คู่ชะตาบันดาลรัก 12 สะสาง

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 12 สะสาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ค่ำคืนที่เงียบสงบ ฮูหยินสามนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ที่ห้องบูชา แสงสลัวของแสงเทียนส่องลงบนใบหน้าของนาง และบนใบหน้าของเสวียนหนี่เหนียงเหนียง สีหน้าของทั้งสองคล้ายกันอย่างน่าประหลาด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ประตูห้องสวดมนต์ก็ถูกเปิดออก

“วันนี้ไม่คัดคัมภีร์แล้วหรือ” น้ำเสียงเงียบสงบของชายหนุ่มถามขึ้น

ฮูหยินสามลืมตาขึ้น นางไม่ได้หันกลับไปมอง “ข้ารอท่านอยู่”

ชายหนุ่มชะงักแล้วเขาก็ยิ้มเยาะ “ช่างหายากจริงๆ” เขาถอดเสื้อคลุมยาวแล้วโยนทิ้งไป “พอข้ากลับมาก็ได้ยินว่าเสี่ยวชีหายแล้ว เกิดอันใดขึ้น หรือว่าเสวียนหนี่เหนียงเหนียงที่ท่านเคารพบูชาจะศักดิ์สิทธิ์จริง”

“ใช่” ฮูหยินสามตอบเสียงเบาดูไม่ออกว่าพูดเรื่องจริงหรือเพียงแค่ตอบไปส่งๆ เท่านั้น

“งั้นที่ท่านรอข้าต้องการคุยเรื่องเสี่ยวชีงั้นหรือ”

“ใช่แล้ว”

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “เห็นท่านเป็นเช่นนี้แล้ว คงคิดจะมาสะสางกับข้าล่ะสินะ”

ฮูหยินสามไม่ตอบ “คงใช่สินะ” เขาหยิบถ้วยชาขึ้นแล้วบอกเสียงเบา “ท่านอดทนมาหลายปีขนาดนี้ก็เพื่อเสี่ยวชีมิใช่หรือ ตอนนี้นางหายแล้วสามารถออกเรือนได้แล้วด้วย ท่านก็ไม่ต้องทนอีกต่อไป”

ชาอุ่นๆ ช่วยคลายความหนาวเย็นในตอนกลางคืนได้เป็นอย่างดี ชายคนนั้นพูดต่อ “แต่ท่านยังขอร้องให้ข้าไปเสวียนตูกวานเพื่อไปเชิญเซียนมาจัดการกับวิญญาณชั่วร้าย แต่ตอนนี้ท่านกลับเปลี่ยนใจไม่คิดว่าเร็วไปหน่อยหรือ”

ฮูหยินสามเงียบ นางก้มตัวเคารพเสวียนหนี่เหนียงเหนียง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วสบตาก่อนพูดขึ้น “เพราะฉะนั้นข้าเลยอยากคุยกับท่าน”

ชายคนนั้นวางถ้วยน้ำชาลง มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไม่สามารถอธิบายได้ “โอ้”

“สามเดือน ข้าให้เวลาท่านสามเดือน” ชายหนุ่มไม่ได้รับปาก “หลังจากนั้นล่ะ”

“พวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก” ฮูหยินสามพูดเสียงเรียบ “หลายปีขนาดนี้แล้ว เรื่องไร้สาระเช่นนี้ควรจบลงเสียที”

ชายหนุ่มไม่พูดอันใดต่อ ฮูหยินสามหัวเราะอย่างเย็นชา “ท่านคงไม่คิดว่าพวกเราจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปใช่หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็อายุมากแล้ว ไม่ได้สาวสะพรั่ง มีอันใดน่าสนใจกัน”

ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปที่ใบหน้าของนาง เขายื่นมือออกไปราวกับไม่สามารถควบคุมตนเองได้เพื่อสัมผัสใบหน้านั้น

ฮูหยินสามผละออกทันทีที่ถูกสัมผัสนั้น ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วถอนมือออก “ช่างเถอะ ในเมื่อท่านอยากสะสาง ข้าคงทำได้แค่ทำตามที่ท่านต้องการ แต่ว่าเงื่อนไข…”

“สามเดือน!” ฮูหยินสามกล่าวอย่างหนักแน่น “นี่คือเส้นตายของข้า หากท่านปฏิเสธ ข้าก็จะมัจฉาตายตาข่ายขาด[1] แล้วก็จะไม่ช่วยทำให้ท่านสมปรารถนา”

“ฮึๆ…” ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ท่านเข้าใจความหมายของข้าผิดไปนะ”

“ท่าน…” ชายคนนั้นมองมาที่นาง “เจ้าไม่ต้องนอนกับข้าอีกต่อไป แม้แต่น้องหกเองก็ด้วย ข้าเองก็จะช่วยท่านจัดการ วันรุ่งขึ้นข้าจะเขียนจดหมายขอให้พี่ใหญ่เชิญเซียนจากเสวียนตูกวานมา ส่วนเจ้าช่วยข้าสักเรื่องเป็นครั้งสุดท้ายก็พอแล้ว”

เป็นเงื่อนไขที่ผ่อนปรนลงไปมากจนฮูหยินสามลังเล “แค่เรื่องเดียวงั้นหรือเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน”

ชายหนุ่มจิบชาแล้วตอบอย่างสบายๆ “เหมือนเรื่องก่อนๆ นั่นแหละ ส่วนจะเป็นผู้ใดนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วข้าจะบอกอีกที” เขาวางถ้วยน้ำชาลงและลุกขึ้น “เอาล่ะ ข้าจะไม่กลับมาในเร็วๆ นี้ ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องน้องหกอยู่กับเสี่ยวชีอย่างสบายใจเถอะ”

ประตูห้องโถงถูกเปิดออก และร่างของชายคนนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด ฮูหยินสามยืนอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน นางหันกลับมาและคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นเทพเจ้า

“เสวียนหนี่เหนียงเหนียง โปรดคุ้มครองลูกด้วยให้ลูกได้ในสิ่งที่ต้องการด้วยเถิด…” หมิงเวยหลับจนถึงเที่ยงคืนและจู่ๆ นางก็ตื่นขึ้นมา นางแตะที่นอนข้างกาย แม้สัมผัสยังอุ่นอยู่ แต่ตัวคนนั้นหายไป

นางลุกขึ้นนั่งกำลังจะร้องเรียกตัวฝู แต่ฮูหยินสามเดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี “เสี่ยวชีตื่นแล้วหรือ” นางถอดเสื้อคลุมออกสลัดความเย็นออกจากร่างกาย

“ตื่นกลางดึกเช่นนี้ลูกหิวน้ำหรือไม่ นี่เพิ่งเป็นเวลากลางคืนลูกนอนต่อเถอะ”

หมิงเวยส่ายหน้าแล้วถาม “ท่านแม่ไปที่ไหนมาหรือ”

ฮูหยินสามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่นอนไม่หลับเลยไปไหว้เสวียนหนี่เหนียงเหนียง ลูกหายดีแล้วไม่ไปจุดธูปไหว้ท่านไม่ได้นะ เดี๋ยวเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจะโกรธเอาได้”

“เจ้าค่ะ…” มือของหมิงเวยกำแน่น นางรู้สึกถึงชี่อ่อนๆ ของผู้อื่นจากตัวของฮูหยินสามและมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

แม่ลูกหลับอีกครั้ง และคราวนี้หลับอย่างสงบจนถึงรุ่งเช้า

……….

พอเห็นอาหารเช้าเต็มโต๊ะ ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ทำไมวันนี้ถึงเยอะเช่นนี้เล่า เจ้าจะขุนหมูหรือ” ซู่เจี๋ยยิ้มด้วยความดีใจ “ฉลองที่คุณหนูหายแล้วเจ้าค่ะ! พวกเราทำอาหารกันคนละอย่างไม่อย่างนั้นคงไม่เยอะเช่นนี้”

“ใช่ๆ!” ปิงซินคีบฉุ่ยจิงเปาชิ้นเล็กกะทัดรัดมาวางในชามของหมิงเวย “คุณหนูทานอันนี้เจ้าค่ะ บ่าวตื่นมาทำตั้งแต่ก่อนรุ่งสางใช้เวลานานมากเลยนะเจ้าคะ!”

“ที่แท้จานนี้ปิงซินเป็นคนทำ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหน้าตาถึงแปลกๆ”

“ฮูหยินเจ้าคะ!” ปิงซินกระทืบเท้า ฮูหยินสามเม้มปากกลั้นหัวเราะ นางคีบมาหนึ่งชิ้น “เอาล่ะๆ ลองชิมฝีมือเจ้าหน่อย”

“ของบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!” ซู่เจี๋ยคีบจินซือปิงมาถวายราวกับถวายสมบัติ “เพิ่งออกจากกระทะเลยเจ้าค่ะ หอมมาก ตอนที่บ่าวทำส่งกลิ่นหอมมากๆ อดใจไม่ไหวกินไปสองชิ้น…”

“คุณหนู!” ตัวฝูยื่นน้ำแกงกระดูกหมูมาให้อย่างเงียบๆ “ทานชามนี้ด้วยนะเจ้าคะ บ่าวเคี่ยวน้ำแกงทั้งคืนเลย!” แม่นมถงเองก็เข้าร่วมด้วย นางยิ้มแล้วชี้ไปที่เกี๊ยวชามนั้น “ชามนี้บ่าวทำเองเจ้าค่ะ”

เยอะขนาดนี้สองแม่ลูกจะทานหมดได้อย่างไร ดังนั้นมื้อเช้านี้ทุกคนเลยได้ทานจนท้องอิ่มแปล้ท้องกลมกันทั้งหมด หลังเก็บจานชามเรียบร้อยฮูหยินสามก็ถอนหายใจ “ไม่ได้คึกคักขนาดนี้มาหลายปีแล้วสินะ”

แม่นมถงพูด “คุณหนูเพิ่งจะหายดี หลังจากนี้ถึงจะคึกคักเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินสามส่ายหัวแล้วยิ้ม “นางโตแล้วจะคึกคักได้อีกนานเท่าใดกัน รออีกไม่กี่ปีก็ถึงเวลาที่นางต้องไปอยู่เรือนอื่นแล้ว”

แม่นมถงกลับพูดว่า “ยากตรงไหนกันเจ้าคะ ฮูหยินก็แค่เขียนจดหมายบอกนายท่านว่าจะกลับเมืองหลวงเพื่อไปซื้อเรือนข้างๆ ทีนี้ฮูหยินก็จะได้อยู่ข้างกายคุณหนูทุกวัน”

คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินสามค่อนข้างหวั่นไหวกับข้อตกลงที่ให้ไว้กับพี่ชาย ในช่วงแรกนางไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้เสี่ยวชีหายแล้วไม่สามารถกลับคำพูดได้

หากสามารถอาศัยอยู่เรือนข้างเคียงกับพี่ชายได้ก็จะได้อยู่ร่วมกับบรรดาญาติแล้วก็บุตรสาวด้วยมิใช่หรือ

“ขอบคุณแม่นมที่เตือนสติข้า เรื่องที่เสี่ยวชีหายดีนั้นข้าควรเขียนจดหมายแจ้งให้ท่านพี่ทราบ” พูดแล้วก็หันไปทางหมิงเวย “แม่จะไปเขียนจดหมายถึงท่านลุง ลูกออกไปเดินย่อยอาหารกับตัวฝูเถอะ”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วเดินออกไปพร้อมกับตัวฝู

“ตัวฝู”

“เจ้าคะ”

“ที่แม่นมถงพูดเมื่อสักครู่หมายความว่าได้หมั้นหมายข้าไว้กับครอบครัวของท่านลุงหรือ”

ตัวฝูตอบ “บ่าวเคยได้ยินแม่นมถงพูดอยู่ดูเหมือนจะคุยเรื่องนี้กับท่านลุงของคุณหนูไปในช่วงปีแรกๆ แต่ไม่มีการเขียนหนังสือแต่งงานหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของยืนยัน ถือว่าไม่นับรึเปล่าเจ้าคะ”

หมิงเวยตอบในใจว่าเรื่องนี้จะต้องไม่นับถึงแม้ว่านางจะมาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ด แต่นางก็ไม่ได้เป็นผีบนโลกใบนี้เสียหน่อย มนุษย์เกิดมาพร้อมกับชะตากรรม และชะตากรรมของนางคือในหลายสิบปีหลังจากนี้ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือนางไม่มีตัวตนในยุคสมัยนี้

เพราะฉะนั้นนางไม่ควรเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างลึกซึ้งเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของผู้อื่น ในตอนนี้เรื่องหมั้นหมายนั้นยังไม่มีการพูดถึงก็ข้ามเรื่องนี้ไปก่อน นางต้องมานั่งคิดก่อนว่าในตระกูลหมิงนั้นมีของลึกลับอะไรอยู่หรือไม่

“ตัวฝู พวกเรามาเล่นเกมกันดีหรือไม่”

“คุณหนูจะเล่นอะไรหรือเจ้าคะ” หมิงเวยหรี่ตามองไปยังสวนอวี๋ฟางที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ “เกมนี้มีชื่อว่าตามหาสหาย”

……………………………………………………….

[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด : ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด