พันธกานต์ปราณอัคคี 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถูกทำลายแล้วหรือ” เมื่อเห็นมั่วหร่านอีมีท่าทีกระวนกระวายเช่นนั้น มั่วชิงเฉินก็มีสีหน้าปั้นยาก

มั่วหร่านอีถูกมองเช่นนั้นก็อับอายจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เชิดคางขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “มองข้าเช่นนั้นทำไม หากไม่ใช่ข้า จะตามหาจวนถ้ำของเวินหนิงได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ข้าแค่ แค่ไม่ระวังไปหน่อยก็เท่านั้น นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน!”

พูดจบ ก็สะบัดแขนเสื้อ ก่อนนั่งลงที่มุมหนึ่ง

มั่วชิงเฉินหันขวับมองมั่วเฟยเยียนด้วยสายตาใสซื่อ

มั่วเฟยเยียนเห็นเช่นนั้น ใบหน้าราวกับน้ำแข็งก็มีความอึดอัดใจเพิ่มขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า “น้องสิบหก หากเจ้าไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่นางพูด ข้าจะพาเจ้าไปดู”

“มั่วเฟยเยียน เจ้า…” มั่วหร่านอีรีบลุกขึ้น

“เจ้าหุบปาก” มั่วเฟยเยียนมองมั่วหร่านอีด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่ง ก่อนคว้ามือมั่วชิงเฉินแล้วบินขึ้นไป

มั่วอีหรานพูดไม่ทันจบ ก็ไม่เห็นร่างของทั้งสองแล้ว ยิ่งคิดยิ่งโมโห ด้วยความคับแค้นใจจึงเตะก้อนหินก้อนหนึ่งเต็มแรง

หินที่ถูกแทรกซึมไปด้วยพลังหยินและหยางนานแรมปีหาใช่ก้อนหินธรรมดา แม้มั่วหร่านอีมีพลังมารคอยป้องกันตัว กลับไม่ทันสังเกตว่าเท้าของตนจะบาดเจ็บเพราะหินก้อนนั้น ทำให้เลือดสดไหลซึมทั่วรองเท้า

มั่วหร่านอีร้องด้วยความเจ็บปวด นั่งลงบนพื้นโดยไม่ทันสังเกตว่าหลัวอวี้เฉิงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนก้อนหินใหญ่ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในชุดนักพรตสตรีไม่เพียงเห็นว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน ตรงกันข้ามกลับแสดงท่าทีอิสระและเถรตรง มุมปากคาบใบหญ้าสีเขียวอยู่ก้านหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่กลับไม่ได้มองมาอีกฝั่ง

“นี่เจ้าตายแล้วหรือ”

ได้ยินเช่นนี้หลัวอวี้เฉิงจึงลืมตาหันมามอง มุมปากโค้งขึ้นตอบว่า “เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้”

มั่วหร่านอีชะงัก

เอาอีกแล้ว!

คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงยอมแตกหักกับเหอหนิงหยวนและแม่เลี้ยงอย่างต้องการจะหนีงานแต่งให้ได้ แม้กระทั่งมีคนคิดว่าการแต่งงานกับเขาในฐานะคู่บำเพ็ญเป็นสิ่งที่สูงเกินเอื้อม

คงมีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจ หากต้องอยู่กับบุรุษผู้หยิ่งยโสและเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ จะทำให้คนเสียสติได้ขนาดไหน

เขาไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพียงแค่หนึ่งสายตา หนึ่งรอยยิ้ม ก็สามารถทำให้คนเป็นโมโหจนตาย คนตายโมโหจนฟื้น

นางต้องการหาคู่บำเพ็ญเซียน หาใช่คู่บำเพ็ญมรณะ

“น่าเสียดายจริง มีคนมองตัวเองสูงส่งเกินไปอีกแล้ว เห็นๆ อยู่ว่าคนเขาไม่ชอบ” มั่วหร่านอีหันมามองช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แต่กลับพบว่าสีหน้าของหลัวอวี้เฉิงมิได้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ยิ้มตอบว่า “เช่นนั้นรึ อย่างนั้นข้าผู้เป็นเจินจวินคงต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”

มั่วหร่านอีสีหน้าทะมึนตึง มองหลัวอวี้เฉิงอย่างผู้อยู่เหนือกว่า ทันใดนั้นหัวเราะคราหนึ่ง “เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดหรือไม่ หึๆ เห็นเจ้าโดนบีบให้พ่ายแพ้เช่นนี้ ข้าผู้เป็นแม่นางมีความสุขจริงๆ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร คายใบหญ้าที่อยู่ในปากทิ้ง ก่อนหลับตาลง

มั่วหร่านอีเห็นท่าทางของเขาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ จึงทำท่ายกเท้าจะเตะเข้าที่น่องเต็มแรง พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าตอนนี้ข้าสามารถตีเจ้าได้”

พูดจบ มั่วหร่านอีก็ใจเต้นระรัว ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น

เพราะบุรุษผู้นี้ ทำตัวไร้เหตุผลกับตนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว หรือว่าสวรรค์เปิดโอกาสให้นางได้ระบายอารมณ์สักครา

เอ่อ ได้เห็นพันธมิตรของน้องสิบหกโดนตีจนพิการไปครึ่งหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง

เอ๊ะ ไม่ถูก หากตีเขาจนพิการไปครึ่งหนึ่ง น้องสิบหกก็ต้องดูแลเขาอีก เช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากำลังส่งเสริมเขาอยู่หรอกหรือ!

เช่นนั้นจะตีหรือว่าจะตีดีนะ

เอาเป็นว่าตีก็แล้วกัน

แม่นางผู้นี้ ไม่รู้ตัวเลยว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่นางคิดจนสับสนวุ่นวายนั้นออกนอกลู่นอกทางไปไกลมาก

มุมปากหลัวอวี้เฉิงโค้งเล็กน้อย “แม่นางมั่วคิดได้หรือยังว่าจะจัดการข้าผู้เป็นเจินจวินอย่างไร”

“แน่นอนว่าตีเจ้าจนตาย” มั่วหร่านอีเชิดหน้าขึ้นยิ้มตอบอย่างเย็นชา

หลัวอวี้เฉิงมองนางเงียบๆ “เกรงว่าไม่ได้”

มั่วหร่านอีเบะปาก “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า หรือคำนวณดีแล้วว่าน้องสิบหกจะกลับมาได้ในเวลาอันสั้น”

สายตาของหลัวอวี้เฉิงมองข้ามมั่วหร่านอีไปด้านหลัง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “อาชิง หากเจ้ายังชมความครึกครื้นอยู่อีก ข้ารับประกันว่าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี”

มั่วหร่านอีสะดุ้ง เมื่อหันหลังมอง พลันพบว่าเสือขนสีน้ำเงินตัวหนึ่งน้ำตาไหลพรากโผเข้ามาหานางด้วยความรวดเร็ว ปากร้องตะโกนลั่น “นายท่าน ข้าไม่อาจไม่ตายดีได้ ชิงสิบยังเด็กเกินไป ขนาดก้นของนางข้ายังไม่ทันสัมผัสเลย ฮือออ…”

ความโศกเศร้าและความโกรธแค้น ทำให้พลังโจมตีของเสือขนสีน้ำเงินยิ่งร้ายกาจขึ้น บีบบังคับให้มั่วหร่านอีต้องถอยหลังไป

สตรีหนึ่งคนกับเสือหนึ่งตัว ต่อสู้กันจนถอยห่างไกลออกไป

ขณะเดียวกันมั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนบินลงมาพร้อมกันอย่างเงียบๆ

มั่วเฟยเยียนที่มองเห็นมั่วหร่านอีอยู่ไม่ไกล ก็เดินไปหาหลัวอวี้เฉิง พูดอย่างกระดากอายว่า “ขออภัย น้องของข้าไม่รู้ความ”

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะ “ไม่เป็นไร”

เงียบไปสักพัก มั่วเฟยเยียนพูดต่อว่า “หรือไม่ เจ้าก็คิดเสียว่านางเพิ่งจะสิบขวบ…”

มั่วหร่านอีที่สังเกตเห็นว่าพวกมั่วชิงเฉินบินกลับมาแล้วได้ยินบทสนทนานั้น พลันตะโกนออกไป “มั่วเฟยเยียน เหตุใดเจ้าไม่ไปตายเสีย!”

เมื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เสือขนสีน้ำเงินใช้หางกวาดและตะปบลงบนกระโปรง

ทันใดนั้น มั่วหร่านอีก็คิดจะบินขึ้นเพื่อหลบการโจมตี ทว่าร่างกายส่วนล่างกลับเบาหวิว เมื่อก้มลงมองพบว่ากระโปรงที่คุ้นตาตัวนั้นถูกพยัคฆ์ทมิฬจับไว้อยู่ ส่วนตนลอยอยู่กลางอากาศ มีเพียงกางเกงในสีแดงเข้มตัวบางที่แนบกายโผล่ออกมา

อุ้งเท้าของเสือขนสีน้ำเงินอาชิงถูกเติมเต็มด้วยความปรารถนาในทันใดเมื่อเห็นใบหน้าของมั่วหร่านอีแดงฉ่าราวลูกท้อ ก่อนใช้อุ้งมือประหลาดของมันยื่นมาก้นกลมที่อยู่ไม่ไกลอย่างปลื้มปีติ

มั่วหร่านอีหยุดการเคลื่อนไหว ก้มหัวช้าๆ มองอุ้งมือกดทับอยู่บนก้นของตัวเอง เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จึงมีเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้น ก่อนมีเสียงฟาดดังเปรี้ยงบนหน้าของอาชิงที่กำลังตกตะลึงอยู่

“กรี๊ด ไอ้หมาป่าบ้ากาม ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีให้ตาย!” มั่วหรานอี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จับอาชิงที่กำลังมีสีหน้าโง่งมกดลงพื้นแล้วหมุนตัวขี่คร่อมด้านบน ใช้ทั้งมือทั้งเท้าเตะตีมัน

“ข้า…ข้าเป็นเสือ ข้าไม่ใช่หมาป่า…” อาชิงใช้อุ้งเท้ากันหัวไว้ ขณะที่ปากพูดติดๆ ขัดๆ

ฝั่งของมั่วชิงเฉินทั้งสามคนตัวแข็งทื่ออยู่นาน ในที่สุดมั่วเฟยเยียนทนดูต่อไปไม่ไหว วิ่งเข้าไปด้วยใบหน้าซีดเผือก “มั่วหร่านอี เจ้ารีบลงมาเดี๋ยวนี้!”

มั่วเฟยเยียนเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่มั่วหร่านอียังคงยืดหยัดที่จะตีอาชิงให้ตายอย่างเจ็บปวดโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมือ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหันไปถามหลัวอวี้เฉิงว่า “ชิงสิบคือใคร”

หลัวอวี้เฉิงหันมานางตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเหมือนอย่างทุกครั้ง “ทุกครั้งที่อาชิงคาบสตรีกลับมาจะตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ชิงหนึ่ง ชิงสอง…ชิงสิบ”

มั่วชิงเฉินหมดคำพูด…

“เช่นนั้น ข้าจะเตือนอาชิง หากกล้าเรียกแม่นางมั่วว่าชิงสิบเอ็ด ข้าจะให้มันไม่ตายดี…”

มั่วชิงเฉินร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ นี่นับเป็นการปลอบขวัญเจ้าหรือไม่”

หลัวอวี้เฉิงกระแอมเบาๆ “แค่กๆ ไม่สู้ เจ้าพาข้าไปดูจวนถ้ำของเวินหนิงดีหรือไม่”

มองภาพเหตุการณ์ตรงน่าช่างเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ มั่วชิงเฉินจึงตอบตกลงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ยอดเขาน้ำตกสูงเป็นพันจั้ง แม้หลัวอวี้เฉิงได้รับบาดเจ็บไม่สะดวกเรียกใช้พลังวิญญาณ แต่มั่วชิงเฉิงก็พาเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ใช้เวลาไม่นานก็ถึงยอดเขา

มองเข้าไป เห็นแท่นทรงกลมสูงประมาณครึ่งจั้ง

แท่นวงกลมมีสีดำสนิท บริเวณโดยรอบมีรอยแตกประหลาดอยู่ทุกที่ มองจากด้านบนลงมาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท่นกลมไม่ได้มีเพียงส่วนเดียว แต่เป็นวงแหวนทั้งหมดเก้าชั้นล้อมรอบอยู่ตรงขอบด้านนอก

จากบริเวณด้านนอกจนถึงบริเวณด้านใน สีของขอบมีความเข้มขึ้น จนถึงตรงกลางก็ไม่อาจเห็นรายละเอียดแกนกลางทรงกลมด้านในได้ชัดเจน

หอกักวิญญาณที่มีรูปร่างเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ แม้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้เห็นเพียงช่วงเวลาอันสั้น แต่มั่วชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมให้กับความสร้างสรรค์ของมัน

หลัวอวี้เฉิงเดินมาถึงด้านข้างของหอกักวิญญาณ จ้องมองรูกลมตรงกลางสักพัก ก่อนถามมั่วชิงเฉินว่า “สหายมั่ว เจ้าหาไม้สะกดวิญญาณเจอหรือยัง”

มั่วชิงเฉินสะดุ้ง ก่อนตอบว่า “เจอแล้ว เจ้าถามทำไมรึ”

“หากมีเหลือ แบ่งให้ข้าสักอัน อืม เอาเท่าขนาดเล็บมือก็พอแล้ว”

ท่านปู่และท่านอาหกกลับสู่ปรโลกไปแล้ว ไม้สะกดวิญญาณที่เหลือไม่ได้นำมาใช้อีก มั่วชิงเฉินหยิบให้เขาชิ้นหนึ่งอย่างไม่คิดอะไร

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนยิ้มเจื่อนพูดว่า “ดูท่า สหายมั่วคงทำเหล่าวิญญาณในแดนผีสูญสลายไปไม่น้อยกระมัง”

มั่วชิงเฉินจ้องหลัวอวี้เฉิงอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นาน ก่อนพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้ามารร้าย พูดมากเกินไประวังโดนนักพรตเฒ่าปราบมารมาจับเจ้า”

หลัวอวี้เฉิงหันตัวกลับมาที่แท่นผนึกวิญญาณ บดไม้ผนึกวิญญาณช้าๆ จนกลายเป็นผงละเอียด แล้วยิ้มตอบกลับว่า “เง็กเซียนยังพอว่า แต่ถ้าเป็นนักพรตละก็ แน่จริงก็เข้ามาเลย”

ได้ยินถ้อยคำหยอกล้ออย่างชัดถ้อยชัดคำ ในใจของมั่วชิงเฉินไม่อยากสาธยายอะไรอีก จึงไม่เอ่ยวาจาอันใดออกไป

หลัวอวี้เฉิงฟื้นตัวจากการใช้บุปผาน้ำแข็งก้นสระและโอสถ ทำให้สามารถใช้พลังวิญญาณได้เบาบาง นิ้วมือขยับเป็นเส้นพลังวิญญาณเส้นเล็ก เพื่อใช้ผสานรอยแตกและลวดลายประหลาด กลายเป็นตาข่ายตาถี่ห่อหุ้มเอาไว้ ก่อนจะพุ่งเข้าไปยังรูกลมตรงกลางของหอกักวิญญาณ

หลัวอวี้เฉิงโน้มตัวลง และใช้หูฟังการเคลื่อนไหวด้านใน เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันหลังมา ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกลับเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของมั่วชิงเฉิน จึงถามออกไปด้วยความลังเล “ทำไมรึ”

มั่วชิงเฉินได้สติ รีบส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร สหายหลัว เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใดอยู่”

จะให้นางบอกอย่างไร เมื่อได้ยินคำหยอกล้อเมื่อครู่ของเขา พลันนึกถึงคำเตือนของฝูเฟิงเจินจวิน

ทางสวรรค์สมดุล ฉลาดมากจะเจ็บ

ตอนนั้น ฝูเฟิงเจินจวินใช้สายตาที่น่าสงสารและเห็นใจมองหลัวอวี้เฉิง พูดออกมาแปดคำ ผู้ฟังที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนางอกสั่นขวัญผวาด้วยความกลัว

เห็นมั่วชิงเฉินบ่ายเบี่ยงไม่ยอมพูด หลัวอวี้เฉิงก็ไม่ถามอันใด อธิบายว่า “ช่วงต้นปีข้าได้อ่านหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง มีรายละเอียดของหอกักวิญญาณเขียนเอาไว้ กำแพงด้านในหอกักวิญญาณ สามารถเปลี่ยนเป็นกำแพงสะท้อนเสียง หากใช้วิชาลับเฉพาะจุดไม้ผนึกวิญญาณแล้วโยนเข้าไป จะได้ยินเสียงของภูตผีปีศาจที่อยู่ด้านในหอกักวิญญาณตลอดเวลา

“คาดไม่ถึงว่าน่าประหลาดใจเช่นนี้ เช่นนั้นด้านในหอกักวิญญาณมีพวกภูตผีวิญญาณทั้งหมดกี่ตัวหรือ” มั่วชิงเฉินรีบถาม

หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย “การก่อตัวของหอสะกดวิญญาณใช้เวลาไม่นานนัก ภูตผีที่หลับอยู่ก็มีไม่มาก หากนับอย่างละเอียดแล้วมีทั้งหมดสิบตน ทว่าในนี้ไม่มีเวินหนิง”

“เป็นไปได้อย่างไร…” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้ ข้าก็คิดอยู่ตลอด จนถึงตอนนี้มีทฤษฎีอยู่หนึ่งข้อ ปีนั้นเวินหนิงมีเหตุผลในการเลือกหยุดพักในหมู่บ้านที่ข้าเกิด แม้พบว่าที่นั่นมีพลังหยินเข้มข้น แต่สภาพแวดล้อมในการฝึกบำเพ็ญในดินแดนเทียนหยวนเป็นไปได้มากว่าห่างชั้นจากจงหลางนัก สถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นนี้มีประโยชน์เป็นพิเศษต่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เป็นโชคอันหาได้ยาก หรือไม่ เป็นไปได้ว่าเวินหนิงมีแผนอื่น ไม่ก็นางรู้สึกเสียใจภายหลังกับความหุนหันในปีนั้น ทั้งอายุไม่มากยากจะกลับจงหลาน จึงต้องยืมหอกักวิญญาณกักดวงวิญญาณตนไว้ นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ยากจะได้มา”

พูดถึงตรงนี้ยิ่งสบสนยิ่งกว่าเดิม “แต่ จวนถ้ำของนางก็อยู่ไม่ไกล กลับไม่ใช้หอกักวิญญาณ หรือว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ดับสูญก็หนีไปเสียก่อน เช่นนั้น ที่ท่านอาหกของข้าเจอเวินหนิง เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นหรือ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มอ่อน “แทนที่จะเดาอยู่ตรงนี้ไปเรื่อย มิสู้ไปหาเบาะแสที่จวนถ้ำของเวินหนิงเลยเล่า”

มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจนปัญญา ลากเขาออกไปด้วยความรวดเร็วก่อนหยุดลงด้านนอก ถอนหายใจพูดขึ้นว่า “สหายหลัว ท่านดูเอาเองเถอะ จวนถ้ำของนางกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถูกทำลายแล้วหรือ” เมื่อเห็นมั่วหร่านอีมีท่าทีกระวนกระวายเช่นนั้น มั่วชิงเฉินก็มีสีหน้าปั้นยาก

มั่วหร่านอีถูกมองเช่นนั้นก็อับอายจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เชิดคางขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “มองข้าเช่นนั้นทำไม หากไม่ใช่ข้า จะตามหาจวนถ้ำของเวินหนิงได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ข้าแค่ แค่ไม่ระวังไปหน่อยก็เท่านั้น นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน!”

พูดจบ ก็สะบัดแขนเสื้อ ก่อนนั่งลงที่มุมหนึ่ง

มั่วชิงเฉินหันขวับมองมั่วเฟยเยียนด้วยสายตาใสซื่อ

มั่วเฟยเยียนเห็นเช่นนั้น ใบหน้าราวกับน้ำแข็งก็มีความอึดอัดใจเพิ่มขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า “น้องสิบหก หากเจ้าไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่นางพูด ข้าจะพาเจ้าไปดู”

“มั่วเฟยเยียน เจ้า…” มั่วหร่านอีรีบลุกขึ้น

“เจ้าหุบปาก” มั่วเฟยเยียนมองมั่วหร่านอีด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่ง ก่อนคว้ามือมั่วชิงเฉินแล้วบินขึ้นไป

มั่วอีหรานพูดไม่ทันจบ ก็ไม่เห็นร่างของทั้งสองแล้ว ยิ่งคิดยิ่งโมโห ด้วยความคับแค้นใจจึงเตะก้อนหินก้อนหนึ่งเต็มแรง

หินที่ถูกแทรกซึมไปด้วยพลังหยินและหยางนานแรมปีหาใช่ก้อนหินธรรมดา แม้มั่วหร่านอีมีพลังมารคอยป้องกันตัว กลับไม่ทันสังเกตว่าเท้าของตนจะบาดเจ็บเพราะหินก้อนนั้น ทำให้เลือดสดไหลซึมทั่วรองเท้า

มั่วหร่านอีร้องด้วยความเจ็บปวด นั่งลงบนพื้นโดยไม่ทันสังเกตว่าหลัวอวี้เฉิงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนก้อนหินใหญ่ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในชุดนักพรตสตรีไม่เพียงเห็นว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน ตรงกันข้ามกลับแสดงท่าทีอิสระและเถรตรง มุมปากคาบใบหญ้าสีเขียวอยู่ก้านหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่กลับไม่ได้มองมาอีกฝั่ง

“นี่เจ้าตายแล้วหรือ”

ได้ยินเช่นนี้หลัวอวี้เฉิงจึงลืมตาหันมามอง มุมปากโค้งขึ้นตอบว่า “เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้”

มั่วหร่านอีชะงัก

เอาอีกแล้ว!

คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงยอมแตกหักกับเหอหนิงหยวนและแม่เลี้ยงอย่างต้องการจะหนีงานแต่งให้ได้ แม้กระทั่งมีคนคิดว่าการแต่งงานกับเขาในฐานะคู่บำเพ็ญเป็นสิ่งที่สูงเกินเอื้อม

คงมีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจ หากต้องอยู่กับบุรุษผู้หยิ่งยโสและเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ จะทำให้คนเสียสติได้ขนาดไหน

เขาไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพียงแค่หนึ่งสายตา หนึ่งรอยยิ้ม ก็สามารถทำให้คนเป็นโมโหจนตาย คนตายโมโหจนฟื้น

นางต้องการหาคู่บำเพ็ญเซียน หาใช่คู่บำเพ็ญมรณะ

“น่าเสียดายจริง มีคนมองตัวเองสูงส่งเกินไปอีกแล้ว เห็นๆ อยู่ว่าคนเขาไม่ชอบ” มั่วหร่านอีหันมามองช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แต่กลับพบว่าสีหน้าของหลัวอวี้เฉิงมิได้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ยิ้มตอบว่า “เช่นนั้นรึ อย่างนั้นข้าผู้เป็นเจินจวินคงต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”

มั่วหร่านอีสีหน้าทะมึนตึง มองหลัวอวี้เฉิงอย่างผู้อยู่เหนือกว่า ทันใดนั้นหัวเราะคราหนึ่ง “เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดหรือไม่ หึๆ เห็นเจ้าโดนบีบให้พ่ายแพ้เช่นนี้ ข้าผู้เป็นแม่นางมีความสุขจริงๆ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร คายใบหญ้าที่อยู่ในปากทิ้ง ก่อนหลับตาลง

มั่วหร่านอีเห็นท่าทางของเขาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ จึงทำท่ายกเท้าจะเตะเข้าที่น่องเต็มแรง พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าตอนนี้ข้าสามารถตีเจ้าได้”

พูดจบ มั่วหร่านอีก็ใจเต้นระรัว ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น

เพราะบุรุษผู้นี้ ทำตัวไร้เหตุผลกับตนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว หรือว่าสวรรค์เปิดโอกาสให้นางได้ระบายอารมณ์สักครา

เอ่อ ได้เห็นพันธมิตรของน้องสิบหกโดนตีจนพิการไปครึ่งหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง

เอ๊ะ ไม่ถูก หากตีเขาจนพิการไปครึ่งหนึ่ง น้องสิบหกก็ต้องดูแลเขาอีก เช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากำลังส่งเสริมเขาอยู่หรอกหรือ!

เช่นนั้นจะตีหรือว่าจะตีดีนะ

เอาเป็นว่าตีก็แล้วกัน

แม่นางผู้นี้ ไม่รู้ตัวเลยว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่นางคิดจนสับสนวุ่นวายนั้นออกนอกลู่นอกทางไปไกลมาก

มุมปากหลัวอวี้เฉิงโค้งเล็กน้อย “แม่นางมั่วคิดได้หรือยังว่าจะจัดการข้าผู้เป็นเจินจวินอย่างไร”

“แน่นอนว่าตีเจ้าจนตาย” มั่วหร่านอีเชิดหน้าขึ้นยิ้มตอบอย่างเย็นชา

หลัวอวี้เฉิงมองนางเงียบๆ “เกรงว่าไม่ได้”

มั่วหร่านอีเบะปาก “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า หรือคำนวณดีแล้วว่าน้องสิบหกจะกลับมาได้ในเวลาอันสั้น”

สายตาของหลัวอวี้เฉิงมองข้ามมั่วหร่านอีไปด้านหลัง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “อาชิง หากเจ้ายังชมความครึกครื้นอยู่อีก ข้ารับประกันว่าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี”

มั่วหร่านอีสะดุ้ง เมื่อหันหลังมอง พลันพบว่าเสือขนสีน้ำเงินตัวหนึ่งน้ำตาไหลพรากโผเข้ามาหานางด้วยความรวดเร็ว ปากร้องตะโกนลั่น “นายท่าน ข้าไม่อาจไม่ตายดีได้ ชิงสิบยังเด็กเกินไป ขนาดก้นของนางข้ายังไม่ทันสัมผัสเลย ฮือออ…”

ความโศกเศร้าและความโกรธแค้น ทำให้พลังโจมตีของเสือขนสีน้ำเงินยิ่งร้ายกาจขึ้น บีบบังคับให้มั่วหร่านอีต้องถอยหลังไป

สตรีหนึ่งคนกับเสือหนึ่งตัว ต่อสู้กันจนถอยห่างไกลออกไป

ขณะเดียวกันมั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนบินลงมาพร้อมกันอย่างเงียบๆ

มั่วเฟยเยียนที่มองเห็นมั่วหร่านอีอยู่ไม่ไกล ก็เดินไปหาหลัวอวี้เฉิง พูดอย่างกระดากอายว่า “ขออภัย น้องของข้าไม่รู้ความ”

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะ “ไม่เป็นไร”

เงียบไปสักพัก มั่วเฟยเยียนพูดต่อว่า “หรือไม่ เจ้าก็คิดเสียว่านางเพิ่งจะสิบขวบ…”

มั่วหร่านอีที่สังเกตเห็นว่าพวกมั่วชิงเฉินบินกลับมาแล้วได้ยินบทสนทนานั้น พลันตะโกนออกไป “มั่วเฟยเยียน เหตุใดเจ้าไม่ไปตายเสีย!”

เมื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เสือขนสีน้ำเงินใช้หางกวาดและตะปบลงบนกระโปรง

ทันใดนั้น มั่วหร่านอีก็คิดจะบินขึ้นเพื่อหลบการโจมตี ทว่าร่างกายส่วนล่างกลับเบาหวิว เมื่อก้มลงมองพบว่ากระโปรงที่คุ้นตาตัวนั้นถูกพยัคฆ์ทมิฬจับไว้อยู่ ส่วนตนลอยอยู่กลางอากาศ มีเพียงกางเกงในสีแดงเข้มตัวบางที่แนบกายโผล่ออกมา

อุ้งเท้าของเสือขนสีน้ำเงินอาชิงถูกเติมเต็มด้วยความปรารถนาในทันใดเมื่อเห็นใบหน้าของมั่วหร่านอีแดงฉ่าราวลูกท้อ ก่อนใช้อุ้งมือประหลาดของมันยื่นมาก้นกลมที่อยู่ไม่ไกลอย่างปลื้มปีติ

มั่วหร่านอีหยุดการเคลื่อนไหว ก้มหัวช้าๆ มองอุ้งมือกดทับอยู่บนก้นของตัวเอง เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จึงมีเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้น ก่อนมีเสียงฟาดดังเปรี้ยงบนหน้าของอาชิงที่กำลังตกตะลึงอยู่

“กรี๊ด ไอ้หมาป่าบ้ากาม ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีให้ตาย!” มั่วหรานอี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จับอาชิงที่กำลังมีสีหน้าโง่งมกดลงพื้นแล้วหมุนตัวขี่คร่อมด้านบน ใช้ทั้งมือทั้งเท้าเตะตีมัน

“ข้า…ข้าเป็นเสือ ข้าไม่ใช่หมาป่า…” อาชิงใช้อุ้งเท้ากันหัวไว้ ขณะที่ปากพูดติดๆ ขัดๆ

ฝั่งของมั่วชิงเฉินทั้งสามคนตัวแข็งทื่ออยู่นาน ในที่สุดมั่วเฟยเยียนทนดูต่อไปไม่ไหว วิ่งเข้าไปด้วยใบหน้าซีดเผือก “มั่วหร่านอี เจ้ารีบลงมาเดี๋ยวนี้!”

มั่วเฟยเยียนเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่มั่วหร่านอียังคงยืดหยัดที่จะตีอาชิงให้ตายอย่างเจ็บปวดโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมือ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหันไปถามหลัวอวี้เฉิงว่า “ชิงสิบคือใคร”

หลัวอวี้เฉิงหันมานางตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเหมือนอย่างทุกครั้ง “ทุกครั้งที่อาชิงคาบสตรีกลับมาจะตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ชิงหนึ่ง ชิงสอง…ชิงสิบ”

มั่วชิงเฉินหมดคำพูด…

“เช่นนั้น ข้าจะเตือนอาชิง หากกล้าเรียกแม่นางมั่วว่าชิงสิบเอ็ด ข้าจะให้มันไม่ตายดี…”

มั่วชิงเฉินร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ นี่นับเป็นการปลอบขวัญเจ้าหรือไม่”

หลัวอวี้เฉิงกระแอมเบาๆ “แค่กๆ ไม่สู้ เจ้าพาข้าไปดูจวนถ้ำของเวินหนิงดีหรือไม่”

มองภาพเหตุการณ์ตรงน่าช่างเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ มั่วชิงเฉินจึงตอบตกลงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ยอดเขาน้ำตกสูงเป็นพันจั้ง แม้หลัวอวี้เฉิงได้รับบาดเจ็บไม่สะดวกเรียกใช้พลังวิญญาณ แต่มั่วชิงเฉิงก็พาเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ใช้เวลาไม่นานก็ถึงยอดเขา

มองเข้าไป เห็นแท่นทรงกลมสูงประมาณครึ่งจั้ง

แท่นวงกลมมีสีดำสนิท บริเวณโดยรอบมีรอยแตกประหลาดอยู่ทุกที่ มองจากด้านบนลงมาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท่นกลมไม่ได้มีเพียงส่วนเดียว แต่เป็นวงแหวนทั้งหมดเก้าชั้นล้อมรอบอยู่ตรงขอบด้านนอก

จากบริเวณด้านนอกจนถึงบริเวณด้านใน สีของขอบมีความเข้มขึ้น จนถึงตรงกลางก็ไม่อาจเห็นรายละเอียดแกนกลางทรงกลมด้านในได้ชัดเจน

หอกักวิญญาณที่มีรูปร่างเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ แม้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้เห็นเพียงช่วงเวลาอันสั้น แต่มั่วชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมให้กับความสร้างสรรค์ของมัน

หลัวอวี้เฉิงเดินมาถึงด้านข้างของหอกักวิญญาณ จ้องมองรูกลมตรงกลางสักพัก ก่อนถามมั่วชิงเฉินว่า “สหายมั่ว เจ้าหาไม้สะกดวิญญาณเจอหรือยัง”

มั่วชิงเฉินสะดุ้ง ก่อนตอบว่า “เจอแล้ว เจ้าถามทำไมรึ”

“หากมีเหลือ แบ่งให้ข้าสักอัน อืม เอาเท่าขนาดเล็บมือก็พอแล้ว”

ท่านปู่และท่านอาหกกลับสู่ปรโลกไปแล้ว ไม้สะกดวิญญาณที่เหลือไม่ได้นำมาใช้อีก มั่วชิงเฉินหยิบให้เขาชิ้นหนึ่งอย่างไม่คิดอะไร

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนยิ้มเจื่อนพูดว่า “ดูท่า สหายมั่วคงทำเหล่าวิญญาณในแดนผีสูญสลายไปไม่น้อยกระมัง”

มั่วชิงเฉินจ้องหลัวอวี้เฉิงอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นาน ก่อนพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้ามารร้าย พูดมากเกินไประวังโดนนักพรตเฒ่าปราบมารมาจับเจ้า”

หลัวอวี้เฉิงหันตัวกลับมาที่แท่นผนึกวิญญาณ บดไม้ผนึกวิญญาณช้าๆ จนกลายเป็นผงละเอียด แล้วยิ้มตอบกลับว่า “เง็กเซียนยังพอว่า แต่ถ้าเป็นนักพรตละก็ แน่จริงก็เข้ามาเลย”

ได้ยินถ้อยคำหยอกล้ออย่างชัดถ้อยชัดคำ ในใจของมั่วชิงเฉินไม่อยากสาธยายอะไรอีก จึงไม่เอ่ยวาจาอันใดออกไป

หลัวอวี้เฉิงฟื้นตัวจากการใช้บุปผาน้ำแข็งก้นสระและโอสถ ทำให้สามารถใช้พลังวิญญาณได้เบาบาง นิ้วมือขยับเป็นเส้นพลังวิญญาณเส้นเล็ก เพื่อใช้ผสานรอยแตกและลวดลายประหลาด กลายเป็นตาข่ายตาถี่ห่อหุ้มเอาไว้ ก่อนจะพุ่งเข้าไปยังรูกลมตรงกลางของหอกักวิญญาณ

หลัวอวี้เฉิงโน้มตัวลง และใช้หูฟังการเคลื่อนไหวด้านใน เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันหลังมา ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกลับเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของมั่วชิงเฉิน จึงถามออกไปด้วยความลังเล “ทำไมรึ”

มั่วชิงเฉินได้สติ รีบส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร สหายหลัว เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใดอยู่”

จะให้นางบอกอย่างไร เมื่อได้ยินคำหยอกล้อเมื่อครู่ของเขา พลันนึกถึงคำเตือนของฝูเฟิงเจินจวิน

ทางสวรรค์สมดุล ฉลาดมากจะเจ็บ

ตอนนั้น ฝูเฟิงเจินจวินใช้สายตาที่น่าสงสารและเห็นใจมองหลัวอวี้เฉิง พูดออกมาแปดคำ ผู้ฟังที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนางอกสั่นขวัญผวาด้วยความกลัว

เห็นมั่วชิงเฉินบ่ายเบี่ยงไม่ยอมพูด หลัวอวี้เฉิงก็ไม่ถามอันใด อธิบายว่า “ช่วงต้นปีข้าได้อ่านหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง มีรายละเอียดของหอกักวิญญาณเขียนเอาไว้ กำแพงด้านในหอกักวิญญาณ สามารถเปลี่ยนเป็นกำแพงสะท้อนเสียง หากใช้วิชาลับเฉพาะจุดไม้ผนึกวิญญาณแล้วโยนเข้าไป จะได้ยินเสียงของภูตผีปีศาจที่อยู่ด้านในหอกักวิญญาณตลอดเวลา

“คาดไม่ถึงว่าน่าประหลาดใจเช่นนี้ เช่นนั้นด้านในหอกักวิญญาณมีพวกภูตผีวิญญาณทั้งหมดกี่ตัวหรือ” มั่วชิงเฉินรีบถาม

หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย “การก่อตัวของหอสะกดวิญญาณใช้เวลาไม่นานนัก ภูตผีที่หลับอยู่ก็มีไม่มาก หากนับอย่างละเอียดแล้วมีทั้งหมดสิบตน ทว่าในนี้ไม่มีเวินหนิง”

“เป็นไปได้อย่างไร…” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้ ข้าก็คิดอยู่ตลอด จนถึงตอนนี้มีทฤษฎีอยู่หนึ่งข้อ ปีนั้นเวินหนิงมีเหตุผลในการเลือกหยุดพักในหมู่บ้านที่ข้าเกิด แม้พบว่าที่นั่นมีพลังหยินเข้มข้น แต่สภาพแวดล้อมในการฝึกบำเพ็ญในดินแดนเทียนหยวนเป็นไปได้มากว่าห่างชั้นจากจงหลางนัก สถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นนี้มีประโยชน์เป็นพิเศษต่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เป็นโชคอันหาได้ยาก หรือไม่ เป็นไปได้ว่าเวินหนิงมีแผนอื่น ไม่ก็นางรู้สึกเสียใจภายหลังกับความหุนหันในปีนั้น ทั้งอายุไม่มากยากจะกลับจงหลาน จึงต้องยืมหอกักวิญญาณกักดวงวิญญาณตนไว้ นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ยากจะได้มา”

พูดถึงตรงนี้ยิ่งสบสนยิ่งกว่าเดิม “แต่ จวนถ้ำของนางก็อยู่ไม่ไกล กลับไม่ใช้หอกักวิญญาณ หรือว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ดับสูญก็หนีไปเสียก่อน เช่นนั้น ที่ท่านอาหกของข้าเจอเวินหนิง เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นหรือ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มอ่อน “แทนที่จะเดาอยู่ตรงนี้ไปเรื่อย มิสู้ไปหาเบาะแสที่จวนถ้ำของเวินหนิงเลยเล่า”

มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจนปัญญา ลากเขาออกไปด้วยความรวดเร็วก่อนหยุดลงด้านนอก ถอนหายใจพูดขึ้นว่า “สหายหลัว ท่านดูเอาเองเถอะ จวนถ้ำของนางกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถูกทำลายแล้วหรือ” เมื่อเห็นมั่วหร่านอีมีท่าทีกระวนกระวายเช่นนั้น มั่วชิงเฉินก็มีสีหน้าปั้นยาก

มั่วหร่านอีถูกมองเช่นนั้นก็อับอายจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เชิดคางขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “มองข้าเช่นนั้นทำไม หากไม่ใช่ข้า จะตามหาจวนถ้ำของเวินหนิงได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ข้าแค่ แค่ไม่ระวังไปหน่อยก็เท่านั้น นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน!”

