คู่ชะตาบันดาลรัก 261 โอกาส

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 261 โอกาส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียงเชิ่งไม่คิดเลยว่าฮ่องเต้จะประกาศพระราชโองการได้รวดเร็วฉับไวเช่นนี้

แต่อวี้หยางมาหาเขาด้วยความตื่นตระหนกอีกครั้ง “ไท่จื่อๆ!”

เจียงจื่อโกรธจนอยากจะเตะอีกฝ่าย “เหตุใดเจ้าถึงวิ่งมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ต้องการให้ร้ายข้าหรือ”

อวี้หยางรีบขออภัย “กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมไม่ใจร้อนไม่ได้! ไท่จื่อ ฝ่าบาทประกาศพระราชโองการให้เสวียนเฟยสืบทอดตำแหน่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เจียงเชิ่งพูดอย่างเย็นชา “สืบทอดก็สืบทอดสิ ก็แค่เจ้าสำนักเล็กๆ มีอะไรยอดเยี่ยมกัน”

เขาน่ารำคาญจริง! อวี้หยางผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์โดยแท้

พูดตามตรงตำแหน่งเจ้าสำนักในเสวียนตูกวันไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย หากทำให้อวี้หยางสามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้ก็จะมีคนมากมายที่คอยช่วยเขาพูดต่อหน้าเสด็จพ่อ แต่เสวียนเฟยกลับได้รับตำแหน่ง สำหรับเขาแล้วไม่เสียหายอะไร รอให้เขาได้รับตำแหน่งเสวียนเฟยคงไม่คิดทำอะไรเขาใช่หรือไม่

สิ่งที่เขากลัวคือเรื่องที่เขาทำไว้ก่อนหน้านี้!

ให้อวี้หยางเป็นพยานว่าหยางชูคือดาวมาร แต่ผลลัพธ์กลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างดูสงบเช่นนี้ อีกทั้งยังได้ยินว่าทั้งสองคนทะเลาะกันจนเสด็จพ่อเรียกทั้งสองไปสอบถามกลับกลายเป็นว่าเรียกแค่เสวียนเฟยเข้าพบ ไม่เรียกอวี้หยางเข้าพบด้วย

หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าพระองค์ไม่เชื่อใจในตัวอวี้หยาง!

ในเมื่อไม่เชื่อใจแล้วคิดว่าเรื่องนี้น่าสงสัยหรือไม่ หากเสด็จพ่อรู้ว่าเขาเป็นคนสั่งให้อวี้หยางพูดเช่นนั้น….

เจียงเชิ่งหนาวจนตัวสั่นระริกเขาทั้งกลัวทั้งแค้นในใจ แม้แต่เรื่องดาวมารยังไม่ทำให้เสด็จพ่อสงสัยในตัวเด็กคนนั้นมากขึ้น ในใจเสด็จพ่อเด็กคนนั้นควรค่าในการให้ความเชื่อถือเพียงนั้นเลยหรือ

“ไท่จื่อ!” อวี้หยางตกตะลึง “กระหม่อมพูดเช่นนั้นไปก็เพื่อไท่จื่อนะพ่ะย่ะค่ะ! กุเรื่องโกหกขึ้นมาทั้งที่ไม่มีมูลความจริงแล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น! พระองค์จะไม่สนใจเรื่องนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเชิ่งกำลังจะพูด แต่จู่ๆ ทหารองครักษ์ด้านนอกก็ตะโกนขึ้นมาว่า

“ฮ่องเต้เสด็จ!”

เจียงเชิ่งตกใจเขารีบเดินออกไปโดยไม่สนใจอวี้หยาง

ฮ่องเต้เสด็จมาถึงแล้วพระองค์กวาดตามองอวี้หยางที่อยู่ที่นี่ด้วยสีหน้าไม่แยแส “ที่แท้นักพรตอวี้หยางและไท่จื่อสนิทสนมกันเช่นนี้เป็นเจิ้นที่ประมาทเลินเล่อเอง”

เจียงเชิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเขาจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับ “คารวะเสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อมีเรื่องอะไรขอแค่เรียกลูกจะไปหาทันทีเหตุใดถึงได้มาด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้นั่งลงและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจิ้นกลัวละอายใจ! หากไม่มาด้วยตนเองจะให้ผู้อื่นรู้เรื่องดีๆ ที่เจ้าทำงั้นหรือ”

คำพูดที่ไม่มีความเกรงใจทำให้เจียงเชิ่งรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เสด็จพ่อ!”

