พันธกานต์ปราณอัคคี 494-1 มุ่งหน้าสู่สำนักลั่วสยา

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 494-1 มุ่งหน้าสู่สำนักลั่วสยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปและนั่งลงข้างกายกู้หลีอย่างที่เคย นางเชิดศีรษะขึ้นพลางถามเสียงใส “ท่านอาจารย์มีเรื่องอันใดจะพูดหรือ”

 

 

กู้หลีหลุบตาลงเพื่อเก็บงำความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ จากนั้นมองไปยังมั่วชิงเฉินอีกครา แววตาอ่อนโยนและสุขุม “ฤกษ์แต่งงานของเจ้ากับลั่วหยางคือสามเดือนหลังจากนี้ วันที่ 15 เดือน 8 ชิงเฉินคงจะทราบแล้วใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ ชิงเฉินทราบแล้ว” มั่วชิงเฉินหลุบตาลงพลางเอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย

 

 

ถึงแม้ว่าเรื่องจะจบไปแล้ว ทว่าได้ยินเสียงเขาพูดเรื่องฤกษ์แต่งงานของตนอย่างเฉยเมยเช่นนี้ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างบอกมิได้

 

 

ผ่านอะไรมาตั้งมาก ทว่าในสายตาของเขาตนยังเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสีประสาที่กำลังก่อเรื่องอยู่หรือไร

 

 

“ลั่วหยางบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น คาดว่าหลังเสร็จสิ้นพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จักต้องบำเพ็ญตบะ อาจารย์จึงมีเรื่องอีกเรื่องต้องกล่าวกับเจ้า ชิงเฉิน ข้าเกรงว่าหลังจากพิธีการแล้วเจ้าจักต้องเตรียมตัวเสียแล้ว” กู้หลีกล่าวช้าๆ

 

 

“มีเรื่องอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ

 

 

กู้หลีหัวเราะ “ชิงเฉิน เจ้ายังจำศึกพรตมารเมื่อปีนั้นได้อยู่ใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

“ศึกพรตมารครั้งนั้นก็เพื่อแย่งชิงกุญแจลับเพื่อไขแดนสวรรค์มี่หลัวตูเท่านั้น แดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออกเมื่อหลายสิบปีก่อน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพรต มาร และปีศาจล้วนเคยเข้าไป แดนสวรรค์มี่หลัวตูเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สมุนไพรและดอกไม้หายาก อีกทั้งยังมีโบราณสถานของผู้บำเพ็ญเพียรในสมัยโบราณ สภาพแวดล้อมการบำเพ็ญเพียรในทวีปแห่งเทพนี้ก็มิอาจเทียบได้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมิอาจบรรลุไปขั้นระดับก่อกำเนิดได้ ด้วยเหตุนี้ในแดนสวรรค์มี่หลัวตูจึงกำหนดเงื่อนไขให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เข้าใกล้ระดับถอดดวงจิต!” กู้หลีเอ่ยความลับอันน่าตกใจออกมาด้วยน้ำเสียงรื่นหูไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปาก “ระดับถอดดวงจิตเช่นนั้นหรือ”

 

 

กู้หลีพยักหน้า “อืม แดนสวรรค์มี่หลัวตูมีเขตแดนกว้างใหญ่ นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเราตรวจสอบพบในขั้นต้นเท่านั้น ณ โลกมนุษย์ในตอนนี้ ทราบเพียงแต่ว่ายอดฝีมือเหอเซียวหยางผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเพียงหนึ่งเดียว มิเคยปรากฏตัวในโลกมนุษย์มานานมากแล้ว เจ้าปีศาจเองก็มิรู้ไปอยู่แห่งหนใด บ้างก็ว่าเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรถอดดวงจิตที่กำลังจะเลื่อนไประดับแยกวิญญาณจักเข้าไปในสถานที่สูงกว่านามว่า…โลกวิญญาณ อธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดกว่าหมื่นปีที่ผ่านมาจึงมิเคยมีข่าวคราวของผู้บรรลุระดับพิชิตเคราะห์กรรม เหล่ายอดฝีมือตั้งแต่ระดับถอดดวงจิตล้วนแล้วแต่สาบสูญไปจากโลกมนุษย์ เจินจวินบางท่านก็คาดการณ์ไว้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูเป็นอาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ”

 

 

หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับแยกวิญญาณแล้วจักเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรื่องนี้มั่วชิงเฉินรู้ตั้งแต่ตอนปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแล้ว ทว่าเรื่องที่ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูคืออาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณนั้นทำให้นางรู้สึกตกใจมาก

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่า…” มั่วชิงเฉินแอบคาดการณ์เงียบๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันแปลกมากจนมิกล้าเอ่ยปากพูด

 

 

กู้หลีดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของมั่วชิงเฉิน เขาพูดต่อ “เหล่าเจินจวินหลายท่านต่างคาดการณ์ไว้ว่า โลกมนุษย์ในตอนนี้มิปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต พรสวรรค์มากมายต่างติดอยู่ในระดับก่อกำเนิด เกรงว่าจะเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มิได้เกี่ยวกับกำลัง ทว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูและแดนอื่นๆ ต่างมีแดนลับหรือไม่ก็มอบโอกาสให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ อาศัยเพียงแค่แดนมี่หลัวตู มิแน่ว่าอาจจะเข้าไปในโลกวิญญาณได้โดยมิต้องบำเพ็ญเพียรถึงระดับแยกวิญญาณ!”

 

 

“เข้าสู่โลกวิญญาณล่วงหน้าเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็คิดไปไกล โลกใบนั้นกับโลกมนุษย์จะต่างกันโดยสิ้นเชิงหรือไม่

 

 

หรือว่าที่นั่นจะมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร มิมีคนธรรมดา แล้วยังมีโอกาสได้พบกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต แยกวิญญาณ ผสานร่าง กระทั่งระดับพิชิตเคราะห์กรรม

 

 

อาจจะเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรในโบราณกาล มิมีการแบ่งแยกพรรค เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถสอนวิชา เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรนับพันนับหมื่นก็มารวมตัวกันเพื่อฟังวิชา

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านให้ชิงเฉินเตรียมตัวทำไมหรือ” มั่วชิงเฉินข่มอารมณ์อันพุ่งพล่านของตนพลางถาม

 

 

กู้หลีมองศิษย์ตัวน้อยที่ดวงตาเป็นประกายก็ยิ้มออกมา “ไม่นานมานี้เหล่าเจินจวินค้นพบอาณาเขตแห่งหนึ่ง ที่นั่นอันตรายมาก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้โดดเด่นบางคนต้องไปลองสักครา”

 

 

มั่วชิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงปีติ “ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าชิงเฉินสามารถไปที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูได้ใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลี่พูดยิ้มๆ “ข้าให้เจ้าเตรียมตัวสักหน่อย หลังจากเข้าร่วมการประลองเฟิงอวิ๋นที่จัดขึ้นเพื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยเฉพาะในอีกหกเดือนข้างหน้า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋น จะได้ไปสำรวจแดนสวรรค์มี่หลัวตู”

 

 

“สิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋นเช่นนั้นหรือ” ได้ยินเช่นนั้นมั่วชิงเฉินก็แววตาเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ชิงเฉินทราบแล้วและจะพยายามให้มาก จะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลียิ้มบางๆ “มิกลัวเสียหน้า เพียงแต่มิต้องโอ้อวดมากไปนัก”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

 

 

“เด็กคนนั้น คือลูกศิษย์เจ้าหรือ” กู้หลีถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน

 

 

มั่วชิงเฉินมึนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพูดถึงตู้รั่วหรือ เขาคือศิษย์ที่ข้ารับไว้โดยบังเอิญตอนไปทัศนาจรที่เกาะนามว่าเสี้ยวจันทร์เจ้าค่ะ เด็กคนนั้นรากวิญญาณแปรผันวายุ นิสัยแน่วแน่และมีจิตใจงดงาม ดูแล้วเป็นต้นกล้าที่ดีเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลีขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้พูดสิ่งใดออกมา

 

 

เห็นคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมของกู้หลีแล้ว มั่วชิงเฉินจึงถามขึ้น “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์คิดว่าชิงเฉินรับศิษย์ส่งเดช มิได้ไตร่ตรองให้ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“มิใช่” กู้หลีส่ายหน้า ยกมือลูบต้าฮวาที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด “เพียงแต่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดา”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคัก “ท่านอาจารย์ ท่านคงมิได้อิจฉาที่ศิษย์ที่ชิงเฉินรับมานั้นดีกว่าศิษย์ที่ท่านรับมาใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลีมองมั่วชิงเฉินอย่างช่วยไม่ได้และไม่รู้จะทำเช่นไร

 

 

มั่วชิงเฉินผงะไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงตื่นตระหนก

 

 

สายตาเช่นนั้นนางมองเห็นในนัยน์ตาของเยี่ยเทียนหยวนมามากจนนับไม่ถ้วน  ท่านอาจารย์เขา…

 

 

มั่วชิงเฉินควบคุมจิตใจ จากนั้นมองไปยังกู้หลีอีกครา นางพบเพียงแต่ท่าทีชัดเจน รอยยิ้มในดวงตาเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้

 

 

มั่วชิงเฉินเผลอยิ้มออกมา ที่แท้ก็เพราะแยกจากท่านอาจารย์มานานเกินไปเท่านั้น

 

 

“ท่านอาจารย์ ชิงเฉินเองก็มีเรื่องต้องพูดกับท่าน”

 

 

“เรื่องอันใดหรือ” น้ำเสียงของกู้หลีอ่อนลง มือที่จับกันไว้แน่นในแขนเสื้อค่อยๆ คลายลง

 

 

“ชิงเฉินคิดว่าก่อนพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จะไปที่สำนักลั่วสยาสักครา” มั่วชิงเฉินกล่าว

 

 

“จักไปพบพี่สาวผู้นั้นที่อยู่ที่สำนักลั่วสยาหรือ” กู้หลีถาม

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “ท่านรู้หรือ”

 

 

กู้หลียิ้ม “พี่สาวของเจ้าเองก็มิใช่คนธรรมดา อาจารย์รู้ก็มินับว่าแปลก ก่อนพิธีแต่งงานของเจ้าทางสำนักคงให้นางมาก่อนล่วงหน้า”

 

 

“เรื่องนี้ข้าทราบ เพียงแต่นอกจากจะไปพบท่านพี่แล้วข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปจัดการอีก” มั่วชิงเฉินอธิบาย

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังให้มาก อย่าลืมปรึกษากับศิษย์น้องลั่วหยางเล่า อย่าทำให้ฤกษ์แต่งงานต้องเลื่อนออกไป” กู้หลีกล่าว

 

 

“เจ้าค่ะศิษย์ทราบแล้ว ท่านอาจารย์ หลังจากศิษย์ไปแล้วให้ตู้รั่วอยู่ที่นี่สักพักได้หรือไม่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาติดตามศิษย์ไปทุกที่ ศิษย์มิได้อบรมเขาให้ดีนัก ท่านอาจารย์เองก็ช่วยรับหน้าที่อบรมเขาดีหรือไม่เจ้าคะ” มั่วชิงเฉินมองไปทางกู้หลีด้วยใบหน้าเอาใจ

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปและนั่งลงข้างกายกู้หลีอย่างที่เคย นางเชิดศีรษะขึ้นพลางถามเสียงใส “ท่านอาจารย์มีเรื่องอันใดจะพูดหรือ”

 

 

กู้หลีหลุบตาลงเพื่อเก็บงำความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ จากนั้นมองไปยังมั่วชิงเฉินอีกครา แววตาอ่อนโยนและสุขุม “ฤกษ์แต่งงานของเจ้ากับลั่วหยางคือสามเดือนหลังจากนี้ วันที่ 15 เดือน 8 ชิงเฉินคงจะทราบแล้วใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ ชิงเฉินทราบแล้ว” มั่วชิงเฉินหลุบตาลงพลางเอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย

 

 

ถึงแม้ว่าเรื่องจะจบไปแล้ว ทว่าได้ยินเสียงเขาพูดเรื่องฤกษ์แต่งงานของตนอย่างเฉยเมยเช่นนี้ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างบอกมิได้

 

 

ผ่านอะไรมาตั้งมาก ทว่าในสายตาของเขาตนยังเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสีประสาที่กำลังก่อเรื่องอยู่หรือไร

 

 

“ลั่วหยางบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น คาดว่าหลังเสร็จสิ้นพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จักต้องบำเพ็ญตบะ อาจารย์จึงมีเรื่องอีกเรื่องต้องกล่าวกับเจ้า ชิงเฉิน ข้าเกรงว่าหลังจากพิธีการแล้วเจ้าจักต้องเตรียมตัวเสียแล้ว” กู้หลีกล่าวช้าๆ

 

 

“มีเรื่องอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ

 

 

กู้หลีหัวเราะ “ชิงเฉิน เจ้ายังจำศึกพรตมารเมื่อปีนั้นได้อยู่ใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

“ศึกพรตมารครั้งนั้นก็เพื่อแย่งชิงกุญแจลับเพื่อไขแดนสวรรค์มี่หลัวตูเท่านั้น แดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออกเมื่อหลายสิบปีก่อน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพรต มาร และปีศาจล้วนเคยเข้าไป แดนสวรรค์มี่หลัวตูเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สมุนไพรและดอกไม้หายาก อีกทั้งยังมีโบราณสถานของผู้บำเพ็ญเพียรในสมัยโบราณ สภาพแวดล้อมการบำเพ็ญเพียรในทวีปแห่งเทพนี้ก็มิอาจเทียบได้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมิอาจบรรลุไปขั้นระดับก่อกำเนิดได้ ด้วยเหตุนี้ในแดนสวรรค์มี่หลัวตูจึงกำหนดเงื่อนไขให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เข้าใกล้ระดับถอดดวงจิต!” กู้หลีเอ่ยความลับอันน่าตกใจออกมาด้วยน้ำเสียงรื่นหูไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปาก “ระดับถอดดวงจิตเช่นนั้นหรือ”

 

 

กู้หลีพยักหน้า “อืม แดนสวรรค์มี่หลัวตูมีเขตแดนกว้างใหญ่ นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเราตรวจสอบพบในขั้นต้นเท่านั้น ณ โลกมนุษย์ในตอนนี้ ทราบเพียงแต่ว่ายอดฝีมือเหอเซียวหยางผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเพียงหนึ่งเดียว มิเคยปรากฏตัวในโลกมนุษย์มานานมากแล้ว เจ้าปีศาจเองก็มิรู้ไปอยู่แห่งหนใด บ้างก็ว่าเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรถอดดวงจิตที่กำลังจะเลื่อนไประดับแยกวิญญาณจักเข้าไปในสถานที่สูงกว่านามว่า…โลกวิญญาณ อธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดกว่าหมื่นปีที่ผ่านมาจึงมิเคยมีข่าวคราวของผู้บรรลุระดับพิชิตเคราะห์กรรม เหล่ายอดฝีมือตั้งแต่ระดับถอดดวงจิตล้วนแล้วแต่สาบสูญไปจากโลกมนุษย์ เจินจวินบางท่านก็คาดการณ์ไว้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูเป็นอาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ”

 

 

หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับแยกวิญญาณแล้วจักเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรื่องนี้มั่วชิงเฉินรู้ตั้งแต่ตอนปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแล้ว ทว่าเรื่องที่ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูคืออาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณนั้นทำให้นางรู้สึกตกใจมาก

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่า…” มั่วชิงเฉินแอบคาดการณ์เงียบๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันแปลกมากจนมิกล้าเอ่ยปากพูด

 

 

กู้หลีดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของมั่วชิงเฉิน เขาพูดต่อ “เหล่าเจินจวินหลายท่านต่างคาดการณ์ไว้ว่า โลกมนุษย์ในตอนนี้มิปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต พรสวรรค์มากมายต่างติดอยู่ในระดับก่อกำเนิด เกรงว่าจะเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มิได้เกี่ยวกับกำลัง ทว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูและแดนอื่นๆ ต่างมีแดนลับหรือไม่ก็มอบโอกาสให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ อาศัยเพียงแค่แดนมี่หลัวตู มิแน่ว่าอาจจะเข้าไปในโลกวิญญาณได้โดยมิต้องบำเพ็ญเพียรถึงระดับแยกวิญญาณ!”

 

 

“เข้าสู่โลกวิญญาณล่วงหน้าเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็คิดไปไกล โลกใบนั้นกับโลกมนุษย์จะต่างกันโดยสิ้นเชิงหรือไม่

 

 

หรือว่าที่นั่นจะมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร มิมีคนธรรมดา แล้วยังมีโอกาสได้พบกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต แยกวิญญาณ ผสานร่าง กระทั่งระดับพิชิตเคราะห์กรรม

 

 

อาจจะเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรในโบราณกาล มิมีการแบ่งแยกพรรค เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถสอนวิชา เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรนับพันนับหมื่นก็มารวมตัวกันเพื่อฟังวิชา

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านให้ชิงเฉินเตรียมตัวทำไมหรือ” มั่วชิงเฉินข่มอารมณ์อันพุ่งพล่านของตนพลางถาม

 

 

กู้หลีมองศิษย์ตัวน้อยที่ดวงตาเป็นประกายก็ยิ้มออกมา “ไม่นานมานี้เหล่าเจินจวินค้นพบอาณาเขตแห่งหนึ่ง ที่นั่นอันตรายมาก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้โดดเด่นบางคนต้องไปลองสักครา”

 

 

มั่วชิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงปีติ “ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าชิงเฉินสามารถไปที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูได้ใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลี่พูดยิ้มๆ “ข้าให้เจ้าเตรียมตัวสักหน่อย หลังจากเข้าร่วมการประลองเฟิงอวิ๋นที่จัดขึ้นเพื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยเฉพาะในอีกหกเดือนข้างหน้า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋น จะได้ไปสำรวจแดนสวรรค์มี่หลัวตู”

 

 

“สิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋นเช่นนั้นหรือ” ได้ยินเช่นนั้นมั่วชิงเฉินก็แววตาเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ชิงเฉินทราบแล้วและจะพยายามให้มาก จะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลียิ้มบางๆ “มิกลัวเสียหน้า เพียงแต่มิต้องโอ้อวดมากไปนัก”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

 

 

“เด็กคนนั้น คือลูกศิษย์เจ้าหรือ” กู้หลีถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน

 

 

มั่วชิงเฉินมึนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพูดถึงตู้รั่วหรือ เขาคือศิษย์ที่ข้ารับไว้โดยบังเอิญตอนไปทัศนาจรที่เกาะนามว่าเสี้ยวจันทร์เจ้าค่ะ เด็กคนนั้นรากวิญญาณแปรผันวายุ นิสัยแน่วแน่และมีจิตใจงดงาม ดูแล้วเป็นต้นกล้าที่ดีเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลีขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้พูดสิ่งใดออกมา

 

 

เห็นคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมของกู้หลีแล้ว มั่วชิงเฉินจึงถามขึ้น “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์คิดว่าชิงเฉินรับศิษย์ส่งเดช มิได้ไตร่ตรองให้ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“มิใช่” กู้หลีส่ายหน้า ยกมือลูบต้าฮวาที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด “เพียงแต่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดา”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคัก “ท่านอาจารย์ ท่านคงมิได้อิจฉาที่ศิษย์ที่ชิงเฉินรับมานั้นดีกว่าศิษย์ที่ท่านรับมาใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลีมองมั่วชิงเฉินอย่างช่วยไม่ได้และไม่รู้จะทำเช่นไร

 

 

มั่วชิงเฉินผงะไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงตื่นตระหนก

 

 

สายตาเช่นนั้นนางมองเห็นในนัยน์ตาของเยี่ยเทียนหยวนมามากจนนับไม่ถ้วน  ท่านอาจารย์เขา…

 

 

มั่วชิงเฉินควบคุมจิตใจ จากนั้นมองไปยังกู้หลีอีกครา นางพบเพียงแต่ท่าทีชัดเจน รอยยิ้มในดวงตาเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้

 

 

มั่วชิงเฉินเผลอยิ้มออกมา ที่แท้ก็เพราะแยกจากท่านอาจารย์มานานเกินไปเท่านั้น

 

 

“ท่านอาจารย์ ชิงเฉินเองก็มีเรื่องต้องพูดกับท่าน”

 

 

“เรื่องอันใดหรือ” น้ำเสียงของกู้หลีอ่อนลง มือที่จับกันไว้แน่นในแขนเสื้อค่อยๆ คลายลง

 

 

“ชิงเฉินคิดว่าก่อนพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จะไปที่สำนักลั่วสยาสักครา” มั่วชิงเฉินกล่าว

 

 

“จักไปพบพี่สาวผู้นั้นที่อยู่ที่สำนักลั่วสยาหรือ” กู้หลีถาม

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “ท่านรู้หรือ”

 

 

กู้หลียิ้ม “พี่สาวของเจ้าเองก็มิใช่คนธรรมดา อาจารย์รู้ก็มินับว่าแปลก ก่อนพิธีแต่งงานของเจ้าทางสำนักคงให้นางมาก่อนล่วงหน้า”

 

 

“เรื่องนี้ข้าทราบ เพียงแต่นอกจากจะไปพบท่านพี่แล้วข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปจัดการอีก” มั่วชิงเฉินอธิบาย

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังให้มาก อย่าลืมปรึกษากับศิษย์น้องลั่วหยางเล่า อย่าทำให้ฤกษ์แต่งงานต้องเลื่อนออกไป” กู้หลีกล่าว

 

 

“เจ้าค่ะศิษย์ทราบแล้ว ท่านอาจารย์ หลังจากศิษย์ไปแล้วให้ตู้รั่วอยู่ที่นี่สักพักได้หรือไม่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาติดตามศิษย์ไปทุกที่ ศิษย์มิได้อบรมเขาให้ดีนัก ท่านอาจารย์เองก็ช่วยรับหน้าที่อบรมเขาดีหรือไม่เจ้าคะ” มั่วชิงเฉินมองไปทางกู้หลีด้วยใบหน้าเอาใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 494-1 มุ่งหน้าสู่สำนักลั่วสยา

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 494-1 มุ่งหน้าสู่สำนักลั่วสยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปและนั่งลงข้างกายกู้หลีอย่างที่เคย นางเชิดศีรษะขึ้นพลางถามเสียงใส “ท่านอาจารย์มีเรื่องอันใดจะพูดหรือ”

 

 

กู้หลีหลุบตาลงเพื่อเก็บงำความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ จากนั้นมองไปยังมั่วชิงเฉินอีกครา แววตาอ่อนโยนและสุขุม “ฤกษ์แต่งงานของเจ้ากับลั่วหยางคือสามเดือนหลังจากนี้ วันที่ 15 เดือน 8 ชิงเฉินคงจะทราบแล้วใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ ชิงเฉินทราบแล้ว” มั่วชิงเฉินหลุบตาลงพลางเอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย

 

 

ถึงแม้ว่าเรื่องจะจบไปแล้ว ทว่าได้ยินเสียงเขาพูดเรื่องฤกษ์แต่งงานของตนอย่างเฉยเมยเช่นนี้ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างบอกมิได้

 

 

ผ่านอะไรมาตั้งมาก ทว่าในสายตาของเขาตนยังเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสีประสาที่กำลังก่อเรื่องอยู่หรือไร

 

 

“ลั่วหยางบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น คาดว่าหลังเสร็จสิ้นพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จักต้องบำเพ็ญตบะ อาจารย์จึงมีเรื่องอีกเรื่องต้องกล่าวกับเจ้า ชิงเฉิน ข้าเกรงว่าหลังจากพิธีการแล้วเจ้าจักต้องเตรียมตัวเสียแล้ว” กู้หลีกล่าวช้าๆ

 

 

“มีเรื่องอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ

 

 

กู้หลีหัวเราะ “ชิงเฉิน เจ้ายังจำศึกพรตมารเมื่อปีนั้นได้อยู่ใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

“ศึกพรตมารครั้งนั้นก็เพื่อแย่งชิงกุญแจลับเพื่อไขแดนสวรรค์มี่หลัวตูเท่านั้น แดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออกเมื่อหลายสิบปีก่อน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพรต มาร และปีศาจล้วนเคยเข้าไป แดนสวรรค์มี่หลัวตูเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สมุนไพรและดอกไม้หายาก อีกทั้งยังมีโบราณสถานของผู้บำเพ็ญเพียรในสมัยโบราณ สภาพแวดล้อมการบำเพ็ญเพียรในทวีปแห่งเทพนี้ก็มิอาจเทียบได้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมิอาจบรรลุไปขั้นระดับก่อกำเนิดได้ ด้วยเหตุนี้ในแดนสวรรค์มี่หลัวตูจึงกำหนดเงื่อนไขให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เข้าใกล้ระดับถอดดวงจิต!” กู้หลีเอ่ยความลับอันน่าตกใจออกมาด้วยน้ำเสียงรื่นหูไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปาก “ระดับถอดดวงจิตเช่นนั้นหรือ”

 

 

กู้หลีพยักหน้า “อืม แดนสวรรค์มี่หลัวตูมีเขตแดนกว้างใหญ่ นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเราตรวจสอบพบในขั้นต้นเท่านั้น ณ โลกมนุษย์ในตอนนี้ ทราบเพียงแต่ว่ายอดฝีมือเหอเซียวหยางผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเพียงหนึ่งเดียว มิเคยปรากฏตัวในโลกมนุษย์มานานมากแล้ว เจ้าปีศาจเองก็มิรู้ไปอยู่แห่งหนใด บ้างก็ว่าเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรถอดดวงจิตที่กำลังจะเลื่อนไประดับแยกวิญญาณจักเข้าไปในสถานที่สูงกว่านามว่า…โลกวิญญาณ อธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดกว่าหมื่นปีที่ผ่านมาจึงมิเคยมีข่าวคราวของผู้บรรลุระดับพิชิตเคราะห์กรรม เหล่ายอดฝีมือตั้งแต่ระดับถอดดวงจิตล้วนแล้วแต่สาบสูญไปจากโลกมนุษย์ เจินจวินบางท่านก็คาดการณ์ไว้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูเป็นอาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ”

 

 

หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับแยกวิญญาณแล้วจักเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรื่องนี้มั่วชิงเฉินรู้ตั้งแต่ตอนปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแล้ว ทว่าเรื่องที่ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูคืออาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณนั้นทำให้นางรู้สึกตกใจมาก

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่า…” มั่วชิงเฉินแอบคาดการณ์เงียบๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันแปลกมากจนมิกล้าเอ่ยปากพูด

 

 

กู้หลีดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของมั่วชิงเฉิน เขาพูดต่อ “เหล่าเจินจวินหลายท่านต่างคาดการณ์ไว้ว่า โลกมนุษย์ในตอนนี้มิปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต พรสวรรค์มากมายต่างติดอยู่ในระดับก่อกำเนิด เกรงว่าจะเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มิได้เกี่ยวกับกำลัง ทว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูและแดนอื่นๆ ต่างมีแดนลับหรือไม่ก็มอบโอกาสให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ อาศัยเพียงแค่แดนมี่หลัวตู มิแน่ว่าอาจจะเข้าไปในโลกวิญญาณได้โดยมิต้องบำเพ็ญเพียรถึงระดับแยกวิญญาณ!”

 

 

“เข้าสู่โลกวิญญาณล่วงหน้าเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็คิดไปไกล โลกใบนั้นกับโลกมนุษย์จะต่างกันโดยสิ้นเชิงหรือไม่

 

 

หรือว่าที่นั่นจะมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร มิมีคนธรรมดา แล้วยังมีโอกาสได้พบกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต แยกวิญญาณ ผสานร่าง กระทั่งระดับพิชิตเคราะห์กรรม

 

 

อาจจะเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรในโบราณกาล มิมีการแบ่งแยกพรรค เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถสอนวิชา เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรนับพันนับหมื่นก็มารวมตัวกันเพื่อฟังวิชา

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านให้ชิงเฉินเตรียมตัวทำไมหรือ” มั่วชิงเฉินข่มอารมณ์อันพุ่งพล่านของตนพลางถาม

 

 

กู้หลีมองศิษย์ตัวน้อยที่ดวงตาเป็นประกายก็ยิ้มออกมา “ไม่นานมานี้เหล่าเจินจวินค้นพบอาณาเขตแห่งหนึ่ง ที่นั่นอันตรายมาก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้โดดเด่นบางคนต้องไปลองสักครา”

 

 

มั่วชิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงปีติ “ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าชิงเฉินสามารถไปที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูได้ใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลี่พูดยิ้มๆ “ข้าให้เจ้าเตรียมตัวสักหน่อย หลังจากเข้าร่วมการประลองเฟิงอวิ๋นที่จัดขึ้นเพื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยเฉพาะในอีกหกเดือนข้างหน้า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋น จะได้ไปสำรวจแดนสวรรค์มี่หลัวตู”

 

 

“สิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋นเช่นนั้นหรือ” ได้ยินเช่นนั้นมั่วชิงเฉินก็แววตาเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ชิงเฉินทราบแล้วและจะพยายามให้มาก จะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลียิ้มบางๆ “มิกลัวเสียหน้า เพียงแต่มิต้องโอ้อวดมากไปนัก”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

 

 

“เด็กคนนั้น คือลูกศิษย์เจ้าหรือ” กู้หลีถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน

 

 

มั่วชิงเฉินมึนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพูดถึงตู้รั่วหรือ เขาคือศิษย์ที่ข้ารับไว้โดยบังเอิญตอนไปทัศนาจรที่เกาะนามว่าเสี้ยวจันทร์เจ้าค่ะ เด็กคนนั้นรากวิญญาณแปรผันวายุ นิสัยแน่วแน่และมีจิตใจงดงาม ดูแล้วเป็นต้นกล้าที่ดีเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลีขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้พูดสิ่งใดออกมา

 

 

เห็นคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมของกู้หลีแล้ว มั่วชิงเฉินจึงถามขึ้น “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์คิดว่าชิงเฉินรับศิษย์ส่งเดช มิได้ไตร่ตรองให้ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“มิใช่” กู้หลีส่ายหน้า ยกมือลูบต้าฮวาที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด “เพียงแต่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดา”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคัก “ท่านอาจารย์ ท่านคงมิได้อิจฉาที่ศิษย์ที่ชิงเฉินรับมานั้นดีกว่าศิษย์ที่ท่านรับมาใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลีมองมั่วชิงเฉินอย่างช่วยไม่ได้และไม่รู้จะทำเช่นไร

 

 

มั่วชิงเฉินผงะไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงตื่นตระหนก

 

 

สายตาเช่นนั้นนางมองเห็นในนัยน์ตาของเยี่ยเทียนหยวนมามากจนนับไม่ถ้วน  ท่านอาจารย์เขา…

 

 

มั่วชิงเฉินควบคุมจิตใจ จากนั้นมองไปยังกู้หลีอีกครา นางพบเพียงแต่ท่าทีชัดเจน รอยยิ้มในดวงตาเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้

 

 

มั่วชิงเฉินเผลอยิ้มออกมา ที่แท้ก็เพราะแยกจากท่านอาจารย์มานานเกินไปเท่านั้น

 

 

“ท่านอาจารย์ ชิงเฉินเองก็มีเรื่องต้องพูดกับท่าน”

 

 

“เรื่องอันใดหรือ” น้ำเสียงของกู้หลีอ่อนลง มือที่จับกันไว้แน่นในแขนเสื้อค่อยๆ คลายลง

 

 

“ชิงเฉินคิดว่าก่อนพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จะไปที่สำนักลั่วสยาสักครา” มั่วชิงเฉินกล่าว

 

 

“จักไปพบพี่สาวผู้นั้นที่อยู่ที่สำนักลั่วสยาหรือ” กู้หลีถาม

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “ท่านรู้หรือ”

 

 

กู้หลียิ้ม “พี่สาวของเจ้าเองก็มิใช่คนธรรมดา อาจารย์รู้ก็มินับว่าแปลก ก่อนพิธีแต่งงานของเจ้าทางสำนักคงให้นางมาก่อนล่วงหน้า”

 

 

“เรื่องนี้ข้าทราบ เพียงแต่นอกจากจะไปพบท่านพี่แล้วข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปจัดการอีก” มั่วชิงเฉินอธิบาย

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังให้มาก อย่าลืมปรึกษากับศิษย์น้องลั่วหยางเล่า อย่าทำให้ฤกษ์แต่งงานต้องเลื่อนออกไป” กู้หลีกล่าว

 

 

“เจ้าค่ะศิษย์ทราบแล้ว ท่านอาจารย์ หลังจากศิษย์ไปแล้วให้ตู้รั่วอยู่ที่นี่สักพักได้หรือไม่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาติดตามศิษย์ไปทุกที่ ศิษย์มิได้อบรมเขาให้ดีนัก ท่านอาจารย์เองก็ช่วยรับหน้าที่อบรมเขาดีหรือไม่เจ้าคะ” มั่วชิงเฉินมองไปทางกู้หลีด้วยใบหน้าเอาใจ

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปและนั่งลงข้างกายกู้หลีอย่างที่เคย นางเชิดศีรษะขึ้นพลางถามเสียงใส “ท่านอาจารย์มีเรื่องอันใดจะพูดหรือ”

 

 

กู้หลีหลุบตาลงเพื่อเก็บงำความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ จากนั้นมองไปยังมั่วชิงเฉินอีกครา แววตาอ่อนโยนและสุขุม “ฤกษ์แต่งงานของเจ้ากับลั่วหยางคือสามเดือนหลังจากนี้ วันที่ 15 เดือน 8 ชิงเฉินคงจะทราบแล้วใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ ชิงเฉินทราบแล้ว” มั่วชิงเฉินหลุบตาลงพลางเอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย

 

 

ถึงแม้ว่าเรื่องจะจบไปแล้ว ทว่าได้ยินเสียงเขาพูดเรื่องฤกษ์แต่งงานของตนอย่างเฉยเมยเช่นนี้ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างบอกมิได้

 

 

ผ่านอะไรมาตั้งมาก ทว่าในสายตาของเขาตนยังเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสีประสาที่กำลังก่อเรื่องอยู่หรือไร

 

 

“ลั่วหยางบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น คาดว่าหลังเสร็จสิ้นพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จักต้องบำเพ็ญตบะ อาจารย์จึงมีเรื่องอีกเรื่องต้องกล่าวกับเจ้า ชิงเฉิน ข้าเกรงว่าหลังจากพิธีการแล้วเจ้าจักต้องเตรียมตัวเสียแล้ว” กู้หลีกล่าวช้าๆ

 

 

“มีเรื่องอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ

 

 

กู้หลีหัวเราะ “ชิงเฉิน เจ้ายังจำศึกพรตมารเมื่อปีนั้นได้อยู่ใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

“ศึกพรตมารครั้งนั้นก็เพื่อแย่งชิงกุญแจลับเพื่อไขแดนสวรรค์มี่หลัวตูเท่านั้น แดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออกเมื่อหลายสิบปีก่อน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพรต มาร และปีศาจล้วนเคยเข้าไป แดนสวรรค์มี่หลัวตูเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สมุนไพรและดอกไม้หายาก อีกทั้งยังมีโบราณสถานของผู้บำเพ็ญเพียรในสมัยโบราณ สภาพแวดล้อมการบำเพ็ญเพียรในทวีปแห่งเทพนี้ก็มิอาจเทียบได้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมิอาจบรรลุไปขั้นระดับก่อกำเนิดได้ ด้วยเหตุนี้ในแดนสวรรค์มี่หลัวตูจึงกำหนดเงื่อนไขให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เข้าใกล้ระดับถอดดวงจิต!” กู้หลีเอ่ยความลับอันน่าตกใจออกมาด้วยน้ำเสียงรื่นหูไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปาก “ระดับถอดดวงจิตเช่นนั้นหรือ”

 

 

กู้หลีพยักหน้า “อืม แดนสวรรค์มี่หลัวตูมีเขตแดนกว้างใหญ่ นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเราตรวจสอบพบในขั้นต้นเท่านั้น ณ โลกมนุษย์ในตอนนี้ ทราบเพียงแต่ว่ายอดฝีมือเหอเซียวหยางผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเพียงหนึ่งเดียว มิเคยปรากฏตัวในโลกมนุษย์มานานมากแล้ว เจ้าปีศาจเองก็มิรู้ไปอยู่แห่งหนใด บ้างก็ว่าเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรถอดดวงจิตที่กำลังจะเลื่อนไประดับแยกวิญญาณจักเข้าไปในสถานที่สูงกว่านามว่า…โลกวิญญาณ อธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดกว่าหมื่นปีที่ผ่านมาจึงมิเคยมีข่าวคราวของผู้บรรลุระดับพิชิตเคราะห์กรรม เหล่ายอดฝีมือตั้งแต่ระดับถอดดวงจิตล้วนแล้วแต่สาบสูญไปจากโลกมนุษย์ เจินจวินบางท่านก็คาดการณ์ไว้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูเป็นอาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ”

 

 

หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับแยกวิญญาณแล้วจักเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรื่องนี้มั่วชิงเฉินรู้ตั้งแต่ตอนปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแล้ว ทว่าเรื่องที่ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูคืออาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณนั้นทำให้นางรู้สึกตกใจมาก

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่า…” มั่วชิงเฉินแอบคาดการณ์เงียบๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันแปลกมากจนมิกล้าเอ่ยปากพูด

 

 

กู้หลีดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของมั่วชิงเฉิน เขาพูดต่อ “เหล่าเจินจวินหลายท่านต่างคาดการณ์ไว้ว่า โลกมนุษย์ในตอนนี้มิปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต พรสวรรค์มากมายต่างติดอยู่ในระดับก่อกำเนิด เกรงว่าจะเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มิได้เกี่ยวกับกำลัง ทว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูและแดนอื่นๆ ต่างมีแดนลับหรือไม่ก็มอบโอกาสให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ อาศัยเพียงแค่แดนมี่หลัวตู มิแน่ว่าอาจจะเข้าไปในโลกวิญญาณได้โดยมิต้องบำเพ็ญเพียรถึงระดับแยกวิญญาณ!”

 

 

“เข้าสู่โลกวิญญาณล่วงหน้าเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็คิดไปไกล โลกใบนั้นกับโลกมนุษย์จะต่างกันโดยสิ้นเชิงหรือไม่

 

 

หรือว่าที่นั่นจะมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร มิมีคนธรรมดา แล้วยังมีโอกาสได้พบกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต แยกวิญญาณ ผสานร่าง กระทั่งระดับพิชิตเคราะห์กรรม

 

 

อาจจะเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรในโบราณกาล มิมีการแบ่งแยกพรรค เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถสอนวิชา เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรนับพันนับหมื่นก็มารวมตัวกันเพื่อฟังวิชา

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านให้ชิงเฉินเตรียมตัวทำไมหรือ” มั่วชิงเฉินข่มอารมณ์อันพุ่งพล่านของตนพลางถาม

 

 

กู้หลีมองศิษย์ตัวน้อยที่ดวงตาเป็นประกายก็ยิ้มออกมา “ไม่นานมานี้เหล่าเจินจวินค้นพบอาณาเขตแห่งหนึ่ง ที่นั่นอันตรายมาก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้โดดเด่นบางคนต้องไปลองสักครา”

 

 

มั่วชิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงปีติ “ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าชิงเฉินสามารถไปที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูได้ใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลี่พูดยิ้มๆ “ข้าให้เจ้าเตรียมตัวสักหน่อย หลังจากเข้าร่วมการประลองเฟิงอวิ๋นที่จัดขึ้นเพื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยเฉพาะในอีกหกเดือนข้างหน้า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋น จะได้ไปสำรวจแดนสวรรค์มี่หลัวตู”

 

 

“สิบอันดับแรกในการประลองเฟิงอวิ๋นเช่นนั้นหรือ” ได้ยินเช่นนั้นมั่วชิงเฉินก็แววตาเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ชิงเฉินทราบแล้วและจะพยายามให้มาก จะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลียิ้มบางๆ “มิกลัวเสียหน้า เพียงแต่มิต้องโอ้อวดมากไปนัก”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

 

 

“เด็กคนนั้น คือลูกศิษย์เจ้าหรือ” กู้หลีถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน

 

 

มั่วชิงเฉินมึนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพูดถึงตู้รั่วหรือ เขาคือศิษย์ที่ข้ารับไว้โดยบังเอิญตอนไปทัศนาจรที่เกาะนามว่าเสี้ยวจันทร์เจ้าค่ะ เด็กคนนั้นรากวิญญาณแปรผันวายุ นิสัยแน่วแน่และมีจิตใจงดงาม ดูแล้วเป็นต้นกล้าที่ดีเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลีขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้พูดสิ่งใดออกมา

 

 

เห็นคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมของกู้หลีแล้ว มั่วชิงเฉินจึงถามขึ้น “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์คิดว่าชิงเฉินรับศิษย์ส่งเดช มิได้ไตร่ตรองให้ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“มิใช่” กู้หลีส่ายหน้า ยกมือลูบต้าฮวาที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด “เพียงแต่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดา”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคัก “ท่านอาจารย์ ท่านคงมิได้อิจฉาที่ศิษย์ที่ชิงเฉินรับมานั้นดีกว่าศิษย์ที่ท่านรับมาใช่หรือไม่”

 

 

กู้หลีมองมั่วชิงเฉินอย่างช่วยไม่ได้และไม่รู้จะทำเช่นไร

 

 

มั่วชิงเฉินผงะไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงตื่นตระหนก

 

 

สายตาเช่นนั้นนางมองเห็นในนัยน์ตาของเยี่ยเทียนหยวนมามากจนนับไม่ถ้วน  ท่านอาจารย์เขา…

 

 

มั่วชิงเฉินควบคุมจิตใจ จากนั้นมองไปยังกู้หลีอีกครา นางพบเพียงแต่ท่าทีชัดเจน รอยยิ้มในดวงตาเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้

 

 

มั่วชิงเฉินเผลอยิ้มออกมา ที่แท้ก็เพราะแยกจากท่านอาจารย์มานานเกินไปเท่านั้น

 

 

“ท่านอาจารย์ ชิงเฉินเองก็มีเรื่องต้องพูดกับท่าน”

 

 

“เรื่องอันใดหรือ” น้ำเสียงของกู้หลีอ่อนลง มือที่จับกันไว้แน่นในแขนเสื้อค่อยๆ คลายลง

 

 

“ชิงเฉินคิดว่าก่อนพิธีบำเพ็ญเพียรคู่จะไปที่สำนักลั่วสยาสักครา” มั่วชิงเฉินกล่าว

 

 

“จักไปพบพี่สาวผู้นั้นที่อยู่ที่สำนักลั่วสยาหรือ” กู้หลีถาม

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “ท่านรู้หรือ”

 

 

กู้หลียิ้ม “พี่สาวของเจ้าเองก็มิใช่คนธรรมดา อาจารย์รู้ก็มินับว่าแปลก ก่อนพิธีแต่งงานของเจ้าทางสำนักคงให้นางมาก่อนล่วงหน้า”

 

 

“เรื่องนี้ข้าทราบ เพียงแต่นอกจากจะไปพบท่านพี่แล้วข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปจัดการอีก” มั่วชิงเฉินอธิบาย

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังให้มาก อย่าลืมปรึกษากับศิษย์น้องลั่วหยางเล่า อย่าทำให้ฤกษ์แต่งงานต้องเลื่อนออกไป” กู้หลีกล่าว

 

 

“เจ้าค่ะศิษย์ทราบแล้ว ท่านอาจารย์ หลังจากศิษย์ไปแล้วให้ตู้รั่วอยู่ที่นี่สักพักได้หรือไม่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาติดตามศิษย์ไปทุกที่ ศิษย์มิได้อบรมเขาให้ดีนัก ท่านอาจารย์เองก็ช่วยรับหน้าที่อบรมเขาดีหรือไม่เจ้าคะ” มั่วชิงเฉินมองไปทางกู้หลีด้วยใบหน้าเอาใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+