คู่ชะตาบันดาลรักบทที่ 433 หม้อไฟ

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter บทที่ 433 หม้อไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไร้สาระ นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว!” กัวสวี่เดินไปรอบๆ ในหอสังเกตการณ์ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “คุณชายหยาง ถึงท่านจะไม่ได้แอบร่วมมือกับศัตรู ตอนนี้ทหารประชิดเมืองเปรียบถึงสถานการณ์คับขัน การแลกเนื้อกับศัตรูฟังดูไม่เข้าท่าเท่าไรนัก ตกลงนี่คือสงครามหรือสร้างมิตรภาพกันแน่ แม่ทัพจงมอบหน้าที่ดูแลกองทัพไว้ในมือท่าน ท่านตอบแทนเขาเช่นนี้หรือ”

หยางชูหาวอย่างเกียจคร้าน “ใต้เท้ากัวกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ หลายวันมานี้ข้ากินอยู่ที่นี่ นอนที่นี่ ท่านเองก็เห็นกับตา ขอถามหน่อยข้าไม่กล้าสังหารศัตรูหรือ ข้าดูแลกองทัพไม่ดีพอหรือ เหตุใดฟังจากปากใต้เท้ากัวข้าถึงกลายเป็นคนร่วมมือกับศัตรูทรยศแผ่นดินไปได้ ข้าจะบอกท่านให้นะหากท่านเป็นเช่นนี้ข้าก่อเรื่องแน่จะคอยดูว่าเมื่อถึงเวลานั้นไม่มีผู้ใดต่อสู้ท่านจะทำอย่างไร!”

กัวสวี่พูดอย่างโกรธเคือง “พูดไร้สาระอะไรน่ะ ต่อหน้าศัตรูท่านยังเล่นเนื้อเล่นตัว การปกป้องเมืองเป็นหน้าที่ของข้าผู้เดียวหรือ หากปกป้องไม่ไหวจะให้พวกเราทุกคนจบชีวิตไปด้วยกันหรือ”

“สิ่งที่ข้าไม่ชอบมากที่สุดคือการถูกคนปรักปรำ!” หยางชูพูดอย่างโกรธจัด “ท่านเปิดปากพูดว่าข้าร่วมมือกับศัตรูข้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก!”

“ผู้ใดบอกว่าท่านร่วมมือกับศัตรูกัน ข้าแค่บอกว่าท่านทำเช่นนี้ไม่เข้าท่าเลย! หากเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“แล้วมีปัญหาตรงไหนหรือ” หยางชูถามเขา “กินผักดองทุกวันทำให้ไม่อยากอาหาร ถ้าเบื่อก็กินข้าวไม่ลง ถ้าไม่กินก็ไม่มีแรง ใต้เท้ากัวข้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ท่านคงไม่รู้ว่าตั้งแต่ข้าแลกเปลี่ยนเนื้อแกะกับพวกเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้ามีความอยากอาหารมากขึ้นทำให้มีพลังที่จะฆ่าศัตรู เรื่องนี้ไม่ดีหรือ ท่านพูดสิว่ามีปัญหาตรงไหนกัน”

กัวสวี่อ้าปาก และคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “นี่เป็นสงคราม ท่านช่วยจริงจังหน่อย! ท่านไม่กลัวถูกวางยาพิษหรืออย่างไร!”

“ข้ากลัว! แต่ก็เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ได้วางยาเรา!” หยางชูเหมือนจะขบสมองเพื่อหาเหตุผลให้ตัวเอง “อีกอย่าง นี่ถือเป็นการสอบถามสถานการณ์ของศัตรูด้วย! ท่านคิดดูเถอะซูถูเกลียดชังพวกเราเข้ากระดูกซึ่งเขาจะไม่ยอมให้คนของเขาแลกเปลี่ยนอาหารกับเราอย่างแน่นอน หูเหรินพวกนั้นแอบแลกเปลี่ยนซึ่งหมายความว่าพวกเขาคิดต่างกัน!”

กัวสวี่พูดอย่างโกรธเคือง “ท่านยังหาข้อแก้ตัว…เดี๋ยวนะ”

มีแสงสว่างวาบอยู่ในใจ และความโกรธของกัวสวี่หายไปในทันที และหันไปถามเขาว่า “เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะพวกเขาคิดต่างงั้นหรือ”

“ใช่!” หยางชูพูด “อันที่จริงพวกเราแลกเปลี่ยนของกันก็เป็นตอนที่สงครามวันนั้นจบลง มีทหารมีปากเสียงกันด่ากันไปด่ากันมาพอพวกเราเริ่มทานอาหารก็มีคนบอกว่ากินผักดองทุกวันแล้วรู้สึกท้องไม่ย่อยเป็นผลให้ในตอนกลางคืนมีหูเหรินบางคนแอบขึ้นไปถามว่าพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนเนื้อแกะเป็นผักดองได้หรือไม่”

“…” กัวสวี่นั่งลงทำสมาธิ

หยางชูกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ใต้เท้ากัวครั้งนี้ท่านคงไม่มองพลาดแล้วใช่หรือไม่”

กัวสวี่ไม่สนใจอีกฝ่ายเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยความมึนเมา และทันใดนั้นก็หัวเราะ “ใช่ มันต้องอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้สิ!”

ด้านนอกหอสังเกตการณ์หมิงเวยเพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่อยู่ในมือ นางเห็นกัวสวี่ก็เลิกคิ้วขึ้น “ใต้เท้ากัว บังเอิญจังท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ!”

“ใช่” กัวสวี่ไม่สนใจไม่แม้แต่จะทักทายนาง หมิงเวยไม่สนใจเขานางวางตะกร้าไม้ไผ่ลงแล้วหยิบของที่เตรียมไว้ออกมา

จากนั้นคนสองคนก็ย้ายเตา กัวสวี่ถูกกลิ่นหอมดึงดูดความสนใจ

สองคนนี้เริ่มตั้งหม้อไฟ! เขาจ้องไปที่หม้อน้ำแกงร้อนบนโต๊ะ และกินผักดองหนึ่งคำเขาอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ

“มา กินนี่ซะ” หยางชูคีบชิ้นเนื้อออกมาแล้วใส่ลงในชามของนาง หมิงเวยคีบกะหล่ำปลีชิ้นหนึ่งกลับไป ดวงตาของกัวสวี่แทบถลนเขาถามออกมาอย่างลืมท่าทีของตน “พวกท่านไปเอากะหล่ำปลีมาจากที่ใดกัน”

“อ้อ” หมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณชายใหญ่เป็นห่วงบิดามากจึงใช้นกไม้ส่งสิ่งนี้มาให้โดยเฉพาะ”

กัวสวี่กลืนน้ำลายนกไม้ไม่สามารถขนย้ายสิ่งของได้มาก กล่าวคือมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถใช้มันได้

เหตุใดเขาถึงไม่รู้คนพวกนี้แอบกินโดยไม่บอกเขา!

แต่การเพิ่มเนื้อด้วยมันหอมจริงๆ! สองคนนี้ทานหม้อไฟต่อหน้าเขาราวกับไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย คีบอาหารให้กันเป็นครั้งคราว!

เกินไปแล้ว!

“นั่น…” กัวสวี่กระแอมในลำคอ ไม่มีผู้ใดสนใจเขา เขาจึงเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีก

ในที่สุดหยางชูก็เหลือบไปมอง “ใต้เท้ากัว คอของท่านไม่ดีหรือดื่มน้ำร้อนดีหรือไม่ เดี๋ยวข้ารินให้”

“…” กัวสวี่พึมพำในใจเพื่อปรับตัวไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสติหลุด แต่เพราะเป็นหมาป่าหางโต[1] แน่นอนว่าสามารถปลอมเป็นลูกแกะน้อยได้ มีอะไรไม่ดีบ้างเล่า

“มีตะเกียบหรือไม่” เขาถามอย่างมั่นใจ

“โอ้!” หยางชูตระหนักได้ในทันใด “เมื่อครู่ใต้เท้ากัวกำลังใช้ความคิดอยู่ข้าเลยไม่กล้ารบกวนเลยลืมเรื่องนี้ไปเลย มาๆๆ เชิญ”

กัวสวี่หยิบชามและตะเกียบเขาคีบหน่อไม้จากหม้อเป็นอย่างแรก รสชาติของผักสดยังติดลิ้นอยู่เลยซึ่งมันกรอบและสดชื่น จากนั้นเขาก็คีบเนื้อซึ่งมีรสเค็มเล็กน้อยซึ่งน่าจะเป็นเสบียงของทหาร อย่างไรก็ตามหูเหรินเชี่ยวชาญในเรื่องจัดการเนื้อแกะรสชาติไม่เลวเลย

กัวสวี่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาหมกมุ่นอยู่กับการกินอาหารอย่างน้อยอาหารครึ่งหนึ่งก็ตกลงไปอยู่ในท้องของเขา กินเสร็จยังไม่พอเขาเทน้ำแกงอีกครั้งหักซาลาเปาเย็นเป็นชิ้นๆ แช่น้ำแล้วเอาเข้าปากรู้สึกสะดวกสบายมาก!

กัวสวี่ที่พอใจในการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้วางชามและตะเกียบไว้ แล้วถามอย่างเคร่งขรึม “คุณชายหยาง ท่านบอกว่าหูเหรินพวกนั้นไม่ใช่คนของเผ่าหมาป่าหิมะหรือ”

“แน่นอน” หยางชูพูด “คนของเผ่าหมาป่าหิมะจะแลกเปลี่ยนอาหารกับพวกเราได้อย่างไร แต่เป็นคนของเผ่าไหนข้าไม่รู้ เดิมทีการแลกเปลี่ยนอาหารเป็นไปอย่างลับๆ ล่อๆ ผู้ใดจะคุยข้ามกำแพงเมืองกัน! นอกจากนี้หูเหรินพวกนั้นพูดภาษาจงหยวนได้ไม่กี่คำไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสื่อสาร”

“ดี!” กัวสวี่ลูบฝ่ามือของเขา “ส่งทหารสองคนนั้นมาให้ข้า พรุ่งนี้ข้าจะไปเฝ้าดูตรงนั้นเอง!”

หยางชูพูด “วันนี้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้คงทำให้อีกฝ่ายตกใจหนีไป พรุ่งนี้พวกเขาไม่มาอีกแน่นอน เฮ้อ…เช่นนี้ไม่สามารถกินได้อีกต่อไป”

กัวสวี่รู้สึกเสียใจเล็กน้อยและพูดว่า “รออีกสองสามวันบางทีอีกฝ่ายอาจทนไม่ไหว”

เขายิ้มและกล่าวว่า “คุณชายหยาง โปรดเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับข้าจะอธิบายกับแม่ทัพจงอย่างชัดเจนในภายหลัง”

“ได้” หยางชูไม่สนใจ “แต่ท่านต้องซ่อนเรื่องการแลกเปลี่ยนเนื้ออย่างลับๆ ของข้าด้วย”

“ได้ๆๆ” กัวสวี่รู้สึกเพียงว่าเมฆที่ปกคลุมศีรษะของเขาในทุกวันนี้ได้สลายไป เขาอารมณ์ดีมากไม่ว่าจะพูดอะไรเขารับปากหมด

“พวกท่านควรหาเวลาพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องล้อมเมืองอีกมิใช่หรือ” กัวสวี่กล่าววางท่าอย่างผู้อาวุโสพูดด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อยแล้วจากไป

เมื่อเขาเดินออกไปคนสองคนที่อยู่ในห้องก็มองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะ

หลังจากรอมาหลายวันถือว่าหาวิธีบอกใบ้เขาได้แล้วเพื่อหนทางสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น กัวสวี่ต้องพยายามอย่างหนักแน่นอน

หมิงเวยบิดเอว “ถือโอกาสให้ซูถูคิดฟุ้งซ่านถ้าเขาเอาแต่จ้องมองอยู่ตลอดเช่นนี้ก็ยากที่จะทำเรื่องต่างๆ ให้สำเร็จ”

หยางชูไม่พอใจ “เขาปรารถนาท่าน ท่านยังคิดจะไปพบเขาอีก!”

“แต่ข้าไม่ได้ปรารถนาเขา ท่านจะกลัวไปทำไมเจ้าคะ”

“อย่างไรข้าก็ไม่พอใจ…”

…………..

[1] หมาป่าหางโต : หมาป่าอวดหาง เพราะกลัวคนอื่นจะมองข้ามหรือมองไม่เห็นตน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด