คู่ชะตาบันดาลรัก 230 การแข่งขัน

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 230 การแข่งขัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นผู้อาวุโสและลูกศิษย์ทั้งหลายเหาะขึ้นไป เริ่มจากหอเหวินเต้าวิ่งขึ้นภูเขา

ไม่มีภูเขาสูงใกล้กับเมืองหลวงและภูเขาที่ตั้งอยู่ในเสวียนตูกวันมีความสูงไม่เกินร้อยจั้ง ทางเดินค่อนข้างราบ จากหอเหวินเต้าถึงยอดเขามีถนนใหญ่วาดผ่าน มีประตูทุกๆ ครึ่งลี้ และจุดที่อยู่สูงที่สุดคือหอดูดาว

หอดูดาวเป็นสถานที่สำหรับการสังเกตดวงดาวในราชวงศ์ก่อน ไท่จู่ฮ่องเต้ถามเจ้าสำนักรุ่นก่อนอยู่หลายครั้งและใช้ที่นี่ในการตัดสินใจเกี่ยวกับใต้หล้า

โดยปกติแล้วเสวียนตูกวันจะตั้งกำแพงกั้นรอบๆ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเห็น แต่ในวันนี้ได้นำไม้กั้นออกซึ่งผู้คนที่อยู่รอบนอกสามารถมองเห็นถนนที่มุ่งหน้าไปยังหอดูดาวได้อย่างชัดเจน ถนนจากหอเหวินเต้าไปยังหอดูดาวไม่ยาวนัก แค่อยู่ห่างออกไปเพียงสามลี้มีประตูทั้งหมดห้าด่าน

บรรดาผู้อาวุโส ลูกศิษย์ทั้งหลายแห่งเสวียนตูกวันแยกตัวไปหยุดตามประตูทั้งห้าตามลำดับ

“ฝ่าบาท” ผู้อาวุโสอี้รายงานต่อหน้าพระพักตร์ “เนื่องจากประตูทั้งห้ามีขีดจำกัด มีทั้งหมดห้าด่าน หากผ่านไปได้ก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ปรบมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ดี! นี่เป็นการแข่งขันที่เที่ยงธรรม ผู้ชนะจะได้สืบทอดตำแหน่งผู้แพ้ก็ไม่มีข้อยกเว้น” พระองค์ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ในเมื่อต้องการแข่งขันถ้าอย่างนั้นเจิ้นจะเพิ่มสีสันให้อีกสักหน่อย”

พระองค์เหลือบไปมองด้านข้างแล้วก็มีขันทีเดินออกมาพร้อมกล่องใบหนึ่ง

กล่องถูกเปิดออกก็พบว่ามีบางสิ่งวางอยู่บนผ้าไหมสีทองมันดูเหมือนหยกชิ้นหนึ่งที่เปล่งประกาย มีไอสีขาวจางๆ ราวกับว่ามันถูกล้อมรอบด้วยเมฆ

พอหมิงเวยเห็นมันม่านตาของนางก็ขยายขึ้นทันที

ดอกถานเชิง!

ของสิ่งนี้ดูเหมือนหยกชิ้นหนึ่งเมื่ออยู่ในชั้นวางของ แต่มันจะบานเหมือนดอกไม้เมื่อถูกกระตุ้นจึงเรียกของสิ่งนี้ว่าดอกถานเชิง

ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ซูสิงอยู่กับไท่จู่มาหลายปีแม้จะมรณภาพในท่านั่งสมาธิก็ยังคงนึกถึงเจิ้น นี่เป็นดอกถานเชิงที่ถือกำเนิดขึ้นยามเขามรณภาพ ผู้ชนะจะได้รับมันไปคงทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”

เมื่อนักพรตนามอวี้หยางเห็นของสิ่งนั้น เขาก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้น “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทำให้กระหม่อมได้เห็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าพ่ะย่ะค่ะ…”

เขามีอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าเรียวยาว สันจมูกตรง รูปร่างสูง

