พันธกานต์ปราณอัคคี 654 เงื่อนไขขององค์หญิง

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 654 เงื่อนไขขององค์หญิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากองค์หญิงพูดประโยคนี้ออกไป พวกเขาก็มีสีหน้าต่างกันในทันใด

เยี่ยเทียนหยวนมีสีหน้าเย็นชาปนเคร่งขรึม หลัวอวี้เฉิงยกมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม จนมองไม่ออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง

ดวงตาฉ่ำวาวของเขาน้อยเบิกกว้างขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาของหมาป่าน้อยหรี่ลงครึ่งหนึ่งพร้อมทั้งส่องประกายอันตราย

ส่วนอีกาไฟในสายขององค์หญิงฝูเยานั้นเป็นเพียงนกอ้วนตัวกลมๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่ามันจะแสดงออกเยี่ยงไรก็ถูกเมิน

“เจ้าจะทำลายผลแย่งลิขิตหรือ” หมาป่าน้อยก้าวเข้าไปใกล้องค์หญิงฝูเยาอีกก้าว

สีหน้าขององค์หญิงฝูเยาเปลี่ยนไปโดยพลัน “แล้วเจ้าจะทำไมหรือ”

“ข้าต้องการผลแย่งลิขิต” หมาป่าน้อยพูดอย่างมีเหตุผล

ถ้าหากไม่เป็นเพราะผลแย่งลิขิต ข้าจะเปลืองแรงแบกเจ้ามาถึงที่นี่ ทั้งยังกินไม่ได้ ดูก็ไม่ได้ทำไมเล่า เขาคิดในใจ

องค์หญิงฝูเยาหอบหายใจพลางชี้นิ้วไปทางหมาป่าน้อย “เจ้า…เจ้ามันช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”

หมาป่าน้อยอ้าปากเผยเขี้ยวคมหนึ่งคู่พลางขู่ “ชี้มาที่ข้าอีกครั้ง ข้าจะกินนิ้วเจ้าเสีย ตัวหนักขนาดนั้น แบกมาถึงที่นี่ข้าก็เปลืองแรงกายไปมิน้อย”

เห็นท่าทีรังเกียจของหมาป่าน้อย ริมฝีปากขององค์หญิงฝูเยาก็สั่นระริก จากนั้นก็วิงเวียนศีรษะอีกครา

หมาป่าน้อยเห็นองค์หญิงฝูเยาสีหน้าซีดขาวก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าการขู่นั้นได้ผล เขารีบพูดต่ออย่างไม่ย่อท้อ “รีบส่งผลแย่งลิขิตมา มิเช่นนั้นข้าจะกินนิ้วมือของเจ้าเดี๋ยวนี้ กินทั้งสิบนิ้ว ต่อด้วยกินนิ้วเท้า…”

องค์หญิงฝูเยาผู้น่าสงสารเติบโตมาถึงขนาดนี้ก็ไม่เคยต้องพานพบกับเรื่องสะเทือนจิตใจเช่นนี้ เดิมทีพลังวิญญาณที่ถูกมัดเอาไว้ก็ทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวกอยู่แล้ว พอโมโหขึ้นมาเลือดลมก็สูบฉีดอย่างเร็วจนหมดสติไปอีกครา

หมาป่าน้อยงงงัน เขาขยี้ผมสีดำขลับของตัวเองพลางพูด “ทำไมถึงหมดสติไปอีกเล่า”

อีกาไฟใช้ปีกลากหมาป่าน้อยไปข้างหลัง “รีบไปไกลๆ เสีย หากเจ้าขู่นางจนหมดสติไปอีกแล้วบิดานางตามมาฆ่า เช่นนั้นแล้วจะเอาผลแย่งลิขิตจากไหนกันเล่า”

หมาป่าน้อยเหลือบมองอีกาไฟพลางพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ข้ามิได้ขู่นางเสียหน่อย”

นิ้วมือขาวๆ นุ่มๆ นั่นรสชาติคงไม่เลวเป็นแน่…

องค์หญิงฝูเยาฟื้นขึ้นมาอีกคราก็พบเด็กผมสีทองคนหนึ่งโถมเข้ามา เด็กคนนั้นลืมตาโตที่บริสุทธิ์ดุจสายน้ำ พลางอ้อนวอนอย่างนุ่มนวล “องค์หญิงฝูเยา ขอท่านโปรดมอบผลแย่งลิขิตให้พวกเราด้วยเถิด พวกเราต้องการมันจริงๆ เขาน้อยยินดีเป็นวัวเป็นม้าเพื่อตอบแทนท่าน”

“เป็นวัวเป็นม้าเช่นนั้นหรือ” องค์หญิงฝูเยาเดิมทีเป็นคนสุขุมอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับถูกทำให้โกรธจนต้องพูดขึ้นมาอย่างใจดำ “เจ้าจะเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนข้าได้อย่างไร ชาติหน้าเช่นนั้นหรือ ถ้อยคำเสแสร้งเหล่านี้พูดออกมาแล้วน่าขันเสียจริง!”

เขาน้อยกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็เข้าใจความหมายขององค์หญิง แสงสีทองเคลื่อนตัวโอบล้อมรอบกายมัน ก่อนจะสลายไปและมีอาชาสีขาวโพลนราวหิมะตัวหนึ่งปรากฏออกมา เขาสีทองหนึ่งเดียวที่ส่องประกายกลางหน้าผากบ่งบอกให้เห็นถึงความพิเศษของมัน

อาชาสีขาวขยับเข้าไปใกล้องค์หญิงฝูเยาที่แข็งทื่อ จากนั้นก็ใช้หัวของมันถูไถที่มือของนางอย่างว่านอนสอนง่าย

องค์หญิงฝูเยาถึงเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา นอกจากพูดคำว่า ‘เจ้า’ หลายทีแล้วในที่สุดก็พูดออกมาว่า “เจ้าคือปีศาจบำเพ็ญเพียร!”

เขาน้อยส่งเสียงร้องแบบม้าตามด้วยพูดอย่างน่าเอ็นดู “องค์หญิงฝูเยา ท่านดูสิ ข้าเป็นม้าจริงๆ ถ้าหากว่าท่านยินยอม ข้าก็สามารถพาท่านไปได้ทุกที่”

พูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง “เพียงแค่ เพียงแค่ท่านมอบผลแย่งลิขิตให้ข้าก็พอ…”

อีกาไฟใช้ปีกปิดหน้าเอาไว้

สถานการณ์ย่ำแย่เสียจริง อสูรเขาเดียวผู้สูงศักดิ์ถึงกับต้องแปลงเป็นม้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องคิดหาวิธีซ่อนเขาทองคำนั่นไว้สักหน่อยสิ

ในฐานะที่องค์หญิงฝูเยาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง อีกทั้งยังเป็นบุตรีเจ้าหุบเขาไป่กั่ว แม้ว่าประสบการณ์ในการต่อสู้กับศัตรูจะไม่มากเท่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับบเดียวกัน แต่มีความรู้มาก เหตุใดถึงจะดูไม่ออกว่าเขาน้อยเป็นอสูรเขาเดียว

ยามมองไปที่ดวงตากลมโตบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยการภาวนาและความตื่นตระหนกของเขาน้อยคู่นั้น ด้วยกลัวว่าตนจะถูกมองออกจึงขยับตัวเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

เรื่องที่เพิ่งพบเจอทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางหันหน้าไปถามหมาป่าน้อย “เจ้าเองก็เป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรหรือ”

หมาป่าน้อยเชิดหน้าขึ้น “แน่นอน”

องค์หญิงฝูเยาถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว

ถ้าหากว่าหมาป่าน้อยเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียร แม้ว่าการกระทำของเขาก่อนหน้านี้จะน่ารังเกียจ แต่มิได้เลวร้ายเยี่ยงนั้นแล้ว ถึงอย่างไรปีศาจบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ โดนเฉพาะพวกอายุน้อยเดิมทีก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องชายหญิงเท่าใดนัก

องค์หญิงฝูเยาคือสตรีที่เป็นความภาคภูมิใจของมวลมนุษย์อย่างแท้จริง นางทะนงตนจนถึงกระดูกดำ บนโลกนี้มีผู้ที่เข้าตานางเพียงไม่กี่คน แต่เพราะเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกโอบอ้อมอารีกับคนบางกลุ่มและเรื่องบางเรื่อง ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักใจแคบที่ชีวิตลำบากพวกนั้น

นางเม้มริมฝีปาก จากนั้นมองไปทางเยี่ยเทียนหยวนและหลัวอวี้เฉิง น้ำเสียงกลับไปอบอุ่นอย่างไม่รู้ตัว “แล้วทั้งสองท่านเล่า หรือว่าเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรเช่นกัน”

หลัวอวี้เฉิงจับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปขององค์หญิงฝูเยาได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเป็นประกายและรีบตอบ “สหายเยี่ย ใช้อารมณ์และเหตุผลบอกนางเถิด”

เยี่ยเทียนหยวนมองตรงไปยังองค์หญิงฝูเยา ทันใดนั้นเขาก็สะบัดเสื้อสีเขียวออกและก้มลงคุกเข่า “ข้าคือลั่วหยาง ครั้งนี้ต้องขอรบกวนองค์หญิง วิงวอนให้องค์หญิงยินยอมแลกเปลี่ยนผลแย่งลิขิตให้แก่พวกเรา”

เมื่อเขาคุกเข่าลงคนอื่นๆ ต่างก็แข็งทื่อ โดยเฉพาะหมาป่าน้อยที่กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ลั่วหยางเจินจวิน ท่านไม่เห็นต้องทำเยี่ยงนี้ หากนางมิให้ข้าก็แค่ค้นตัวนาง ข้าดมรู้แล้วว่าที่เก็บสมบัติของนางอยู่บนนิ้วมือ”

องค์หญิงฝูเยามองค้อนไปยังหมาป่าน้อย ตามด้วยมองไปทางเยี่ยเทียนหยวนพลางกล่าว “ลั่วหยางเจินจวิน เจ้าคิดจะคุกเข่าเพื่อบังคับให้ข้าตอบตกลงเช่นนั้นหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าคุกเข่าก็เพราะอยากจะขออภัยองค์หญิงอย่างจริงใจ หวังว่าองค์หญิงจะไม่ปฏิเสธเพราะการกระทำอันบุ่มบ่ามก่อนหน้านี้ของหมาป่าน้อย ส่วนผลแย่งลิขิตพวกเรามิได้ร้องขอจากท่านแต่เป็นการแลกเปลี่ยน เพียงแค่องค์หญิงเสนอออกมา ขอเพียงไม่เหนือบ่ากว่าแรง ข้าก็จะทำให้”

องค์หญิงฝูเยาเงียบอยู่ครู่ก่อนจะถาม “พวกเจ้าต้องการผลแย่งลิขิตไปทำไมกัน”

“เพื่อช่วยชีวิตคู่บำเพ็ญของข้า” เยี่ยเทียนหยวนตอบอย่างไม่ลังเล

“หือ” องค์หญิงฝูเยาเลิกคิ้ว “ข้ายังไม่เข้าใจนัก สุภาษิตกล่าวไว้ว่ายามคับขันต้องดูสถานการณ์ เหตุใดสหายมิเข้าร่วมประลองเล่า พบกับข้าเช่นนั้นดีกว่าเช่นนี้อยู่มากมิใช่หรือ ถึงตอนนั้นเจ้าก็พูดถึงสาเหตุ หรือว่าเจ้ากังวลว่าข้าจะบังคับเจ้าแต่งงาน”

เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างใจเย็น “ยามคับขันต้องดูสถานการณ์ก็ต้องยึดตามหลักการ สิ่งนี้มิได้เกี่ยวข้องกับท่าทีขององค์หญิง”

“หลักการอันใด”

“มิสร้างความสุขของตนเองบนบาดแผลอันไร้สาเหตุของผู้อื่น”

หัวใจขององค์หญิงฝูเยาสั่นไหว นางถามอีกครา “เช่นนั้นแล้วคู่บำเพ็ญของเจ้าเล่า เพื่อหลักการแล้วเจ้าอาจทำให้การรักษานางล่าช้า เช่นนั้นแล้วนางจะไม่โทษท่านหรอกหรือ”

เมื่อพูดถึงมั่วชิงเฉิน คิ้วที่ดูเคร่งขรึมของเยี่ยเทียนหยวนพลันอ่อนลง เขาพูดเสียงอ่อน “ภรรยาย่อมต้องคิดเช่นนี้แน่…”

คนที่เคยเย็นชามีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่ริมฝีปาก ประหนึ่งน้ำแข็งที่ละลายลงและแสงฤดูใบไม้ผลิเล็ดลอดเข้ามา

องค์หญิงฝูเยามิเคยพบเจอบุรุษเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะลองหยั่งเชิงต่อไป “ในเมื่อเจ้ามีหลักการเช่นนี้ ทำไมถึงคุกเข่าให้ข้าอย่างง่ายดายนักเล่า หรือว่ามิทราบว่าใต้เข่าของผู้ชายนั้นมีทองคำอยู่”

เยี่ยเทียนหยวนไม่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เขาตอบอย่างสบายๆ “มิเกี่ยวกับผู้อื่นหรอก ทุกสิ่งที่ข้าทำเพื่อภรรยานั้นล้วนทำด้วยความรัก เช่นนั้นแล้วอย่าได้พูดถึงการคุกเข่าเลย”

เยี่ยเทียนหยวนยืนนิ่ง ไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก

หลัวอวี้เฉิงพูดออกมาเสียงเบา “สหายเยี่ย องค์หญิงจะต้องตอบรับแน่นอน”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เยี่ยเทียนหยวนตอบอย่างใจเย็น

“สหายเยี่ย ความจริงแล้วข้าก็สงสัยมาก หากองค์หญิงฝูเยามิตอบรับ เจ้าก็จะยอมแพ้ต่อผลแย่งลิขิตจริงๆ หรือ”

เยี่ยเทียนหยวนตอบ “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้องค์หญิงตอบรับ ถ้าหากว่าขอร้องไม่สำเร็จข้าก็จะไปตามหาผลไม้อัศจรรย์อื่น”

สิ่งที่เขาอยากมอบให้แก่ศิษย์น้องคือความสุขอันบริสุทธิ์ ความสุขที่หวนรำลึกถึงทุกคนทุกเรื่องได้โดยมิต้องรู้สึกผิด

“แล้วถ้าหากชิงเฉินรอมิไหวเล่า”

“ดวงจิตครึ่งหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ คงมิน้อยไปกว่าผลไม้อัศจรรย์ใดๆ” เยี่ยเทียนหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

หลัวอวี้เฉิงเงียบพลางหลุบตาลงต่ำ

นี่คือความแตกต่างระหว่างเขาและลั่วหยางเจินจวิน ในทางกลับกันหากเป็นเขาก็จะคิดหาวิธีเป็นร้อยเป็นพันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลแย่งลิขิต

แม้ว่าตอนนี้จะรู้ความคิดของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ความคิดของเขาเองก็ยังจะไม่แปรเปลี่ยน

ถ้าหากว่าองค์หญิงฝูเยาไม่ตอบรับ เขาก็จะใช้วิธีของตัวเองเพื่อเอาผลแย่งลิขิตมาไว้ในมือ

เขามิอาจตามหาผลไม้อัศจรรย์อื่นด้วยความหวังอันเลือนรางได้ ถ้าหากว่าบนโลกนี้หาผลไม้อัศจรรย์ได้ง่ายเพียงนั้น พวกเขาคงไม่ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงที่นี่

ส่วนที่ลั่วหยางเจินจวินคิดจะแบ่งดวงจิตครึ่งหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตของชิงเฉิน หากชิงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้วจะปวดใจเพียงใด

เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี่ให้เขาทำเถิด

“ข้าจะมอบผลแย่งลิขิตให้พวกเจ้า แต่ว่า มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ” ในที่สุดองค์หญิงฝูเยาก็เอ่ยออกมา

“เงื่อนไขอันใด” พวกเขาถามขึ้นพร้อมกัน

“พวกเจ้ามิใช่ว่าควรปล่อยองค์หญิงก่อนหรอกหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าให้หมาป่าน้อย

หมาป่าน้อยยกมือขึ้นอย่างไม่เต็มใจและเก็บเถาวัลย์มัดวิญญาณกลับไป

องค์หญิงฝูเยาทอดถอนใจด้วยความโล่งอก นางก้าวเดินหลายก้าวจนมาหยุดยืนอยู่หน้าเยี่ยเทียนหยวน “ข้ามีบุปผาอัศจรรย์อยู่หนึ่งต้น ข้าใช้จิตวิญญาณและโลหิตเลี้ยงมันมาเกินร้อยปี จนถึงวันนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่มันอาจจะแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผา”

“วิญญาณบุปผาหรือ” พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก

องค์หญิงฝูเยาเลิกคิ้ว “มีอันใดแปลกหรือ มิใช่ว่าพืชพรรณวิญญาณทุกชนิดจะสามารถแปลงกายเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรได้เสียหน่อย พืชพรรณวิญญาณที่แปลงกายมิได้เหล่านี้ อาศัยโอกาสเหมาะในการแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากพืชพรรณวิญญาณไม่ได้รับสังขารของมนุษย์ ดวงจิตก็จะออกจากร่างบุปผา”

“เช่นนั้นองค์หญิงจะให้พวกเราทำอันใดหรือ” หลัวอวี้เฉิงถามอย่างยิ้มๆ แต่ในใจกลับคาดการณ์ไว้คร่าวๆ แล้ว

เป็นไปตามคาด คำพูดขององค์หญิงฝูเยายืนยันการคาดการณ์ของเขา “ทุกสรรพสิ่งบนโลกมิอาจรอดพ้นจากสมดุลหยินหยางได้ บุปผาอัศจรรย์ต้นนั้นของข้าที่มิสามารถแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผาได้ ก็เป็นเพราะมีเพียงแค่จิตวิญญาณและโลหิตของข้าที่คอยรดมันเพียงอย่างเดียว ขาดรสชาติจิตวิญญาณและโลหิตของบุรุษ”

มุมปากของหลัวอวี้เฉิงยกขึ้น “ต้องการจิตวิญญาณและโลหิตของบุรุษเช่นนั้นหรือ สำหรับองค์หญิงแล้วมันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่มิใช่หรือ”

องค์หญิงฝูเยากวาดตามองเขาหนึ่งครา ตามด้วยมองเยี่ยเทียนหยวนพลางเอ่ย “จนถึงตอนนี้มันก็มิได้ง่ายดายเพียงนั้น เพียงแต่มิมีความจำเป็นใดจะต้องพูดถึงเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นบุปผาอัศจรรย์ต้นนั้นต้องการจิตวิญญาณและโลหิตของบุรุษทุกวัน เมื่อไหร่จะแพร่พันธุ์บุปผาวิญญาณออกมาก็มิอาจรู้ได้ ไม่แน่อาจต้องใช้เวลานับร้อยปี เป็นอย่างไรเล่า พวกเจ้าทั้งสองคนยินยอมหรือไม่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 654 เงื่อนไขขององค์หญิง

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 654 เงื่อนไขขององค์หญิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากองค์หญิงพูดประโยคนี้ออกไป พวกเขาก็มีสีหน้าต่างกันในทันใด

เยี่ยเทียนหยวนมีสีหน้าเย็นชาปนเคร่งขรึม หลัวอวี้เฉิงยกมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม จนมองไม่ออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง

ดวงตาฉ่ำวาวของเขาน้อยเบิกกว้างขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาของหมาป่าน้อยหรี่ลงครึ่งหนึ่งพร้อมทั้งส่องประกายอันตราย

ส่วนอีกาไฟในสายขององค์หญิงฝูเยานั้นเป็นเพียงนกอ้วนตัวกลมๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่ามันจะแสดงออกเยี่ยงไรก็ถูกเมิน

“เจ้าจะทำลายผลแย่งลิขิตหรือ” หมาป่าน้อยก้าวเข้าไปใกล้องค์หญิงฝูเยาอีกก้าว

สีหน้าขององค์หญิงฝูเยาเปลี่ยนไปโดยพลัน “แล้วเจ้าจะทำไมหรือ”

“ข้าต้องการผลแย่งลิขิต” หมาป่าน้อยพูดอย่างมีเหตุผล

ถ้าหากไม่เป็นเพราะผลแย่งลิขิต ข้าจะเปลืองแรงแบกเจ้ามาถึงที่นี่ ทั้งยังกินไม่ได้ ดูก็ไม่ได้ทำไมเล่า เขาคิดในใจ

องค์หญิงฝูเยาหอบหายใจพลางชี้นิ้วไปทางหมาป่าน้อย “เจ้า…เจ้ามันช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”

หมาป่าน้อยอ้าปากเผยเขี้ยวคมหนึ่งคู่พลางขู่ “ชี้มาที่ข้าอีกครั้ง ข้าจะกินนิ้วเจ้าเสีย ตัวหนักขนาดนั้น แบกมาถึงที่นี่ข้าก็เปลืองแรงกายไปมิน้อย”

เห็นท่าทีรังเกียจของหมาป่าน้อย ริมฝีปากขององค์หญิงฝูเยาก็สั่นระริก จากนั้นก็วิงเวียนศีรษะอีกครา

หมาป่าน้อยเห็นองค์หญิงฝูเยาสีหน้าซีดขาวก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าการขู่นั้นได้ผล เขารีบพูดต่ออย่างไม่ย่อท้อ “รีบส่งผลแย่งลิขิตมา มิเช่นนั้นข้าจะกินนิ้วมือของเจ้าเดี๋ยวนี้ กินทั้งสิบนิ้ว ต่อด้วยกินนิ้วเท้า…”

องค์หญิงฝูเยาผู้น่าสงสารเติบโตมาถึงขนาดนี้ก็ไม่เคยต้องพานพบกับเรื่องสะเทือนจิตใจเช่นนี้ เดิมทีพลังวิญญาณที่ถูกมัดเอาไว้ก็ทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวกอยู่แล้ว พอโมโหขึ้นมาเลือดลมก็สูบฉีดอย่างเร็วจนหมดสติไปอีกครา

หมาป่าน้อยงงงัน เขาขยี้ผมสีดำขลับของตัวเองพลางพูด “ทำไมถึงหมดสติไปอีกเล่า”

อีกาไฟใช้ปีกลากหมาป่าน้อยไปข้างหลัง “รีบไปไกลๆ เสีย หากเจ้าขู่นางจนหมดสติไปอีกแล้วบิดานางตามมาฆ่า เช่นนั้นแล้วจะเอาผลแย่งลิขิตจากไหนกันเล่า”

หมาป่าน้อยเหลือบมองอีกาไฟพลางพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ข้ามิได้ขู่นางเสียหน่อย”

นิ้วมือขาวๆ นุ่มๆ นั่นรสชาติคงไม่เลวเป็นแน่…

องค์หญิงฝูเยาฟื้นขึ้นมาอีกคราก็พบเด็กผมสีทองคนหนึ่งโถมเข้ามา เด็กคนนั้นลืมตาโตที่บริสุทธิ์ดุจสายน้ำ พลางอ้อนวอนอย่างนุ่มนวล “องค์หญิงฝูเยา ขอท่านโปรดมอบผลแย่งลิขิตให้พวกเราด้วยเถิด พวกเราต้องการมันจริงๆ เขาน้อยยินดีเป็นวัวเป็นม้าเพื่อตอบแทนท่าน”

“เป็นวัวเป็นม้าเช่นนั้นหรือ” องค์หญิงฝูเยาเดิมทีเป็นคนสุขุมอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับถูกทำให้โกรธจนต้องพูดขึ้นมาอย่างใจดำ “เจ้าจะเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนข้าได้อย่างไร ชาติหน้าเช่นนั้นหรือ ถ้อยคำเสแสร้งเหล่านี้พูดออกมาแล้วน่าขันเสียจริง!”

เขาน้อยกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็เข้าใจความหมายขององค์หญิง แสงสีทองเคลื่อนตัวโอบล้อมรอบกายมัน ก่อนจะสลายไปและมีอาชาสีขาวโพลนราวหิมะตัวหนึ่งปรากฏออกมา เขาสีทองหนึ่งเดียวที่ส่องประกายกลางหน้าผากบ่งบอกให้เห็นถึงความพิเศษของมัน

อาชาสีขาวขยับเข้าไปใกล้องค์หญิงฝูเยาที่แข็งทื่อ จากนั้นก็ใช้หัวของมันถูไถที่มือของนางอย่างว่านอนสอนง่าย

องค์หญิงฝูเยาถึงเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา นอกจากพูดคำว่า ‘เจ้า’ หลายทีแล้วในที่สุดก็พูดออกมาว่า “เจ้าคือปีศาจบำเพ็ญเพียร!”

เขาน้อยส่งเสียงร้องแบบม้าตามด้วยพูดอย่างน่าเอ็นดู “องค์หญิงฝูเยา ท่านดูสิ ข้าเป็นม้าจริงๆ ถ้าหากว่าท่านยินยอม ข้าก็สามารถพาท่านไปได้ทุกที่”

พูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง “เพียงแค่ เพียงแค่ท่านมอบผลแย่งลิขิตให้ข้าก็พอ…”

อีกาไฟใช้ปีกปิดหน้าเอาไว้

สถานการณ์ย่ำแย่เสียจริง อสูรเขาเดียวผู้สูงศักดิ์ถึงกับต้องแปลงเป็นม้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องคิดหาวิธีซ่อนเขาทองคำนั่นไว้สักหน่อยสิ

ในฐานะที่องค์หญิงฝูเยาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง อีกทั้งยังเป็นบุตรีเจ้าหุบเขาไป่กั่ว แม้ว่าประสบการณ์ในการต่อสู้กับศัตรูจะไม่มากเท่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับบเดียวกัน แต่มีความรู้มาก เหตุใดถึงจะดูไม่ออกว่าเขาน้อยเป็นอสูรเขาเดียว

ยามมองไปที่ดวงตากลมโตบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยการภาวนาและความตื่นตระหนกของเขาน้อยคู่นั้น ด้วยกลัวว่าตนจะถูกมองออกจึงขยับตัวเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

เรื่องที่เพิ่งพบเจอทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางหันหน้าไปถามหมาป่าน้อย “เจ้าเองก็เป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรหรือ”

หมาป่าน้อยเชิดหน้าขึ้น “แน่นอน”

องค์หญิงฝูเยาถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว

ถ้าหากว่าหมาป่าน้อยเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียร แม้ว่าการกระทำของเขาก่อนหน้านี้จะน่ารังเกียจ แต่มิได้เลวร้ายเยี่ยงนั้นแล้ว ถึงอย่างไรปีศาจบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ โดนเฉพาะพวกอายุน้อยเดิมทีก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องชายหญิงเท่าใดนัก

องค์หญิงฝูเยาคือสตรีที่เป็นความภาคภูมิใจของมวลมนุษย์อย่างแท้จริง นางทะนงตนจนถึงกระดูกดำ บนโลกนี้มีผู้ที่เข้าตานางเพียงไม่กี่คน แต่เพราะเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกโอบอ้อมอารีกับคนบางกลุ่มและเรื่องบางเรื่อง ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักใจแคบที่ชีวิตลำบากพวกนั้น

นางเม้มริมฝีปาก จากนั้นมองไปทางเยี่ยเทียนหยวนและหลัวอวี้เฉิง น้ำเสียงกลับไปอบอุ่นอย่างไม่รู้ตัว “แล้วทั้งสองท่านเล่า หรือว่าเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรเช่นกัน”

หลัวอวี้เฉิงจับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปขององค์หญิงฝูเยาได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเป็นประกายและรีบตอบ “สหายเยี่ย ใช้อารมณ์และเหตุผลบอกนางเถิด”

เยี่ยเทียนหยวนมองตรงไปยังองค์หญิงฝูเยา ทันใดนั้นเขาก็สะบัดเสื้อสีเขียวออกและก้มลงคุกเข่า “ข้าคือลั่วหยาง ครั้งนี้ต้องขอรบกวนองค์หญิง วิงวอนให้องค์หญิงยินยอมแลกเปลี่ยนผลแย่งลิขิตให้แก่พวกเรา”

เมื่อเขาคุกเข่าลงคนอื่นๆ ต่างก็แข็งทื่อ โดยเฉพาะหมาป่าน้อยที่กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ลั่วหยางเจินจวิน ท่านไม่เห็นต้องทำเยี่ยงนี้ หากนางมิให้ข้าก็แค่ค้นตัวนาง ข้าดมรู้แล้วว่าที่เก็บสมบัติของนางอยู่บนนิ้วมือ”

องค์หญิงฝูเยามองค้อนไปยังหมาป่าน้อย ตามด้วยมองไปทางเยี่ยเทียนหยวนพลางกล่าว “ลั่วหยางเจินจวิน เจ้าคิดจะคุกเข่าเพื่อบังคับให้ข้าตอบตกลงเช่นนั้นหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าคุกเข่าก็เพราะอยากจะขออภัยองค์หญิงอย่างจริงใจ หวังว่าองค์หญิงจะไม่ปฏิเสธเพราะการกระทำอันบุ่มบ่ามก่อนหน้านี้ของหมาป่าน้อย ส่วนผลแย่งลิขิตพวกเรามิได้ร้องขอจากท่านแต่เป็นการแลกเปลี่ยน เพียงแค่องค์หญิงเสนอออกมา ขอเพียงไม่เหนือบ่ากว่าแรง ข้าก็จะทำให้”

องค์หญิงฝูเยาเงียบอยู่ครู่ก่อนจะถาม “พวกเจ้าต้องการผลแย่งลิขิตไปทำไมกัน”

“เพื่อช่วยชีวิตคู่บำเพ็ญของข้า” เยี่ยเทียนหยวนตอบอย่างไม่ลังเล

“หือ” องค์หญิงฝูเยาเลิกคิ้ว “ข้ายังไม่เข้าใจนัก สุภาษิตกล่าวไว้ว่ายามคับขันต้องดูสถานการณ์ เหตุใดสหายมิเข้าร่วมประลองเล่า พบกับข้าเช่นนั้นดีกว่าเช่นนี้อยู่มากมิใช่หรือ ถึงตอนนั้นเจ้าก็พูดถึงสาเหตุ หรือว่าเจ้ากังวลว่าข้าจะบังคับเจ้าแต่งงาน”

เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างใจเย็น “ยามคับขันต้องดูสถานการณ์ก็ต้องยึดตามหลักการ สิ่งนี้มิได้เกี่ยวข้องกับท่าทีขององค์หญิง”

“หลักการอันใด”

“มิสร้างความสุขของตนเองบนบาดแผลอันไร้สาเหตุของผู้อื่น”

หัวใจขององค์หญิงฝูเยาสั่นไหว นางถามอีกครา “เช่นนั้นแล้วคู่บำเพ็ญของเจ้าเล่า เพื่อหลักการแล้วเจ้าอาจทำให้การรักษานางล่าช้า เช่นนั้นแล้วนางจะไม่โทษท่านหรอกหรือ”

เมื่อพูดถึงมั่วชิงเฉิน คิ้วที่ดูเคร่งขรึมของเยี่ยเทียนหยวนพลันอ่อนลง เขาพูดเสียงอ่อน “ภรรยาย่อมต้องคิดเช่นนี้แน่…”

คนที่เคยเย็นชามีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่ริมฝีปาก ประหนึ่งน้ำแข็งที่ละลายลงและแสงฤดูใบไม้ผลิเล็ดลอดเข้ามา

องค์หญิงฝูเยามิเคยพบเจอบุรุษเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะลองหยั่งเชิงต่อไป “ในเมื่อเจ้ามีหลักการเช่นนี้ ทำไมถึงคุกเข่าให้ข้าอย่างง่ายดายนักเล่า หรือว่ามิทราบว่าใต้เข่าของผู้ชายนั้นมีทองคำอยู่”

เยี่ยเทียนหยวนไม่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เขาตอบอย่างสบายๆ “มิเกี่ยวกับผู้อื่นหรอก ทุกสิ่งที่ข้าทำเพื่อภรรยานั้นล้วนทำด้วยความรัก เช่นนั้นแล้วอย่าได้พูดถึงการคุกเข่าเลย”

เยี่ยเทียนหยวนยืนนิ่ง ไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก

หลัวอวี้เฉิงพูดออกมาเสียงเบา “สหายเยี่ย องค์หญิงจะต้องตอบรับแน่นอน”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เยี่ยเทียนหยวนตอบอย่างใจเย็น

“สหายเยี่ย ความจริงแล้วข้าก็สงสัยมาก หากองค์หญิงฝูเยามิตอบรับ เจ้าก็จะยอมแพ้ต่อผลแย่งลิขิตจริงๆ หรือ”

เยี่ยเทียนหยวนตอบ “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้องค์หญิงตอบรับ ถ้าหากว่าขอร้องไม่สำเร็จข้าก็จะไปตามหาผลไม้อัศจรรย์อื่น”

สิ่งที่เขาอยากมอบให้แก่ศิษย์น้องคือความสุขอันบริสุทธิ์ ความสุขที่หวนรำลึกถึงทุกคนทุกเรื่องได้โดยมิต้องรู้สึกผิด

“แล้วถ้าหากชิงเฉินรอมิไหวเล่า”

“ดวงจิตครึ่งหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ คงมิน้อยไปกว่าผลไม้อัศจรรย์ใดๆ” เยี่ยเทียนหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

หลัวอวี้เฉิงเงียบพลางหลุบตาลงต่ำ

นี่คือความแตกต่างระหว่างเขาและลั่วหยางเจินจวิน ในทางกลับกันหากเป็นเขาก็จะคิดหาวิธีเป็นร้อยเป็นพันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลแย่งลิขิต

แม้ว่าตอนนี้จะรู้ความคิดของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ความคิดของเขาเองก็ยังจะไม่แปรเปลี่ยน

ถ้าหากว่าองค์หญิงฝูเยาไม่ตอบรับ เขาก็จะใช้วิธีของตัวเองเพื่อเอาผลแย่งลิขิตมาไว้ในมือ

เขามิอาจตามหาผลไม้อัศจรรย์อื่นด้วยความหวังอันเลือนรางได้ ถ้าหากว่าบนโลกนี้หาผลไม้อัศจรรย์ได้ง่ายเพียงนั้น พวกเขาคงไม่ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงที่นี่

ส่วนที่ลั่วหยางเจินจวินคิดจะแบ่งดวงจิตครึ่งหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตของชิงเฉิน หากชิงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้วจะปวดใจเพียงใด

เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี่ให้เขาทำเถิด

“ข้าจะมอบผลแย่งลิขิตให้พวกเจ้า แต่ว่า มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ” ในที่สุดองค์หญิงฝูเยาก็เอ่ยออกมา

“เงื่อนไขอันใด” พวกเขาถามขึ้นพร้อมกัน

“พวกเจ้ามิใช่ว่าควรปล่อยองค์หญิงก่อนหรอกหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าให้หมาป่าน้อย

หมาป่าน้อยยกมือขึ้นอย่างไม่เต็มใจและเก็บเถาวัลย์มัดวิญญาณกลับไป

องค์หญิงฝูเยาทอดถอนใจด้วยความโล่งอก นางก้าวเดินหลายก้าวจนมาหยุดยืนอยู่หน้าเยี่ยเทียนหยวน “ข้ามีบุปผาอัศจรรย์อยู่หนึ่งต้น ข้าใช้จิตวิญญาณและโลหิตเลี้ยงมันมาเกินร้อยปี จนถึงวันนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่มันอาจจะแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผา”

“วิญญาณบุปผาหรือ” พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก

องค์หญิงฝูเยาเลิกคิ้ว “มีอันใดแปลกหรือ มิใช่ว่าพืชพรรณวิญญาณทุกชนิดจะสามารถแปลงกายเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรได้เสียหน่อย พืชพรรณวิญญาณที่แปลงกายมิได้เหล่านี้ อาศัยโอกาสเหมาะในการแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากพืชพรรณวิญญาณไม่ได้รับสังขารของมนุษย์ ดวงจิตก็จะออกจากร่างบุปผา”

“เช่นนั้นองค์หญิงจะให้พวกเราทำอันใดหรือ” หลัวอวี้เฉิงถามอย่างยิ้มๆ แต่ในใจกลับคาดการณ์ไว้คร่าวๆ แล้ว

เป็นไปตามคาด คำพูดขององค์หญิงฝูเยายืนยันการคาดการณ์ของเขา “ทุกสรรพสิ่งบนโลกมิอาจรอดพ้นจากสมดุลหยินหยางได้ บุปผาอัศจรรย์ต้นนั้นของข้าที่มิสามารถแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผาได้ ก็เป็นเพราะมีเพียงแค่จิตวิญญาณและโลหิตของข้าที่คอยรดมันเพียงอย่างเดียว ขาดรสชาติจิตวิญญาณและโลหิตของบุรุษ”

มุมปากของหลัวอวี้เฉิงยกขึ้น “ต้องการจิตวิญญาณและโลหิตของบุรุษเช่นนั้นหรือ สำหรับองค์หญิงแล้วมันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่มิใช่หรือ”

องค์หญิงฝูเยากวาดตามองเขาหนึ่งครา ตามด้วยมองเยี่ยเทียนหยวนพลางเอ่ย “จนถึงตอนนี้มันก็มิได้ง่ายดายเพียงนั้น เพียงแต่มิมีความจำเป็นใดจะต้องพูดถึงเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นบุปผาอัศจรรย์ต้นนั้นต้องการจิตวิญญาณและโลหิตของบุรุษทุกวัน เมื่อไหร่จะแพร่พันธุ์บุปผาวิญญาณออกมาก็มิอาจรู้ได้ ไม่แน่อาจต้องใช้เวลานับร้อยปี เป็นอย่างไรเล่า พวกเจ้าทั้งสองคนยินยอมหรือไม่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+