ ฉันเดินทางจากประเทศจีนไปยุโรป เจอพฤติกรรมที่เลวร้ายมากมาย”

“ชิงปล้นฆ่า กราดยิงบนถนน มากเสียจนฉันไปขวางไว้ได้ไม่หมด”

“แม่น้ำปนเปื้อน ไฟไหม้ป่า สภาพอากาศแย่กว่าเมืองแห่งโลกมาก”

“โลกนี้ไม่ดีไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ โลกนี้ไม่ได้สวยงามแบบที่พวกเราคิด มันมีจุดที่ดำมืด แต่แสงสว่างก็ไม่เคยจางหาย” หลิงเหมียนซีพูดจริงจัง “ถ้าเธอมองในแง่ดีก็จะเห็นในสิ่งที่สวยงาม”

“ฉันเห็นไอบีไอออกปฏิบัติการเพื่อปกป้องพลเมืองโลก เห็นนักวิทยาศาสตร์ของสำนักวิจัยร่วมแรงร่วมใจเพื่อขัดขวางวันสิ้นโลกครั้งนี้”

“ในบรรดาพวกเขามีคนที่น่ารักน่าเคารพ เธออย่าให้พวกคนเลวมาทำเธอเสียอารมณ์ได้”

เย่ว์ฝูอีเงียบไป

ผ่านไปสักพักเธอก็ถอนหายใจยาว “เธอพูดมีเหตุผล ฉันมันสุดโต่งเกินไป”

“จะว่าไปฉันก็รู้สึกว่ายมทูตทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยเขาอยู่บ้างนะ” หลิงเหมียนซีขมวดคิ้ว “ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่เขาในตอนนี้ไม่เหมือนเขาคนก่อนเลยสักนิด”

เกิดอะไรขึ้นกับยมทูตกันแน่

หลังจากผู้วิเศษวันพิพากษามาถึง สถานการณ์ในสนามรบก็พลิกผันในชั่วพริบตา

อาณาเขตพิพากษาของเย่ว์ฝูอีคุ้มกันกลุ่มอาคารสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ ภัยพิบัติที่หอคอยเรียกมาก็ยากที่จะทำร้ายชาวเมืองได้

เมื่อเป็นแบบนี้ผู้วิเศษที่เปิดการกลับหัวแล้วก็สร้างข้อจำกัดให้อิ๋งจื่อจินกับฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้อีก

“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่” อัลไคด์มองสถานการณ์ในสนามรบ พูดเสียงเย็นชา “ฝั่งเราขาดผู้วิเศษสายต่อสู้ไปคน รับมือกับอัศวินรถม้ายังพอไหว แต่สู้เดวิลกับวงล้อแห่งโชคชะตาได้ยากเกินไป”

ต้องโทษที่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเดวิลกับวงล้อแห่งโชคชะตาจะปรากฏตัวก่อนที่วันสิ้นโลกจะมาถึง

หอคอยยังคงพยายามเคลื่อนสถานที่รบ พอได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วถาม “งั้นทำไงดี”

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาก็เอาไม่อยู่แล้ว

“ยื้อ” อัลไคด์หรี่ตาลง “รอพลังของเขาฟื้นกลับมาหมดก็จะสู้กับวันพิพากษาได้ง่ายแล้ว”

เธอพูดถึงตรงนี้ก็แอบแปลกใจนิดหน่อย

ทำไมจนถึงตอนนี้ยมทูตก็ยังไม่มาอีก

อัลไคด์ขมวดคิ้ว หันมองเย่ว์ฝูอีที่นั่งอยู่ข้างหลิงเหมียนซี

ไม่รู้ทำไม วันพิพากษาในภพนี้ทำให้เธอรู้สึกคุ้นชอบกล

ในเวลาเดียวกันที่หอสังเกตการณ์ดวงดาวของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน

“รายงานมาซิ” รองอธิการบดีเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “รีบพูด ตอนนี้ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีรัศมีกว้างเท่าไรแล้ว”

นักวิจัยตอบเสียงสั่น “ทะ ท่านรองอธิการ เข้ามาในกาแล็กซีทางช้างเผือกแล้วครับ รัศมีอยู่ที่สามสิบกิโลเมตรแล้ว!”

รองอธิการบดีแข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ อดถอนหายใจไม่ได้ “โอ้มายก็อด…”

ตอนนี้เพิ่งวันที่ยี่สิบเจ็ดธันวาคม ยังเหลือเวลาอีกสี่วันกว่าจะถึงวันที่คาดการณ์ไว้!

แต่รัศมีของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้กลับเพิ่มขึ้นหลายเท่า

จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้ามันมาถึงโลกจะใหญ่ได้ถึงขนาดไหน

กอปรกับรอบๆ ยังมีดาวเคราะห์ดวงอื่นพ่วงมาด้วยอีก ถือเป็นภัยพิบัติจริงๆ

“ท่านรองอธิการครับ พวกเราลองใช้อาวุธจากเมืองแห่งโลกยิงใส่พวกดาวเคราะห์น้อยเล็กๆ ที่อยู่โดยรอบดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ ยิงตกไปบ้างแล้วครับ” ศาสตราจารย์สูงวัยคนหนึ่งดันแว่นตา “แต่ขนาดของดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่สุดก็ยังใหญ่เกินไป เราทำอะไรไม่ได้เลย เปลี่ยนวิถีโคจรของมันก็ไม่ได้ด้วย”

“พยายามให้เต็มที่” รองอธิการบดีพูด “ท่านบอกว่าไม่มีทางเกิดเรื่อง ก็แสดงว่าไม่มีปัญหา”

“แต่พวกเราจะเอาแต่พึ่งท่านฝ่ายเดียวไม่ได้ ทำหน้าที่ของพวกเราให้เต็มที่ ช่วยกำจัดความยุ่งยากอื่นๆ”

นักวิจัยพยักหน้า เริ่มจับตาดูต่อ

อีกด้านหนึ่ง ศาสตราจารย์สิบกว่าคนรับหน้าที่ควบคุมอาวุธ ยิงเข้าไปในจักรวาลเพื่อทำลายดาวเคราะห์น้อยเล็กๆ โดยรอบ

ประตูถูกเปิดออกในเวลานี้

รองอธิการบดีกำลังจะหันไปด่า แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็เปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มทันที

“น้องชายของท่าน”

เวินทิงหลาน “…”

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรับคำเรียกนี้ไม่ได้

ช่างเถอะ ใครใช้ให้พี่สาวของเขาเก่งรอบด้านล่ะ

“ผมเพิ่งประดิษฐ์อาวุธใหม่ได้ สามารถระเบิดดาวเคราะห์น้อยที่มีรัศมีไม่เกินสามร้อยเมตรได้” เวินทิงหลานเดินขึ้นหน้า “ผมเลยอยากลองเอามาระเบิดครับ”

พวกศาสตราจารย์ “…”

แย่ละ เวินทิงหลานติดนิสัยแย่ๆ ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันแล้ว

พวกเขาล่ะกลัวอิ๋งจื่อจินกลับมาฆ่าพวกเขา

“ทิงหลาน” ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง อะเดลกระโดดตามหลังเข้ามา “ฉันเองๆ ฉันถนัดเรื่องระเบิดที่สุด เรื่องแบบนี้ขาดฉันได้ยังไง”

“คุณอะเดล มาได้ยังไงครับ” คราวนี้ศาสตราจารย์สูงวัยคนหนึ่งนั่งไม่ติดแล้ว ร้อนใจขึ้นมาทันที “คุณพ่อคุณฝากฝังผมไว้ว่าให้ดูแลคุณให้ดี”

“เวลานี้คุณควรอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหนสิครับ”

“ทิงหลานอยู่ไหนฉันก็อยู่ที่นั่น” อะเดลทำหน้าทะเล้นใส่ศาสตราจารย์สูงวัย “ไม่ฟังหรอก”

เวินทิงหลานเดินเข้าไปที่หน้าแท่นปฏิบัติการ ติดตั้งอาวุธใหม่เสร็จในไม่กี่นาที

จากนั้นเขาก็กดปุ่ม

พวกศาสตราจารย์เริ่มเครียด สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอควบคุม

สามสิบวินาทีต่อมาก็มีหน้าต่างเด้งขึ้นมาปรากฏต่อหน้าพวกเขา

[เป้าหมายที่ 1043 ถูกยิงตก]

“ทิงหลาน สุดยอดเลย” อะเดลตบมือ “ดูฉันนะ”

จากนั้นในเวลาไม่กี่นาทีก็มีหลายข้อความเด้งขึ้นมา

[เป้าหมายที่ 1072 ถูกยิงตก]

[เป้าหมายที่ 384 ถูกยิงตก]

[เป้าหมายที่ 2034 ถูกยิงตก]

บรรดาศาสตราจารย์และรองอธิการบดี “…?”

นี่เด็กสองคนนี้คิดว่าเป็นเกมยิงอวกาศหรือยังไง!

แต่ต้องยอมรับเลยว่าพอมีเวินทิงหลานกับอะเดลมาเข้าร่วม พวกศาสตราจารย์ก็ยิงดาวเคราะห์น้อยตกเร็วขึ้นมาก

ทั้งยังช่วยชะลอความเร็วของดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ที่สุดดวงนั้นด้วย

“ทิงหลาน ตอนนี้พี่สาวอยู่ที่ไหนเหรอ” อะเดลถาม “พวกเราไปหาพี่ดีไหม”

เวินทิงหลานส่ายหน้าเล็กน้อย “พวกเราดูแลตัวเองให้ดีก็เท่ากับช่วยพี่ได้มากแล้ว”

สนามรบที่อิ๋งจื่อจินอยู่ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะเข้าไปร่วมได้

“สวรรค์คุ้มครองผมด้วย ขอให้หลังจากท่านอธิการกลับมาอย่าระเบิดหัวผมเลย” รองอธิการบดีทำท่าประนมมือ เริ่มอธิษฐาน “อย่าจับผมไปเข้าห้องชำแหละ ถึงผมจะแก่แล้ว แต่ก็ยังอยากอยู่ต่ออีกหลายปี”

ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ยังคงมองไปทางเมืองแห่งโลกด้วยความกลุ้มใจ

ศึกหนักครั้งนี้จะชนะได้จริงเหรอ

เมืองแห่งโลก

สงครามของผู้วิเศษสิบกว่าคน จำนวนคนเยอะกว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก

พลังอันหนักหน่วงปะทุออก ทำหลายอาคารแตกร้าว

ชาวเมืองเข้าไปหลบในปราการตามที่สี่หน่วยอัศวินสั่งนานแล้ว

ถึงแม้เนี่ยอี้ก็เห็นแล้วว่ามีคนช่วยชีวิตหลิงเหมียนซี

แต่เขาก็ไม่วางใจ ไปดูด้วยตัวเอง แต่ก็ถูกหลิงเหมียนซีไล่กลับ

“โชคดีๆ” เจียงหรานก็โล่งอก “นึกไม่ถึงเลยนะนึกไม่ถึง ตระกูลเย่ว์ก็มีผู้วิเศษด้วย”

แถมยังเป็นหนึ่งในสี่ผู้วิเศษที่ถือกำเนิดแรกสุด

เนี่ยอี้ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ พูดเสียงขรึม “ไม่รู้ทำไม ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี”

“พี่เขย ทำพูดไป ผมก็เหมือนกัน” เจียงหรานเกาหัว “หัวใจผมเต้นเร็วมาก ใกล้หลุดออกมาจากอกแล้วเนี่ย”

ฉินหลิงเยี่ยนหมดคำจะพูด “ฉันว่าอย่างนายไม่ได้สังหรณ์ใจไม่ดีหรอก แต่อยู่ในวัยปลดปล่อยมากกว่า”

พวกเขาดูที่หน้าจอต่อ

มีเสียงฝีเท้าดัง “ตึกๆๆ” ร่างเล็กเบียดเข้ามา จากนั้นก็ปีนขึ้นโต๊ะ

เจียงหรานถูกบัง อารมณ์เสีย พยายามไม่ระเบิดอารมณ์ “เด็กคนนี้เป็นใครกัน”

ซีนายเงยหน้า “อาของพ่อนาย”

เจียงหราน “…”

โห?

ซีนายจ้องหน้าจอ ยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าอิ๋งจื่อจินไม่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นถึงมองผู้ชายผมสีดอกเลา

นอร์ตันที่อยู่ในสนามรบเช็ดเลือดที่ริมฝีปาก ดวงตาสีเขียวเข้มฉายแววเย็นชา

เมื่อหลุยส์พุ่งเข้ามาอีกครั้งเขาก็ล้วงปืนเลเซอร์ออกมา

“ฟิ้ว!”

แสงเลเซอร์ทะลุบ่าหลุยส์

เนื่องจากเป็นแผลที่ถูกอาวุธเทคโนโลยี จึงเยียวยาอย่างรวดเร็ว

แต่ก็ส่งผลกระทบต่อเขาอยู่ไม่น้อย

“อัศวินรถม้า!” หลุยส์โมโหมาก “สู้ก็สู้กันสิ ทำไมต้องใช้อาวุธเทคโนโลยีด้วย”

“ทำไมล่ะ” นอร์ตันกอดอก “ถ้านายอยากได้ก็ไปขอให้คนทำให้สิ”

หยุดเล็กน้อย เขายิ้มพลางพูดต่อ “อ๋อ ฉันลืมไป อาวุธที่อยู่ในมือฉันมีหนึ่งเดียวในโลก นายหาคนทำให้ไม่ได้หรอก”

หลุยส์หัวร้อนยิ่งกว่าเดิม “อัศวินรถม้า อย่ามาอวดดี!”

“เจ้าทึ่ม ฉันก็อยากได้” ซีซาร์สนใจ ยื่นมือออกไป “ขออันสิ เดี๋ยวให้เงิน”

นอร์ตันเหล่มองซีซาร์ “ไม่ให้”

ซีซาร์หึ “ไม่ให้ก็ไม่ให้ คนไม่รู้คงคิดว่านั่นเป็นคนรักของนาย”

เขาไม่พูดกับนอร์ตันต่อ เข้าไปโจมตีหลุยส์อีกครั้ง

ส่วนซาโรห์ก็ยังคงไม่ล้มเลิกความคิดฆ่าหลิงเหมียนซี

ติดตรงที่มีเย่ว์ฝูอีคุ้มกันอยู่ข้างๆ หลิงเหมียนซี เธอจึงหาโอกาสเข้าไปไม่ได้

ถึงแม้เธอจะมีความมั่นใจว่าฆ่าหลิงเหมียนซีได้ แต่จะให้สู้กับผู้วิเศษวันพิพากษาเธอก็ไม่กล้า

ซาโรห์กัดฟันโกรธ เตรียมหาโอกาสเข้าไปอีกครั้ง

ในเวลานี้เองมีเสียงเย็นชาดังอยู่ด้านหลังเธอ

“จะไปไหน”

ซาโรห์ยังไม่ทันตั้งตัวก็มีคลื่นพลังพุ่งเข้ามา

“พลั่ก” ซัดเธอกระแทกพื้น

ตามมาด้วยเท้าที่เหยียบหน้าอกเธอไว้

“อึก!”

ซาโรห์กระอักเลือด สีหน้าซีดเซียว

อิ๋งจื่อจินก้มมอง “เปิดการกลับหัวแล้ว เก่งเหลือเกินนะ”

เสียงของอิ๋งจื่อจินเย็นชาราบเรียบ น้ำเสียงคงที่

แต่พอเข้าหูซาโรห์กลับเหมือนการหยามเหยียดอย่างรุนแรง

“อิ๋ง จื่อ จิน!” ซาโรห์มองไม่เห็น แต่เธอจับทิศทางของอิ๋งจื่อจินได้จากเสียง

เธอกัดฟันกรอด รู้สึกไม่ยอม “ทำไม ทำไมเธอต้องกลับมา!”

ถ้าอิ๋งจื่อจินไม่กลับมา สักวันเธอต้องได้เคียงคู่เดวิลแน่

แต่ตอนนี้เกียรติทั้งหมดของเธอไม่มีเหลือ

ทั้งหมดเป็นเพราะอิ๋งจื่อจิน!

อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ แค่ยื่นมือออกไปกระชากซาโรห์ขึ้นมา

“ตอนนี้เธอสมควรถูกฆ่าตายได้แล้ว”

ซาโรห์ดวงตาเบิกโพลง พยายามดิ้นรนสุดชีวิต

แต่อิ๋งจื่อจินไม่ให้โอกาสเธอได้ดิ้น ออกแรงที่มือมากขึ้น

“เปร๊าะ!”

กระดูกคอของซาโรห์ถูกบีบจนหัก

ครั้งนี้ไม่มีพลังของผู้วิเศษคุ้มครองเธอแล้ว

ซาโรห์คอพับ ล้มลงไปบนพื้น หมดลมหายใจอย่างสิ้นเชิง

ผู้วิเศษลำดับที่สี่ ผู้วิเศษจักรพรรดินี ดับสูญ!

และก็เป็นในเวลาเดียวกันที่ฟู่อวิ๋นเซินโจมตีหอคอยจนตกพื้น

หอคอยกระอักเลือด ทรุดกองบนพื้น สูญเสียความสามารถในการขยับตัวอีกครั้ง

อีกด้านหนึ่ง โจ้วเหยียน นักบวชหญิง อัลไคด์ รวมถึงหลุยส์ ต่างล้มไปนอนบนพื้นทั้งหมด บาดเจ็บสาหัสปางตาย

สีหน้าของหอคอยย่ำแย่ขั้นสุด เขารู้สึกเหลือเชื่อ

ทั้งๆ ที่พวกเขาเปิดการกลับหัวแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงแพ้

แต่ทางด้านผู้วิเศษฝ่ายอิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน

ฉินหลิงอวี๋ อวี้เสวี่ยเซิง ซีซาร์ และนอร์ตัน ต่างบาดเจ็บสาหัส

เพราะพวกเขาสู้ด้วยชีวิต

ชนะแล้ว แต่ตอนนี้ทั้งหมดต่างสูญเสียพลังต่อสู้

บาดแผลที่เกิดจากผู้วิเศษด้วยกันกระทำไม่สามารถหายขาดได้จากการใช้ยา

นอร์ตันแขนสั่นเล็กน้อย เก็บปืนเลเซอร์เข้ากระเป๋า

เขาเงยหน้า พิงต้นไม้ หายใจลำบาก

แต่ดวงตาสีเขียวเข้มยังคงเย็นชา ไร้อารมณ์ความรู้สึก

บริเวณโดยรอบเงียบมาก เงียบสงัด

เงียบจนน่ากลัว

มาถึงเวลานี้ ผู้วิเศษที่เปิดการกลับหัวพ่ายแพ้หมดแล้ว ผู้วิเศษยมทูตก็ยังไม่ปรากฏตัว

“ฉันคิดเรื่องหนึ่งมาตลอด จุดบอดที่ฉันมองข้าม และก็วิเคราะห์ไม่ได้มาตลอด” อิ๋งจื่อจินหันไป พูดเสียงขรึม “ยมทูตรู้วิธีเปิดการกลับหัวให้ผู้วิเศษ นี่ก็แสดงว่าเขารู้จักผู้วิเศษดี อยู่เหนือพวกเราทุกคน”

เป็นผู้วิเศษเหมือนกัน เธออ่านหนังสือที่ผู้โง่เขลาให้มาหมดแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องการกลับหัว

แล้วยมทูตไปรู้มาจากไหน

เธอเองก็เพิ่งวิเคราะห์ออกมาได้เรื่องหนึ่ง

เมื่อผู้วิเศษเปิดการกลับหัวก็จะสามารถถูกผู้วิเศษปกติฆ่าตายได้

ต่อให้เพิ่มพลังแล้วก็มีแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี

ดังนั้นต่อให้ผู้โง่เขลารู้วิธีเปิดการกลับหัวก็ไม่มีทางบอกวิธีนี้กับเธอ

“อืม ถ้าเป็นยมทูต ไม่มีทางรู้ได้หรอก” ฟู่อวิ๋นเซินแววตาขรึมลง “คนที่รู้จักผู้วิเศษดีกว่าใคร มีแค่สี่คนแรกสุด…”

สายตาของอิ๋งจื่อจินเปลี่ยนไปทันที “แย่แล้ว!”

ชั่วขณะนั้นเธอลงมือได้ทันเวลา

ปลายเท้ายันพื้นรีบพุ่งไปด้วยความเร็วสูงสุด ดึงหลิงเหมียนซีมาไว้ด้านหลังในชั่วพริบตา

“เปร๊าะ!”

แทบจะในเวลาเดียวกัน ไม่ถึงเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ ตรงจุดที่หลิงเหมียนซียืนอยู่เมื่อครู่เกิดรอยแยกที่ลึกมาก

ถูกดาบผ่าออก

เห็นได้ชัดว่าแรงของดาบนี้มากกว่าเมื่อครู่ที่ผ่าพายุทอร์นาโดสิบกว่าเท่า

ทั้งยังถูกหวดลงแบบสบายๆ

เหมือนไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย

“…”

เกิดความเงียบขึ้นทันที

แม้แต่อัลไคด์ที่ทรุดอยู่บนพื้นก็ยังดวงตาเบิกโพลง

เธอช็อกสุดขีด สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

ต่อมาอัลไคด์ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หน้าซีดลงในชั่วพริบตา!

เย่ว์ฝูอีมองดาบใหญ่ที่อยู่ในมือ นิ้วกระชับจับดาบแน่น

เงียบไปสามวินาทีเธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพูดขึ้น “วงล้อแห่งโชคชะตา สมกับเป็นวงล้อแห่งโชคชะตาจริงๆ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด