พันธกานต์ปราณอัคคี 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้นหรือ”

มั่วชิงเฉินบีบมือ ยันต์ส่งสารก็สลายไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าสารเลวฮวาเชียนซู่นั่น ตั้งใจจะเตือนข้าว่ามันยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ช่างกล้าที่จะหมายปองพี่สิบ”

หลายปีก่อน มั่วหร่านอีและเหยาเจียฉีแม่บุญธรรมเจ้าสำนักเม่ยหมัวได้กลับมาคืนดีกัน แล้วกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋

ยันต์ส่งสารหมื่นลี้แผ่นนี้มั่วเฟยเยียนเป็นผู้ส่ง บอกว่าฮวาเชียนซู่หลังจากบรรลุการประสานก่อกำเนิด เจ้านิกายมารแดงก็ไปสำนักเม่ยหมัวทำเรื่องสู่ขอแทนเขา เพื่อสู่ขอมั่วหร่านอี เจ้าสำนักเหยาได้ถามความเห็นของมั่วหร่านอี และนางก็ตอบรับ

“พี่สิบกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ พี่เก้าเดินทางไปพบอันตรายเพียงลำพังคนเดียว ศิษย์พี่ ข้าต้องไปที่สำนักลั่วสยาเดี๋ยวนี้” มั่วชิงเฉินพูด

“ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า” เยี่ยเทียนหยวนพูดสีหน้าจริงจัง

มั่วชิงเฉินยิ้มบางหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านจะเป็นช้างเท้าหลังแล้วหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปทัดปอยผมให้นาง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “จะเป็นช้างเท้าหน้าช้างเท้าหลัง มันก็เหมือนกัน ขอเพียงพวกเราอยู่ด้วยกันก็พอ”

“ไม่เคยเห็นท่านซื่อบื้อเช่นนี้มาก่อน” มั่วชิงเฉินหรี่ตามองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง “พวกเรารีบไปบอกอาวุโสสูงสุดประมุขพรรคก่อนเถอะ”

เมื่อไปถึงยอดเขาโฮ่วเต๋อรายงานสาเหตุที่มาแล้ว หลิวซางเจินจวินนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องของญาติพี่น้อง ย่อมต้องไปช่วยเหลือ เพียงแต่ปีก่อนเพื่อนของจื่อซีสังเกตดวงดาวพยากรณ์ บอกว่าดาวแฝดส่องสว่าง แต่กลับมีดาวมารเข้ามาบดบัง ดาวแฝดหมายถึงผู้ใดยังไม่แน่ชัด พวกเจ้าก็จงระวังให้มากด้วย”

“ขอบคุณอาวุโสสูงสุดประมุขพรรค” มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นพร้อมกัน

มองเห็นคู่รักคู่นี้ หลิวซางเจินจวินก็รู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก ลอบคิดว่าบนโลกเวลานี้คนที่สามารถทำร้ายพวกเขาสองคนนั้นคิดว่าคงไม่มาก เมื่อคิดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ดินแดนไท่ไป๋อย่างไรก็เป็นดินแดนมาร เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วรีบกลับมาถึง อย่ารีรอนาน อีกอย่างยังมีอีกเรื่องที่พวกเจ้าต้องจำใส่ใจให้มาก ตอนนั้นหร่วนหลิงซิ่วตายไปอย่างเป็นปริศนาใกล้ๆ พรรคเหยากวง จิ้งเหยียนเจินจวินยังสืบหาฆาตกรตัวจริงไม่ได้ เกรงว่าคงมีความแค้นต่อพวกเจ้าอยู่มากเช่นกัน การไปที่สำนักลั่วสยาครั้งนี้ ถ้าไม่รบกวนเขาจะดีที่สุด”

“พวกเราจะจำไว้”

“ในเมื่อเช่นนี้ พวกเจ้าก็ออกเดินทางกันเถอะ รีบไปรีบกลับ” หลิวซางเจินจวินพยักหน้า

หลายปีมานี้พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองไม่ได้รับลูกศิษย์ ยอดเขาลั่วเฉินมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่คอยทำงานจิปาถะ เมื่อมอบหมายให้เหลียงเฉินเหมยจิ่งดูแลเรือนแล้ว ทั้งสองคนก็รีบเดินทางตรงไปยังสำนักลั่วสยาโดยไม่หยุดพัก

เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลิวซางเจินจวินเตือน ก็ส่งยันต์ส่งสารไปให้มั่วเฟยเยียน นัดหมายเพื่อเจอกันที่หอน้ำชาในเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ กับสำนักลั่วสยา

เมื่อถึงหอน้ำชาแล้วเด็กในร้านก็พาขึ้นสู่ชั้นบน เมื่อผลักประตูเปิดออกก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงก็หันตัวกลับมา หญิงผู้นั้นก็คือมั่วเฟยเยียน

“พี่เก้า” มั่วชิงเฉินเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

“น้องสิบหก เจ้ามาแล้ว” มั่วเฟยเยียนยกขึ้นยืน แล้วมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ลั่วหยางเจินจวิน”

เยี่ยเทียนหยวนลดความเคร่งครัดที่เคยมีมาในอดีต เรียกนางโดยตรงว่าพี่เก้า กลับทำให้มั่วเฟยเยียนรู้สึกประหลาดใจจึงหันไปมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ความเยือกเย็นในแววตาลดลงไปมาก แฝงด้วยความทะเล้นอยู่กลายๆ

มั่วชิงเฉินกระแอมหนึ่งที แล้วรีบพูดขึ้นว่า “พี่เก้า ไยพี่สิบจึงตอบรับ หรือจะคิดฉวยโอกาสแก้แค้นกันแน่”

มั่วเฟยเยียนพยักหน้า “เกรงว่าจะใช่”

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “คิดจะแก้แค้น พวกเราพี่น้องปรึกษากันดีแล้ว สู้ไปพร้อมกันก็ได้ ไยจึงต้องใช้วิธีนี้”

มั่วเฟยเยียนยิ้มเยาะ “นิสัยของนางเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ นับตั้งแต่กลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ก็พิกลยิ่งขึ้น ข้าเดาว่าที่นางตอบรับเรื่องแต่งงาน คงอยากจะตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างนิกายมารแดงในงานมงคล”

มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบ

เมื่อนางยังเด็กได้อยู่ในตระกูลมั่วเพียงแค่สองปี หากจะพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อตระกูล คงเทียบไม่ได้กับพวกนาง มั่วเฟยเยียนนิสัยเยือกเย็น เป็นเพราะเรื่องที่บิดาล่วงละเมิดประเวณีกับน้องสะใภ้ จึงทำให้นางจิตใจเย็นชา

มั่วหร่านอีไม่เหมือนกับพวกนาง ตอนเด็กได้รับความรักความเมตตาจากบิดามารดา น้องสาวก็บริสุทธิ์ดีงาม ความรู้สึกที่มีต่อตะกูลนั้นย่อมลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกนางจะจินตนาการได้ แต่นิสัยของนางกลับหยิ่งผยอง จะมีความคิดตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนี้ก็ไม่แปลก

เพียงแต่ตำแหน่งของนิกายมารแดงในดินแดนไท่ไป๋ เทียบได้กับตำแหน่งของสี่สำนักแปดนิกายในดินแดนเทียนหยวน หากคิดจะมีเรื่องด้วยนั้นไม่ง่าย

“ไม่ว่าจะอย่างไร ตระกูลมั่วก็เหลือเพียงพวกเราไม่กี่คน ปกตินางจะทำตัวเหลวไหลก็ช่างเถอะ แต่ถ้าจะทนดูนางเอาไข่ไปกระทบหินไม่ได้ น้องสิบหก พวกเราไปดินแดนไท่ไป๋กันเถอะ” มั่วเฟยเยียนพูดเสียงเรียบ

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม”

นี่คือจุดหนึ่งที่ทำให้นางชื่นชอบมั่วเฟยเยียน

มั่วเฟยเยียนบุคลิกบริสุทธิ์สูงส่ง สิ่งที่นางทนไม่ได้ที่สุดก็คือมารยาทจอมปลอม

นางเข้าใจมั่วชิงเฉินดี รู้ว่ามั่วชิงเฉินเข้าใจดีว่าเรื่องนี้จะคอยรอดูอยู่ข้างๆ ไม่ได้ หากผิดพลาดขึ้นมาคงต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิต ไม่คิดจะปิดบังเพียงเพราะหวังดีกับนาง และก็ไม่ถามอย่างอ้อมค้อมว่านางจะไปหรือไม่

ทั้งสามคนปรึกษากันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้น

พลังอันแก่กล้าปกคลุมไปทั้งห้องชา จากนั้นก็มีคนพูดถึงผลักประตูเข้ามา

“จิ้งเหยีนเจินจวินหรือ” มั่วชิงเฉินมองผู้ที่เข้ามาหน้านิ่ว

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังมั่วเฟยเยียน แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “กูอวิ๋นเจินจวิน ทำไมจึงมาต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติที่นี่ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ”

“ไม่ใช่แขก แต่เป็นน้องสาวของข้า” มั่วเฟยเยียนต่อหน้าเจ้าสำนักยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

จิ้งเหยียนเจินจวินไม่ได้ถือสา แล้วมองไปยังมั่วชิงเฉินทั้งสอง “เจินจวินทั้งสองท่านเดินทางมาไกล ข้าเกือบจะไม่ทันตอนรับเสียแล้ว”

“เพียงแค่ผ่านทางมา จิ้งเหยียนเจินจวินเกรงใจไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้น

จิ้งเหยียนเจินจวินหัวเราะร่า “ไม่ว่าจะเช่นใดในเมื่อมาถึงสำนักลั่วสยาของพวกเราแล้ว เจินจวินทั้งสองท่านก็พักอยู่ที่สำนักเราสักกสองสามวัน ให้ข้าได้แสดงมิตรภาพในฐานะเจ้าบ้านหน่อยเป็นอย่างไร”