พูดจบ ก็สะบัดแขนเสื้อ ก่อนนั่งลงที่มุมหนึ่ง

มั่วชิงเฉินหันขวับมองมั่วเฟยเยียนด้วยสายตาใสซื่อ

มั่วเฟยเยียนเห็นเช่นนั้น ใบหน้าราวกับน้ำแข็งก็มีความอึดอัดใจเพิ่มขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า “น้องสิบหก หากเจ้าไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่นางพูด ข้าจะพาเจ้าไปดู”

“มั่วเฟยเยียน เจ้า…” มั่วหร่านอีรีบลุกขึ้น

“เจ้าหุบปาก” มั่วเฟยเยียนมองมั่วหร่านอีด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่ง ก่อนคว้ามือมั่วชิงเฉินแล้วบินขึ้นไป

มั่วอีหรานพูดไม่ทันจบ ก็ไม่เห็นร่างของทั้งสองแล้ว ยิ่งคิดยิ่งโมโห ด้วยความคับแค้นใจจึงเตะก้อนหินก้อนหนึ่งเต็มแรง

หินที่ถูกแทรกซึมไปด้วยพลังหยินและหยางนานแรมปีหาใช่ก้อนหินธรรมดา แม้มั่วหร่านอีมีพลังมารคอยป้องกันตัว กลับไม่ทันสังเกตว่าเท้าของตนจะบาดเจ็บเพราะหินก้อนนั้น ทำให้เลือดสดไหลซึมทั่วรองเท้า

มั่วหร่านอีร้องด้วยความเจ็บปวด นั่งลงบนพื้นโดยไม่ทันสังเกตว่าหลัวอวี้เฉิงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนก้อนหินใหญ่ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในชุดนักพรตสตรีไม่เพียงเห็นว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน ตรงกันข้ามกลับแสดงท่าทีอิสระและเถรตรง มุมปากคาบใบหญ้าสีเขียวอยู่ก้านหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่กลับไม่ได้มองมาอีกฝั่ง

“นี่เจ้าตายแล้วหรือ”

ได้ยินเช่นนี้หลัวอวี้เฉิงจึงลืมตาหันมามอง มุมปากโค้งขึ้นตอบว่า “เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้”

มั่วหร่านอีชะงัก

เอาอีกแล้ว!

คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงยอมแตกหักกับเหอหนิงหยวนและแม่เลี้ยงอย่างต้องการจะหนีงานแต่งให้ได้ แม้กระทั่งมีคนคิดว่าการแต่งงานกับเขาในฐานะคู่บำเพ็ญเป็นสิ่งที่สูงเกินเอื้อม

คงมีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจ หากต้องอยู่กับบุรุษผู้หยิ่งยโสและเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ จะทำให้คนเสียสติได้ขนาดไหน

เขาไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพียงแค่หนึ่งสายตา หนึ่งรอยยิ้ม ก็สามารถทำให้คนเป็นโมโหจนตาย คนตายโมโหจนฟื้น

นางต้องการหาคู่บำเพ็ญเซียน หาใช่คู่บำเพ็ญมรณะ

“น่าเสียดายจริง มีคนมองตัวเองสูงส่งเกินไปอีกแล้ว เห็นๆ อยู่ว่าคนเขาไม่ชอบ” มั่วหร่านอีหันมามองช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แต่กลับพบว่าสีหน้าของหลัวอวี้เฉิงมิได้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ยิ้มตอบว่า “เช่นนั้นรึ อย่างนั้นข้าผู้เป็นเจินจวินคงต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”

มั่วหร่านอีสีหน้าทะมึนตึง มองหลัวอวี้เฉิงอย่างผู้อยู่เหนือกว่า ทันใดนั้นหัวเราะคราหนึ่ง “เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดหรือไม่ หึๆ เห็นเจ้าโดนบีบให้พ่ายแพ้เช่นนี้ ข้าผู้เป็นแม่นางมีความสุขจริงๆ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร คายใบหญ้าที่อยู่ในปากทิ้ง ก่อนหลับตาลง

มั่วหร่านอีเห็นท่าทางของเขาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ จึงทำท่ายกเท้าจะเตะเข้าที่น่องเต็มแรง พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าตอนนี้ข้าสามารถตีเจ้าได้”

พูดจบ มั่วหร่านอีก็ใจเต้นระรัว ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น

เพราะบุรุษผู้นี้ ทำตัวไร้เหตุผลกับตนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว หรือว่าสวรรค์เปิดโอกาสให้นางได้ระบายอารมณ์สักครา

เอ่อ ได้เห็นพันธมิตรของน้องสิบหกโดนตีจนพิการไปครึ่งหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง

เอ๊ะ ไม่ถูก หากตีเขาจนพิการไปครึ่งหนึ่ง น้องสิบหกก็ต้องดูแลเขาอีก เช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากำลังส่งเสริมเขาอยู่หรอกหรือ!

เช่นนั้นจะตีหรือว่าจะตีดีนะ

เอาเป็นว่าตีก็แล้วกัน

แม่นางผู้นี้ ไม่รู้ตัวเลยว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่นางคิดจนสับสนวุ่นวายนั้นออกนอกลู่นอกทางไปไกลมาก

มุมปากหลัวอวี้เฉิงโค้งเล็กน้อย “แม่นางมั่วคิดได้หรือยังว่าจะจัดการข้าผู้เป็นเจินจวินอย่างไร”

“แน่นอนว่าตีเจ้าจนตาย” มั่วหร่านอีเชิดหน้าขึ้นยิ้มตอบอย่างเย็นชา

หลัวอวี้เฉิงมองนางเงียบๆ “เกรงว่าไม่ได้”

มั่วหร่านอีเบะปาก “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า หรือคำนวณดีแล้วว่าน้องสิบหกจะกลับมาได้ในเวลาอันสั้น”

สายตาของหลัวอวี้เฉิงมองข้ามมั่วหร่านอีไปด้านหลัง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “อาชิง หากเจ้ายังชมความครึกครื้นอยู่อีก ข้ารับประกันว่าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี”

มั่วหร่านอีสะดุ้ง เมื่อหันหลังมอง พลันพบว่าเสือขนสีน้ำเงินตัวหนึ่งน้ำตาไหลพรากโผเข้ามาหานางด้วยความรวดเร็ว ปากร้องตะโกนลั่น “นายท่าน ข้าไม่อาจไม่ตายดีได้ ชิงสิบยังเด็กเกินไป ขนาดก้นของนางข้ายังไม่ทันสัมผัสเลย ฮือออ…”

ความโศกเศร้าและความโกรธแค้น ทำให้พลังโจมตีของเสือขนสีน้ำเงินยิ่งร้ายกาจขึ้น บีบบังคับให้มั่วหร่านอีต้องถอยหลังไป

สตรีหนึ่งคนกับเสือหนึ่งตัว ต่อสู้กันจนถอยห่างไกลออกไป

ขณะเดียวกันมั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนบินลงมาพร้อมกันอย่างเงียบๆ

มั่วเฟยเยียนที่มองเห็นมั่วหร่านอีอยู่ไม่ไกล ก็เดินไปหาหลัวอวี้เฉิง พูดอย่างกระดากอายว่า “ขออภัย น้องของข้าไม่รู้ความ”

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะ “ไม่เป็นไร”

เงียบไปสักพัก มั่วเฟยเยียนพูดต่อว่า “หรือไม่ เจ้าก็คิดเสียว่านางเพิ่งจะสิบขวบ…”

มั่วหร่านอีที่สังเกตเห็นว่าพวกมั่วชิงเฉินบินกลับมาแล้วได้ยินบทสนทนานั้น พลันตะโกนออกไป “มั่วเฟยเยียน เหตุใดเจ้าไม่ไปตายเสีย!”

เมื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เสือขนสีน้ำเงินใช้หางกวาดและตะปบลงบนกระโปรง

ทันใดนั้น มั่วหร่านอีก็คิดจะบินขึ้นเพื่อหลบการโจมตี ทว่าร่างกายส่วนล่างกลับเบาหวิว เมื่อก้มลงมองพบว่ากระโปรงที่คุ้นตาตัวนั้นถูกพยัคฆ์ทมิฬจับไว้อยู่ ส่วนตนลอยอยู่กลางอากาศ มีเพียงกางเกงในสีแดงเข้มตัวบางที่แนบกายโผล่ออกมา

อุ้งเท้าของเสือขนสีน้ำเงินอาชิงถูกเติมเต็มด้วยความปรารถนาในทันใดเมื่อเห็นใบหน้าของมั่วหร่านอีแดงฉ่าราวลูกท้อ ก่อนใช้อุ้งมือประหลาดของมันยื่นมาก้นกลมที่อยู่ไม่ไกลอย่างปลื้มปีติ

มั่วหร่านอีหยุดการเคลื่อนไหว ก้มหัวช้าๆ มองอุ้งมือกดทับอยู่บนก้นของตัวเอง เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จึงมีเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้น ก่อนมีเสียงฟาดดังเปรี้ยงบนหน้าของอาชิงที่กำลังตกตะลึงอยู่

“กรี๊ด ไอ้หมาป่าบ้ากาม ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีให้ตาย!” มั่วหรานอี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จับอาชิงที่กำลังมีสีหน้าโง่งมกดลงพื้นแล้วหมุนตัวขี่คร่อมด้านบน ใช้ทั้งมือทั้งเท้าเตะตีมัน

“ข้า…ข้าเป็นเสือ ข้าไม่ใช่หมาป่า…” อาชิงใช้อุ้งเท้ากันหัวไว้ ขณะที่ปากพูดติดๆ ขัดๆ

ฝั่งของมั่วชิงเฉินทั้งสามคนตัวแข็งทื่ออยู่นาน ในที่สุดมั่วเฟยเยียนทนดูต่อไปไม่ไหว วิ่งเข้าไปด้วยใบหน้าซีดเผือก “มั่วหร่านอี เจ้ารีบลงมาเดี๋ยวนี้!”

มั่วเฟยเยียนเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่มั่วหร่านอียังคงยืดหยัดที่จะตีอาชิงให้ตายอย่างเจ็บปวดโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมือ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหันไปถามหลัวอวี้เฉิงว่า “ชิงสิบคือใคร”

หลัวอวี้เฉิงหันมานางตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเหมือนอย่างทุกครั้ง “ทุกครั้งที่อาชิงคาบสตรีกลับมาจะตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ชิงหนึ่ง ชิงสอง…ชิงสิบ”

มั่วชิงเฉินหมดคำพูด…

“เช่นนั้น ข้าจะเตือนอาชิง หากกล้าเรียกแม่นางมั่วว่าชิงสิบเอ็ด ข้าจะให้มันไม่ตายดี…”

มั่วชิงเฉินร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ นี่นับเป็นการปลอบขวัญเจ้าหรือไม่”

หลัวอวี้เฉิงกระแอมเบาๆ “แค่กๆ ไม่สู้ เจ้าพาข้าไปดูจวนถ้ำของเวินหนิงดีหรือไม่”

มองภาพเหตุการณ์ตรงน่าช่างเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ มั่วชิงเฉินจึงตอบตกลงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ยอดเขาน้ำตกสูงเป็นพันจั้ง แม้หลัวอวี้เฉิงได้รับบาดเจ็บไม่สะดวกเรียกใช้พลังวิญญาณ แต่มั่วชิงเฉิงก็พาเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ใช้เวลาไม่นานก็ถึงยอดเขา

มองเข้าไป เห็นแท่นทรงกลมสูงประมาณครึ่งจั้ง

แท่นวงกลมมีสีดำสนิท บริเวณโดยรอบมีรอยแตกประหลาดอยู่ทุกที่ มองจากด้านบนลงมาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท่นกลมไม่ได้มีเพียงส่วนเดียว แต่เป็นวงแหวนทั้งหมดเก้าชั้นล้อมรอบอยู่ตรงขอบด้านนอก

จากบริเวณด้านนอกจนถึงบริเวณด้านใน สีของขอบมีความเข้มขึ้น จนถึงตรงกลางก็ไม่อาจเห็นรายละเอียดแกนกลางทรงกลมด้านในได้ชัดเจน

หอกักวิญญาณที่มีรูปร่างเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ แม้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้เห็นเพียงช่วงเวลาอันสั้น แต่มั่วชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมให้กับความสร้างสรรค์ของมัน

หลัวอวี้เฉิงเดินมาถึงด้านข้างของหอกักวิญญาณ จ้องมองรูกลมตรงกลางสักพัก ก่อนถามมั่วชิงเฉินว่า “สหายมั่ว เจ้าหาไม้สะกดวิญญาณเจอหรือยัง”

มั่วชิงเฉินสะดุ้ง ก่อนตอบว่า “เจอแล้ว เจ้าถามทำไมรึ”

“หากมีเหลือ แบ่งให้ข้าสักอัน อืม เอาเท่าขนาดเล็บมือก็พอแล้ว”

ท่านปู่และท่านอาหกกลับสู่ปรโลกไปแล้ว ไม้สะกดวิญญาณที่เหลือไม่ได้นำมาใช้อีก มั่วชิงเฉินหยิบให้เขาชิ้นหนึ่งอย่างไม่คิดอะไร

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนยิ้มเจื่อนพูดว่า “ดูท่า สหายมั่วคงทำเหล่าวิญญาณในแดนผีสูญสลายไปไม่น้อยกระมัง”

มั่วชิงเฉินจ้องหลัวอวี้เฉิงอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นาน ก่อนพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้ามารร้าย พูดมากเกินไประวังโดนนักพรตเฒ่าปราบมารมาจับเจ้า”

หลัวอวี้เฉิงหันตัวกลับมาที่แท่นผนึกวิญญาณ บดไม้ผนึกวิญญาณช้าๆ จนกลายเป็นผงละเอียด แล้วยิ้มตอบกลับว่า “เง็กเซียนยังพอว่า แต่ถ้าเป็นนักพรตละก็ แน่จริงก็เข้ามาเลย”

ได้ยินถ้อยคำหยอกล้ออย่างชัดถ้อยชัดคำ ในใจของมั่วชิงเฉินไม่อยากสาธยายอะไรอีก จึงไม่เอ่ยวาจาอันใดออกไป

หลัวอวี้เฉิงฟื้นตัวจากการใช้บุปผาน้ำแข็งก้นสระและโอสถ ทำให้สามารถใช้พลังวิญญาณได้เบาบาง นิ้วมือขยับเป็นเส้นพลังวิญญาณเส้นเล็ก เพื่อใช้ผสานรอยแตกและลวดลายประหลาด กลายเป็นตาข่ายตาถี่ห่อหุ้มเอาไว้ ก่อนจะพุ่งเข้าไปยังรูกลมตรงกลางของหอกักวิญญาณ

หลัวอวี้เฉิงโน้มตัวลง และใช้หูฟังการเคลื่อนไหวด้านใน เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันหลังมา ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกลับเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของมั่วชิงเฉิน จึงถามออกไปด้วยความลังเล “ทำไมรึ”

มั่วชิงเฉินได้สติ รีบส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร สหายหลัว เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใดอยู่”

จะให้นางบอกอย่างไร เมื่อได้ยินคำหยอกล้อเมื่อครู่ของเขา พลันนึกถึงคำเตือนของฝูเฟิงเจินจวิน

ทางสวรรค์สมดุล ฉลาดมากจะเจ็บ

ตอนนั้น ฝูเฟิงเจินจวินใช้สายตาที่น่าสงสารและเห็นใจมองหลัวอวี้เฉิง พูดออกมาแปดคำ ผู้ฟังที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนางอกสั่นขวัญผวาด้วยความกลัว

เห็นมั่วชิงเฉินบ่ายเบี่ยงไม่ยอมพูด หลัวอวี้เฉิงก็ไม่ถามอันใด อธิบายว่า “ช่วงต้นปีข้าได้อ่านหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง มีรายละเอียดของหอกักวิญญาณเขียนเอาไว้ กำแพงด้านในหอกักวิญญาณ สามารถเปลี่ยนเป็นกำแพงสะท้อนเสียง หากใช้วิชาลับเฉพาะจุดไม้ผนึกวิญญาณแล้วโยนเข้าไป จะได้ยินเสียงของภูตผีปีศาจที่อยู่ด้านในหอกักวิญญาณตลอดเวลา

“คาดไม่ถึงว่าน่าประหลาดใจเช่นนี้ เช่นนั้นด้านในหอกักวิญญาณมีพวกภูตผีวิญญาณทั้งหมดกี่ตัวหรือ” มั่วชิงเฉินรีบถาม

หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย “การก่อตัวของหอสะกดวิญญาณใช้เวลาไม่นานนัก ภูตผีที่หลับอยู่ก็มีไม่มาก หากนับอย่างละเอียดแล้วมีทั้งหมดสิบตน ทว่าในนี้ไม่มีเวินหนิง”

“เป็นไปได้อย่างไร…” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้ ข้าก็คิดอยู่ตลอด จนถึงตอนนี้มีทฤษฎีอยู่หนึ่งข้อ ปีนั้นเวินหนิงมีเหตุผลในการเลือกหยุดพักในหมู่บ้านที่ข้าเกิด แม้พบว่าที่นั่นมีพลังหยินเข้มข้น แต่สภาพแวดล้อมในการฝึกบำเพ็ญในดินแดนเทียนหยวนเป็นไปได้มากว่าห่างชั้นจากจงหลางนัก สถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นนี้มีประโยชน์เป็นพิเศษต่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เป็นโชคอันหาได้ยาก หรือไม่ เป็นไปได้ว่าเวินหนิงมีแผนอื่น ไม่ก็นางรู้สึกเสียใจภายหลังกับความหุนหันในปีนั้น ทั้งอายุไม่มากยากจะกลับจงหลาน จึงต้องยืมหอกักวิญญาณกักดวงวิญญาณตนไว้ นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ยากจะได้มา”

พูดถึงตรงนี้ยิ่งสบสนยิ่งกว่าเดิม “แต่ จวนถ้ำของนางก็อยู่ไม่ไกล กลับไม่ใช้หอกักวิญญาณ หรือว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ดับสูญก็หนีไปเสียก่อน เช่นนั้น ที่ท่านอาหกของข้าเจอเวินหนิง เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นหรือ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มอ่อน “แทนที่จะเดาอยู่ตรงนี้ไปเรื่อย มิสู้ไปหาเบาะแสที่จวนถ้ำของเวินหนิงเลยเล่า”

มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจนปัญญา ลากเขาออกไปด้วยความรวดเร็วก่อนหยุดลงด้านนอก ถอนหายใจพูดขึ้นว่า “สหายหลัว ท่านดูเอาเองเถอะ จวนถ้ำของนางกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 607 อาชิงไม่ใช่หมาป่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถูกทำลายแล้วหรือ” เมื่อเห็นมั่วหร่านอีมีท่าทีกระวนกระวายเช่นนั้น มั่วชิงเฉินก็มีสีหน้าปั้นยาก

มั่วหร่านอีถูกมองเช่นนั้นก็อับอายจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เชิดคางขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “มองข้าเช่นนั้นทำไม หากไม่ใช่ข้า จะตามหาจวนถ้ำของเวินหนิงได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ข้าแค่ แค่ไม่ระวังไปหน่อยก็เท่านั้น นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน!”

พูดจบ ก็สะบัดแขนเสื้อ ก่อนนั่งลงที่มุมหนึ่ง

มั่วชิงเฉินหันขวับมองมั่วเฟยเยียนด้วยสายตาใสซื่อ

มั่วเฟยเยียนเห็นเช่นนั้น ใบหน้าราวกับน้ำแข็งก็มีความอึดอัดใจเพิ่มขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า “น้องสิบหก หากเจ้าไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่นางพูด ข้าจะพาเจ้าไปดู”

“มั่วเฟยเยียน เจ้า…” มั่วหร่านอีรีบลุกขึ้น

“เจ้าหุบปาก” มั่วเฟยเยียนมองมั่วหร่านอีด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่ง ก่อนคว้ามือมั่วชิงเฉินแล้วบินขึ้นไป

มั่วอีหรานพูดไม่ทันจบ ก็ไม่เห็นร่างของทั้งสองแล้ว ยิ่งคิดยิ่งโมโห ด้วยความคับแค้นใจจึงเตะก้อนหินก้อนหนึ่งเต็มแรง

หินที่ถูกแทรกซึมไปด้วยพลังหยินและหยางนานแรมปีหาใช่ก้อนหินธรรมดา แม้มั่วหร่านอีมีพลังมารคอยป้องกันตัว กลับไม่ทันสังเกตว่าเท้าของตนจะบาดเจ็บเพราะหินก้อนนั้น ทำให้เลือดสดไหลซึมทั่วรองเท้า

มั่วหร่านอีร้องด้วยความเจ็บปวด นั่งลงบนพื้นโดยไม่ทันสังเกตว่าหลัวอวี้เฉิงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนก้อนหินใหญ่ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในชุดนักพรตสตรีไม่เพียงเห็นว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน ตรงกันข้ามกลับแสดงท่าทีอิสระและเถรตรง มุมปากคาบใบหญ้าสีเขียวอยู่ก้านหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่กลับไม่ได้มองมาอีกฝั่ง

“นี่เจ้าตายแล้วหรือ”

ได้ยินเช่นนี้หลัวอวี้เฉิงจึงลืมตาหันมามอง มุมปากโค้งขึ้นตอบว่า “เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้”

มั่วหร่านอีชะงัก

เอาอีกแล้ว!

คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงยอมแตกหักกับเหอหนิงหยวนและแม่เลี้ยงอย่างต้องการจะหนีงานแต่งให้ได้ แม้กระทั่งมีคนคิดว่าการแต่งงานกับเขาในฐานะคู่บำเพ็ญเป็นสิ่งที่สูงเกินเอื้อม

คงมีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจ หากต้องอยู่กับบุรุษผู้หยิ่งยโสและเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ จะทำให้คนเสียสติได้ขนาดไหน

เขาไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพียงแค่หนึ่งสายตา หนึ่งรอยยิ้ม ก็สามารถทำให้คนเป็นโมโหจนตาย คนตายโมโหจนฟื้น

นางต้องการหาคู่บำเพ็ญเซียน หาใช่คู่บำเพ็ญมรณะ

“น่าเสียดายจริง มีคนมองตัวเองสูงส่งเกินไปอีกแล้ว เห็นๆ อยู่ว่าคนเขาไม่ชอบ” มั่วหร่านอีหันมามองช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แต่กลับพบว่าสีหน้าของหลัวอวี้เฉิงมิได้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ยิ้มตอบว่า “เช่นนั้นรึ อย่างนั้นข้าผู้เป็นเจินจวินคงต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”

มั่วหร่านอีสีหน้าทะมึนตึง มองหลัวอวี้เฉิงอย่างผู้อยู่เหนือกว่า ทันใดนั้นหัวเราะคราหนึ่ง “เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดหรือไม่ หึๆ เห็นเจ้าโดนบีบให้พ่ายแพ้เช่นนี้ ข้าผู้เป็นแม่นางมีความสุขจริงๆ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร คายใบหญ้าที่อยู่ในปากทิ้ง ก่อนหลับตาลง

มั่วหร่านอีเห็นท่าทางของเขาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ จึงทำท่ายกเท้าจะเตะเข้าที่น่องเต็มแรง พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าตอนนี้ข้าสามารถตีเจ้าได้”

พูดจบ มั่วหร่านอีก็ใจเต้นระรัว ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น

เพราะบุรุษผู้นี้ ทำตัวไร้เหตุผลกับตนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว หรือว่าสวรรค์เปิดโอกาสให้นางได้ระบายอารมณ์สักครา

เอ่อ ได้เห็นพันธมิตรของน้องสิบหกโดนตีจนพิการไปครึ่งหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง

เอ๊ะ ไม่ถูก หากตีเขาจนพิการไปครึ่งหนึ่ง น้องสิบหกก็ต้องดูแลเขาอีก เช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากำลังส่งเสริมเขาอยู่หรอกหรือ!

เช่นนั้นจะตีหรือว่าจะตีดีนะ

เอาเป็นว่าตีก็แล้วกัน

แม่นางผู้นี้ ไม่รู้ตัวเลยว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่นางคิดจนสับสนวุ่นวายนั้นออกนอกลู่นอกทางไปไกลมาก

มุมปากหลัวอวี้เฉิงโค้งเล็กน้อย “แม่นางมั่วคิดได้หรือยังว่าจะจัดการข้าผู้เป็นเจินจวินอย่างไร”

“แน่นอนว่าตีเจ้าจนตาย” มั่วหร่านอีเชิดหน้าขึ้นยิ้มตอบอย่างเย็นชา

หลัวอวี้เฉิงมองนางเงียบๆ “เกรงว่าไม่ได้”

มั่วหร่านอีเบะปาก “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า หรือคำนวณดีแล้วว่าน้องสิบหกจะกลับมาได้ในเวลาอันสั้น”

สายตาของหลัวอวี้เฉิงมองข้ามมั่วหร่านอีไปด้านหลัง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “อาชิง หากเจ้ายังชมความครึกครื้นอยู่อีก ข้ารับประกันว่าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี”

มั่วหร่านอีสะดุ้ง เมื่อหันหลังมอง พลันพบว่าเสือขนสีน้ำเงินตัวหนึ่งน้ำตาไหลพรากโผเข้ามาหานางด้วยความรวดเร็ว ปากร้องตะโกนลั่น “นายท่าน ข้าไม่อาจไม่ตายดีได้ ชิงสิบยังเด็กเกินไป ขนาดก้นของนางข้ายังไม่ทันสัมผัสเลย ฮือออ…”

ความโศกเศร้าและความโกรธแค้น ทำให้พลังโจมตีของเสือขนสีน้ำเงินยิ่งร้ายกาจขึ้น บีบบังคับให้มั่วหร่านอีต้องถอยหลังไป

สตรีหนึ่งคนกับเสือหนึ่งตัว ต่อสู้กันจนถอยห่างไกลออกไป

ขณะเดียวกันมั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนบินลงมาพร้อมกันอย่างเงียบๆ

มั่วเฟยเยียนที่มองเห็นมั่วหร่านอีอยู่ไม่ไกล ก็เดินไปหาหลัวอวี้เฉิง พูดอย่างกระดากอายว่า “ขออภัย น้องของข้าไม่รู้ความ”

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะ “ไม่เป็นไร”

เงียบไปสักพัก มั่วเฟยเยียนพูดต่อว่า “หรือไม่ เจ้าก็คิดเสียว่านางเพิ่งจะสิบขวบ…”

มั่วหร่านอีที่สังเกตเห็นว่าพวกมั่วชิงเฉินบินกลับมาแล้วได้ยินบทสนทนานั้น พลันตะโกนออกไป “มั่วเฟยเยียน เหตุใดเจ้าไม่ไปตายเสีย!”

เมื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เสือขนสีน้ำเงินใช้หางกวาดและตะปบลงบนกระโปรง

ทันใดนั้น มั่วหร่านอีก็คิดจะบินขึ้นเพื่อหลบการโจมตี ทว่าร่างกายส่วนล่างกลับเบาหวิว เมื่อก้มลงมองพบว่ากระโปรงที่คุ้นตาตัวนั้นถูกพยัคฆ์ทมิฬจับไว้อยู่ ส่วนตนลอยอยู่กลางอากาศ มีเพียงกางเกงในสีแดงเข้มตัวบางที่แนบกายโผล่ออกมา

อุ้งเท้าของเสือขนสีน้ำเงินอาชิงถูกเติมเต็มด้วยความปรารถนาในทันใดเมื่อเห็นใบหน้าของมั่วหร่านอีแดงฉ่าราวลูกท้อ ก่อนใช้อุ้งมือประหลาดของมันยื่นมาก้นกลมที่อยู่ไม่ไกลอย่างปลื้มปีติ

มั่วหร่านอีหยุดการเคลื่อนไหว ก้มหัวช้าๆ มองอุ้งมือกดทับอยู่บนก้นของตัวเอง เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จึงมีเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้น ก่อนมีเสียงฟาดดังเปรี้ยงบนหน้าของอาชิงที่กำลังตกตะลึงอยู่

“กรี๊ด ไอ้หมาป่าบ้ากาม ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีให้ตาย!” มั่วหรานอี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จับอาชิงที่กำลังมีสีหน้าโง่งมกดลงพื้นแล้วหมุนตัวขี่คร่อมด้านบน ใช้ทั้งมือทั้งเท้าเตะตีมัน

“ข้า…ข้าเป็นเสือ ข้าไม่ใช่หมาป่า…” อาชิงใช้อุ้งเท้ากันหัวไว้ ขณะที่ปากพูดติดๆ ขัดๆ

ฝั่งของมั่วชิงเฉินทั้งสามคนตัวแข็งทื่ออยู่นาน ในที่สุดมั่วเฟยเยียนทนดูต่อไปไม่ไหว วิ่งเข้าไปด้วยใบหน้าซีดเผือก “มั่วหร่านอี เจ้ารีบลงมาเดี๋ยวนี้!”

มั่วเฟยเยียนเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่มั่วหร่านอียังคงยืดหยัดที่จะตีอาชิงให้ตายอย่างเจ็บปวดโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมือ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหันไปถามหลัวอวี้เฉิงว่า “ชิงสิบคือใคร”

หลัวอวี้เฉิงหันมานางตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเหมือนอย่างทุกครั้ง “ทุกครั้งที่อาชิงคาบสตรีกลับมาจะตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ชิงหนึ่ง ชิงสอง…ชิงสิบ”

มั่วชิงเฉินหมดคำพูด…

“เช่นนั้น ข้าจะเตือนอาชิง หากกล้าเรียกแม่นางมั่วว่าชิงสิบเอ็ด ข้าจะให้มันไม่ตายดี…”

มั่วชิงเฉินร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ นี่นับเป็นการปลอบขวัญเจ้าหรือไม่”

หลัวอวี้เฉิงกระแอมเบาๆ “แค่กๆ ไม่สู้ เจ้าพาข้าไปดูจวนถ้ำของเวินหนิงดีหรือไม่”

มองภาพเหตุการณ์ตรงน่าช่างเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ มั่วชิงเฉินจึงตอบตกลงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ยอดเขาน้ำตกสูงเป็นพันจั้ง แม้หลัวอวี้เฉิงได้รับบาดเจ็บไม่สะดวกเรียกใช้พลังวิญญาณ แต่มั่วชิงเฉิงก็พาเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ใช้เวลาไม่นานก็ถึงยอดเขา

มองเข้าไป เห็นแท่นทรงกลมสูงประมาณครึ่งจั้ง

แท่นวงกลมมีสีดำสนิท บริเวณโดยรอบมีรอยแตกประหลาดอยู่ทุกที่ มองจากด้านบนลงมาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท่นกลมไม่ได้มีเพียงส่วนเดียว แต่เป็นวงแหวนทั้งหมดเก้าชั้นล้อมรอบอยู่ตรงขอบด้านนอก

จากบริเวณด้านนอกจนถึงบริเวณด้านใน สีของขอบมีความเข้มขึ้น จนถึงตรงกลางก็ไม่อาจเห็นรายละเอียดแกนกลางทรงกลมด้านในได้ชัดเจน

หอกักวิญญาณที่มีรูปร่างเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ แม้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้เห็นเพียงช่วงเวลาอันสั้น แต่มั่วชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมให้กับความสร้างสรรค์ของมัน

หลัวอวี้เฉิงเดินมาถึงด้านข้างของหอกักวิญญาณ จ้องมองรูกลมตรงกลางสักพัก ก่อนถามมั่วชิงเฉินว่า “สหายมั่ว เจ้าหาไม้สะกดวิญญาณเจอหรือยัง”

มั่วชิงเฉินสะดุ้ง ก่อนตอบว่า “เจอแล้ว เจ้าถามทำไมรึ”

“หากมีเหลือ แบ่งให้ข้าสักอัน อืม เอาเท่าขนาดเล็บมือก็พอแล้ว”

ท่านปู่และท่านอาหกกลับสู่ปรโลกไปแล้ว ไม้สะกดวิญญาณที่เหลือไม่ได้นำมาใช้อีก มั่วชิงเฉินหยิบให้เขาชิ้นหนึ่งอย่างไม่คิดอะไร

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนยิ้มเจื่อนพูดว่า “ดูท่า สหายมั่วคงทำเหล่าวิญญาณในแดนผีสูญสลายไปไม่น้อยกระมัง”

มั่วชิงเฉินจ้องหลัวอวี้เฉิงอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นาน ก่อนพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้ามารร้าย พูดมากเกินไประวังโดนนักพรตเฒ่าปราบมารมาจับเจ้า”

หลัวอวี้เฉิงหันตัวกลับมาที่แท่นผนึกวิญญาณ บดไม้ผนึกวิญญาณช้าๆ จนกลายเป็นผงละเอียด แล้วยิ้มตอบกลับว่า “เง็กเซียนยังพอว่า แต่ถ้าเป็นนักพรตละก็ แน่จริงก็เข้ามาเลย”

ได้ยินถ้อยคำหยอกล้ออย่างชัดถ้อยชัดคำ ในใจของมั่วชิงเฉินไม่อยากสาธยายอะไรอีก จึงไม่เอ่ยวาจาอันใดออกไป

หลัวอวี้เฉิงฟื้นตัวจากการใช้บุปผาน้ำแข็งก้นสระและโอสถ ทำให้สามารถใช้พลังวิญญาณได้เบาบาง นิ้วมือขยับเป็นเส้นพลังวิญญาณเส้นเล็ก เพื่อใช้ผสานรอยแตกและลวดลายประหลาด กลายเป็นตาข่ายตาถี่ห่อหุ้มเอาไว้ ก่อนจะพุ่งเข้าไปยังรูกลมตรงกลางของหอกักวิญญาณ

หลัวอวี้เฉิงโน้มตัวลง และใช้หูฟังการเคลื่อนไหวด้านใน เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันหลังมา ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกลับเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของมั่วชิงเฉิน จึงถามออกไปด้วยความลังเล “ทำไมรึ”

มั่วชิงเฉินได้สติ รีบส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร สหายหลัว เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใดอยู่”

จะให้นางบอกอย่างไร เมื่อได้ยินคำหยอกล้อเมื่อครู่ของเขา พลันนึกถึงคำเตือนของฝูเฟิงเจินจวิน

ทางสวรรค์สมดุล ฉลาดมากจะเจ็บ

ตอนนั้น ฝูเฟิงเจินจวินใช้สายตาที่น่าสงสารและเห็นใจมองหลัวอวี้เฉิง พูดออกมาแปดคำ ผู้ฟังที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนางอกสั่นขวัญผวาด้วยความกลัว

เห็นมั่วชิงเฉินบ่ายเบี่ยงไม่ยอมพูด หลัวอวี้เฉิงก็ไม่ถามอันใด อธิบายว่า “ช่วงต้นปีข้าได้อ่านหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง มีรายละเอียดของหอกักวิญญาณเขียนเอาไว้ กำแพงด้านในหอกักวิญญาณ สามารถเปลี่ยนเป็นกำแพงสะท้อนเสียง หากใช้วิชาลับเฉพาะจุดไม้ผนึกวิญญาณแล้วโยนเข้าไป จะได้ยินเสียงของภูตผีปีศาจที่อยู่ด้านในหอกักวิญญาณตลอดเวลา

“คาดไม่ถึงว่าน่าประหลาดใจเช่นนี้ เช่นนั้นด้านในหอกักวิญญาณมีพวกภูตผีวิญญาณทั้งหมดกี่ตัวหรือ” มั่วชิงเฉินรีบถาม

หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย “การก่อตัวของหอสะกดวิญญาณใช้เวลาไม่นานนัก ภูตผีที่หลับอยู่ก็มีไม่มาก หากนับอย่างละเอียดแล้วมีทั้งหมดสิบตน ทว่าในนี้ไม่มีเวินหนิง”

“เป็นไปได้อย่างไร…” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้ ข้าก็คิดอยู่ตลอด จนถึงตอนนี้มีทฤษฎีอยู่หนึ่งข้อ ปีนั้นเวินหนิงมีเหตุผลในการเลือกหยุดพักในหมู่บ้านที่ข้าเกิด แม้พบว่าที่นั่นมีพลังหยินเข้มข้น แต่สภาพแวดล้อมในการฝึกบำเพ็ญในดินแดนเทียนหยวนเป็นไปได้มากว่าห่างชั้นจากจงหลางนัก สถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นนี้มีประโยชน์เป็นพิเศษต่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เป็นโชคอันหาได้ยาก หรือไม่ เป็นไปได้ว่าเวินหนิงมีแผนอื่น ไม่ก็นางรู้สึกเสียใจภายหลังกับความหุนหันในปีนั้น ทั้งอายุไม่มากยากจะกลับจงหลาน จึงต้องยืมหอกักวิญญาณกักดวงวิญญาณตนไว้ นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ยากจะได้มา”

พูดถึงตรงนี้ยิ่งสบสนยิ่งกว่าเดิม “แต่ จวนถ้ำของนางก็อยู่ไม่ไกล กลับไม่ใช้หอกักวิญญาณ หรือว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ดับสูญก็หนีไปเสียก่อน เช่นนั้น ที่ท่านอาหกของข้าเจอเวินหนิง เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นหรือ”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มอ่อน “แทนที่จะเดาอยู่ตรงนี้ไปเรื่อย มิสู้ไปหาเบาะแสที่จวนถ้ำของเวินหนิงเลยเล่า”

มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจนปัญญา ลากเขาออกไปด้วยความรวดเร็วก่อนหยุดลงด้านนอก ถอนหายใจพูดขึ้นว่า “สหายหลัว ท่านดูเอาเองเถอะ จวนถ้ำของนางกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+