การยืนคู่กับเสวียนเฟยแม้จะไม่สง่างามเท่าอีกฝ่าย แต่ก็ให้อารมณ์ที่เคร่งขรึมไปอีกแบบหนึ่ง หากให้ผู้อื่นเป็นผู้เลือกเกรงว่าจะมีความลำเอียงต่อเขา เนื่องจากรูปลักษณ์ของเสวียนเฟยมีความพลิ้วไหวให้ความรู้สึกรักอิสระ ไม่ดูจริงจังเท่าเขา ดวงตาของหมิงเวยดำมืดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่หนิงซิวพูดก่อนหน้านี้

“ดอกถานเชิงที่เก็บรักษาไว้โดยเสวียนตูกวันมีดอกหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของฝ่าบาท ดอกไม้นั้นเป็นผลมาจากการมรณภาพของเจ้าสำนักคนก่อน และอาจเป็นดอกไม้ที่มีประสิทธิภาพแรงที่สุด”

“อยู่ในวังงั้นหรือ” หมิงเวยแปลกใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสแล้วสิเจ้าคะ”

หนิงซิวส่ายหน้า “ตรงกันข้ามดอกไม้ดอกนั้นมีโอกาสมากที่สุดเพราะฝ่าบาทได้ตัดสินใจที่จะใช้ดอกไม้ดอกนี้เป็นรางวัล”

หมิงเวยเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร

หนิงซิวเห็นแววตาของนางจึงถามออกไป “เจ้าไม่ได้คิดอยู่หรือว่าไม่ว่าผู้ใดจะชนะก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าไม่ควรยื่นมือเข้าไป”

“ใช่เจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบตรงๆ “ระหว่างพวกเรากับเสวียนเฟยไม่สามารถเรียกได้ว่ามีความบาดหมางกัน แต่ความเกี่ยวพันกันในครั้งนั้นเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายไม่ยินดีเท่าไร ข้าไม่รู้จักอวี้หยางด้วยซ้ำไม่ว่าผู้ใดจะชนะก็ไม่สามารถมอบของดูต่างหน้าของอาจารย์ให้ข้าได้”

เห็นได้ชัดว่าหนิงซิวเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วทันทีที่หมิงเวยพูดจบเขาก็บอกว่า “เพราะฉะนั้นศิษย์น้องจึงได้เตรียมการบางอย่าง…”

หมิงเวยหลุดออกจากความคิดของตนเอง และได้ยินคำพูดปลอบประโลมของฮ่องเต้ พระองค์หันไปยิ้มให้เผยกุ้ยเฟย “สนมรักเจ้าไม่ได้เพิ่มรางวัลด้วยหรอกหรือ”

ฮ่องเต้ต้องการให้เผยกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮองเฮามานานแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำได้ เขาจึงมีความคิดว่าเมื่อตนเองเสด็จออกไปข้างนอกก็มักจะพาเผยกุ้ยเฟยร่วมเดินทางไปด้วยราวกับจะแสดงสถานะพิเศษของนาง

เผยกุ้ยเฟยครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทประทานไม้บรรเทาจิตใจให้หม่อมฉันเป็นของที่มาจากต่างแดน มีกลิ่นหอมที่แปลกแต่ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์ เหมาะแก่การฝึกฝนของนักพรตทั้งหลายเหตุใดถึงไม่มอบของสิ่งนี้เป็นรางวัลเพิ่มไปด้วยล่ะเพคะ”

ฮ่องเต้ยิ้ม “ดีๆ”

พูดจบก็เห็นหยางชูที่อยู่ไม่ไกลออกไปมองมาทางนี้บ่อยๆ จึงถามออกไป “ชูเอ๋อร์มีอะไรหรือ คงไม่ใช่อยากได้รางวัลของท่านน้าของเจ้าหรอกนะ”

ข้างๆ พระที่นั่งของฮ่องเต้เป็นเหล่าองค์ชาย องค์ชายที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วจะนั่งอยู่ด้วยกันซึ่งหยางชูก็นั่งข้างๆ พวกเขา