“พวกเรายังมีเรื่องเร่งด่วน คงไม่รบกวนแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูด จากนั้นก็จูงมือมั่วชิงเฉินเดินออกนอกประตูไป

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัว เข้าไปขวางหน้าทั้งสองคนเอาไว้

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งขึ้นมา “จิ้งเหยียนเจินจวินนี่หมายความว่าอะไร”

จิ้งเหยียนเจิจวินมองไปยังทั้งสองคน เข้าใจดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่เสแสร้ง จึงพูดออกไปโดยตรงว่า “ทั้งสองท่านน่าจะรู้ ว่าบุตรสาวข้าหลายปีก่อนตายที่พรรคเหยากวงใช่หรือไม่”

“จิ้งเหยียนเจินจวินสงสัยพวกข้าหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถาม

จิ้งเหยียนเจินจวินส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแต่ลั่วหยางเจินจวินน่าจะเคยได้ยินคำที่ว่า ข้าไม่ได้ฆ่าปั๋วเหริน แต่ปั๋วเหรินตายเพราะข้า บุตรสาวหลายปีมานี้นิสัยเปลี่ยนไปไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงวันมงคล เดินทางไปเหยากวงคิดดูแล้วคงหมายจะพบท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

“เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวินต้องการเช่นใดหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถามอย่างสงบนิ่ง

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งที “ ใจชายแข็งแกร่งดั่งเหล็ก สิ่งที่บุตรสาวทำผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุด ก็คงเป็นการที่มีใจกับท่านสินะ”

เยี่ยเทียนหยวนกุมมือมั่วชิงเฉินไว้แน่น จ้องนิ่งไปยังจิ้งเหยียนเจินจวิน “จิตใจไม่ควบคุม เรื่องของความรัก ไม่มีผิดถูก สิ่งที่บอกได้ว่าผิดถูกคือพฤติกรรมของคนผู้หนึ่ง จิ้งเหยียนเจินจวินเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ย่อมต้องรู้ว่าคนเราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำทั้งหมด”

“ช่างเถอะๆ เป็นเพราะข้าละเลยการอบรม ปล่อยให้บุตรสาวมีนิสัยดื้อรั้น เพียงแต่การตายอนาถอย่างเป็นปริศนาของนาง ในฐานะบิดาคน ข้ารู้สึกใจไม่สงบ ทั้งสองท่านในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หวังว่าลั่วหยางเจินจวินจะสามารถไปจุดธูปหน้าหลุมศพนางสักดอก ถือว่าเป็นการปลอบวิญญาณผู้ตายเถอะนะ”

เยี่ยเทียนหยวนได้ยิน ก็มองไปยังมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินกระชับมือเยี่ยเทียนหยวนกลับ แล้วยิ้มขึ้นหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านตัดสินใจเองแล้วกัน”

“จิ้งเหยียนเจินจวินได้โปรดนำทางด้วย” เยี่ยเทียนหยวนพูด

จิ้งเหยียนเจินจวินรู้สึกโล่งอก แล้วเหยียบบนเมฆบินออกไป ร่อนลงบนปลายสุดของเทือกเขาหมิงสยา

กลางป่าดอกอิงภูเขา มีสุสานน้อยๆ แห่งหนึ่ง

เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่หน้าสุสาน แล้วจุดธูปขึ้น ภาพของหร่วนหลิงซิ่วปรากฏขึ้นในความคิดอย่างน่าประหลาด

มีความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กสาว ต่อมาก็กลับกลายเป็นความผูกมัดลุ่มหลง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นสภาพเผ้าผมรุงรัง ใบหน้าอาบเลือด จ้องมายังเยี่ยเทียนหยวน เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด ‘ท่านพี่เทียนหยวน ข้าตายอย่างอนาถ ท่านรู้อยู่แท้ๆ ว่าข้าถูกมั่วชิงเฉินทำร้ายจนตาย แต่กลับไม่ใส่ใจเลยแม้สักนิด ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ’

มั่วชิงเฉินที่มองอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเยือกเย็นสีหน้าเปลี่ยน ศิษย์พี่เป็นเช่นนี้ ดูมีเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ

ลอบมองไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินปราดหนึ่ง ถึงแม้เขาจะดูสงบนิ่ง แต่แววตากลับแฝงแววมืดมน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตัวระวังขึ้นมา

นางแอบเข้าใกล้โดยไม่ให้ทันสังเกต ก้าวเท้าขวาเดินเข้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แอบบอกตัวเองว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เตะเขาให้กระเด็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เยี่ยเทียนหยวนมองไปยังหร่วนหลิงซิ่วที่อยู่ด้านหน้าเงียบๆ สายลมพัดเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของนางปลิวไสว จนสามารถได้กลิ่นคาวเลือด ทั้งหมดดูราวกับเป็นความจริง แต่ในใจของเขากลับแจ่มชัด จึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “ชิงเฉินดีงามบริสุทธิ์ นางไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์มาก่อน หากเจ้าตายด้วยมือนางจริง เช่นนั้นก็มีเหตุให้สมควรที่จะตายแล้ว”

หร่วนหลิงซิ่วหัวเราลั่นขึ้นมา ‘เหตุสมควรตายหรือ ข้าควรตายเพราะรักท่านสินะ! ท่านไม่ชอบ ก็เลยคิดว่าข้าสมควรตายอย่างนั้นหรือ ท่านชอบนาง นางทำอะไรล้วนถูกต้องสินะ!’

เยี่ยเทียนหยวนถอนหายใจยาวหนึ่งที “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่รู้สึกอะไรกับเจ้า และไม่คิดว่าเจ้าสมควรตาย แต่ไม่ว่าจะเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า สำหรับชิงเฉิน ข้าไม่คิดว่านางทำอะไรก็ถูกไปหมด เพียงแต่ผิดหรือถูก ข้าก็จะแบกรับไปพร้อมกับนาง สำหรับการตายของเจจ้า หากชิงเฉินเป็นผู้ลงมือ นางอาจจะปฏิเสธได้ แต่ไม่มีทางยอมให้ข้ามาจุดธูปเด็ดขาด”

พูดจบแววตาก็พลันเยือกเย็นลง หันไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินแล้วพูดว่า “เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวิน ท่านก็ไม่ต้องสืบหาแล้ว ลาก่อน”

พวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสามบินขึ้นกลางอากาศ แล้วบินออกไปไกล

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัวเตรียมจะตามไป สุดท้ายก็หยุดลง แล้วมองไปยังสุสาน

เสียง โครม ดังขึ้น ธูปที่โรยผงควบคุมจิตหักเป็นสองท่อน

“หรือว่า จะไม่เกี่ยวกับพวกเขาจริงๆ” สักพักใหญ่ เสียงพึมพำของของจิ้งเหยียนเจินจวินก็แว่วมา

นับแต่พรต มาร ปีศาจ ทั้งสามฝ่ายได้บรรลุข้อสัญญาสงบศึก ดินแดนไท่ไป๋ตอนนี้ก็ไม่ได้เหมือนในอดีตที่ผู้ไม่ได้บำเพ็ญมารห้ามย่างกรายเข้าไป

ตลอดทาง มั่วชิงเฉินเห็นผู้บำเพ็ญพรตจำนวนไม่น้อยบินไปมาโดยไม่ปกปิด

พวกนางทั้งสามคนปิดบังระดับการบำเพ็ญพรตแล้วรีบเดินทางไปยังสำนักเม่ยหมัว แล้วสืบถามจากลูกศิษย์ระดับล่างของสำนัก จึงได้รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการงานมงคล วันนี้เป็นวันแต่งงานของมั่วหร่านอีและฮวาเชียนซู่พอดี ตอนนี้เจ้าสาวน่าจะอยู่ในโถงพิธีแล้ว

ได้รู้เช่นก็ไม่มีเวลาที่จะสนใจเรื่องอื่น ทั้งสามคนรีบไปยังนิกายมารแดงอย่างรวดเร็ว

นิกายมารแดงตกแต่งด้วยโคมไฟและเชือกถักหลากสี เต็มไปด้วยบรรยากาศงานมงคล ภายในโถงวุ่นวายจอแจ

มั่วหร่านอีอยู่ในชุดเจ้าสาว ผ้าแพรสีแดงนับไม่ถ้วนห้อยทิ้งปลายบางราวกับปีกจักจั่นพันไปยังฮวาเชียนซู่

ผู้คนที่ไว้ใจได้ของนางที่พามาด้วย ต่างล้มนอนท่ามกลางการต่อสู้

“เป็นนางโง่ตัวจริง ข้านึกว่า เจ้าจะรอให้เข้าห้องหอก่อนค่อยลงมือ คิดไม่ถึงว่าจะใจร้อนเช่นนี้ เหลือทนจริงๆ” ฮวาเชียนซู่ในชุดแดงทั้งตัวราวเทพบุตร มุมปากอมยิ้มอย่างเยาะเย้ย

มั่วหร่านอีเม้มริมฝีปากทั้งคู่ แล้วสะบัดผ้าแพรแดงออกไป

หรือว่าจะมาตายตอนจบเอาเช่นนี้

ทำไมหมัวจวินทั้งหลายที่ถูกกักขังถึงได้ปรากฏตัวในงานมงคลได้

ทำไมยาเหล่านั้นจึงไม่แสดงฤทธิ์

เจ้านิกายมารแดงบีบคั้นจนแม่บุญธรรมไม่สามารถต่อกรกลับ หรือจะรู้แต่แรกแล้วว่าแม่บุญธรรมวางแผนอะไรไว้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้นหรือ”

มั่วชิงเฉินบีบมือ ยันต์ส่งสารก็สลายไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าสารเลวฮวาเชียนซู่นั่น ตั้งใจจะเตือนข้าว่ามันยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ช่างกล้าที่จะหมายปองพี่สิบ”

หลายปีก่อน มั่วหร่านอีและเหยาเจียฉีแม่บุญธรรมเจ้าสำนักเม่ยหมัวได้กลับมาคืนดีกัน แล้วกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋

ยันต์ส่งสารหมื่นลี้แผ่นนี้มั่วเฟยเยียนเป็นผู้ส่ง บอกว่าฮวาเชียนซู่หลังจากบรรลุการประสานก่อกำเนิด เจ้านิกายมารแดงก็ไปสำนักเม่ยหมัวทำเรื่องสู่ขอแทนเขา เพื่อสู่ขอมั่วหร่านอี เจ้าสำนักเหยาได้ถามความเห็นของมั่วหร่านอี และนางก็ตอบรับ

“พี่สิบกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ พี่เก้าเดินทางไปพบอันตรายเพียงลำพังคนเดียว ศิษย์พี่ ข้าต้องไปที่สำนักลั่วสยาเดี๋ยวนี้” มั่วชิงเฉินพูด

“ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า” เยี่ยเทียนหยวนพูดสีหน้าจริงจัง

มั่วชิงเฉินยิ้มบางหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านจะเป็นช้างเท้าหลังแล้วหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปทัดปอยผมให้นาง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “จะเป็นช้างเท้าหน้าช้างเท้าหลัง มันก็เหมือนกัน ขอเพียงพวกเราอยู่ด้วยกันก็พอ”

“ไม่เคยเห็นท่านซื่อบื้อเช่นนี้มาก่อน” มั่วชิงเฉินหรี่ตามองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง “พวกเรารีบไปบอกอาวุโสสูงสุดประมุขพรรคก่อนเถอะ”

เมื่อไปถึงยอดเขาโฮ่วเต๋อรายงานสาเหตุที่มาแล้ว หลิวซางเจินจวินนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องของญาติพี่น้อง ย่อมต้องไปช่วยเหลือ เพียงแต่ปีก่อนเพื่อนของจื่อซีสังเกตดวงดาวพยากรณ์ บอกว่าดาวแฝดส่องสว่าง แต่กลับมีดาวมารเข้ามาบดบัง ดาวแฝดหมายถึงผู้ใดยังไม่แน่ชัด พวกเจ้าก็จงระวังให้มากด้วย”

“ขอบคุณอาวุโสสูงสุดประมุขพรรค” มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นพร้อมกัน

มองเห็นคู่รักคู่นี้ หลิวซางเจินจวินก็รู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก ลอบคิดว่าบนโลกเวลานี้คนที่สามารถทำร้ายพวกเขาสองคนนั้นคิดว่าคงไม่มาก เมื่อคิดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ดินแดนไท่ไป๋อย่างไรก็เป็นดินแดนมาร เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วรีบกลับมาถึง อย่ารีรอนาน อีกอย่างยังมีอีกเรื่องที่พวกเจ้าต้องจำใส่ใจให้มาก ตอนนั้นหร่วนหลิงซิ่วตายไปอย่างเป็นปริศนาใกล้ๆ พรรคเหยากวง จิ้งเหยียนเจินจวินยังสืบหาฆาตกรตัวจริงไม่ได้ เกรงว่าคงมีความแค้นต่อพวกเจ้าอยู่มากเช่นกัน การไปที่สำนักลั่วสยาครั้งนี้ ถ้าไม่รบกวนเขาจะดีที่สุด”

“พวกเราจะจำไว้”

“ในเมื่อเช่นนี้ พวกเจ้าก็ออกเดินทางกันเถอะ รีบไปรีบกลับ” หลิวซางเจินจวินพยักหน้า

หลายปีมานี้พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองไม่ได้รับลูกศิษย์ ยอดเขาลั่วเฉินมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่คอยทำงานจิปาถะ เมื่อมอบหมายให้เหลียงเฉินเหมยจิ่งดูแลเรือนแล้ว ทั้งสองคนก็รีบเดินทางตรงไปยังสำนักลั่วสยาโดยไม่หยุดพัก

เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลิวซางเจินจวินเตือน ก็ส่งยันต์ส่งสารไปให้มั่วเฟยเยียน นัดหมายเพื่อเจอกันที่หอน้ำชาในเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ กับสำนักลั่วสยา

เมื่อถึงหอน้ำชาแล้วเด็กในร้านก็พาขึ้นสู่ชั้นบน เมื่อผลักประตูเปิดออกก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงก็หันตัวกลับมา หญิงผู้นั้นก็คือมั่วเฟยเยียน

“พี่เก้า” มั่วชิงเฉินเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

“น้องสิบหก เจ้ามาแล้ว” มั่วเฟยเยียนยกขึ้นยืน แล้วมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ลั่วหยางเจินจวิน”

เยี่ยเทียนหยวนลดความเคร่งครัดที่เคยมีมาในอดีต เรียกนางโดยตรงว่าพี่เก้า กลับทำให้มั่วเฟยเยียนรู้สึกประหลาดใจจึงหันไปมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ความเยือกเย็นในแววตาลดลงไปมาก แฝงด้วยความทะเล้นอยู่กลายๆ

มั่วชิงเฉินกระแอมหนึ่งที แล้วรีบพูดขึ้นว่า “พี่เก้า ไยพี่สิบจึงตอบรับ หรือจะคิดฉวยโอกาสแก้แค้นกันแน่”

มั่วเฟยเยียนพยักหน้า “เกรงว่าจะใช่”

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “คิดจะแก้แค้น พวกเราพี่น้องปรึกษากันดีแล้ว สู้ไปพร้อมกันก็ได้ ไยจึงต้องใช้วิธีนี้”

มั่วเฟยเยียนยิ้มเยาะ “นิสัยของนางเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ นับตั้งแต่กลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ก็พิกลยิ่งขึ้น ข้าเดาว่าที่นางตอบรับเรื่องแต่งงาน คงอยากจะตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างนิกายมารแดงในงานมงคล”

มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบ

เมื่อนางยังเด็กได้อยู่ในตระกูลมั่วเพียงแค่สองปี หากจะพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อตระกูล คงเทียบไม่ได้กับพวกนาง มั่วเฟยเยียนนิสัยเยือกเย็น เป็นเพราะเรื่องที่บิดาล่วงละเมิดประเวณีกับน้องสะใภ้ จึงทำให้นางจิตใจเย็นชา

มั่วหร่านอีไม่เหมือนกับพวกนาง ตอนเด็กได้รับความรักความเมตตาจากบิดามารดา น้องสาวก็บริสุทธิ์ดีงาม ความรู้สึกที่มีต่อตะกูลนั้นย่อมลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกนางจะจินตนาการได้ แต่นิสัยของนางกลับหยิ่งผยอง จะมีความคิดตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนี้ก็ไม่แปลก

เพียงแต่ตำแหน่งของนิกายมารแดงในดินแดนไท่ไป๋ เทียบได้กับตำแหน่งของสี่สำนักแปดนิกายในดินแดนเทียนหยวน หากคิดจะมีเรื่องด้วยนั้นไม่ง่าย

“ไม่ว่าจะอย่างไร ตระกูลมั่วก็เหลือเพียงพวกเราไม่กี่คน ปกตินางจะทำตัวเหลวไหลก็ช่างเถอะ แต่ถ้าจะทนดูนางเอาไข่ไปกระทบหินไม่ได้ น้องสิบหก พวกเราไปดินแดนไท่ไป๋กันเถอะ” มั่วเฟยเยียนพูดเสียงเรียบ

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม”

นี่คือจุดหนึ่งที่ทำให้นางชื่นชอบมั่วเฟยเยียน

มั่วเฟยเยียนบุคลิกบริสุทธิ์สูงส่ง สิ่งที่นางทนไม่ได้ที่สุดก็คือมารยาทจอมปลอม

นางเข้าใจมั่วชิงเฉินดี รู้ว่ามั่วชิงเฉินเข้าใจดีว่าเรื่องนี้จะคอยรอดูอยู่ข้างๆ ไม่ได้ หากผิดพลาดขึ้นมาคงต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิต ไม่คิดจะปิดบังเพียงเพราะหวังดีกับนาง และก็ไม่ถามอย่างอ้อมค้อมว่านางจะไปหรือไม่

ทั้งสามคนปรึกษากันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้น

พลังอันแก่กล้าปกคลุมไปทั้งห้องชา จากนั้นก็มีคนพูดถึงผลักประตูเข้ามา

“จิ้งเหยีนเจินจวินหรือ” มั่วชิงเฉินมองผู้ที่เข้ามาหน้านิ่ว

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังมั่วเฟยเยียน แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “กูอวิ๋นเจินจวิน ทำไมจึงมาต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติที่นี่ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ”

“ไม่ใช่แขก แต่เป็นน้องสาวของข้า” มั่วเฟยเยียนต่อหน้าเจ้าสำนักยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

จิ้งเหยียนเจินจวินไม่ได้ถือสา แล้วมองไปยังมั่วชิงเฉินทั้งสอง “เจินจวินทั้งสองท่านเดินทางมาไกล ข้าเกือบจะไม่ทันตอนรับเสียแล้ว”

“เพียงแค่ผ่านทางมา จิ้งเหยียนเจินจวินเกรงใจไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้น

จิ้งเหยียนเจินจวินหัวเราะร่า “ไม่ว่าจะเช่นใดในเมื่อมาถึงสำนักลั่วสยาของพวกเราแล้ว เจินจวินทั้งสองท่านก็พักอยู่ที่สำนักเราสักกสองสามวัน ให้ข้าได้แสดงมิตรภาพในฐานะเจ้าบ้านหน่อยเป็นอย่างไร”

“พวกเรายังมีเรื่องเร่งด่วน คงไม่รบกวนแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูด จากนั้นก็จูงมือมั่วชิงเฉินเดินออกนอกประตูไป

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัว เข้าไปขวางหน้าทั้งสองคนเอาไว้

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งขึ้นมา “จิ้งเหยียนเจินจวินนี่หมายความว่าอะไร”

จิ้งเหยียนเจิจวินมองไปยังทั้งสองคน เข้าใจดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่เสแสร้ง จึงพูดออกไปโดยตรงว่า “ทั้งสองท่านน่าจะรู้ ว่าบุตรสาวข้าหลายปีก่อนตายที่พรรคเหยากวงใช่หรือไม่”

“จิ้งเหยียนเจินจวินสงสัยพวกข้าหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถาม

จิ้งเหยียนเจินจวินส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแต่ลั่วหยางเจินจวินน่าจะเคยได้ยินคำที่ว่า ข้าไม่ได้ฆ่าปั๋วเหริน แต่ปั๋วเหรินตายเพราะข้า บุตรสาวหลายปีมานี้นิสัยเปลี่ยนไปไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงวันมงคล เดินทางไปเหยากวงคิดดูแล้วคงหมายจะพบท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

“เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวินต้องการเช่นใดหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถามอย่างสงบนิ่ง

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งที “ ใจชายแข็งแกร่งดั่งเหล็ก สิ่งที่บุตรสาวทำผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุด ก็คงเป็นการที่มีใจกับท่านสินะ”

เยี่ยเทียนหยวนกุมมือมั่วชิงเฉินไว้แน่น จ้องนิ่งไปยังจิ้งเหยียนเจินจวิน “จิตใจไม่ควบคุม เรื่องของความรัก ไม่มีผิดถูก สิ่งที่บอกได้ว่าผิดถูกคือพฤติกรรมของคนผู้หนึ่ง จิ้งเหยียนเจินจวินเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ย่อมต้องรู้ว่าคนเราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำทั้งหมด”

“ช่างเถอะๆ เป็นเพราะข้าละเลยการอบรม ปล่อยให้บุตรสาวมีนิสัยดื้อรั้น เพียงแต่การตายอนาถอย่างเป็นปริศนาของนาง ในฐานะบิดาคน ข้ารู้สึกใจไม่สงบ ทั้งสองท่านในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หวังว่าลั่วหยางเจินจวินจะสามารถไปจุดธูปหน้าหลุมศพนางสักดอก ถือว่าเป็นการปลอบวิญญาณผู้ตายเถอะนะ”

เยี่ยเทียนหยวนได้ยิน ก็มองไปยังมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินกระชับมือเยี่ยเทียนหยวนกลับ แล้วยิ้มขึ้นหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านตัดสินใจเองแล้วกัน”

“จิ้งเหยียนเจินจวินได้โปรดนำทางด้วย” เยี่ยเทียนหยวนพูด

จิ้งเหยียนเจินจวินรู้สึกโล่งอก แล้วเหยียบบนเมฆบินออกไป ร่อนลงบนปลายสุดของเทือกเขาหมิงสยา

กลางป่าดอกอิงภูเขา มีสุสานน้อยๆ แห่งหนึ่ง

เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่หน้าสุสาน แล้วจุดธูปขึ้น ภาพของหร่วนหลิงซิ่วปรากฏขึ้นในความคิดอย่างน่าประหลาด

มีความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กสาว ต่อมาก็กลับกลายเป็นความผูกมัดลุ่มหลง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นสภาพเผ้าผมรุงรัง ใบหน้าอาบเลือด จ้องมายังเยี่ยเทียนหยวน เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด ‘ท่านพี่เทียนหยวน ข้าตายอย่างอนาถ ท่านรู้อยู่แท้ๆ ว่าข้าถูกมั่วชิงเฉินทำร้ายจนตาย แต่กลับไม่ใส่ใจเลยแม้สักนิด ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ’

มั่วชิงเฉินที่มองอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเยือกเย็นสีหน้าเปลี่ยน ศิษย์พี่เป็นเช่นนี้ ดูมีเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ

ลอบมองไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินปราดหนึ่ง ถึงแม้เขาจะดูสงบนิ่ง แต่แววตากลับแฝงแววมืดมน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตัวระวังขึ้นมา

นางแอบเข้าใกล้โดยไม่ให้ทันสังเกต ก้าวเท้าขวาเดินเข้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แอบบอกตัวเองว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เตะเขาให้กระเด็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เยี่ยเทียนหยวนมองไปยังหร่วนหลิงซิ่วที่อยู่ด้านหน้าเงียบๆ สายลมพัดเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของนางปลิวไสว จนสามารถได้กลิ่นคาวเลือด ทั้งหมดดูราวกับเป็นความจริง แต่ในใจของเขากลับแจ่มชัด จึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “ชิงเฉินดีงามบริสุทธิ์ นางไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์มาก่อน หากเจ้าตายด้วยมือนางจริง เช่นนั้นก็มีเหตุให้สมควรที่จะตายแล้ว”

หร่วนหลิงซิ่วหัวเราลั่นขึ้นมา ‘เหตุสมควรตายหรือ ข้าควรตายเพราะรักท่านสินะ! ท่านไม่ชอบ ก็เลยคิดว่าข้าสมควรตายอย่างนั้นหรือ ท่านชอบนาง นางทำอะไรล้วนถูกต้องสินะ!’

เยี่ยเทียนหยวนถอนหายใจยาวหนึ่งที “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่รู้สึกอะไรกับเจ้า และไม่คิดว่าเจ้าสมควรตาย แต่ไม่ว่าจะเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า สำหรับชิงเฉิน ข้าไม่คิดว่านางทำอะไรก็ถูกไปหมด เพียงแต่ผิดหรือถูก ข้าก็จะแบกรับไปพร้อมกับนาง สำหรับการตายของเจจ้า หากชิงเฉินเป็นผู้ลงมือ นางอาจจะปฏิเสธได้ แต่ไม่มีทางยอมให้ข้ามาจุดธูปเด็ดขาด”

พูดจบแววตาก็พลันเยือกเย็นลง หันไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินแล้วพูดว่า “เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวิน ท่านก็ไม่ต้องสืบหาแล้ว ลาก่อน”

พวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสามบินขึ้นกลางอากาศ แล้วบินออกไปไกล

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัวเตรียมจะตามไป สุดท้ายก็หยุดลง แล้วมองไปยังสุสาน

เสียง โครม ดังขึ้น ธูปที่โรยผงควบคุมจิตหักเป็นสองท่อน

“หรือว่า จะไม่เกี่ยวกับพวกเขาจริงๆ” สักพักใหญ่ เสียงพึมพำของของจิ้งเหยียนเจินจวินก็แว่วมา

นับแต่พรต มาร ปีศาจ ทั้งสามฝ่ายได้บรรลุข้อสัญญาสงบศึก ดินแดนไท่ไป๋ตอนนี้ก็ไม่ได้เหมือนในอดีตที่ผู้ไม่ได้บำเพ็ญมารห้ามย่างกรายเข้าไป

ตลอดทาง มั่วชิงเฉินเห็นผู้บำเพ็ญพรตจำนวนไม่น้อยบินไปมาโดยไม่ปกปิด

พวกนางทั้งสามคนปิดบังระดับการบำเพ็ญพรตแล้วรีบเดินทางไปยังสำนักเม่ยหมัว แล้วสืบถามจากลูกศิษย์ระดับล่างของสำนัก จึงได้รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการงานมงคล วันนี้เป็นวันแต่งงานของมั่วหร่านอีและฮวาเชียนซู่พอดี ตอนนี้เจ้าสาวน่าจะอยู่ในโถงพิธีแล้ว

ได้รู้เช่นก็ไม่มีเวลาที่จะสนใจเรื่องอื่น ทั้งสามคนรีบไปยังนิกายมารแดงอย่างรวดเร็ว

นิกายมารแดงตกแต่งด้วยโคมไฟและเชือกถักหลากสี เต็มไปด้วยบรรยากาศงานมงคล ภายในโถงวุ่นวายจอแจ

มั่วหร่านอีอยู่ในชุดเจ้าสาว ผ้าแพรสีแดงนับไม่ถ้วนห้อยทิ้งปลายบางราวกับปีกจักจั่นพันไปยังฮวาเชียนซู่

ผู้คนที่ไว้ใจได้ของนางที่พามาด้วย ต่างล้มนอนท่ามกลางการต่อสู้

“เป็นนางโง่ตัวจริง ข้านึกว่า เจ้าจะรอให้เข้าห้องหอก่อนค่อยลงมือ คิดไม่ถึงว่าจะใจร้อนเช่นนี้ เหลือทนจริงๆ” ฮวาเชียนซู่ในชุดแดงทั้งตัวราวเทพบุตร มุมปากอมยิ้มอย่างเยาะเย้ย

มั่วหร่านอีเม้มริมฝีปากทั้งคู่ แล้วสะบัดผ้าแพรแดงออกไป

หรือว่าจะมาตายตอนจบเอาเช่นนี้

ทำไมหมัวจวินทั้งหลายที่ถูกกักขังถึงได้ปรากฏตัวในงานมงคลได้

ทำไมยาเหล่านั้นจึงไม่แสดงฤทธิ์

เจ้านิกายมารแดงบีบคั้นจนแม่บุญธรรมไม่สามารถต่อกรกลับ หรือจะรู้แต่แรกแล้วว่าแม่บุญธรรมวางแผนอะไรไว้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้นหรือ”

มั่วชิงเฉินบีบมือ ยันต์ส่งสารก็สลายไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าสารเลวฮวาเชียนซู่นั่น ตั้งใจจะเตือนข้าว่ามันยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ช่างกล้าที่จะหมายปองพี่สิบ”

หลายปีก่อน มั่วหร่านอีและเหยาเจียฉีแม่บุญธรรมเจ้าสำนักเม่ยหมัวได้กลับมาคืนดีกัน แล้วกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋

ยันต์ส่งสารหมื่นลี้แผ่นนี้มั่วเฟยเยียนเป็นผู้ส่ง บอกว่าฮวาเชียนซู่หลังจากบรรลุการประสานก่อกำเนิด เจ้านิกายมารแดงก็ไปสำนักเม่ยหมัวทำเรื่องสู่ขอแทนเขา เพื่อสู่ขอมั่วหร่านอี เจ้าสำนักเหยาได้ถามความเห็นของมั่วหร่านอี และนางก็ตอบรับ

“พี่สิบกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ พี่เก้าเดินทางไปพบอันตรายเพียงลำพังคนเดียว ศิษย์พี่ ข้าต้องไปที่สำนักลั่วสยาเดี๋ยวนี้” มั่วชิงเฉินพูด

“ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า” เยี่ยเทียนหยวนพูดสีหน้าจริงจัง

มั่วชิงเฉินยิ้มบางหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านจะเป็นช้างเท้าหลังแล้วหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปทัดปอยผมให้นาง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “จะเป็นช้างเท้าหน้าช้างเท้าหลัง มันก็เหมือนกัน ขอเพียงพวกเราอยู่ด้วยกันก็พอ”

“ไม่เคยเห็นท่านซื่อบื้อเช่นนี้มาก่อน” มั่วชิงเฉินหรี่ตามองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง “พวกเรารีบไปบอกอาวุโสสูงสุดประมุขพรรคก่อนเถอะ”

เมื่อไปถึงยอดเขาโฮ่วเต๋อรายงานสาเหตุที่มาแล้ว หลิวซางเจินจวินนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องของญาติพี่น้อง ย่อมต้องไปช่วยเหลือ เพียงแต่ปีก่อนเพื่อนของจื่อซีสังเกตดวงดาวพยากรณ์ บอกว่าดาวแฝดส่องสว่าง แต่กลับมีดาวมารเข้ามาบดบัง ดาวแฝดหมายถึงผู้ใดยังไม่แน่ชัด พวกเจ้าก็จงระวังให้มากด้วย”

“ขอบคุณอาวุโสสูงสุดประมุขพรรค” มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นพร้อมกัน

มองเห็นคู่รักคู่นี้ หลิวซางเจินจวินก็รู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก ลอบคิดว่าบนโลกเวลานี้คนที่สามารถทำร้ายพวกเขาสองคนนั้นคิดว่าคงไม่มาก เมื่อคิดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ดินแดนไท่ไป๋อย่างไรก็เป็นดินแดนมาร เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วรีบกลับมาถึง อย่ารีรอนาน อีกอย่างยังมีอีกเรื่องที่พวกเจ้าต้องจำใส่ใจให้มาก ตอนนั้นหร่วนหลิงซิ่วตายไปอย่างเป็นปริศนาใกล้ๆ พรรคเหยากวง จิ้งเหยียนเจินจวินยังสืบหาฆาตกรตัวจริงไม่ได้ เกรงว่าคงมีความแค้นต่อพวกเจ้าอยู่มากเช่นกัน การไปที่สำนักลั่วสยาครั้งนี้ ถ้าไม่รบกวนเขาจะดีที่สุด”

“พวกเราจะจำไว้”

“ในเมื่อเช่นนี้ พวกเจ้าก็ออกเดินทางกันเถอะ รีบไปรีบกลับ” หลิวซางเจินจวินพยักหน้า

หลายปีมานี้พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองไม่ได้รับลูกศิษย์ ยอดเขาลั่วเฉินมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่คอยทำงานจิปาถะ เมื่อมอบหมายให้เหลียงเฉินเหมยจิ่งดูแลเรือนแล้ว ทั้งสองคนก็รีบเดินทางตรงไปยังสำนักลั่วสยาโดยไม่หยุดพัก

เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลิวซางเจินจวินเตือน ก็ส่งยันต์ส่งสารไปให้มั่วเฟยเยียน นัดหมายเพื่อเจอกันที่หอน้ำชาในเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ กับสำนักลั่วสยา

เมื่อถึงหอน้ำชาแล้วเด็กในร้านก็พาขึ้นสู่ชั้นบน เมื่อผลักประตูเปิดออกก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงก็หันตัวกลับมา หญิงผู้นั้นก็คือมั่วเฟยเยียน

“พี่เก้า” มั่วชิงเฉินเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

“น้องสิบหก เจ้ามาแล้ว” มั่วเฟยเยียนยกขึ้นยืน แล้วมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ลั่วหยางเจินจวิน”

เยี่ยเทียนหยวนลดความเคร่งครัดที่เคยมีมาในอดีต เรียกนางโดยตรงว่าพี่เก้า กลับทำให้มั่วเฟยเยียนรู้สึกประหลาดใจจึงหันไปมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ความเยือกเย็นในแววตาลดลงไปมาก แฝงด้วยความทะเล้นอยู่กลายๆ

มั่วชิงเฉินกระแอมหนึ่งที แล้วรีบพูดขึ้นว่า “พี่เก้า ไยพี่สิบจึงตอบรับ หรือจะคิดฉวยโอกาสแก้แค้นกันแน่”

มั่วเฟยเยียนพยักหน้า “เกรงว่าจะใช่”

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “คิดจะแก้แค้น พวกเราพี่น้องปรึกษากันดีแล้ว สู้ไปพร้อมกันก็ได้ ไยจึงต้องใช้วิธีนี้”

มั่วเฟยเยียนยิ้มเยาะ “นิสัยของนางเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ นับตั้งแต่กลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ก็พิกลยิ่งขึ้น ข้าเดาว่าที่นางตอบรับเรื่องแต่งงาน คงอยากจะตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างนิกายมารแดงในงานมงคล”

มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบ

เมื่อนางยังเด็กได้อยู่ในตระกูลมั่วเพียงแค่สองปี หากจะพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อตระกูล คงเทียบไม่ได้กับพวกนาง มั่วเฟยเยียนนิสัยเยือกเย็น เป็นเพราะเรื่องที่บิดาล่วงละเมิดประเวณีกับน้องสะใภ้ จึงทำให้นางจิตใจเย็นชา

มั่วหร่านอีไม่เหมือนกับพวกนาง ตอนเด็กได้รับความรักความเมตตาจากบิดามารดา น้องสาวก็บริสุทธิ์ดีงาม ความรู้สึกที่มีต่อตะกูลนั้นย่อมลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกนางจะจินตนาการได้ แต่นิสัยของนางกลับหยิ่งผยอง จะมีความคิดตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนี้ก็ไม่แปลก

เพียงแต่ตำแหน่งของนิกายมารแดงในดินแดนไท่ไป๋ เทียบได้กับตำแหน่งของสี่สำนักแปดนิกายในดินแดนเทียนหยวน หากคิดจะมีเรื่องด้วยนั้นไม่ง่าย

“ไม่ว่าจะอย่างไร ตระกูลมั่วก็เหลือเพียงพวกเราไม่กี่คน ปกตินางจะทำตัวเหลวไหลก็ช่างเถอะ แต่ถ้าจะทนดูนางเอาไข่ไปกระทบหินไม่ได้ น้องสิบหก พวกเราไปดินแดนไท่ไป๋กันเถอะ” มั่วเฟยเยียนพูดเสียงเรียบ

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม”

นี่คือจุดหนึ่งที่ทำให้นางชื่นชอบมั่วเฟยเยียน

มั่วเฟยเยียนบุคลิกบริสุทธิ์สูงส่ง สิ่งที่นางทนไม่ได้ที่สุดก็คือมารยาทจอมปลอม

นางเข้าใจมั่วชิงเฉินดี รู้ว่ามั่วชิงเฉินเข้าใจดีว่าเรื่องนี้จะคอยรอดูอยู่ข้างๆ ไม่ได้ หากผิดพลาดขึ้นมาคงต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิต ไม่คิดจะปิดบังเพียงเพราะหวังดีกับนาง และก็ไม่ถามอย่างอ้อมค้อมว่านางจะไปหรือไม่

ทั้งสามคนปรึกษากันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้น

พลังอันแก่กล้าปกคลุมไปทั้งห้องชา จากนั้นก็มีคนพูดถึงผลักประตูเข้ามา

“จิ้งเหยีนเจินจวินหรือ” มั่วชิงเฉินมองผู้ที่เข้ามาหน้านิ่ว

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังมั่วเฟยเยียน แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “กูอวิ๋นเจินจวิน ทำไมจึงมาต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติที่นี่ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ”

“ไม่ใช่แขก แต่เป็นน้องสาวของข้า” มั่วเฟยเยียนต่อหน้าเจ้าสำนักยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

จิ้งเหยียนเจินจวินไม่ได้ถือสา แล้วมองไปยังมั่วชิงเฉินทั้งสอง “เจินจวินทั้งสองท่านเดินทางมาไกล ข้าเกือบจะไม่ทันตอนรับเสียแล้ว”

“เพียงแค่ผ่านทางมา จิ้งเหยียนเจินจวินเกรงใจไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้น

จิ้งเหยียนเจินจวินหัวเราะร่า “ไม่ว่าจะเช่นใดในเมื่อมาถึงสำนักลั่วสยาของพวกเราแล้ว เจินจวินทั้งสองท่านก็พักอยู่ที่สำนักเราสักกสองสามวัน ให้ข้าได้แสดงมิตรภาพในฐานะเจ้าบ้านหน่อยเป็นอย่างไร”

“พวกเรายังมีเรื่องเร่งด่วน คงไม่รบกวนแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูด จากนั้นก็จูงมือมั่วชิงเฉินเดินออกนอกประตูไป

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัว เข้าไปขวางหน้าทั้งสองคนเอาไว้

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งขึ้นมา “จิ้งเหยียนเจินจวินนี่หมายความว่าอะไร”

จิ้งเหยียนเจิจวินมองไปยังทั้งสองคน เข้าใจดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่เสแสร้ง จึงพูดออกไปโดยตรงว่า “ทั้งสองท่านน่าจะรู้ ว่าบุตรสาวข้าหลายปีก่อนตายที่พรรคเหยากวงใช่หรือไม่”

“จิ้งเหยียนเจินจวินสงสัยพวกข้าหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถาม

จิ้งเหยียนเจินจวินส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแต่ลั่วหยางเจินจวินน่าจะเคยได้ยินคำที่ว่า ข้าไม่ได้ฆ่าปั๋วเหริน แต่ปั๋วเหรินตายเพราะข้า บุตรสาวหลายปีมานี้นิสัยเปลี่ยนไปไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงวันมงคล เดินทางไปเหยากวงคิดดูแล้วคงหมายจะพบท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

“เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวินต้องการเช่นใดหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถามอย่างสงบนิ่ง

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งที “ ใจชายแข็งแกร่งดั่งเหล็ก สิ่งที่บุตรสาวทำผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุด ก็คงเป็นการที่มีใจกับท่านสินะ”

เยี่ยเทียนหยวนกุมมือมั่วชิงเฉินไว้แน่น จ้องนิ่งไปยังจิ้งเหยียนเจินจวิน “จิตใจไม่ควบคุม เรื่องของความรัก ไม่มีผิดถูก สิ่งที่บอกได้ว่าผิดถูกคือพฤติกรรมของคนผู้หนึ่ง จิ้งเหยียนเจินจวินเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ย่อมต้องรู้ว่าคนเราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำทั้งหมด”

“ช่างเถอะๆ เป็นเพราะข้าละเลยการอบรม ปล่อยให้บุตรสาวมีนิสัยดื้อรั้น เพียงแต่การตายอนาถอย่างเป็นปริศนาของนาง ในฐานะบิดาคน ข้ารู้สึกใจไม่สงบ ทั้งสองท่านในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หวังว่าลั่วหยางเจินจวินจะสามารถไปจุดธูปหน้าหลุมศพนางสักดอก ถือว่าเป็นการปลอบวิญญาณผู้ตายเถอะนะ”

เยี่ยเทียนหยวนได้ยิน ก็มองไปยังมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินกระชับมือเยี่ยเทียนหยวนกลับ แล้วยิ้มขึ้นหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านตัดสินใจเองแล้วกัน”

“จิ้งเหยียนเจินจวินได้โปรดนำทางด้วย” เยี่ยเทียนหยวนพูด

จิ้งเหยียนเจินจวินรู้สึกโล่งอก แล้วเหยียบบนเมฆบินออกไป ร่อนลงบนปลายสุดของเทือกเขาหมิงสยา

กลางป่าดอกอิงภูเขา มีสุสานน้อยๆ แห่งหนึ่ง

เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่หน้าสุสาน แล้วจุดธูปขึ้น ภาพของหร่วนหลิงซิ่วปรากฏขึ้นในความคิดอย่างน่าประหลาด

มีความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กสาว ต่อมาก็กลับกลายเป็นความผูกมัดลุ่มหลง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นสภาพเผ้าผมรุงรัง ใบหน้าอาบเลือด จ้องมายังเยี่ยเทียนหยวน เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด ‘ท่านพี่เทียนหยวน ข้าตายอย่างอนาถ ท่านรู้อยู่แท้ๆ ว่าข้าถูกมั่วชิงเฉินทำร้ายจนตาย แต่กลับไม่ใส่ใจเลยแม้สักนิด ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ’

มั่วชิงเฉินที่มองอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเยือกเย็นสีหน้าเปลี่ยน ศิษย์พี่เป็นเช่นนี้ ดูมีเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ

ลอบมองไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินปราดหนึ่ง ถึงแม้เขาจะดูสงบนิ่ง แต่แววตากลับแฝงแววมืดมน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตัวระวังขึ้นมา

นางแอบเข้าใกล้โดยไม่ให้ทันสังเกต ก้าวเท้าขวาเดินเข้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แอบบอกตัวเองว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เตะเขาให้กระเด็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เยี่ยเทียนหยวนมองไปยังหร่วนหลิงซิ่วที่อยู่ด้านหน้าเงียบๆ สายลมพัดเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของนางปลิวไสว จนสามารถได้กลิ่นคาวเลือด ทั้งหมดดูราวกับเป็นความจริง แต่ในใจของเขากลับแจ่มชัด จึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “ชิงเฉินดีงามบริสุทธิ์ นางไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์มาก่อน หากเจ้าตายด้วยมือนางจริง เช่นนั้นก็มีเหตุให้สมควรที่จะตายแล้ว”

หร่วนหลิงซิ่วหัวเราลั่นขึ้นมา ‘เหตุสมควรตายหรือ ข้าควรตายเพราะรักท่านสินะ! ท่านไม่ชอบ ก็เลยคิดว่าข้าสมควรตายอย่างนั้นหรือ ท่านชอบนาง นางทำอะไรล้วนถูกต้องสินะ!’

เยี่ยเทียนหยวนถอนหายใจยาวหนึ่งที “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่รู้สึกอะไรกับเจ้า และไม่คิดว่าเจ้าสมควรตาย แต่ไม่ว่าจะเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า สำหรับชิงเฉิน ข้าไม่คิดว่านางทำอะไรก็ถูกไปหมด เพียงแต่ผิดหรือถูก ข้าก็จะแบกรับไปพร้อมกับนาง สำหรับการตายของเจจ้า หากชิงเฉินเป็นผู้ลงมือ นางอาจจะปฏิเสธได้ แต่ไม่มีทางยอมให้ข้ามาจุดธูปเด็ดขาด”

พูดจบแววตาก็พลันเยือกเย็นลง หันไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินแล้วพูดว่า “เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวิน ท่านก็ไม่ต้องสืบหาแล้ว ลาก่อน”

พวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสามบินขึ้นกลางอากาศ แล้วบินออกไปไกล

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัวเตรียมจะตามไป สุดท้ายก็หยุดลง แล้วมองไปยังสุสาน

เสียง โครม ดังขึ้น ธูปที่โรยผงควบคุมจิตหักเป็นสองท่อน

“หรือว่า จะไม่เกี่ยวกับพวกเขาจริงๆ” สักพักใหญ่ เสียงพึมพำของของจิ้งเหยียนเจินจวินก็แว่วมา

นับแต่พรต มาร ปีศาจ ทั้งสามฝ่ายได้บรรลุข้อสัญญาสงบศึก ดินแดนไท่ไป๋ตอนนี้ก็ไม่ได้เหมือนในอดีตที่ผู้ไม่ได้บำเพ็ญมารห้ามย่างกรายเข้าไป

ตลอดทาง มั่วชิงเฉินเห็นผู้บำเพ็ญพรตจำนวนไม่น้อยบินไปมาโดยไม่ปกปิด

พวกนางทั้งสามคนปิดบังระดับการบำเพ็ญพรตแล้วรีบเดินทางไปยังสำนักเม่ยหมัว แล้วสืบถามจากลูกศิษย์ระดับล่างของสำนัก จึงได้รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการงานมงคล วันนี้เป็นวันแต่งงานของมั่วหร่านอีและฮวาเชียนซู่พอดี ตอนนี้เจ้าสาวน่าจะอยู่ในโถงพิธีแล้ว

ได้รู้เช่นก็ไม่มีเวลาที่จะสนใจเรื่องอื่น ทั้งสามคนรีบไปยังนิกายมารแดงอย่างรวดเร็ว

นิกายมารแดงตกแต่งด้วยโคมไฟและเชือกถักหลากสี เต็มไปด้วยบรรยากาศงานมงคล ภายในโถงวุ่นวายจอแจ

มั่วหร่านอีอยู่ในชุดเจ้าสาว ผ้าแพรสีแดงนับไม่ถ้วนห้อยทิ้งปลายบางราวกับปีกจักจั่นพันไปยังฮวาเชียนซู่

ผู้คนที่ไว้ใจได้ของนางที่พามาด้วย ต่างล้มนอนท่ามกลางการต่อสู้

“เป็นนางโง่ตัวจริง ข้านึกว่า เจ้าจะรอให้เข้าห้องหอก่อนค่อยลงมือ คิดไม่ถึงว่าจะใจร้อนเช่นนี้ เหลือทนจริงๆ” ฮวาเชียนซู่ในชุดแดงทั้งตัวราวเทพบุตร มุมปากอมยิ้มอย่างเยาะเย้ย

มั่วหร่านอีเม้มริมฝีปากทั้งคู่ แล้วสะบัดผ้าแพรแดงออกไป

หรือว่าจะมาตายตอนจบเอาเช่นนี้

ทำไมหมัวจวินทั้งหลายที่ถูกกักขังถึงได้ปรากฏตัวในงานมงคลได้

ทำไมยาเหล่านั้นจึงไม่แสดงฤทธิ์

เจ้านิกายมารแดงบีบคั้นจนแม่บุญธรรมไม่สามารถต่อกรกลับ หรือจะรู้แต่แรกแล้วว่าแม่บุญธรรมวางแผนอะไรไว้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 600 จดหมายจากมั่วเฟยเยียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้นหรือ”

มั่วชิงเฉินบีบมือ ยันต์ส่งสารก็สลายไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าสารเลวฮวาเชียนซู่นั่น ตั้งใจจะเตือนข้าว่ามันยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ช่างกล้าที่จะหมายปองพี่สิบ”

หลายปีก่อน มั่วหร่านอีและเหยาเจียฉีแม่บุญธรรมเจ้าสำนักเม่ยหมัวได้กลับมาคืนดีกัน แล้วกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋

ยันต์ส่งสารหมื่นลี้แผ่นนี้มั่วเฟยเยียนเป็นผู้ส่ง บอกว่าฮวาเชียนซู่หลังจากบรรลุการประสานก่อกำเนิด เจ้านิกายมารแดงก็ไปสำนักเม่ยหมัวทำเรื่องสู่ขอแทนเขา เพื่อสู่ขอมั่วหร่านอี เจ้าสำนักเหยาได้ถามความเห็นของมั่วหร่านอี และนางก็ตอบรับ

“พี่สิบกลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ พี่เก้าเดินทางไปพบอันตรายเพียงลำพังคนเดียว ศิษย์พี่ ข้าต้องไปที่สำนักลั่วสยาเดี๋ยวนี้” มั่วชิงเฉินพูด

“ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า” เยี่ยเทียนหยวนพูดสีหน้าจริงจัง

มั่วชิงเฉินยิ้มบางหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านจะเป็นช้างเท้าหลังแล้วหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปทัดปอยผมให้นาง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “จะเป็นช้างเท้าหน้าช้างเท้าหลัง มันก็เหมือนกัน ขอเพียงพวกเราอยู่ด้วยกันก็พอ”

“ไม่เคยเห็นท่านซื่อบื้อเช่นนี้มาก่อน” มั่วชิงเฉินหรี่ตามองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง “พวกเรารีบไปบอกอาวุโสสูงสุดประมุขพรรคก่อนเถอะ”

เมื่อไปถึงยอดเขาโฮ่วเต๋อรายงานสาเหตุที่มาแล้ว หลิวซางเจินจวินนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องของญาติพี่น้อง ย่อมต้องไปช่วยเหลือ เพียงแต่ปีก่อนเพื่อนของจื่อซีสังเกตดวงดาวพยากรณ์ บอกว่าดาวแฝดส่องสว่าง แต่กลับมีดาวมารเข้ามาบดบัง ดาวแฝดหมายถึงผู้ใดยังไม่แน่ชัด พวกเจ้าก็จงระวังให้มากด้วย”

“ขอบคุณอาวุโสสูงสุดประมุขพรรค” มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นพร้อมกัน

มองเห็นคู่รักคู่นี้ หลิวซางเจินจวินก็รู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก ลอบคิดว่าบนโลกเวลานี้คนที่สามารถทำร้ายพวกเขาสองคนนั้นคิดว่าคงไม่มาก เมื่อคิดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ดินแดนไท่ไป๋อย่างไรก็เป็นดินแดนมาร เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วรีบกลับมาถึง อย่ารีรอนาน อีกอย่างยังมีอีกเรื่องที่พวกเจ้าต้องจำใส่ใจให้มาก ตอนนั้นหร่วนหลิงซิ่วตายไปอย่างเป็นปริศนาใกล้ๆ พรรคเหยากวง จิ้งเหยียนเจินจวินยังสืบหาฆาตกรตัวจริงไม่ได้ เกรงว่าคงมีความแค้นต่อพวกเจ้าอยู่มากเช่นกัน การไปที่สำนักลั่วสยาครั้งนี้ ถ้าไม่รบกวนเขาจะดีที่สุด”

“พวกเราจะจำไว้”

“ในเมื่อเช่นนี้ พวกเจ้าก็ออกเดินทางกันเถอะ รีบไปรีบกลับ” หลิวซางเจินจวินพยักหน้า

หลายปีมานี้พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองไม่ได้รับลูกศิษย์ ยอดเขาลั่วเฉินมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่คอยทำงานจิปาถะ เมื่อมอบหมายให้เหลียงเฉินเหมยจิ่งดูแลเรือนแล้ว ทั้งสองคนก็รีบเดินทางตรงไปยังสำนักลั่วสยาโดยไม่หยุดพัก

เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลิวซางเจินจวินเตือน ก็ส่งยันต์ส่งสารไปให้มั่วเฟยเยียน นัดหมายเพื่อเจอกันที่หอน้ำชาในเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ กับสำนักลั่วสยา

เมื่อถึงหอน้ำชาแล้วเด็กในร้านก็พาขึ้นสู่ชั้นบน เมื่อผลักประตูเปิดออกก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงก็หันตัวกลับมา หญิงผู้นั้นก็คือมั่วเฟยเยียน

“พี่เก้า” มั่วชิงเฉินเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

“น้องสิบหก เจ้ามาแล้ว” มั่วเฟยเยียนยกขึ้นยืน แล้วมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ลั่วหยางเจินจวิน”

เยี่ยเทียนหยวนลดความเคร่งครัดที่เคยมีมาในอดีต เรียกนางโดยตรงว่าพี่เก้า กลับทำให้มั่วเฟยเยียนรู้สึกประหลาดใจจึงหันไปมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ความเยือกเย็นในแววตาลดลงไปมาก แฝงด้วยความทะเล้นอยู่กลายๆ

มั่วชิงเฉินกระแอมหนึ่งที แล้วรีบพูดขึ้นว่า “พี่เก้า ไยพี่สิบจึงตอบรับ หรือจะคิดฉวยโอกาสแก้แค้นกันแน่”

มั่วเฟยเยียนพยักหน้า “เกรงว่าจะใช่”

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “คิดจะแก้แค้น พวกเราพี่น้องปรึกษากันดีแล้ว สู้ไปพร้อมกันก็ได้ ไยจึงต้องใช้วิธีนี้”

มั่วเฟยเยียนยิ้มเยาะ “นิสัยของนางเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ นับตั้งแต่กลับไปยังดินแดนไท่ไป๋ก็พิกลยิ่งขึ้น ข้าเดาว่าที่นางตอบรับเรื่องแต่งงาน คงอยากจะตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างนิกายมารแดงในงานมงคล”

มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบ

เมื่อนางยังเด็กได้อยู่ในตระกูลมั่วเพียงแค่สองปี หากจะพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อตระกูล คงเทียบไม่ได้กับพวกนาง มั่วเฟยเยียนนิสัยเยือกเย็น เป็นเพราะเรื่องที่บิดาล่วงละเมิดประเวณีกับน้องสะใภ้ จึงทำให้นางจิตใจเย็นชา

มั่วหร่านอีไม่เหมือนกับพวกนาง ตอนเด็กได้รับความรักความเมตตาจากบิดามารดา น้องสาวก็บริสุทธิ์ดีงาม ความรู้สึกที่มีต่อตะกูลนั้นย่อมลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกนางจะจินตนาการได้ แต่นิสัยของนางกลับหยิ่งผยอง จะมีความคิดตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนี้ก็ไม่แปลก

เพียงแต่ตำแหน่งของนิกายมารแดงในดินแดนไท่ไป๋ เทียบได้กับตำแหน่งของสี่สำนักแปดนิกายในดินแดนเทียนหยวน หากคิดจะมีเรื่องด้วยนั้นไม่ง่าย

“ไม่ว่าจะอย่างไร ตระกูลมั่วก็เหลือเพียงพวกเราไม่กี่คน ปกตินางจะทำตัวเหลวไหลก็ช่างเถอะ แต่ถ้าจะทนดูนางเอาไข่ไปกระทบหินไม่ได้ น้องสิบหก พวกเราไปดินแดนไท่ไป๋กันเถอะ” มั่วเฟยเยียนพูดเสียงเรียบ

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม”

นี่คือจุดหนึ่งที่ทำให้นางชื่นชอบมั่วเฟยเยียน

มั่วเฟยเยียนบุคลิกบริสุทธิ์สูงส่ง สิ่งที่นางทนไม่ได้ที่สุดก็คือมารยาทจอมปลอม

นางเข้าใจมั่วชิงเฉินดี รู้ว่ามั่วชิงเฉินเข้าใจดีว่าเรื่องนี้จะคอยรอดูอยู่ข้างๆ ไม่ได้ หากผิดพลาดขึ้นมาคงต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิต ไม่คิดจะปิดบังเพียงเพราะหวังดีกับนาง และก็ไม่ถามอย่างอ้อมค้อมว่านางจะไปหรือไม่

ทั้งสามคนปรึกษากันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้น

พลังอันแก่กล้าปกคลุมไปทั้งห้องชา จากนั้นก็มีคนพูดถึงผลักประตูเข้ามา

“จิ้งเหยีนเจินจวินหรือ” มั่วชิงเฉินมองผู้ที่เข้ามาหน้านิ่ว

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังมั่วเฟยเยียน แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “กูอวิ๋นเจินจวิน ทำไมจึงมาต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติที่นี่ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ”

“ไม่ใช่แขก แต่เป็นน้องสาวของข้า” มั่วเฟยเยียนต่อหน้าเจ้าสำนักยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

จิ้งเหยียนเจินจวินไม่ได้ถือสา แล้วมองไปยังมั่วชิงเฉินทั้งสอง “เจินจวินทั้งสองท่านเดินทางมาไกล ข้าเกือบจะไม่ทันตอนรับเสียแล้ว”

“เพียงแค่ผ่านทางมา จิ้งเหยียนเจินจวินเกรงใจไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้น

จิ้งเหยียนเจินจวินหัวเราะร่า “ไม่ว่าจะเช่นใดในเมื่อมาถึงสำนักลั่วสยาของพวกเราแล้ว เจินจวินทั้งสองท่านก็พักอยู่ที่สำนักเราสักกสองสามวัน ให้ข้าได้แสดงมิตรภาพในฐานะเจ้าบ้านหน่อยเป็นอย่างไร”

“พวกเรายังมีเรื่องเร่งด่วน คงไม่รบกวนแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูด จากนั้นก็จูงมือมั่วชิงเฉินเดินออกนอกประตูไป

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัว เข้าไปขวางหน้าทั้งสองคนเอาไว้

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งขึ้นมา “จิ้งเหยียนเจินจวินนี่หมายความว่าอะไร”

จิ้งเหยียนเจิจวินมองไปยังทั้งสองคน เข้าใจดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่เสแสร้ง จึงพูดออกไปโดยตรงว่า “ทั้งสองท่านน่าจะรู้ ว่าบุตรสาวข้าหลายปีก่อนตายที่พรรคเหยากวงใช่หรือไม่”

“จิ้งเหยียนเจินจวินสงสัยพวกข้าหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถาม

จิ้งเหยียนเจินจวินส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแต่ลั่วหยางเจินจวินน่าจะเคยได้ยินคำที่ว่า ข้าไม่ได้ฆ่าปั๋วเหริน แต่ปั๋วเหรินตายเพราะข้า บุตรสาวหลายปีมานี้นิสัยเปลี่ยนไปไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงวันมงคล เดินทางไปเหยากวงคิดดูแล้วคงหมายจะพบท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

“เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวินต้องการเช่นใดหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถามอย่างสงบนิ่ง

จิ้งเหยียนเจินจวินมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งที “ ใจชายแข็งแกร่งดั่งเหล็ก สิ่งที่บุตรสาวทำผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุด ก็คงเป็นการที่มีใจกับท่านสินะ”

เยี่ยเทียนหยวนกุมมือมั่วชิงเฉินไว้แน่น จ้องนิ่งไปยังจิ้งเหยียนเจินจวิน “จิตใจไม่ควบคุม เรื่องของความรัก ไม่มีผิดถูก สิ่งที่บอกได้ว่าผิดถูกคือพฤติกรรมของคนผู้หนึ่ง จิ้งเหยียนเจินจวินเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ย่อมต้องรู้ว่าคนเราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำทั้งหมด”

“ช่างเถอะๆ เป็นเพราะข้าละเลยการอบรม ปล่อยให้บุตรสาวมีนิสัยดื้อรั้น เพียงแต่การตายอนาถอย่างเป็นปริศนาของนาง ในฐานะบิดาคน ข้ารู้สึกใจไม่สงบ ทั้งสองท่านในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หวังว่าลั่วหยางเจินจวินจะสามารถไปจุดธูปหน้าหลุมศพนางสักดอก ถือว่าเป็นการปลอบวิญญาณผู้ตายเถอะนะ”

เยี่ยเทียนหยวนได้ยิน ก็มองไปยังมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินกระชับมือเยี่ยเทียนหยวนกลับ แล้วยิ้มขึ้นหนึ่งที “ศิษย์พี่ ท่านตัดสินใจเองแล้วกัน”

“จิ้งเหยียนเจินจวินได้โปรดนำทางด้วย” เยี่ยเทียนหยวนพูด

จิ้งเหยียนเจินจวินรู้สึกโล่งอก แล้วเหยียบบนเมฆบินออกไป ร่อนลงบนปลายสุดของเทือกเขาหมิงสยา

กลางป่าดอกอิงภูเขา มีสุสานน้อยๆ แห่งหนึ่ง

เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่หน้าสุสาน แล้วจุดธูปขึ้น ภาพของหร่วนหลิงซิ่วปรากฏขึ้นในความคิดอย่างน่าประหลาด

มีความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กสาว ต่อมาก็กลับกลายเป็นความผูกมัดลุ่มหลง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นสภาพเผ้าผมรุงรัง ใบหน้าอาบเลือด จ้องมายังเยี่ยเทียนหยวน เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด ‘ท่านพี่เทียนหยวน ข้าตายอย่างอนาถ ท่านรู้อยู่แท้ๆ ว่าข้าถูกมั่วชิงเฉินทำร้ายจนตาย แต่กลับไม่ใส่ใจเลยแม้สักนิด ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ’

มั่วชิงเฉินที่มองอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเยือกเย็นสีหน้าเปลี่ยน ศิษย์พี่เป็นเช่นนี้ ดูมีเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ

ลอบมองไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินปราดหนึ่ง ถึงแม้เขาจะดูสงบนิ่ง แต่แววตากลับแฝงแววมืดมน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตัวระวังขึ้นมา

นางแอบเข้าใกล้โดยไม่ให้ทันสังเกต ก้าวเท้าขวาเดินเข้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แอบบอกตัวเองว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เตะเขาให้กระเด็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เยี่ยเทียนหยวนมองไปยังหร่วนหลิงซิ่วที่อยู่ด้านหน้าเงียบๆ สายลมพัดเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของนางปลิวไสว จนสามารถได้กลิ่นคาวเลือด ทั้งหมดดูราวกับเป็นความจริง แต่ในใจของเขากลับแจ่มชัด จึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “ชิงเฉินดีงามบริสุทธิ์ นางไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์มาก่อน หากเจ้าตายด้วยมือนางจริง เช่นนั้นก็มีเหตุให้สมควรที่จะตายแล้ว”

หร่วนหลิงซิ่วหัวเราลั่นขึ้นมา ‘เหตุสมควรตายหรือ ข้าควรตายเพราะรักท่านสินะ! ท่านไม่ชอบ ก็เลยคิดว่าข้าสมควรตายอย่างนั้นหรือ ท่านชอบนาง นางทำอะไรล้วนถูกต้องสินะ!’

เยี่ยเทียนหยวนถอนหายใจยาวหนึ่งที “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่รู้สึกอะไรกับเจ้า และไม่คิดว่าเจ้าสมควรตาย แต่ไม่ว่าจะเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า สำหรับชิงเฉิน ข้าไม่คิดว่านางทำอะไรก็ถูกไปหมด เพียงแต่ผิดหรือถูก ข้าก็จะแบกรับไปพร้อมกับนาง สำหรับการตายของเจจ้า หากชิงเฉินเป็นผู้ลงมือ นางอาจจะปฏิเสธได้ แต่ไม่มีทางยอมให้ข้ามาจุดธูปเด็ดขาด”

พูดจบแววตาก็พลันเยือกเย็นลง หันไปยังจิ้งเหยียนเจินจวินแล้วพูดว่า “เช่นนั้น จิ้งเหยียนเจินจวิน ท่านก็ไม่ต้องสืบหาแล้ว ลาก่อน”

พวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสามบินขึ้นกลางอากาศ แล้วบินออกไปไกล

จิ้งเหยียนเจินจวินขยับตัวเตรียมจะตามไป สุดท้ายก็หยุดลง แล้วมองไปยังสุสาน

เสียง โครม ดังขึ้น ธูปที่โรยผงควบคุมจิตหักเป็นสองท่อน

“หรือว่า จะไม่เกี่ยวกับพวกเขาจริงๆ” สักพักใหญ่ เสียงพึมพำของของจิ้งเหยียนเจินจวินก็แว่วมา

นับแต่พรต มาร ปีศาจ ทั้งสามฝ่ายได้บรรลุข้อสัญญาสงบศึก ดินแดนไท่ไป๋ตอนนี้ก็ไม่ได้เหมือนในอดีตที่ผู้ไม่ได้บำเพ็ญมารห้ามย่างกรายเข้าไป

ตลอดทาง มั่วชิงเฉินเห็นผู้บำเพ็ญพรตจำนวนไม่น้อยบินไปมาโดยไม่ปกปิด

พวกนางทั้งสามคนปิดบังระดับการบำเพ็ญพรตแล้วรีบเดินทางไปยังสำนักเม่ยหมัว แล้วสืบถามจากลูกศิษย์ระดับล่างของสำนัก จึงได้รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการงานมงคล วันนี้เป็นวันแต่งงานของมั่วหร่านอีและฮวาเชียนซู่พอดี ตอนนี้เจ้าสาวน่าจะอยู่ในโถงพิธีแล้ว

ได้รู้เช่นก็ไม่มีเวลาที่จะสนใจเรื่องอื่น ทั้งสามคนรีบไปยังนิกายมารแดงอย่างรวดเร็ว

นิกายมารแดงตกแต่งด้วยโคมไฟและเชือกถักหลากสี เต็มไปด้วยบรรยากาศงานมงคล ภายในโถงวุ่นวายจอแจ

มั่วหร่านอีอยู่ในชุดเจ้าสาว ผ้าแพรสีแดงนับไม่ถ้วนห้อยทิ้งปลายบางราวกับปีกจักจั่นพันไปยังฮวาเชียนซู่

ผู้คนที่ไว้ใจได้ของนางที่พามาด้วย ต่างล้มนอนท่ามกลางการต่อสู้

“เป็นนางโง่ตัวจริง ข้านึกว่า เจ้าจะรอให้เข้าห้องหอก่อนค่อยลงมือ คิดไม่ถึงว่าจะใจร้อนเช่นนี้ เหลือทนจริงๆ” ฮวาเชียนซู่ในชุดแดงทั้งตัวราวเทพบุตร มุมปากอมยิ้มอย่างเยาะเย้ย

มั่วหร่านอีเม้มริมฝีปากทั้งคู่ แล้วสะบัดผ้าแพรแดงออกไป

หรือว่าจะมาตายตอนจบเอาเช่นนี้

ทำไมหมัวจวินทั้งหลายที่ถูกกักขังถึงได้ปรากฏตัวในงานมงคลได้

ทำไมยาเหล่านั้นจึงไม่แสดงฤทธิ์

เจ้านิกายมารแดงบีบคั้นจนแม่บุญธรรมไม่สามารถต่อกรกลับ หรือจะรู้แต่แรกแล้วว่าแม่บุญธรรมวางแผนอะไรไว้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+