พันธกานต์ปราณอัคคี 249 จากหุบเขาไร้วิญญาณ

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 249 จากหุบเขาไร้วิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

สามวันให้หลัง ผลข้างเคียงของโอสถระเบิดวิญญาณค่อยๆ หายไป หลัวอวี้เฉิงในที่สุดก็ฟื้นฟูกำลังวังชา ทั้งสองคนระงับอารมณ์รีบร้อนไม่ไหวมาถึงข้างทะเลสาบ ตัดสินใจกินผลไม้เซียนเข้าไป

 

 

“สหายเต๋าหลัว เจ้าว่าผลไม้เซียนนี่กินเข้าไปจะรู้สึกเช่นไร?” มั่วชิงเฉินเพ่งพิศผลไม้สีแดงที่สดจนเหมือนเลือดหยด แล้วพึมพำถาม

 

 

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะแล้ว “เจ้ากินเข้าไปก็รู้แล้วมิใช่หรือ”

 

 

“นั่นน่ะสิ กินเข้าไปก็รู้แล้ว เช่นนั้นเราเริ่มเถอะ” มั่วชิงเฉินทอดถอนใจเอ่ยว่า

 

 

อยู่ในหุบเขามาสามปี ตั้งแต่ผ่านวันหนึ่งเหมือนปีหนึ่งในยามแรกสุดจนถึงอยู่อย่างสบายอารมณ์ในตอนหลัง ในที่สุดบัดนี้ได้ผลไม้เซียนที่คิดถึงเช้าเย็นแล้ว สามารถออกไปได้ทันทีแล้ว จู่ๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง

 

 

เมื่อผลไม้เซียนเข้าปาก ก็กลายเป็นน้ำพุหวานใสสายหนึ่งไหลสู่ท้อง

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าแขนขากระดูกเหมือนแช่ลงในน้ำพุเย็นเยียบในวันที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อน เย็นสบายอุรา ใช้จิตตระหนักมองดูภายในจะเห็นว่ากระดูกภายในร่างกายขาวขึ้น ปกคลุมด้วยหมอกขาวชั้นหนึ่งอย่างช้าๆ

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ไม่พูดอะไรแล้วต่างคนต่างพุ่งเข้าบ้านศิลาของตน ปิดประตูดังปัง

 

 

สามวันให้หลัง มั่วชิงเฉินที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นหายใจออกยาวๆ จมูกและปากมีหมอกขาวพ่นออกมา

 

 

รับรู้ถึงความรู้สึกพลิ้วไหวเหมือนบินได้ นางแผ่จิตตระหนักออกมองความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายขึ้นมา

 

 

เมื่อได้ดู มั่วชิงเฉินอดตกใจไม่ได้ เห็นเพียงกระดูกในร่างกายโปร่งใสขึ้นมีประกายสีขาวรางๆ ราวกับหยกขาวที่เป็นประกายกระจ่างใส เมื่อเพ่งพิศอย่างละเอียดอีกครั้งก็พบว่าบนกระดูกมีลวดลายจางๆ เหมือนน้ำแข็ง ดูแล้วงดงามและเร้นลับ

 

 

เก็บจิตตระหนักกลับมา ในใจมั่วชิงเฉินมีความรู้สึกประหลาด การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไยถึงเหมือนร่างกายบางส่วนไม่เหมือนมนุษย์อีกแล้ว นี่ก็คือการเกิดใหม่ถอดกระดูกที่ว่ากันเช่นนั้นหรือ?

 

 

ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเล็กน้อย มั่วชิงเฉินยกเท้าลงพื้น ใครจะรู้ว่าเพิ่งแตะถูกพื้นเท้าก็เกิดลื่นโดยพลัน ร่างกายพุ่งตรงไปข้างหน้า

 

 

ที่ยิ่งทำให้นางตะลึงคือ อาศัยแรงพุ่งนี้ปลายเท้าออกห่างจากพื้นอย่างเป็นธรรมชาติอย่างไม่คาดคิด มีความรู้สึกเหมือนจะลอยขึ้นฟ้าไป

 

 

มั่วชิงเฉินรีบกลั้นใจไว้ ร่างกายค่อยๆ ร่วงลงมา เดินอีกครั้งก็ไม่กล้าตามสบายเช่นแต่ก่อนแล้ว หากแต่เขย่งปลายเท้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง กลัวว่าหากไม่ระวังก็จะลอยขึ้นฟ้าไป

 

 

ก็เดินอยู่ในห้องเช่นนี้ไปๆ มาๆ สิบกว่ารอบ มั่วชิงเฉินถึงนับว่าปรับตัวกับสภาพร่างกายใหม่นี่ได้ แล้วผลักประตูเดินออกไป

 

 

ข้างทะเลสาบ แผ่นหลังสีดำนั่งอย่างสงบไม่ขยับเขยื้อน คนทั้งคนราวกับกลืนเข้าไปในทิวทัศน์

 

 

ต่อให้มั่วชิงเฉินเดินไร้เสียง หลัวอวี้เฉิงยังคงหันหน้ามา มองนางแล้วยิ้มละไมว่า “สหายเต๋ามั่ว”

 

 

มั่วชิงเฉินเดินไปถึงก้อนหินที่อยู่ข้างๆ ในไม่กี่ก้าว ยิ้มเช่นกันว่า “สหายเต๋าหลัว ไม่คิดว่าเจ้าจะเร็วกว่า”

 

 

หลัวอวี้เฉิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง อ้าปากว่า “สหายเต๋ามั่ว วันนี้เราก็ออกไปกันเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักงัน พวกเขารอคอยที่จะออกจากที่นี่ทุกวัน ทว่าเมื่อสามารถจากไปได้จริงๆแล้ว ในใจกลับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

 

 

มองดูสีหน้าเงียบสงบของอีกฝ่าย มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบาว่า “ได้ ทว่าอย่างไรก็ไปบอกกล่าวฝูเฟิงเจินจวินและโอรสศักดิ์สิทธิ์สักหน่อยเถอะ”

 

 

“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า

 

 

ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินสู่ถ้ำของฝูเฟิงเจินจวินพร้อมกัน

 

 

ในห้องศิลา ยังคงวางเพียงเบาะรองนั่งเก่าอันหนึ่งไว้อย่างเดียวดาย

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนคารวะต่อเบาะรองนั่ง ชายร่างสูงงามสง่าก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองคน

 

 

“ขอคารวะท่านฝูเฟิงเจินจวิน” ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินพิจารณาสองคนปราดหนึ่ง ยิ้มเบาๆว่า “ชิงเฉิน อวี้เฉิง พวกเจ้ากินผลไม้เซียนแล้วสินะ?”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนเอ่ยพร้อมกันว่า “ได้บารมีของท่านผู้อาวุโส”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินยิ้มอย่างอบอุ่นและสงบ “ข้าเพียงแต่โยนอิฐล่อหยก[1] สามารถได้ผลไม้เซียนก็เพราะอาศัยความสามารถของพวกเจ้าเอง ใช่แล้ว ปลาดุกตัวนั้นเป็นเช่นไรแล้ว?”

 

 

มั่วชิงเฉินก้มหน้าตอบว่า “หญ้าเซียนออกผลไม้เซียนทั้งหมดสามผล วันที่ผลไม้สุกงอมนำเคราะห์อัสนีมา พวกเราสองคนและปลาดุกต้านเคราะห์อัสนีด้วยกันรักษาผลไม้เซียนไว้ได้ จึงแบ่งผลไม้เซียนอย่างเท่าเทียมกัน วันที่สองที่ปลาดุกกินผลไม้เซียนก็บินขึ้นฟ้าไป ชิงเฉินเห็นรูปร่างของมัน พบว่ารูปร่างของมันเปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก มีลักษณะของเจียวหลงรางๆ อย่างคาดไม่ถึงแล้ว”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินฟังแล้วชะงักงัน ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยว่า “ปลากระโดดประตูมังกรถอดกระดูกเกิดใหม่เช่นนั้นหรือ? มิน่าปลาดุกตัวนั้นจึงเฝ้าหญ้าเซียนอย่างโง่งมมาหลายร้อยปี ก็มีจิตวิญญาณอยู่บ้าง” พูดถึงตรงนี้สายตามองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างอบอุ่น ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉิน ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ก็ดี”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “ชิงเฉินก็รู้สึกว่าดีมากเจ้าค่ะ”

 

 

“พวกเจ้ามาอำลาข้าสินะ?” ฝูเฟิงเจินจวินถาม

 

 

หลัวอวี้เฉิงกอบหมัดคารวะว่า “ขอรับ ผู้น้อยสองคนนับตั้งแต่เข้ามาในแดนไร้วิญญาณ อยู่มาสี่ปีแล้ว ข้างนอกยังมีเรื่องมากมายต้องไปทำ ดังนั้นจึงมาร่ำลาท่านผู้อาวุโส”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินพยักหน้าว่า “นั่นสินะ ในเมื่อพวกเจ้ากินผลไม้เซียนแล้ว ก็ควรออกไปแล้ว อยู่ในหุบเขาไร้วิญญาณสักระยะก็มิใช่ไม่เป็นผลดีกับผู้บำเพ็ญเพียร ทว่าอยู่นานไปก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้า ในใจคิดเช่นเดียวกัน ในหุบเขาไร้วิญญาณแม้ไม่สามารถเพิ่มตบะฝึกคาถา ทว่าลองคิดดีๆ แล้ว เวลาสามปีนี้ก็มิใช่ไม่ได้อะไรเลย

 

 

ไม่พูดถึงอย่างอื่น หลัวอวี้เฉิงก็จากคนขี้โรคอ่อนแอทนไม่ได้แม้ลมพัดเมื่อก่อนกลายเป็นชายหนุ่มองอาจสง่างามเช่นบัดนี้ ใส่ชุดดำบนร่างแล้วดูผอมแต่ไม่อ่อนแอ ไม่มีท่าทางขี้โรคเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว

 

 

ส่วนมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าตนใจร้อนน้อยลงสุขุมมากขึ้น เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาก็พอเห็นผล ไม่พูดถึงเรื่องอื่นไกล อย่างน้อยที่สุดหลังจากออกจากหุบเขาหากพบผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายนางก็มีสิ่งให้พึ่งพิงแล้ว

 

 

ที่สำคัญคือบัดนี้ตันเถียนในร่างกายนางไม่สามารถรับพลังวิญญาณที่เกินมาแม้แต่สายเดียว บวกกับอยู่ในหุบเขาทำอะไรด้วยตนเองทุกอย่างขัดเกลาจิตใจมาหลายปี หลังจากออกจากที่นี่สิ่งแรกที่นางทำเกรงว่าก็คือหาสถานที่ปลอดภัยที่หนึ่งกักตนทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้วล่ะ

 

 

“เจินจวิน ชิงเฉินมาเพื่อร่ำลาท่าน หนึ่งคือกราบขอบคุณพระคุณการสอนสั่งของท่านในสามปีนี้ สองคือคิดจะนำอัฐิของท่านไป อนาคตหากสามารถหาอัฐิของภรรยาท่านได้ ต้องหาโอกาสที่เหมาะสมไปจงหลางสักคราแน่นอน ส่งท่านทั้งสองกลับคืนมาตุภูมิ” มั่วชิงเฉินพูดพลางกราบลงไปช้าๆ

 

 

วันนั้นฝูเฟิงเจินจวินรู้ว่ามั่วชิงเฉินก็คือทายาทของเขาและวุนหนิง ก็อนุญาตให้นางเข้าถ้ำมาคุยทุกสามเดือนครั้ง ชี้แนะสภาพการฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาแก่นาง

 

 

สามปีมานี้ที่การฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาของมั่วชิงเฉินก้าวหน้าเร็วเช่นนี้ ขาดการชี้แนะของฝูเฟิงเจินจวินไม่ได้เลย ทำให้นางเดินทางคดเคี้ยวน้อยลงไม่น้อย

 

 

“เด็กดี…” ฝูเฟิงเจินจวินยื่นมือพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมา อดยื่นมือลูบเส้นผมของนางไม่ได้ “ชิงเฉิน เจ้าฉลาดเฉลียวอีกทั้งไม่ขาดความเมตตา บุญวาสนาหนา ดังนั้นเจ้าต้องจำไว้ให้ดี วันหลังต้องรู้จักพอใจในบุญที่มี”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “เจินจวิน ชิงเฉินจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินมองไปที่หลัวอวี้เฉิงอีก

 

 

“ท่านผู้อาวุโสเชิญสั่งได้ขอรับ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินมองหลัวอวี้เฉิงอยู่เนิ่นนาน ถึงว่า “อวี้เฉิง ข้าก่อนที่จะมาหุบเขาไร้วิญญาณก็มีชีวิตมามากกว่าพันปีแล้ว พบคนมานับไม่ถ้วน ทว่าคนฉลาดล้ำเลิศเช่นเจ้านี้กลับไม่เคยพานพบมาก่อน ข้าขอพูดประโยคหนึ่ง ทางสวรรค์สมดุล ฉลาดมากจะเจ็บ ขอให้วันหน้าเจ้าจงรักษาตัว”

 

 

หลัวอวี้เฉิงเอ่ยเสียงเข้มว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่สอนสั่ง”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินถอนใจเบาๆ แล้วถึงเอ่ยว่า “อวี้เฉิง ไม่ว่าเจ้าและชิงเฉิงอนาคตเป็นเช่นไร ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นแก่กระบี่รอบนิ้วอย่ามีความคิดที่จะทำร้ายนาง”

 

 

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินอย่างเร็วปราดหนึ่ง เอ่ยโดยไม่ได้หยุดชะงักว่า “ท่านผู้อาวุโสวางใจ ผู้น้อยไม่มีทางทำร้ายสหายเต๋ามั่วแน่นอน”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบคิดว่า ยังมาทำไก๋อีก เจ้าสาบานต่อจิตมารแล้ว ย่อมทำร้ายข้าไม่ได้เป็นธรรมดา

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินกลับพยักหน้าอย่างพอใจ ทันใดนั้นสะบัดแขนเสื้อแสงวิญญาณสองสายก็หายเข้าไปในสมองทั้งสองคน

 

 

“หึๆๆ ครั้งนี้ไยพวกเจ้าสองคนถึงใจเย็นเช่นนี้?” ฝูเฟิงเจินจวินหัวเราะว่า เขาไม่ลืมหรอกนะว่ายามทำเช่นนี้เมื่อแรกพบ ท่าทางโมโหตาขวางของเจ้าเด็กสองคนนี้

 

 

หลัวอวี้เฉิงยิ้มละไมว่า “ท่านผู้อาวุโสผนึกข้อมูลเกี่ยวกับค่ายเคลื่อนย้ายโบราณเข้าสมองของเรากระมัง?”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินถอนใจยาวเสียงหนึ่ง ถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง ยังจำจิตตระหนักที่ยามนั้นข้าซัดเข้าสมองพวกเจ้าสองคนได้หรือไม่?”

 

 

ทั้งสองคนพยักหน้า

 

 

“ความปรารถนาสองข้อแรกของข้าบรรลุแล้ว ดังนั้นจิตตระหนักสายนั้นปกติจะแฝงอยู่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกพวกเจ้าเท่านั้น จะไม่สร้างผลกระทบใดๆ ต่อพวกเจ้า ที่ข้าเพิ่งซัดเข้าไปคือข้อมูลเกี่ยวกับค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ อนาคตหากพวกเจ้าเกิดความคิดจะไปจงหลาง จิตตระหนักที่ข้าซัดเข้าไปก่อนหน้าก็จะกระตุ้นข้อมูลส่วนที่ซัดเข้าไปวันนี้ขึ้นมา ถึงเวลาพวกเจ้าย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ ทว่าก่อนที่พวกเจ้าสองคนจะก่อแก่นปราณ ไม่ว่าอย่างไรข้อมูลนี้ก็จะไม่ถูกเปิด วันที่พวกเจ้าสองคนย่างเข้าแผ่นดินจงหลาง ก็คือยามที่จิตตระหนักของข้าหายไป” ฝูเฟิงเจินจวินเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าไม่แสดงออก ในใจกลับหวั่นไหว ฝูเฟิงเจินจวินตรงหน้าเป็นเพียงจิตตระหนักสายหนึ่ง กลับมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ หรือว่าเกี่ยวกับการที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาถึงขั้นมหายานแล้ว?

 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อคิดจะจากไป ก็อย่าชักช้าเลย จงไปเสียเดี๋ยวนี้เถอะ นี่คืออัฐิของข้า ชิงเฉินเจ้าเก็บไว้ให้ดี” ฝูเฟิงเจินจวินยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือรับแล้วใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ข้างหลัง กราบลงไปอีกครั้งพร้อมหลัวอวี้เฉิง “ผู้น้อยขออำลา”

 

 

คนบำเพ็ญเพียรไม่ยืดยาดเช่นนั้น หลังจากกราบอำลาสองคนก็หันหลังจากไป

 

 

“ท่านอาจารย์ปราชญ์ พวกท่านดูสิ นี่ก็คือแป้งสาลีที่ท่านว่าใช่หรือไม่?” เพิ่งถึงที่อยู่ของชาวบ้านในหุบเขา ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งทำงานอย่างขะมักเขม้น โอรสศักดิ์สิทธิ์กอบแป้งสาลีกอบหนึ่งพุ่งมาถึงหน้าทั้งสองคนแล้วพูดอย่างตื่นเต้น

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้าว่า “ถูกต้อง โอรสศักดิ์สิทธิ์ ข้าเคยรับปากว่าจะสอนคนในเผ่าพวกเจ้าใช้แป้งสาลีทำอาหารชนิดต่างๆ ออกมา บัดนี้เจ้าจงไปตามหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดมาสองสามคนเถอะ”

 

 

“ขอรับ!” โอรสศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าอย่างแรง แล้วเอ่ยเสียงเบาอีกว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ข้าฟังได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างสดใสว่า “แน่นอน”

 

 

สอนหญิงสาวไม่กี่คนหมักแป้งให้ฟู นึ่งหมั่นโถว จี่เซาปิ่งจนเป็น มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืน เอ่ยกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ที่ปลายจมูกเลอะแป้งแต่กลับดีใจออกนอกหน้าว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ วันนี้พวกเราก็จะไปแล้ว”

 

 

“ท่านอาจารย์ปราชญ์ ท่านยังไม่ได้กินเซาปิ่งก็จะกลับไปหรือขอรับ?” โอรสศักดิ์สิทธิ์ยังตั้งตัวไม่ทัน

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ พวกเราจะไปจากที่นี่แล้ว ไม่ใช่กลับบ้านศิลา”

 

 

โอรสศักดิ์สิทธิ์ชะงัก คุกเข่าดังตุ๊บลงมาว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ พวกท่านจะไปแล้วจริงหรือขอรับ?”

 

 

การกระทำเช่นนี้ของโอรสศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนในเผ่าคนอื่นตกใจ ทุกคนเห็นดังนั้นต่างคุกเข่าลงมา

 

 

“ท่านอาจารย์ปราชญ์อย่าไป อย่าไปเลย” ชาวบ้านในหุบเขามากมายตะโกนเสียงดัง กราบไหว้ไม่หยุด

 

 

โอรสศักดิ์สิทธิ์กลับคุกเข่าตรงๆ ไม่ส่งเสียงสักแอะ

 

 

มั่วชิงเฉินเดินขึ้นหน้าไป ตบไหล่ของโอรสศักดิ์สิทธิ์เบาๆ ด้วยความเอ็นดูว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ การพบหรือจากล้วนลิขิตไว้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องยึดมั่นเกินไป วันหลังนำพาคนในเผ่าใช้ชีวิตให้ดีก็พอแล้ว”

 

 

พูดจบสบตากับหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง ทั้งสองคนบินขึ้นฟ้าไปอย่างช้าๆ

 

 

โอรสศักดิ์สิทธิ์นำกลุ่มคนในเผ่าคุกเข่าแหงนหน้า จนกระทั่งมองเงาของทั้งสองคนไม่เห็นถึงพึมพำว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ข้าจำไว้แล้วขอรับ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] โยนอิฐล่อหยก  เป็นสุภาษิตจีน ตรงกับภาษาไทยว่า กุ้งฝอยตกปลากะพง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด