บัลลังก์หมอยาเซียน 927 เสี้ยวหงเฉิง

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 927 เสี้ยวหงเฉิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากหมันเอ๋อได้ฟังเรื่องราวของแม่นมฉิน ก็ไม่สามารถทำใจให้สดชื่นกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาได้เลย ได้แต่รู้สึกว่าหญิงนักบุญนั้นมีชีวิตที่น่าอนาถเหลือเกินแล้ว

ตอนเริ่มต้น นางยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจดี ดังนั้นจึงคิดว่าจะเล่าให้หยวนชิงหลิงฟัง แต่หลังจากได้ฟังจนจบ กลับพบว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะเกรงว่านางจะรู้สึกทรมานใจไปด้วยอีกคน

แต่นางมีท่าทีเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ จึงทำให้หยวนชิงหลิงสังเกตเห็น จนถามขึ้นว่า “หมันเอ๋อ เป็นอะไรไป ? ข้าเห็นเจ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งคืนแล้ว”

อันที่จริงหยวนชิงหลิงก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง ที่แม่นมฉินจะบอกเล่าเรื่องราวภูมิหลังที่เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของนาง แต่ก็รู้สึกว่าแม่นมฉินคงไม่หน้ามืดตามัวขนาดนั้น

“ข้าน้อยไม่เป็นไรเพคะ!” หมันเอ๋อเลิกคิ้วขึ้นสูง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้าแค่รู้สึกว่าหญิงนักบุญคนนั้นช่างน่าอนาถนัก”

หยวนชิงหลิงจ้องมองนาง “หญิงนักบุญคนไหนที่น่าอนาถ?”

สุดท้ายหมันเอ๋อก็ไม่สามารถทนเก็บเรื่องนี้ไว้ได้ จึงเล่านิทานที่แม่นมฉินได้เล่ามา ให้หยวนชิงหลิงฟัง

หลังจากเล่าจบ หยวนชิงหลิงก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ หมันเอ๋อเองก็ร้องไห้ออกมาจนน้ำตานองหน้า “ขออภัยด้วยเพคะ ข้าน้อยไม่ควรเล่าเรื่องพวกนี้ให้ท่านฟัง ทำให้ท่านต้องพลอยทุกข์ใจไปด้วย”

หยวนชิงหลิงพยายามทำใจให้สงบลง ส่ายหน้าแล้วมองนาง: “ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่ง มันไม่ใช่ความจริง”

“ข้าน้อยรู้สึกว่า เหมือนนางกำลังพูดถึงตัวเอง ข้าน้อยเห็นนางทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ ราวกับว่ากำลังพูดถึงตัวเองอยู่เลยเพคะ”

“แค่เหมือนอยากร้องไห้ ก็ไม่ได้แปลว่านางกำลังเล่าถึงเรื่องราวของตัวเองนี่ เจ้าก็ร้องไห้หลังจากได้ฟังเรื่องที่นางเล่าเช่นกันนะ นี่เป็นแค่ความเห็นอกเห็นใจในฐานะเพื่อนร่วมโลก เอาเถอะ อย่าไปคิดมากเลย รีบกลับไปอาบน้ำแล้วเข้านอนให้เร็วขึ้นหน่อยดีกว่า หยวนชิงหลิงกลัวนางจะคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก จนทำเรื่องอย่างกระโดดลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง

“เช่นนั้นข้าน้อยทูลลาเพคะ!” หมันเอ๋อค้อมกายแล้วถอยออกไป

หยวนชิงหลิงมองตามเงาด้านหลังของนาง ในใจก็รู้สึกโศกเศร้ากับชีวิตของนางอย่างยิ่ง

มู่ชิงชิงเป็นคนที่กล้ารักกล้าเกลียด นางคงรักอ๋องหนานเจียงจนปานจะกลืนกินเลยทีเดียว รักมากจนยอมทรยศต่อเจียงเป่ยมาอยู่กับเขา จนกระทั่งมีลูกสาวด้วยกัน สองคนที่รักกันขนาดนี้จำต้องมาพรากจากกันด้วยความตาย ไยจะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจกันล่ะ?

ช่วงนี้นางเองก็มีอารมณ์อ่อนไหวเช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะการตั้งครรภ์ของนาง ที่มักทำให้เห็นคนอื่นก็นึกถึงตัวเองบ่อยๆ ถ้านางเป็นมู่ชิงชิง แล้วต้องพบกับข่าวสะเทือนขวัญ ตอนที่กลับไปเห็นว่าทุกอย่างล้วนสูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน กระทั่งศพของสามีก็ไม่มีเหลือให้เห็น ลูกก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย นางก็กลัวว่าถ้านางไม่ตายไปเสียก่อน ก็คงจะกลายเป็นบ้าแน่

ในตอนค่ำเมื่อเจ้าห้ากลับมา นางก็เล่าเรื่องนี้อีกครั้ง

เจ้าห้าวิเคราะห์เรื่องราว การที่แม่นมฉินเล่าเรื่องนี้ให้หมันเอ๋อฟัง ก็เท่ากับการบอกกลายๆ ว่าคนสองคนที่ลอบเข้าไปในวังที่คิดกันว่าเป็นผู้ร้ายลอบสังหารนั้น อาจเป็นของอ๋องหนานเจียงที่เหลืออยู่ คิดจะมาบอกกับราชสำนักว่า อ๋องหนานเจียงยังคงมีเลือดเนื้อเชื้อไขหลงเหลืออยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่ผู้ร้ายลอบสังหาร แต่เพื่อช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเขา

ในเวลาเดียวกัน ก็ยังคาดการณ์ด้วยว่าผู้อาวุโสเจียงเป่ย คือผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนลอบสังหารอ๋องหนานมากที่สุดอีกด้วย ถ้าอยากถามหาความเป็นธรรมเพื่อแก้แค้นให้อ๋องหนานเจียง ก็ต้องไปที่เจียงเป่ย

“ดูเหมือนว่า พรุ่งนี้ข้าคงต้องเข้าวังอีกครั้ง เพื่อเล่าเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบ” หยู่เหวินเห้าพูด

“มันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อหมันเอ๋อหรือไม่?” นี่คือสิ่งที่หยวนชิงหลิงกังวลมากที่สุด

เพราะทันทีที่ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว นั่นทำให้สถานะของหมันเอ๋อเปลี่ยนไปทันที  หยู่เหวินเห้าถอนหายใจ “นางมีส่วนในความรับผิดชอบนี้ นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอ๋องหนานเจียง หนานเจียงต้องการความมั่นคง จึงจำเป็นต้องมีผู้ที่อยู่ในฐานะเจ้าเมืองสักคนคอยปกป้องดูแล”

“ หมันเอ๋อยังไม่ไหวหรอก! ” หยวนชิงหลิงพูดอย่างกังวล

“นอกจากนี้ ความทรงจำของหมันเอ๋อก็ยังสับสนอยู่มาก บางทีคนที่ช่วยชีวิตนางออกมาในตอนแรก อาจร่ายมนต์คาถาอะไรบางอย่างใส่นาง พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย

ถ้าผลีผลามเปิดเผยตัวตนของนาง ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง แค่การสะกดจิตครั้งนั้น  มันน่ากลัวเกินไป ”

“แต่เจ้ายังบอกด้วยว่าความทรงจำของนางค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ จะช้าหรือเร็วก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นแล้ว ทางเรามีการเตรียมการไว้แล้วเรียบร้อย ส่วนทางหมันเอ๋อ ต้องคิดหาวิธีบอกให้นางรู้อย่างช้าๆ

ข้าส่งคนของเสี้ยวหงเฉิงไปที่หนานเจียงแล้ว ให้สืบเรื่องของหมันเอ๋อ ตั้งแต่เริ่มแรกที่นางมาจากหนานเจียง การที่ทำได้โดยไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวตนแน่ๆ ถ้าเราพบคนที่ช่วยนางปรับเปลี่ยนตัวตนคนนี้ได้ ก็อาจจะพอรู้ว่านางถูกร่ายเวทมนตร์แบบไหนใส่กันแน่”

เขาจับมือหยวนชิงหลิง มองนางพลางพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงหมันเอ๋อ นางอยู่กับเจ้ามานาน ทั้งยังเคยช่วยเจ้าไว้ด้วย มิตรภาพนี้น่ายกย่องยากหาสิ่งใดมาทดแทน แต่เรื่องนี้เราไม่สามารถปิดบังไปได้ตลอดชีวิต ต่อให้พวกเราจะไม่เปิดเผยตัวตนของนาง แต่รอจนหงเย่กับคนจากเป่ยเจียงมาถึง นางก็ต้องถูกเปิดเผยตัวตนอยู่ดี เจ้าก็รู้นี่ว่าหงเย่เป็นคนเช่นไร?”

หยวนชิงหลิงจิตใจสับสนวุ่นวายเหมือนด้ายพันกัน “แล้วเราจะทำอะไรให้หมันเอ๋อได้บ้าง? ถ้านางไม่อาจไม่กลับไปหนานเจียงขึ้นมาจริงๆ”

หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “อย่างน้อย เราต้องรวบรวมขุมกำลังให้นาง ชนะการสนับสนุนจากราชสำนักเพื่อนาง ให้นางไปตั้งหลักอย่างมั่นคงที่หนานเจียง และต้องหาคนที่นางสามารถไว้วางใจได้ให้อยู่ข้างกาย”

เมื่อได้ยินดังนี้ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกวางใจลงได้ จึงพูดติดตลกว่า “เช่นนั้นเจ้าอยากหาสามีให้นางสักคนหรือไม่?”

“ข้าไม่ใช่พ่อสื่อ นอกจากนี้ สวีอีที่ไม่ควรค่าแก่การนำออกมาให้ใครชมของจวนเราก็มีเมียไปเสียแล้ว  ข้าจะไปหาใครที่ไหนได้อีก?” เขาคิดเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง “พี่ซูหลงเป็นอย่างไร? เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว หรือจะเป็นเจ้าหวางดี?”

“เขายังไม่มีภรรยาอีกหรือ?” หยวนชิงหลิงตกใจ เจ้าหวางผู้หลงใหลในดาราศาสตร์คนนั้น ดูอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว

“ เขาเป็นพวกรสนิยมสูงน่ะ พอจะมีเมียทาสอะไรพวกนั้นอยู่บ้างหรอก แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีภรรยา”

หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ช่างเถอะ อย่าแนะนำแบบไม่คิดจะดีกว่า มันไม่เหมาะสม”

หมันเอ๋อเป็นคนนิสัยบริสุทธิ์ แม้ว่าเจ้าหวางจะดูแล้วเหมือนเป็นคนอ่อนโยนทรงภูมิ แต่นางกลับรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างในดวงตาของเขาที่มันไม่ได้……บริสุทธิ์ขนาดนั้น ไม่เหมือนความรักแบบที่บรรดาผู้มากความรู้ซึ่งรักในวิชาการเป็นกัน

สองคนสามีภรรยาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงฉี่หลอมารายงานว่า “นายท่าน เจ้าสำนักเสี้ยวมาแล้วเพคะ”

หยู่เหวินเห้าสบตากับหยวนชิงหลิง แล้วพูดว่า “คงเป็นข่าวจากทางหนานเจียง หรือไม่ก็ทางหงเย่ก็เป็นไปได้”

“รีบไปเถอะ!” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างเร่งรีบ

หยู่เหวินเห้าคว้ามือนางไว้ “ไปฟังด้วยกันเถอะนะ จนถึงตอนนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่ควรรู้อีกต่อไปแล้ว”

“ตอนนี้ไม่มี แปลว่าแต่ก่อนเคยมีอย่างนั้นรึ?” หยวนชิงหลิงเท้าเอวถาม

“แต่ก่อนก็ไม่มี” เขาเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือออกไปช่วยนางก้าวออกจากธรณีประตู มองดูท้องของนาง แล้วตบๆ หัวด้วยความรำคาญใจ “ข้าลืมเข้าวังไปทูลขอยืมหูฟังทางการแพทย์จากไท่ซ่างหวงจนได้”

ดวงตาของหยวนชิงหลิงกระพริบเป็นประกาย พูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ข้าจะพาท่านย่าเข้าวัง ข้าจะไปทูลถามยืมจากไท่ซ่างหวงเอง”

“ได้ ระหว่างทางเจ้าต้องระวังให้มากล่ะ ” หยู่เหวินเห้ารีบเตือนด้วยความเป็นห่วง

หมันเอ๋อพาเสี้ยวหงเฉิงเข้ามาในห้องหนังสือ เพิ่งจะนั่งลงได้เพียงไม่นาน หยู่เหวินเห้ากับภรรยาก็มาถึง

หยวนชิงหลิงเข้ามาเห็นเสี้ยวหงเฉิน ชั่วขณะนั้นนางก็รู้สึกว่าตรงหน้าตัวเองมีแสงสว่างจ้า นางเคยเห็นเสี้ยวหงเฉิงมาหลายครั้ง แต่เวลาปกตินางไม่ได้แต่งหน้า ทั้งยังไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรมากนัก แต่วันนี้นางสวมชุดลายเมฆสีแดงทับทิม กระโปรงผ้าต่วนขนนก มีการแต่งหน้าทาแป้งค่อนข้างเข้ม ทาชาดสีแดงที่แก้มชัดเจนมาก เส้นผมประดับด้วยเครื่องประดับศีรษะที่มีพู่ระย้า ช่วยขับเน้นให้ใบหน้าที่กล้าหาญมีความเย้ายวนในแบบของสตรีเพศ ดูมีความเย่อหยิ่งที่สามารถครอบงำผู้คนได้

นางเห็นหยวนชิงหลิง ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พระชายารัชทายาทยังไม่พักผ่อนรึ?”

หยวนชิงหลิงตอบว่า “ยังไม่ง่วงน่ะ พอดีได้ยินว่าเจ้าสำนักเสี้ยวมาเยือน จึงถือโอกาสมาทักทายเสียหน่อย”

เสี้ยวหงเฉิงยิ้มให้นาง จากนั้นค่อยมองหยู่เหวินเห้า ในแววตาสื่อนัยยะในทางตั้งคำถาม

หยู่เหวินเห้าพยุงหยวนชิงหลิงให้นั่งลง จึงค่อยมีเวลามองหน้านาง ทันทีที่เขาเห็น ก็ตกใจจนผงะ “เจ้าถูกใครกระตุ้นเข้าแล้วรึ? แต่งหน้าเสียจนแดงเหมือนก้นลิงก็ไม่ปาน”

เสี้ยวหงเฉิงกลอกตา “เจ้าจะไปรู้อะไร? ผู้หญิงต้องแต่งแบบนี้ต่างหากถึงจะดูดี”

หยู่เหวินเห้าหันไปมองหยวนชิงหลิง “อย่าไปฟังนางนะ แบบนี้ไม่สวยหรอก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บัลลังก์หมอยาเซียน 927 เสี้ยวหงเฉิง

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 927 เสี้ยวหงเฉิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากหมันเอ๋อได้ฟังเรื่องราวของแม่นมฉิน ก็ไม่สามารถทำใจให้สดชื่นกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาได้เลย ได้แต่รู้สึกว่าหญิงนักบุญนั้นมีชีวิตที่น่าอนาถเหลือเกินแล้ว

ตอนเริ่มต้น นางยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจดี ดังนั้นจึงคิดว่าจะเล่าให้หยวนชิงหลิงฟัง แต่หลังจากได้ฟังจนจบ กลับพบว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะเกรงว่านางจะรู้สึกทรมานใจไปด้วยอีกคน

แต่นางมีท่าทีเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ จึงทำให้หยวนชิงหลิงสังเกตเห็น จนถามขึ้นว่า “หมันเอ๋อ เป็นอะไรไป ? ข้าเห็นเจ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งคืนแล้ว”

อันที่จริงหยวนชิงหลิงก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง ที่แม่นมฉินจะบอกเล่าเรื่องราวภูมิหลังที่เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของนาง แต่ก็รู้สึกว่าแม่นมฉินคงไม่หน้ามืดตามัวขนาดนั้น

“ข้าน้อยไม่เป็นไรเพคะ!” หมันเอ๋อเลิกคิ้วขึ้นสูง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้าแค่รู้สึกว่าหญิงนักบุญคนนั้นช่างน่าอนาถนัก”

หยวนชิงหลิงจ้องมองนาง “หญิงนักบุญคนไหนที่น่าอนาถ?”

สุดท้ายหมันเอ๋อก็ไม่สามารถทนเก็บเรื่องนี้ไว้ได้ จึงเล่านิทานที่แม่นมฉินได้เล่ามา ให้หยวนชิงหลิงฟัง

หลังจากเล่าจบ หยวนชิงหลิงก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ หมันเอ๋อเองก็ร้องไห้ออกมาจนน้ำตานองหน้า “ขออภัยด้วยเพคะ ข้าน้อยไม่ควรเล่าเรื่องพวกนี้ให้ท่านฟัง ทำให้ท่านต้องพลอยทุกข์ใจไปด้วย”

หยวนชิงหลิงพยายามทำใจให้สงบลง ส่ายหน้าแล้วมองนาง: “ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่ง มันไม่ใช่ความจริง”

“ข้าน้อยรู้สึกว่า เหมือนนางกำลังพูดถึงตัวเอง ข้าน้อยเห็นนางทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ ราวกับว่ากำลังพูดถึงตัวเองอยู่เลยเพคะ”

“แค่เหมือนอยากร้องไห้ ก็ไม่ได้แปลว่านางกำลังเล่าถึงเรื่องราวของตัวเองนี่ เจ้าก็ร้องไห้หลังจากได้ฟังเรื่องที่นางเล่าเช่นกันนะ นี่เป็นแค่ความเห็นอกเห็นใจในฐานะเพื่อนร่วมโลก เอาเถอะ อย่าไปคิดมากเลย รีบกลับไปอาบน้ำแล้วเข้านอนให้เร็วขึ้นหน่อยดีกว่า หยวนชิงหลิงกลัวนางจะคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก จนทำเรื่องอย่างกระโดดลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง

“เช่นนั้นข้าน้อยทูลลาเพคะ!” หมันเอ๋อค้อมกายแล้วถอยออกไป

หยวนชิงหลิงมองตามเงาด้านหลังของนาง ในใจก็รู้สึกโศกเศร้ากับชีวิตของนางอย่างยิ่ง

มู่ชิงชิงเป็นคนที่กล้ารักกล้าเกลียด นางคงรักอ๋องหนานเจียงจนปานจะกลืนกินเลยทีเดียว รักมากจนยอมทรยศต่อเจียงเป่ยมาอยู่กับเขา จนกระทั่งมีลูกสาวด้วยกัน สองคนที่รักกันขนาดนี้จำต้องมาพรากจากกันด้วยความตาย ไยจะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจกันล่ะ?

ช่วงนี้นางเองก็มีอารมณ์อ่อนไหวเช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะการตั้งครรภ์ของนาง ที่มักทำให้เห็นคนอื่นก็นึกถึงตัวเองบ่อยๆ ถ้านางเป็นมู่ชิงชิง แล้วต้องพบกับข่าวสะเทือนขวัญ ตอนที่กลับไปเห็นว่าทุกอย่างล้วนสูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน กระทั่งศพของสามีก็ไม่มีเหลือให้เห็น ลูกก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย นางก็กลัวว่าถ้านางไม่ตายไปเสียก่อน ก็คงจะกลายเป็นบ้าแน่

ในตอนค่ำเมื่อเจ้าห้ากลับมา นางก็เล่าเรื่องนี้อีกครั้ง

เจ้าห้าวิเคราะห์เรื่องราว การที่แม่นมฉินเล่าเรื่องนี้ให้หมันเอ๋อฟัง ก็เท่ากับการบอกกลายๆ ว่าคนสองคนที่ลอบเข้าไปในวังที่คิดกันว่าเป็นผู้ร้ายลอบสังหารนั้น อาจเป็นของอ๋องหนานเจียงที่เหลืออยู่ คิดจะมาบอกกับราชสำนักว่า อ๋องหนานเจียงยังคงมีเลือดเนื้อเชื้อไขหลงเหลืออยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่ผู้ร้ายลอบสังหาร แต่เพื่อช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเขา

ในเวลาเดียวกัน ก็ยังคาดการณ์ด้วยว่าผู้อาวุโสเจียงเป่ย คือผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนลอบสังหารอ๋องหนานมากที่สุดอีกด้วย ถ้าอยากถามหาความเป็นธรรมเพื่อแก้แค้นให้อ๋องหนานเจียง ก็ต้องไปที่เจียงเป่ย

“ดูเหมือนว่า พรุ่งนี้ข้าคงต้องเข้าวังอีกครั้ง เพื่อเล่าเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบ” หยู่เหวินเห้าพูด

“มันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อหมันเอ๋อหรือไม่?” นี่คือสิ่งที่หยวนชิงหลิงกังวลมากที่สุด