แววตาของฮ่องเต้เย็นชาพระองค์มองอวี้หยาง “ท่านนักพรตกลับไปก่อนเถิด ให้พ่อลูกคุยกันเสียหน่อย”

อวี้หยางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจบสิ้นแล้ว ฮ่องเต้ให้เขาออกไปหมายความว่าตนรอดพ้นแล้ว “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบก็เดินออกไปเมื่อพ้นประตูเขาก็รีบวิ่งหนี ฮ่องเต้มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก็แค่นหัวเราะแล้วหันมามองไท่จื่อด้วยสายตาดูถูกราวกับจะพูดว่านี่หรือคนที่เจ้าเลือก

เขาส่งสัญญาณทางสายตาว่านต้าเป่าจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องจะคุยกับไท่จื่อ คนไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด!”

เมื่อจัดการไล่คนของไท่จื่อออกไปหมดแล้วว่านต้าเป่าเองก็พาตนเองออกไปเช่นเดียวกันเขาจัดการปิดประตูเสียงเบา

หัวใจของเจียงเชิ่งเย็นเยียบเขามองฮ่องเต้อย่างประหม่าและเอ่ยเรียก “เสด็จพ่อ” เสียงแผ่วเบา

สีหน้าของฮ่องเต้มืดครึ้มพระองค์มองเขาด้วยสายตาเย็นชาเมื่อเห็นเช่นนั้นเจียงเชิ่งจึงนั่งลงคุกเข่าดัง ‘ตุบ’ และก้มหน้าลง

ฮ่องเต้ถอนหายใจความผิดหวังที่ไม่อาจบรรยายได้ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงของเขา “เจ้าคิดว่าตนเองเหมือนรัชทายาทตรงไหนกัน เจิ้นยังไม่ทำอะไรเจ้าก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วฉับไวรู้หรือไม่ว่าตนเองผิด”

เจียงเชิ่งก้มหน้าไม่พูดอะไรสีหน้าของฮ่องเต้มืดมนพระองค์ตะคอกเสียงดัง

“ตอบ! เวลานี้จะมาแสร้งเป็นใบ้ทำไม!”

เจียงเชิ่งเปิดปาก “ลูก…”

ฮ่องเต้กุมหน้าผากพระองค์รู้สึกปวดพระเศียรอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ก่อนที่อวี้หยางมาหาเจิ้นเขาไปหาเจ้าก่อนใช่หรือไม่”

เจียงเชิ่งก้มหน้ายอมรับด้วยความจำนน “เหตุใดต้องทำร้ายเขาด้วย” เจียงเชิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม

ฮ่องเต้คว้าถ้วยน้ำชามาทุบจนแตก “เหตุใดตอนนี้ถึงไม่กล้าพูด เจิ้นไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าถึงเพียงนี้! ใช้ประโยชน์จากเรื่องดาวมารมากำจัดเสี้ยนหนาม! หากเจิ้นเชื่อว่าเขาเป็นดาวมารตัวจริง เจิ้นจะกลายเป็นนักโทษแผ่นดินต้าฉีเจ้ารู้หรือไม่!”

เจียงเชิ่งตกใจ “ลูกไม่ได้หมายความเช่นนั้นลูกแค่…”

“แค่อะไร” ฮ่องเต้มีสีหน้าบูดบึ้ง “เหตุใดต้องใส่ร้ายเขาด้วย พูด!”

ผ่านไปสักพักเจียงเชิ่งตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เพราะ…ลูกอิจฉา”

ฮ่องเต้หรี่ตา

ในเมื่อพูดออกไปแล้วเจียงเชิ่งก็ไม่คิดซ่อนความรู้สึกอีก “ลูกอิจฉาเขา อิจฉาที่เขาได้ใจเสด็จพ่อได้ง่าย อิจฉาที่เขาอยู่ใกล้เสด็จพ่อตลอดเวลา เสด็จพ่อ นานแค่ไหนแล้วที่ท่านไม่เรียกลูกเป็นการส่วนตัวไม่เสวยพระกระยาหารร่วมกัน แม้แต่ความเห็นของลูกเสด็จพ่อก็ไม่ได้ตั้งใจฟังลูกมานานแล้ว…”

ฮ่องเต้ตกใจ

เจียงเชิ่งเงยหน้าขึ้นดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง “แต่เรื่องนี้สำหรับเขากลับได้มาอย่างง่ายดาย! เพราะเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะลูกไม่ใช่ลูกคนโปรดของเสด็จพ่ออีกต่อไปแล้วหรือ เพราะมีเขาเสด็จพ่อก็ไม่ต้องการลูกแล้วหรือ”

เจียงเชิ่งซ่อนใบหน้าของตนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตั้งแต่เสด็จแม่จากไป ลูกรู้สึกเหมือนสูญเสียเสด็จพ่อไปในเวลาเดียวกัน เสด็จพ่อไม่ใกล้ชิดลูกอีกต่อไป ไม่สอนการเมืองลูกด้วยตนเองอีกต่อไป เสด็จพ่อ…หากท่านไม่ต้องการลูกแล้ว เหตุใด…”

ประโยคสุดท้ายเจียงเชิ่งระงับเอาไว้ ผ่านไปนานเขาได้ยินเสียงถอนหายใจของฮ่องเต้

“เจิ้นผิดหวังกับเจ้ามาก” เขาได้ยินฮ่องเต้พูดทีละคำ ใจของเจียงเชิ่งเย็นเยียบและจมดิ่งลงอีกครั้ง

ในที่สุดก็หาเหตุผลถอดตำแหน่งไท่จื่อออกแล้วใช่หรือไม่ แต่ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรฟื้นสถานะของเด็กคนนั้น บุตรนอกสมรสที่ไม่มีการบันทึกในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ถึงบอกว่าเขาเป็นสายเลือดในราชวงศ์แต่เหล่าขุนนางจะแน่ใจได้อย่างไรกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเสด็จพ่อต้อง…

“เจ้าที่ต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่กลับอิจฉาลูกขุนนางคนหนึ่งยังมีความเป็นสายเลือดราชวงศ์อยู่หรือไม่”

ขุนนาง เสด็จพ่อว่าอย่างไรนะ

เจียงเชิ่งเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาที่ฮ่องเต้มองมายังเขาถึงแม้แววตาจะไร้ความเมตตาอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้มีแววตารังเกียจอย่างที่เขาคิด

ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาเย็นชาเหมือนดั่งเช่นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อันที่จริงเจิ้นไม่มาก็ได้ เพียงแค่จดจำเรื่องที่เจ้าทำเอาไว้และรอจนกว่าทนไม่ไหว จากนั้นจัดการเปลี่ยนตัวไท่จื่อก็ย่อมได้ อย่างไรซะเจิ้นก็ไม่ได้มีเจ้าเป็นบุตรชายแค่คนเดียว”

เป็นเช่นนี้หรือ

แต่คำพูดที่ฮ่องเต้พูดต่อมานั้นเกินความคาดหมายของเขา “แต่ที่เจิ้นตัดสินใจมา เพราะถึงบุตรของเจิ้นจะมีไม่น้อย แต่เจิ้นคิดถึงเจ้ามากที่สุดถึงอย่างนั้นจะไม่ลงโทษโดยไม่สั่งสอนเลยคงไม่ได้”

เสด็จพ่อพูดว่าอะไรนะ

“เจ้าฟังไม่ผิดหรอกเจิ้นไม่เคยละทิ้งความคิดเห็นของเจ้า แต่เจ้าไม่ควรทำเรื่องเกินความจำเป็น เจ้าเป็นรัชทายาทจะไปแข่งกับลูกขุนนางทำไมกัน หลายปีมานี้เจิ้นเห็นว่าเจ้าเติบใหญ่แล้ว ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่เจ้าควรก้าวหน้ากว่านี้! เรียนรู้วิธีจัดการบ้านเมืองกับผู้อาวุโสทั้งหลาย สร้างชื่อเสียงให้ตนเองเพื่อที่จะได้ไม่สูญเสียอำนาจในอนาคต” สีหน้าของเจียงเชิ่งมีความสงสัย

เสด็จพ่อพูดว่าอะไรนะ เขา…

ฮ่องเต้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งผิดหวัง แต่พระองค์ก็พูดประโยคสุดท้ายออกไปว่า “เรื่องนี้ถือว่าจบไปเจิ้นจะไม่เอาความ แต่เจ้าจงจำไว้ว่าเจิ้นจะให้เจ้าจำเรื่องนี้ หากวันใดทำเรื่องโง่ๆ ขึ้นมาอีกถือว่ามีโทษสองความผิด! นี่เป็นโอกาสสุดท้าย จงเก็บไว้ให้ดี!”

พูดจบพระองค์ก็เสด็จออกไป ทิ้งเจียงเชิ่งที่ตัวแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็กระโดดตัวลอยด้วยความดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง

…………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คู่ชะตาบันดาลรัก 261 โอกาส

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 261 โอกาส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียงเชิ่งไม่คิดเลยว่าฮ่องเต้จะประกาศพระราชโองการได้รวดเร็วฉับไวเช่นนี้

แต่อวี้หยางมาหาเขาด้วยความตื่นตระหนกอีกครั้ง “ไท่จื่อๆ!”

เจียงจื่อโกรธจนอยากจะเตะอีกฝ่าย “เหตุใดเจ้าถึงวิ่งมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ต้องการให้ร้ายข้าหรือ”

อวี้หยางรีบขออภัย “กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมไม่ใจร้อนไม่ได้! ไท่จื่อ ฝ่าบาทประกาศพระราชโองการให้เสวียนเฟยสืบทอดตำแหน่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เจียงเชิ่งพูดอย่างเย็นชา “สืบทอดก็สืบทอดสิ ก็แค่เจ้าสำนักเล็กๆ มีอะไรยอดเยี่ยมกัน”

เขาน่ารำคาญจริง! อวี้หยางผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์โดยแท้

พูดตามตรงตำแหน่งเจ้าสำนักในเสวียนตูกวันไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย หากทำให้อวี้หยางสามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้ก็จะมีคนมากมายที่คอยช่วยเขาพูดต่อหน้าเสด็จพ่อ แต่เสวียนเฟยกลับได้รับตำแหน่ง สำหรับเขาแล้วไม่เสียหายอะไร รอให้เขาได้รับตำแหน่งเสวียนเฟยคงไม่คิดทำอะไรเขาใช่หรือไม่

สิ่งที่เขากลัวคือเรื่องที่เขาทำไว้ก่อนหน้านี้!

ให้อวี้หยางเป็นพยานว่าหยางชูคือดาวมาร แต่ผลลัพธ์กลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างดูสงบเช่นนี้ อีกทั้งยังได้ยินว่าทั้งสองคนทะเลาะกันจนเสด็จพ่อเรียกทั้งสองไปสอบถามกลับกลายเป็นว่าเรียกแค่เสวียนเฟยเข้าพบ ไม่เรียกอวี้หยางเข้าพบด้วย

หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าพระองค์ไม่เชื่อใจในตัวอวี้หยาง!

ในเมื่อไม่เชื่อใจแล้วคิดว่าเรื่องนี้น่าสงสัยหรือไม่ หากเสด็จพ่อรู้ว่าเขาเป็นคนสั่งให้อวี้หยางพูดเช่นนั้น….

เจียงเชิ่งหนาวจนตัวสั่นระริกเขาทั้งกลัวทั้งแค้นในใจ แม้แต่เรื่องดาวมารยังไม่ทำให้เสด็จพ่อสงสัยในตัวเด็กคนนั้นมากขึ้น ในใจเสด็จพ่อเด็กคนนั้นควรค่าในการให้ความเชื่อถือเพียงนั้นเลยหรือ

“ไท่จื่อ!” อวี้หยางตกตะลึง “กระหม่อมพูดเช่นนั้นไปก็เพื่อไท่จื่อนะพ่ะย่ะค่ะ! กุเรื่องโกหกขึ้นมาทั้งที่ไม่มีมูลความจริงแล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น! พระองค์จะไม่สนใจเรื่องนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเชิ่งกำลังจะพูด แต่จู่ๆ ทหารองครักษ์ด้านนอกก็ตะโกนขึ้นมาว่า

“ฮ่องเต้เสด็จ!”

เจียงเชิ่งตกใจเขารีบเดินออกไปโดยไม่สนใจอวี้หยาง

ฮ่องเต้เสด็จมาถึงแล้วพระองค์กวาดตามองอวี้หยางที่อยู่ที่นี่ด้วยสีหน้าไม่แยแส “ที่แท้นักพรตอวี้หยางและไท่จื่อสนิทสนมกันเช่นนี้เป็นเจิ้นที่ประมาทเลินเล่อเอง”

เจียงเชิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเขาจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับ “คารวะเสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อมีเรื่องอะไรขอแค่เรียกลูกจะไปหาทันทีเหตุใดถึงได้มาด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้นั่งลงและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจิ้นกลัวละอายใจ! หากไม่มาด้วยตนเองจะให้ผู้อื่นรู้เรื่องดีๆ ที่เจ้าทำงั้นหรือ”

คำพูดที่ไม่มีความเกรงใจทำให้เจียงเชิ่งรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เสด็จพ่อ!”

แววตาของฮ่องเต้เย็นชาพระองค์มองอวี้หยาง “ท่านนักพรตกลับไปก่อนเถิด ให้พ่อลูกคุยกันเสียหน่อย”

อวี้หยางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจบสิ้นแล้ว ฮ่องเต้ให้เขาออกไปหมายความว่าตนรอดพ้นแล้ว “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบก็เดินออกไปเมื่อพ้นประตูเขาก็รีบวิ่งหนี ฮ่องเต้มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก็แค่นหัวเราะแล้วหันมามองไท่จื่อด้วยสายตาดูถูกราวกับจะพูดว่านี่หรือคนที่เจ้าเลือก

เขาส่งสัญญาณทางสายตาว่านต้าเป่าจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องจะคุยกับไท่จื่อ คนไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด!”

เมื่อจัดการไล่คนของไท่จื่อออกไปหมดแล้วว่านต้าเป่าเองก็พาตนเองออกไปเช่นเดียวกันเขาจัดการปิดประตูเสียงเบา

หัวใจของเจียงเชิ่งเย็นเยียบเขามองฮ่องเต้อย่างประหม่าและเอ่ยเรียก “เสด็จพ่อ” เสียงแผ่วเบา

สีหน้าของฮ่องเต้มืดครึ้มพระองค์มองเขาด้วยสายตาเย็นชาเมื่อเห็นเช่นนั้นเจียงเชิ่งจึงนั่งลงคุกเข่าดัง ‘ตุบ’ และก้มหน้าลง

ฮ่องเต้ถอนหายใจความผิดหวังที่ไม่อาจบรรยายได้ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงของเขา “เจ้าคิดว่าตนเองเหมือนรัชทายาทตรงไหนกัน เจิ้นยังไม่ทำอะไรเจ้าก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วฉับไวรู้หรือไม่ว่าตนเองผิด”

เจียงเชิ่งก้มหน้าไม่พูดอะไรสีหน้าของฮ่องเต้มืดมนพระองค์ตะคอกเสียงดัง

“ตอบ! เวลานี้จะมาแสร้งเป็นใบ้ทำไม!”

เจียงเชิ่งเปิดปาก “ลูก…”

ฮ่องเต้กุมหน้าผากพระองค์รู้สึกปวดพระเศียรอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ก่อนที่อวี้หยางมาหาเจิ้นเขาไปหาเจ้าก่อนใช่หรือไม่”

เจียงเชิ่งก้มหน้ายอมรับด้วยความจำนน “เหตุใดต้องทำร้ายเขาด้วย” เจียงเชิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม

ฮ่องเต้คว้าถ้วยน้ำชามาทุบจนแตก “เหตุใดตอนนี้ถึงไม่กล้าพูด เจิ้นไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าถึงเพียงนี้! ใช้ประโยชน์จากเรื่องดาวมารมากำจัดเสี้ยนหนาม! หากเจิ้นเชื่อว่าเขาเป็นดาวมารตัวจริง เจิ้นจะกลายเป็นนักโทษแผ่นดินต้าฉีเจ้ารู้หรือไม่!”

เจียงเชิ่งตกใจ “ลูกไม่ได้หมายความเช่นนั้นลูกแค่…”

“แค่อะไร” ฮ่องเต้มีสีหน้าบูดบึ้ง “เหตุใดต้องใส่ร้ายเขาด้วย พูด!”

ผ่านไปสักพักเจียงเชิ่งตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เพราะ…ลูกอิจฉา”

ฮ่องเต้หรี่ตา

ในเมื่อพูดออกไปแล้วเจียงเชิ่งก็ไม่คิดซ่อนความรู้สึกอีก “ลูกอิจฉาเขา อิจฉาที่เขาได้ใจเสด็จพ่อได้ง่าย อิจฉาที่เขาอยู่ใกล้เสด็จพ่อตลอดเวลา เสด็จพ่อ นานแค่ไหนแล้วที่ท่านไม่เรียกลูกเป็นการส่วนตัวไม่เสวยพระกระยาหารร่วมกัน แม้แต่ความเห็นของลูกเสด็จพ่อก็ไม่ได้ตั้งใจฟังลูกมานานแล้ว…”

ฮ่องเต้ตกใจ

เจียงเชิ่งเงยหน้าขึ้นดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง “แต่เรื่องนี้สำหรับเขากลับได้มาอย่างง่ายดาย! เพราะเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะลูกไม่ใช่ลูกคนโปรดของเสด็จพ่ออีกต่อไปแล้วหรือ เพราะมีเขาเสด็จพ่อก็ไม่ต้องการลูกแล้วหรือ”

เจียงเชิ่งซ่อนใบหน้าของตนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตั้งแต่เสด็จแม่จากไป ลูกรู้สึกเหมือนสูญเสียเสด็จพ่อไปในเวลาเดียวกัน เสด็จพ่อไม่ใกล้ชิดลูกอีกต่อไป ไม่สอนการเมืองลูกด้วยตนเองอีกต่อไป เสด็จพ่อ…หากท่านไม่ต้องการลูกแล้ว เหตุใด…”

ประโยคสุดท้ายเจียงเชิ่งระงับเอาไว้ ผ่านไปนานเขาได้ยินเสียงถอนหายใจของฮ่องเต้

“เจิ้นผิดหวังกับเจ้ามาก” เขาได้ยินฮ่องเต้พูดทีละคำ ใจของเจียงเชิ่งเย็นเยียบและจมดิ่งลงอีกครั้ง

ในที่สุดก็หาเหตุผลถอดตำแหน่งไท่จื่อออกแล้วใช่หรือไม่ แต่ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรฟื้นสถานะของเด็กคนนั้น บุตรนอกสมรสที่ไม่มีการบันทึกในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ถึงบอกว่าเขาเป็นสายเลือดในราชวงศ์แต่เหล่าขุนนางจะแน่ใจได้อย่างไรกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเสด็จพ่อต้อง…

“เจ้าที่ต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่กลับอิจฉาลูกขุนนางคนหนึ่งยังมีความเป็นสายเลือดราชวงศ์อยู่หรือไม่”

ขุนนาง เสด็จพ่อว่าอย่างไรนะ

เจียงเชิ่งเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาที่ฮ่องเต้มองมายังเขาถึงแม้แววตาจะไร้ความเมตตาอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้มีแววตารังเกียจอย่างที่เขาคิด

ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาเย็นชาเหมือนดั่งเช่นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อันที่จริงเจิ้นไม่มาก็ได้ เพียงแค่จดจำเรื่องที่เจ้าทำเอาไว้และรอจนกว่าทนไม่ไหว จากนั้นจัดการเปลี่ยนตัวไท่จื่อก็ย่อมได้ อย่างไรซะเจิ้นก็ไม่ได้มีเจ้าเป็นบุตรชายแค่คนเดียว”

เป็นเช่นนี้หรือ

แต่คำพูดที่ฮ่องเต้พูดต่อมานั้นเกินความคาดหมายของเขา “แต่ที่เจิ้นตัดสินใจมา เพราะถึงบุตรของเจิ้นจะมีไม่น้อย แต่เจิ้นคิดถึงเจ้ามากที่สุดถึงอย่างนั้นจะไม่ลงโทษโดยไม่สั่งสอนเลยคงไม่ได้”

เสด็จพ่อพูดว่าอะไรนะ

“เจ้าฟังไม่ผิดหรอกเจิ้นไม่เคยละทิ้งความคิดเห็นของเจ้า แต่เจ้าไม่ควรทำเรื่องเกินความจำเป็น เจ้าเป็นรัชทายาทจะไปแข่งกับลูกขุนนางทำไมกัน หลายปีมานี้เจิ้นเห็นว่าเจ้าเติบใหญ่แล้ว ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่เจ้าควรก้าวหน้ากว่านี้! เรียนรู้วิธีจัดการบ้านเมืองกับผู้อาวุโสทั้งหลาย สร้างชื่อเสียงให้ตนเองเพื่อที่จะได้ไม่สูญเสียอำนาจในอนาคต” สีหน้าของเจียงเชิ่งมีความสงสัย

เสด็จพ่อพูดว่าอะไรนะ เขา…

ฮ่องเต้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งผิดหวัง แต่พระองค์ก็พูดประโยคสุดท้ายออกไปว่า “เรื่องนี้ถือว่าจบไปเจิ้นจะไม่เอาความ แต่เจ้าจงจำไว้ว่าเจิ้นจะให้เจ้าจำเรื่องนี้ หากวันใดทำเรื่องโง่ๆ ขึ้นมาอีกถือว่ามีโทษสองความผิด! นี่เป็นโอกาสสุดท้าย จงเก็บไว้ให้ดี!”

พูดจบพระองค์ก็เสด็จออกไป ทิ้งเจียงเชิ่งที่ตัวแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็กระโดดตัวลอยด้วยความดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง

…………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+