หยางชูได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพอีกฝ่ายแล้วพูดออกไปว่า “ฝ่าบาท ไม้บรรเทาจิตใจอันนี้ กระหม่อมเคยถามเหนียงเหนียงมานานแล้ว เพียงแต่คิดว่าเหนียงเหนียงต้องการมันจึงไม่กล้าถาม ตอนนี้เหนียงเหนียงจะใช้ของสิ่งนั้นเป็นรางวัล หากต้องตกไปอยู่ในมือผู้อื่นกระหม่อม…”

ท่าทางไม่เต็มใจของเขาทำให้ฮ่องเต้แย้มสรวล “ก่อนหน้าอยากได้ไม่รีบพูดออกมา ตอนนี้กุ้ยเฟยจะนำไปเป็นของรางวัลแล้วจะให้เจ้าได้อย่างไร”

สีหน้าของหยางชูดูไม่มีความสุขเขามองไปที่ไม้บรรเทาจิตใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นของรางวัล ผู้ที่ชนะจะได้รับมันไปใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เคล็ดวิชากระหม่อมพอมีความรู้อยู่บ้าง เหตุใดฝ่าบาทไม่อนุญาตให้กระหม่อมเข้าร่วมแข่งขันกับพวกเขาเล่า หากกระหม่อมชนะ กระหม่อมไม่ต้องการตำแหน่งเจ้าสำนัก กระหม่อมต้องการแค่ไม้บรรเทาจิตใจเท่านั้น”

รอยยิ้มของฮ่องเต้หายไป “ชูเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องสำคัญของเสวียนตูกวัน อย่าไปสร้างปัญหา”

ในตอนที่หยางชูพูดออกไปไท่จื่อเจียงเชิ่งแอบหัวเราะเยาะอีกฝ่าย ในโอกาสเช่นนี้ยังคิดทำตัวโดดเด่นเหมือนมารดาผู้ออกนอกลู่นอกทางของอีกฝ่ายไม่มีผิด!

ซิ่นอ๋องเจียงเฉิงโน้มตัวกระซิบบอกกับเขาว่า “พี่ใหญ่ ถึงไม้บรรเทาจิตใจจะหายาก แต่ดูไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขาเลยท่านคิดว่าเขาคิดจะทำอะไร”

เจียงเชิ่งเลิกคิ้ว

อวี้หยางเป็นคนรู้ความมากเขาหาโอกาสเอาอกเอาใจตนอยู่หลายครั้ง และตนก็ยินยอมพร้อมใจที่จะสนับสนุนให้อวี้หยางได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก หรือว่าเด็กนั่นไปได้ยินอะไรมาแล้วคิดจะขัดขวางตนงั้นหรือ

ในเมื่ออีกฝ่ายมีหวงเฉิงซืออยู่ในมือจะรู้ว่าอวี้หยางเอาอกเอาใจตนอยู่ก็คงไม่แปลก

เจียงเฉิงพูดว่า “ก่อนหน้านี้เขาออกเดินทางพอกลับมาเมืองหลวงมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น การเสนอตัวในโอกาสเช่นนี้ไม่เหมือนท่าทีของเขาปกติเลย”

เจียงเชิ่งได้ฟังก็หันไปมองเผยกุ้ยเฟยเมื่อเห็นว่านางกำลังจะเอ่ยปากพูดเขาก็รีบยืนขึ้น

“เสด็จพ่อ!” ฮ่องเต้มองเขาด้วยความประหลาดใจ

เจียงเชิ่งกล่าวว่า “ลูกได้ยินว่าเหล่านักพรตของเสวียนตูกวันไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชา แต่ยังรู้หลักคำสอนที่ลึกซึ้ง วรยุทธ์แข็งแกร่ง ด่านทั้งห้านี้คงไม่เพียงแข่งขันเฉพาะเคล็ดวิชาใช่หรือไม่”

เมื่อพูดประโยคสุดท้ายเขาหันไปมองผู้อาวุโสอี้ ผู้อาวุโสอี้ท่านนั้นรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ด่านทั้งห้าประกอบไปด้วยหลักคำสอน วรยุทธ์ และไหวพริบ”

เจียงเชิ่งพยักหน้าแล้วยิ้มเขาหันกลับไปพูดต่อว่า “เช่นนี้การแข่งคัดเลือกเจ้าสำนักถือเป็นโอกาสอันดีให้นักพรตแข่งขันกันแค่สองท่านคงน่าเสียดายเกินไป!”

ฮ่องเต้ถาม “เจ้าคงไม่คิดจะร่วมการแข่งด้วยหรอกนะ”

เจียงเชิ่งยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ลูกแค่คิดว่าโอกาสดีเช่นนี้สู้ไม่ให้คนที่ต้องการแข่งขันได้เข้าร่วมการแข่งไม่ดีกว่าหรือ”

หยางชูระงับความประหลาดใจในใจเมื่อรู้ว่าฮ่องเต้จะใช้ดอกถานเชิงเป็นของรางวัล เขาก็คิดหาวิธีพูดกระตุ้นเผยกุ้ยเฟยกลับไม่คิดว่าไท่จื่อจะลุกขึ้นมาเสียเอง

เขารู้ว่าไท่จื่อไม่ได้ชื่นชอบเขานัก แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงช่วยเขากัน

ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วยิ้ม “คงเลี่ยงไม่ได้แล้วสินะ…”

หยางชูพูด “ฝ่าบาท เมื่อสักครู่พวกเขาพูดว่าผู้ที่มีพลังเวทย์สูง เชี่ยวชาญในหลักคำสอนจะได้เป็นเจ้าสำนัก ถ้าเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องมีแค่พวกเขา เสวียนตูกวันไม่ได้มีศิษย์แค่สองคน ในเมื่อนักพรตซูสิงไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียอะไรเอาไว้ เหตุใดถึงไม่ให้โอกาสผู้อื่นด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

……………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คู่ชะตาบันดาลรัก 230 การแข่งขัน

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 230 การแข่งขัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นผู้อาวุโสและลูกศิษย์ทั้งหลายเหาะขึ้นไป เริ่มจากหอเหวินเต้าวิ่งขึ้นภูเขา

ไม่มีภูเขาสูงใกล้กับเมืองหลวงและภูเขาที่ตั้งอยู่ในเสวียนตูกวันมีความสูงไม่เกินร้อยจั้ง ทางเดินค่อนข้างราบ จากหอเหวินเต้าถึงยอดเขามีถนนใหญ่วาดผ่าน มีประตูทุกๆ ครึ่งลี้ และจุดที่อยู่สูงที่สุดคือหอดูดาว

หอดูดาวเป็นสถานที่สำหรับการสังเกตดวงดาวในราชวงศ์ก่อน ไท่จู่ฮ่องเต้ถามเจ้าสำนักรุ่นก่อนอยู่หลายครั้งและใช้ที่นี่ในการตัดสินใจเกี่ยวกับใต้หล้า

โดยปกติแล้วเสวียนตูกวันจะตั้งกำแพงกั้นรอบๆ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเห็น แต่ในวันนี้ได้นำไม้กั้นออกซึ่งผู้คนที่อยู่รอบนอกสามารถมองเห็นถนนที่มุ่งหน้าไปยังหอดูดาวได้อย่างชัดเจน ถนนจากหอเหวินเต้าไปยังหอดูดาวไม่ยาวนัก แค่อยู่ห่างออกไปเพียงสามลี้มีประตูทั้งหมดห้าด่าน

บรรดาผู้อาวุโส ลูกศิษย์ทั้งหลายแห่งเสวียนตูกวันแยกตัวไปหยุดตามประตูทั้งห้าตามลำดับ

“ฝ่าบาท” ผู้อาวุโสอี้รายงานต่อหน้าพระพักตร์ “เนื่องจากประตูทั้งห้ามีขีดจำกัด มีทั้งหมดห้าด่าน หากผ่านไปได้ก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ปรบมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ดี! นี่เป็นการแข่งขันที่เที่ยงธรรม ผู้ชนะจะได้สืบทอดตำแหน่งผู้แพ้ก็ไม่มีข้อยกเว้น” พระองค์ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ในเมื่อต้องการแข่งขันถ้าอย่างนั้นเจิ้นจะเพิ่มสีสันให้อีกสักหน่อย”

พระองค์เหลือบไปมองด้านข้างแล้วก็มีขันทีเดินออกมาพร้อมกล่องใบหนึ่ง

กล่องถูกเปิดออกก็พบว่ามีบางสิ่งวางอยู่บนผ้าไหมสีทองมันดูเหมือนหยกชิ้นหนึ่งที่เปล่งประกาย มีไอสีขาวจางๆ ราวกับว่ามันถูกล้อมรอบด้วยเมฆ

พอหมิงเวยเห็นมันม่านตาของนางก็ขยายขึ้นทันที

ดอกถานเชิง!

ของสิ่งนี้ดูเหมือนหยกชิ้นหนึ่งเมื่ออยู่ในชั้นวางของ แต่มันจะบานเหมือนดอกไม้เมื่อถูกกระตุ้นจึงเรียกของสิ่งนี้ว่าดอกถานเชิง

ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ซูสิงอยู่กับไท่จู่มาหลายปีแม้จะมรณภาพในท่านั่งสมาธิก็ยังคงนึกถึงเจิ้น นี่เป็นดอกถานเชิงที่ถือกำเนิดขึ้นยามเขามรณภาพ ผู้ชนะจะได้รับมันไปคงทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”

เมื่อนักพรตนามอวี้หยางเห็นของสิ่งนั้น เขาก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้น “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทำให้กระหม่อมได้เห็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าพ่ะย่ะค่ะ…”

เขามีอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าเรียวยาว สันจมูกตรง รูปร่างสูง

การยืนคู่กับเสวียนเฟยแม้จะไม่สง่างามเท่าอีกฝ่าย แต่ก็ให้อารมณ์ที่เคร่งขรึมไปอีกแบบหนึ่ง หากให้ผู้อื่นเป็นผู้เลือกเกรงว่าจะมีความลำเอียงต่อเขา เนื่องจากรูปลักษณ์ของเสวียนเฟยมีความพลิ้วไหวให้ความรู้สึกรักอิสระ ไม่ดูจริงจังเท่าเขา ดวงตาของหมิงเวยดำมืดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่หนิงซิวพูดก่อนหน้านี้

“ดอกถานเชิงที่เก็บรักษาไว้โดยเสวียนตูกวันมีดอกหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของฝ่าบาท ดอกไม้นั้นเป็นผลมาจากการมรณภาพของเจ้าสำนักคนก่อน และอาจเป็นดอกไม้ที่มีประสิทธิภาพแรงที่สุด”

“อยู่ในวังงั้นหรือ” หมิงเวยแปลกใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสแล้วสิเจ้าคะ”

หนิงซิวส่ายหน้า “ตรงกันข้ามดอกไม้ดอกนั้นมีโอกาสมากที่สุดเพราะฝ่าบาทได้ตัดสินใจที่จะใช้ดอกไม้ดอกนี้เป็นรางวัล”

หมิงเวยเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร

หนิงซิวเห็นแววตาของนางจึงถามออกไป “เจ้าไม่ได้คิดอยู่หรือว่าไม่ว่าผู้ใดจะชนะก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าไม่ควรยื่นมือเข้าไป”

“ใช่เจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบตรงๆ “ระหว่างพวกเรากับเสวียนเฟยไม่สามารถเรียกได้ว่ามีความบาดหมางกัน แต่ความเกี่ยวพันกันในครั้งนั้นเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายไม่ยินดีเท่าไร ข้าไม่รู้จักอวี้หยางด้วยซ้ำไม่ว่าผู้ใดจะชนะก็ไม่สามารถมอบของดูต่างหน้าของอาจารย์ให้ข้าได้”

เห็นได้ชัดว่าหนิงซิวเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วทันทีที่หมิงเวยพูดจบเขาก็บอกว่า “เพราะฉะนั้นศิษย์น้องจึงได้เตรียมการบางอย่าง…”

หมิงเวยหลุดออกจากความคิดของตนเอง และได้ยินคำพูดปลอบประโลมของฮ่องเต้ พระองค์หันไปยิ้มให้เผยกุ้ยเฟย “สนมรักเจ้าไม่ได้เพิ่มรางวัลด้วยหรอกหรือ”

ฮ่องเต้ต้องการให้เผยกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮองเฮามานานแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำได้ เขาจึงมีความคิดว่าเมื่อตนเองเสด็จออกไปข้างนอกก็มักจะพาเผยกุ้ยเฟยร่วมเดินทางไปด้วยราวกับจะแสดงสถานะพิเศษของนาง

เผยกุ้ยเฟยครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทประทานไม้บรรเทาจิตใจให้หม่อมฉันเป็นของที่มาจากต่างแดน มีกลิ่นหอมที่แปลกแต่ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์ เหมาะแก่การฝึกฝนของนักพรตทั้งหลายเหตุใดถึงไม่มอบของสิ่งนี้เป็นรางวัลเพิ่มไปด้วยล่ะเพคะ”

ฮ่องเต้ยิ้ม “ดีๆ”

พูดจบก็เห็นหยางชูที่อยู่ไม่ไกลออกไปมองมาทางนี้บ่อยๆ จึงถามออกไป “ชูเอ๋อร์มีอะไรหรือ คงไม่ใช่อยากได้รางวัลของท่านน้าของเจ้าหรอกนะ”

ข้างๆ พระที่นั่งของฮ่องเต้เป็นเหล่าองค์ชาย องค์ชายที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วจะนั่งอยู่ด้วยกันซึ่งหยางชูก็นั่งข้างๆ พวกเขา

หยางชูได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพอีกฝ่ายแล้วพูดออกไปว่า “ฝ่าบาท ไม้บรรเทาจิตใจอันนี้ กระหม่อมเคยถามเหนียงเหนียงมานานแล้ว เพียงแต่คิดว่าเหนียงเหนียงต้องการมันจึงไม่กล้าถาม ตอนนี้เหนียงเหนียงจะใช้ของสิ่งนั้นเป็นรางวัล หากต้องตกไปอยู่ในมือผู้อื่นกระหม่อม…”

ท่าทางไม่เต็มใจของเขาทำให้ฮ่องเต้แย้มสรวล “ก่อนหน้าอยากได้ไม่รีบพูดออกมา ตอนนี้กุ้ยเฟยจะนำไปเป็นของรางวัลแล้วจะให้เจ้าได้อย่างไร”

สีหน้าของหยางชูดูไม่มีความสุขเขามองไปที่ไม้บรรเทาจิตใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นของรางวัล ผู้ที่ชนะจะได้รับมันไปใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เคล็ดวิชากระหม่อมพอมีความรู้อยู่บ้าง เหตุใดฝ่าบาทไม่อนุญาตให้กระหม่อมเข้าร่วมแข่งขันกับพวกเขาเล่า หากกระหม่อมชนะ กระหม่อมไม่ต้องการตำแหน่งเจ้าสำนัก กระหม่อมต้องการแค่ไม้บรรเทาจิตใจเท่านั้น”

รอยยิ้มของฮ่องเต้หายไป “ชูเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องสำคัญของเสวียนตูกวัน อย่าไปสร้างปัญหา”

ในตอนที่หยางชูพูดออกไปไท่จื่อเจียงเชิ่งแอบหัวเราะเยาะอีกฝ่าย ในโอกาสเช่นนี้ยังคิดทำตัวโดดเด่นเหมือนมารดาผู้ออกนอกลู่นอกทางของอีกฝ่ายไม่มีผิด!

ซิ่นอ๋องเจียงเฉิงโน้มตัวกระซิบบอกกับเขาว่า “พี่ใหญ่ ถึงไม้บรรเทาจิตใจจะหายาก แต่ดูไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขาเลยท่านคิดว่าเขาคิดจะทำอะไร”

เจียงเชิ่งเลิกคิ้ว

อวี้หยางเป็นคนรู้ความมากเขาหาโอกาสเอาอกเอาใจตนอยู่หลายครั้ง และตนก็ยินยอมพร้อมใจที่จะสนับสนุนให้อวี้หยางได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก หรือว่าเด็กนั่นไปได้ยินอะไรมาแล้วคิดจะขัดขวางตนงั้นหรือ

ในเมื่ออีกฝ่ายมีหวงเฉิงซืออยู่ในมือจะรู้ว่าอวี้หยางเอาอกเอาใจตนอยู่ก็คงไม่แปลก

เจียงเฉิงพูดว่า “ก่อนหน้านี้เขาออกเดินทางพอกลับมาเมืองหลวงมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น การเสนอตัวในโอกาสเช่นนี้ไม่เหมือนท่าทีของเขาปกติเลย”

เจียงเชิ่งได้ฟังก็หันไปมองเผยกุ้ยเฟยเมื่อเห็นว่านางกำลังจะเอ่ยปากพูดเขาก็รีบยืนขึ้น

“เสด็จพ่อ!” ฮ่องเต้มองเขาด้วยความประหลาดใจ

เจียงเชิ่งกล่าวว่า “ลูกได้ยินว่าเหล่านักพรตของเสวียนตูกวันไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชา แต่ยังรู้หลักคำสอนที่ลึกซึ้ง วรยุทธ์แข็งแกร่ง ด่านทั้งห้านี้คงไม่เพียงแข่งขันเฉพาะเคล็ดวิชาใช่หรือไม่”

เมื่อพูดประโยคสุดท้ายเขาหันไปมองผู้อาวุโสอี้ ผู้อาวุโสอี้ท่านนั้นรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ด่านทั้งห้าประกอบไปด้วยหลักคำสอน วรยุทธ์ และไหวพริบ”

เจียงเชิ่งพยักหน้าแล้วยิ้มเขาหันกลับไปพูดต่อว่า “เช่นนี้การแข่งคัดเลือกเจ้าสำนักถือเป็นโอกาสอันดีให้นักพรตแข่งขันกันแค่สองท่านคงน่าเสียดายเกินไป!”

ฮ่องเต้ถาม “เจ้าคงไม่คิดจะร่วมการแข่งด้วยหรอกนะ”

เจียงเชิ่งยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ลูกแค่คิดว่าโอกาสดีเช่นนี้สู้ไม่ให้คนที่ต้องการแข่งขันได้เข้าร่วมการแข่งไม่ดีกว่าหรือ”

หยางชูระงับความประหลาดใจในใจเมื่อรู้ว่าฮ่องเต้จะใช้ดอกถานเชิงเป็นของรางวัล เขาก็คิดหาวิธีพูดกระตุ้นเผยกุ้ยเฟยกลับไม่คิดว่าไท่จื่อจะลุกขึ้นมาเสียเอง

เขารู้ว่าไท่จื่อไม่ได้ชื่นชอบเขานัก แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงช่วยเขากัน

ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วยิ้ม “คงเลี่ยงไม่ได้แล้วสินะ…”

หยางชูพูด “ฝ่าบาท เมื่อสักครู่พวกเขาพูดว่าผู้ที่มีพลังเวทย์สูง เชี่ยวชาญในหลักคำสอนจะได้เป็นเจ้าสำนัก ถ้าเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องมีแค่พวกเขา เสวียนตูกวันไม่ได้มีศิษย์แค่สองคน ในเมื่อนักพรตซูสิงไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียอะไรเอาไว้ เหตุใดถึงไม่ให้โอกาสผู้อื่นด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

……………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+