เพราะทันทีที่ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว นั่นทำให้สถานะของหมันเอ๋อเปลี่ยนไปทันที  หยู่เหวินเห้าถอนหายใจ “นางมีส่วนในความรับผิดชอบนี้ นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอ๋องหนานเจียง หนานเจียงต้องการความมั่นคง จึงจำเป็นต้องมีผู้ที่อยู่ในฐานะเจ้าเมืองสักคนคอยปกป้องดูแล”

“ หมันเอ๋อยังไม่ไหวหรอก! ” หยวนชิงหลิงพูดอย่างกังวล

“นอกจากนี้ ความทรงจำของหมันเอ๋อก็ยังสับสนอยู่มาก บางทีคนที่ช่วยชีวิตนางออกมาในตอนแรก อาจร่ายมนต์คาถาอะไรบางอย่างใส่นาง พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย

ถ้าผลีผลามเปิดเผยตัวตนของนาง ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง แค่การสะกดจิตครั้งนั้น  มันน่ากลัวเกินไป ”

“แต่เจ้ายังบอกด้วยว่าความทรงจำของนางค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ จะช้าหรือเร็วก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นแล้ว ทางเรามีการเตรียมการไว้แล้วเรียบร้อย ส่วนทางหมันเอ๋อ ต้องคิดหาวิธีบอกให้นางรู้อย่างช้าๆ

ข้าส่งคนของเสี้ยวหงเฉิงไปที่หนานเจียงแล้ว ให้สืบเรื่องของหมันเอ๋อ ตั้งแต่เริ่มแรกที่นางมาจากหนานเจียง การที่ทำได้โดยไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวตนแน่ๆ ถ้าเราพบคนที่ช่วยนางปรับเปลี่ยนตัวตนคนนี้ได้ ก็อาจจะพอรู้ว่านางถูกร่ายเวทมนตร์แบบไหนใส่กันแน่”

เขาจับมือหยวนชิงหลิง มองนางพลางพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงหมันเอ๋อ นางอยู่กับเจ้ามานาน ทั้งยังเคยช่วยเจ้าไว้ด้วย มิตรภาพนี้น่ายกย่องยากหาสิ่งใดมาทดแทน แต่เรื่องนี้เราไม่สามารถปิดบังไปได้ตลอดชีวิต ต่อให้พวกเราจะไม่เปิดเผยตัวตนของนาง แต่รอจนหงเย่กับคนจากเป่ยเจียงมาถึง นางก็ต้องถูกเปิดเผยตัวตนอยู่ดี เจ้าก็รู้นี่ว่าหงเย่เป็นคนเช่นไร?”

หยวนชิงหลิงจิตใจสับสนวุ่นวายเหมือนด้ายพันกัน “แล้วเราจะทำอะไรให้หมันเอ๋อได้บ้าง? ถ้านางไม่อาจไม่กลับไปหนานเจียงขึ้นมาจริงๆ”

หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “อย่างน้อย เราต้องรวบรวมขุมกำลังให้นาง ชนะการสนับสนุนจากราชสำนักเพื่อนาง ให้นางไปตั้งหลักอย่างมั่นคงที่หนานเจียง และต้องหาคนที่นางสามารถไว้วางใจได้ให้อยู่ข้างกาย”

เมื่อได้ยินดังนี้ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกวางใจลงได้ จึงพูดติดตลกว่า “เช่นนั้นเจ้าอยากหาสามีให้นางสักคนหรือไม่?”

“ข้าไม่ใช่พ่อสื่อ นอกจากนี้ สวีอีที่ไม่ควรค่าแก่การนำออกมาให้ใครชมของจวนเราก็มีเมียไปเสียแล้ว  ข้าจะไปหาใครที่ไหนได้อีก?” เขาคิดเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง “พี่ซูหลงเป็นอย่างไร? เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว หรือจะเป็นเจ้าหวางดี?”

“เขายังไม่มีภรรยาอีกหรือ?” หยวนชิงหลิงตกใจ เจ้าหวางผู้หลงใหลในดาราศาสตร์คนนั้น ดูอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว

“ เขาเป็นพวกรสนิยมสูงน่ะ พอจะมีเมียทาสอะไรพวกนั้นอยู่บ้างหรอก แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีภรรยา”

หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ช่างเถอะ อย่าแนะนำแบบไม่คิดจะดีกว่า มันไม่เหมาะสม”

หมันเอ๋อเป็นคนนิสัยบริสุทธิ์ แม้ว่าเจ้าหวางจะดูแล้วเหมือนเป็นคนอ่อนโยนทรงภูมิ แต่นางกลับรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างในดวงตาของเขาที่มันไม่ได้……บริสุทธิ์ขนาดนั้น ไม่เหมือนความรักแบบที่บรรดาผู้มากความรู้ซึ่งรักในวิชาการเป็นกัน

สองคนสามีภรรยาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงฉี่หลอมารายงานว่า “นายท่าน เจ้าสำนักเสี้ยวมาแล้วเพคะ”

หยู่เหวินเห้าสบตากับหยวนชิงหลิง แล้วพูดว่า “คงเป็นข่าวจากทางหนานเจียง หรือไม่ก็ทางหงเย่ก็เป็นไปได้”

“รีบไปเถอะ!” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างเร่งรีบ

หยู่เหวินเห้าคว้ามือนางไว้ “ไปฟังด้วยกันเถอะนะ จนถึงตอนนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่ควรรู้อีกต่อไปแล้ว”

“ตอนนี้ไม่มี แปลว่าแต่ก่อนเคยมีอย่างนั้นรึ?” หยวนชิงหลิงเท้าเอวถาม

“แต่ก่อนก็ไม่มี” เขาเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือออกไปช่วยนางก้าวออกจากธรณีประตู มองดูท้องของนาง แล้วตบๆ หัวด้วยความรำคาญใจ “ข้าลืมเข้าวังไปทูลขอยืมหูฟังทางการแพทย์จากไท่ซ่างหวงจนได้”

ดวงตาของหยวนชิงหลิงกระพริบเป็นประกาย พูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ข้าจะพาท่านย่าเข้าวัง ข้าจะไปทูลถามยืมจากไท่ซ่างหวงเอง”

“ได้ ระหว่างทางเจ้าต้องระวังให้มากล่ะ ” หยู่เหวินเห้ารีบเตือนด้วยความเป็นห่วง

หมันเอ๋อพาเสี้ยวหงเฉิงเข้ามาในห้องหนังสือ เพิ่งจะนั่งลงได้เพียงไม่นาน หยู่เหวินเห้ากับภรรยาก็มาถึง

หยวนชิงหลิงเข้ามาเห็นเสี้ยวหงเฉิน ชั่วขณะนั้นนางก็รู้สึกว่าตรงหน้าตัวเองมีแสงสว่างจ้า นางเคยเห็นเสี้ยวหงเฉิงมาหลายครั้ง แต่เวลาปกตินางไม่ได้แต่งหน้า ทั้งยังไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรมากนัก แต่วันนี้นางสวมชุดลายเมฆสีแดงทับทิม กระโปรงผ้าต่วนขนนก มีการแต่งหน้าทาแป้งค่อนข้างเข้ม ทาชาดสีแดงที่แก้มชัดเจนมาก เส้นผมประดับด้วยเครื่องประดับศีรษะที่มีพู่ระย้า ช่วยขับเน้นให้ใบหน้าที่กล้าหาญมีความเย้ายวนในแบบของสตรีเพศ ดูมีความเย่อหยิ่งที่สามารถครอบงำผู้คนได้

นางเห็นหยวนชิงหลิง ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พระชายารัชทายาทยังไม่พักผ่อนรึ?”

หยวนชิงหลิงตอบว่า “ยังไม่ง่วงน่ะ พอดีได้ยินว่าเจ้าสำนักเสี้ยวมาเยือน จึงถือโอกาสมาทักทายเสียหน่อย”

เสี้ยวหงเฉิงยิ้มให้นาง จากนั้นค่อยมองหยู่เหวินเห้า ในแววตาสื่อนัยยะในทางตั้งคำถาม

หยู่เหวินเห้าพยุงหยวนชิงหลิงให้นั่งลง จึงค่อยมีเวลามองหน้านาง ทันทีที่เขาเห็น ก็ตกใจจนผงะ “เจ้าถูกใครกระตุ้นเข้าแล้วรึ? แต่งหน้าเสียจนแดงเหมือนก้นลิงก็ไม่ปาน”

เสี้ยวหงเฉิงกลอกตา “เจ้าจะไปรู้อะไร? ผู้หญิงต้องแต่งแบบนี้ต่างหากถึงจะดูดี”

หยู่เหวินเห้าหันไปมองหยวนชิงหลิง “อย่าไปฟังนางนะ แบบนี้ไม่สวยหรอก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+