คู่ชะตาบันดาลรัก 170 อดีต

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 170 อดีต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วันนี้ท่านดูแปลกไปนะเจ้าคะ” หมิงเวยพูด

หยางชูตอบอืม มือของเขาเอื้อมไปแตะที่กระบอกไม้ไผ่แล้วยื่นให้นาง หมิงเวยได้กลิ่นสุราจากเขา นางรับมันมาและเปิดฝาออก ด้านในเป็นสุราชั้นดีเลยทีเดียว

“สุราไผ่เขียวขายดีมากต่อรองราคาไม่ได้” หยางชูหยิบกระบอกไม้ไผ่อีกอันออกมาแล้วยกขึ้นดื่มเอง

หมิงเวยยกขึ้นจิบช้าๆ เพื่อลิ้มลองรสชาติแล้วปิดฝา ร่างกายของคุณหนูเจ็ดไม่ถึงกับดีนัก ของเหล่านี้ทางที่ดีไม่แตะจะดีกว่าเพื่อตัวของนางเอง แต่หยางชูกลับดื่มไม่หยุดจนกระทั่งหยดสุดท้าย เขาก็โยนกระบอกไม้ไผ่ลงข้างล่างแล้วเอนกายนอนนิ่งๆ บนสันหลังคา

“ท่านพ่อเสียไปตอนที่ข้ายังอยู่ในครรภ์” แล้วจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาโดยไม่มองหมิงเวยเอาแต่มองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด “หนึ่งปีหลังจากนั้นท่านแม่ก็ป่วยตายเช่นกัน ข้าเติบโตมากับท่านปู่และท่านย่าพวกเขาดูแลข้าเป็นอย่างดี”

“แต่ข้าก็ยังคิดถึงท่านแม่ จนเมื่อถึงเวลาท่านย่าพาข้าเข้าพบเผยกุ้ยเฟย ท่านบอกว่าเผยกุ้ยเฟยเป็นน้าของข้า นางมีใบหน้าเหมือนท่านแม่เมื่อเห็นนางก็เหมือนเห็นท่านแม่ คำพูดนี้ข้าได้รับตอนที่ข้าอายุสิบหกปี!” เขายกแขนปิดหน้าตนเอง

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยได้ยินคำนินทาของผู้อื่น พวกเขาแอบพูดกันลับหลังว่าที่จริงแล้วเผยกุ้ยเฟยคือท่านแม่ของข้า นางแอบมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ เมื่อท่านพ่อจากไปนางจึงร้อนใจรีบเปลี่ยนตนเองใหม่เพื่อเข้าวัง ท่านอาแย่งภรรยาของหลานชาย ช่างเหมาะสมกับความวุ่นวายในวังหลวงจริงหรือไม่”

เขาชะงักไป “หลังจากนั้นเมื่อข้าโตขึ้น นอกจากใบหน้าที่เหมือนเผยกุ้ยเฟยแล้วยังเหมือนคนตระกูลเจียงอยู่หลายส่วน จริงๆ เรื่องนี้ก็ดูไม่แปลกอะไรเพราะท่านย่าก็เป็นคนตระกูลเจียงเหมือนกัน แต่มีคนกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ จึงบอกไปว่าที่จริงแล้วข้าเป็นบุตรที่เกิดจากเผยกุ้ยเฟยและบุรุษที่นางแอบมีความสัมพันธ์ด้วย” สายลมยามค่ำคืนพัดพาความเย็นที่เบาบาง

“ข้าเอือมระอากับคำพูดเหล่านั้นมากรู้สึกว่าคนพวกนี้จงใจหาเรื่อง ท่านปู่ท่านย่ารักข้ามากขนาดนั้น ข้าจะเกิดจากความสัมพันธ์ลับของพวกเขาได้อย่างไร จะไม่ใช่คนตระกูลหยางได้อย่างไรกัน หากข้าเป็นอย่างที่พวกเขากล่าวมาจริงๆ พวกเขาจะปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดีเช่นนี้หรือ แต่ว่าข้าคิดผิด…” ครั้งนี้เขาหยุดชะงักเป็นเวลานาน

“สามปีก่อนจู่ๆ ท่านย่าก็ล้มป่วยกะทันหันและมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ในวันสุดท้ายท่านตื่นขึ้นมาจากอาการมึนงง ท่านมีสีหน้าดีขึ้นก่อนที่จะจากไปและเรียกข้าเข้าไปคุยด้วย”

เขาสูดหายใจเข้าก่อนกล่าวต่อ “นางบอกว่ารู้ดีว่าตนเองมีชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้ว เดิมทีท่านคิดจะนำความลับนี้ลงโลงศพไปด้วยกัน แต่จริงๆ แล้วท่านไม่อยากอัดอั้นไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านเข้าสู่สนามรบตอนอายุสิบสามอยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิต สังหารศัตรูมานับไม่ถ้วนสร้างผลงานได้ดีเยี่ยม แต่ความไม่เป็นธรรมของบุตรชายท่านกลับต้องกลืนมันลงไปสิบหกปีที่ผ่านมานางเลี้ยงดู…ไอ้บุตรนอกสมรสคนหนึ่ง!” คำว่าไอ้บุตรนอกสมรส หมิงเวยสังเกตเห็นว่าร่างกายของเขาสั่น

“วันนั้นท่านย่ายั้งสติไม่อยู่ ตั้งแต่เล็กจนโตแม้แต่ถ้อยคำรุนแรงท่านไม่เคยพูดกับข้าเลย แต่วันนี้ท่านกลับชี้หน้าด่าข้าพอด่าเสร็จท่านก็กอดข้าแล้วร้องไห้ หลังจากนั้นท่านก็สงบลงแล้วบอกความจริงกับข้า ท่านบอกว่าที่จริงแล้วข้าไม่ได้แซ่หยางแต่เป็นแซ่เจียง คนผู้นั้นที่อยู่ในวังหลวงแท้จริงแล้วเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดข้า ให้ข้าสาบานว่าชั่วชีวิตนี้ข้าต้องไม่วาดฝันถึงสิ่งที่ไม่ควรได้ จงเป็นหยางชูที่ดี ขอแค่นี้ก็เพียงพอกับการที่ท่านต้องทนกับความอัปยศอดสูมานานกว่าสิบปีก็ถือว่าไม่เสียเปล่าแล้ว” เสียงของเขาต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทุกคำพูดราวกับเชือกที่ตึงแน่น

เมื่อฟังถึงตรงนี้ในที่สุดหมิงเวยก็เปิดปากพูดออกมา “ดังนั้นพอท่านเกิดมาจึงมีการเปลี่ยนรูปลักษณ์งั้นหรือเป็นสายเลือดมังกรที่แท้จริงแต่ต้องเปลี่ยนชะตาชีวิต”

“หากไม่ทำเช่นนั้นข้าอาจไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้” เขาพูด “อิทธิพลของผู้สืบเชื้อสายมีไม่น้อย หากพวกเขาเห็นว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องคงทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารข้า แม้ตอนนี้ไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีความเสี่ยงฮองเฮาได้ล่วงลับไปแล้ว แม้ว่าเผยกุ้ยเฟยจะไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา แต่นางก็เป็นใหญ่ในวังหลัง แม้ชาติกำเนิดของข้าไม่อาจพูดได้ แต่อำนาจก็อยู่ในมือของฝ่าบาท หากเขาจะทำตามใจตนเองผู้ใดจะห้ามพระองค์ได้”

หลังจากเงียบไปนานเขาก็พูดต่อไปว่า “หลังท่านย่าเสียไปไม่นาน ท่านปู่ก็เสียตามท่านไป ในปีที่ไว้ทุกข์นั้นข้าไม่รู้เลยว่าตัวเองผ่านมาได้อย่างไร ทุกๆ วันใช้ชีวิตผ่านไปอย่างงงงวย ข้าทำได้แค่เพียงฝึกซ้อมให้เสียเหงื่อในห้องทุกวันเพื่อที่จะได้รู้สึกมีชีวิตชีวา ช่างน่าขำข้าคิดมาตลอดว่าท่านพ่อท่านแม่เสียไปแล้ว แต่ที่แท้พวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่”

หมิงเวยไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีท่านพ่อไม่ใช่ท่านพ่อของนาง ท่านแม่ก็ไม่ใช่ท่านแม่ของนาง ตนเองเกิดมาท่ามกลางความวุ่นวายที่ใหญ่หลวงมันก็น่าจะไม่สบายใจเท่าใดนัก

“ข้าไม่รู้ว่าควรเกลียดผู้ใด คนบนโลกมักพูดเสมอว่าไม่ว่าพวกเขาจะทำผิดแค่ไหนก็ไม่สามารถเกลียดบิดามารดาของตนเองได้หรือว่าข้าต้องเกลียดท่านย่าที่รักข้ามาสิบหกปีงั้นหรือ”

“ท่านย่าเป็นคนใจดีมากด้วยชาติกำเนิดของข้าท่านสามารถเลี้ยงดูข้าอย่างสุดหัวใจมานานกว่าสิบปี ในตอนที่บิดาของอาหว่านเกิดเรื่องเป็นท่านย่าที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องนางไว้…”

หมิงเวยครุ่นคิด “จริงๆ แล้วท่านรู้สึกผิดต่อนางใช่หรือไม่เจ้าคะ นางเป็นคนที่ดีขนาดนั้น แต่เพราะท่านนางถึงต้องทนทุกข์มาสิบกว่าปีจะเกลียดก็เกลียดไม่ลง”

ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยแขนเสื้อหันมา “ข้าแค่อยากพูดออกมาไม่ได้ต้องการให้ท่านปลอบใจเสียหน่อย”

หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองฟ้านี่เป็นความรู้สึกอายที่ถูกหักหน้าใช่หรือไม่ ช่างเถอะ เห็นเขาดูย่ำแย่ถึงเพียงนี้จะไม่เถียงอะไรก็แล้วกัน

“ท่านมาหาข้าเพื่อระบายความอัดอั้นในใจไม่ใช่หรือเจ้าคะ ข้ายังจำได้ว่าตอนอยู่ที่ตงหนิงข้าเคยถามท่านเรื่องชาติกำเนิด ท่านได้สาบานว่าจะไม่พูดออกมา แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มาบอกกับข้า ท่านตัดสินใจอะไรไปงั้นหรือ”

แขนเสื้อที่ปิดบังใบหน้าของหยางชูเลื่อนออกเขาลุกขึ้นนั่ง “เพราะข้าเห็นแจ้งในเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไรหรือ”

“หากต้องมีชีวิตอยู่บนความทรมานเช่นนี้ มิสู้…”

“ตายอย่างมีความสุขงั้นหรือ”

“….” หยางชูโกรธ “ท่านอยากให้ข้าตายใช่หรือไม่”

หมิงเวยทำได้เพียงยิ้มอย่างจริงใจ “ข้าแค่พลั้งปากไปเอง ท่านพูดต่อเถอะเจ้าค่ะ”

หยางชูมองนาง “ข้าไม่อยากทรมานแบบนี้ไปทุกวันแล้ว ข้าอยากรู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ หากข้าเป็นบุตรที่เกิดจากความสัมพันธ์ลับของพวกเขาจริง ถ้าอย่างนั้นก่อนที่ท่านพ่อเสียชีวิต พวกเขาได้…หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านพ่อเสียชีวิตได้อย่างไร ทุกคนต่างบอกว่าท่านพ่อป่วยตาย แต่ข้าไปตรวจดูมาแล้ว ท่านพ่อเป็นวรยุทธ์ตั้งแต่เด็กมีร่างกายที่แข็งแรงและไม่มีประวัติการเจ็บป่วยใดเลย…”

“ท่านสงสัยว่าเขาถูกคนผู้นั้นฆ่าตายงั้นหรือเจ้าคะ” หมิงเวยยกมือแตะคาง “ความเป็นไปได้มีน้อยมาก ท่านย่าของท่านเป็นองค์หญิงผู้มีส่วนก่อตั้งอาณาจักร แม้ท่านจะไม่ได้ต่อสู้เพื่ออำนาจ แต่ท่านก็มีอำนาจที่แข็งแกร่ง ท่านจะประเมินต่ำไปได้อย่างไรแล้วยังท่านปู่ของท่านที่เป็นถึงแม่ทัพหากเขากล้าที่ทำเช่นนั้นต่อตระกูลหยางจะยังสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อยู่อีกหรือ”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ว่า…”

หมิงเวยเข้าใจดีเป็นเพราะมีเรื่องนี้มีเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลมากมาย เขาถึงต้องทนทุกข์ทรมานทั้งวันทั้งคืนไม่สามารถพาตัวเองให้ผ่านไปได้

“แล้วท่านจะทำอย่างไร”

หยางชูมองมาที่นาง “ขนาดเกิงซานที่ตายไปสิบปีท่านยังให้เขาตอบคำถามได้  ถ้าอย่างนั้นคนที่ตายไปสิบเก้าปี…”

“ไม่ได้ๆ!” หมิงเวยกล่าวปฏิเสธ “หากท่านต้องการให้ข้าเรียกวิญญาณของนายท่านหยางคนรองละก็ข้าทำไม่ได้เจ้าค่ะ”

หยางชูเลิกคิ้ว “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าคนตายแบบไหนท่านก็สามารถทำให้เขาเปิดปากได้…”

“นั่นเป็นข้าที่โกหกท่านต่างหาก!” หมิงเวยพูดขัดจังหวะเขา “สถานการณ์ในตอนนั้นข้าอวดความสามารถของตัวเองมากเกินไป ในความเป็นจริงแล้วการเรียกวิญญาณไม่เพียงแต่เปลืองแรง แต่อัตราความสำเร็จยังต่ำด้วย หากดวงวิญญาณไม่หมกมุ่นพอก็ไม่สามารถล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ได้ จำนวนวิญญาณที่เหลืออยู่นั้นที่จริงแล้วน้อยมาก ระยะเวลาสิบเก้าปีนี้เกรงว่าคงไปเกิดใหม่นานแล้ว…”

ประโยคหลังนั้นภายใต้แววตาอันมืดครึ้มที่จ้องมองมาเสียงของนางค่อยๆ เบาลง

หากนางไม่ตอบรับก็ไม่คิดหาทางแก้ไขให้นางเลยหรือ!

…………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด