พันธกานต์ปราณอัคคี 610 มวลผกาเบ่งบาน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 610 มวลผกาเบ่งบาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลัวอวี้เฉิงสามารถใช้ปราณวิญญาณจำลองค่ายกลหวนกลับบริเวณทางเข้าจวนถ้ำเวินหนิงได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่ารู้วิธีการเข้าไปได้เป็นอย่างดี ตามคำชี้แนะของเขา ทำให้ทั้งสี่คนเดินผ่านค่ายกลภาพลวงตามาได้จนถึงประตูจวนถ้ำอย่างแท้จริง

การตกแต่งแตกต่างจากภายนอกที่หรูหราและงดงาม ประตูมีสีหมึกดำ แสดงถึงความโบราณและเรียบง่าย บริเวณขอบประตูด้านบนแกะสลักลายดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ มีทั้งดอกที่กำลังตูม ดอกที่เบ่งบาน และดอกที่สั่นไหวร่วงโรย

ดอกไม้ชนิดนี้คือดอกม่านถัวหลัว[1] แต่กลับไร้สีสันใดๆ

แผ่นป้ายกลางประตูขนาดใหญ่ ล้วนเป็นสีดำเช่นเดียวกัน ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นทำให้บรรยากาศดีขึ้นและผ่อนคลายลงโดยปริยาย “จวนกุยเยี่ยน[2]”

“จวนกุยเยี่ยนหรือ” หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ หันกลับไปมองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าจะเป็นพวกลูกธนูพุ่งกลับบ้าน[3]สินะ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ในคราแรกไยต้อง…”

มั่วชิงเฉินค้อนขวัก คนวาจาเช่นนี้ แม้แต่คนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนล้วนอยากเข้าไปชกปากเขา

“สหายหลัวพูดเช่นนี้ ข้ากลับไม่เห็นด้วย บนโลกใบนี้ มีสิ่งใดบ้างที่เรารู้ก่อนนานแล้ว หาใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสคาดเดาสิ่งต่างๆ ได้อย่างสหายหลัว”

ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงไม่ได้รู้สึกเสียหน้าแม้แต่น้อย กลับยิ้มอย่างเจียมตัวตอบว่า “อวี้เฉิงก็ไม่อาจคาดการณ์เรื่องราวได้ทั้งหมด”

ในปีนั้น เวินหนิงได้ใช้ภาพมายาให้ฝูเฟิงเจินจวินหยั่งเชิงตน หากเขาให้คำตอบผิด เช่นนั้นก่อนหน้านั้นที่เจอกัน ด้วยระยะเวลานานเช่นนี้ ผลลัพธ์คงออกมาเป็นอีกแบบใช่หรือไม่

ความรู้สึกที่หลบซ่อนและขื่นข่มปรากฏออกมาเพียงชั่วครู่ เมื่อทั้งกายและใจได้สติกลับมาเช่นเดิมก็ยกมือไขว้หลังพิจารณาประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินยังคงยืนดูอยู่ ใช้จิตสัมผัสสำรวจเข้าไปอย่างละเอียด

ชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งสองร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ห่วงเคาะประตู!”

พูดจบ ทั้งหมดล้วนสะดุ้งตกใจ ก่อนชำเลืองมองกันคราหนึ่ง

“นี่คือห่วงหยั่งรู้ใช่หรือไม่” เห็นหลัวอวี้เฉิงพูดกับตัวเองออกมาเช่นนี้ มั่วชิงเฉินจึงมั่นใจในการคาดเดาของตน

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูง”

ทางด้านของมั่วเฟยเยียนทั้งสองต่างมีสีหน้าสงสัย

หลัวอวี้เฉิงที่ดูไม่ใส่ใจมากนัก ยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ที่จริงแล้วห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของสตรี เจ้าเป็นคนเคาะประตูจะดีกว่า”

มั่วชิงเฉินไม่มีท่าทีปฏิเสธ เดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหน้า ใช้นิ้วมือรวบรวมแสงวิญญาณจับห่วงเคาะประตู

ทันใดนั้นเมื่อสัมผัสกับห่วงเคาะประตู เกิดแสงสว่างวาบหนึ่ง ดอกม่านถัวหลัวบนขอบประตูกลายเป็นดอกไม้ของจริงขึ้นมาทันใด มันคดเคี้ยวคืบคลานประตูทั้งบานอย่างเย้ายวน แม้ไม่มีสีสัน แต่กลับดูมีเสน่ห์มาก

ขณะที่ดอกม่านถัวหลัวกำลังคลุมทับห่วงเคาะประตู มั่วชิงเฉินใช้แสงวิญญาณโจมตีออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อกำจัดก้านดอกไม้ เคลื่อนไหวไปได้ไม่นาน ปราณวิญญาณในร่างกายลดลงถึงครึ่งหนึ่ง

เห็นมั่วชิงเฉินมีสีหน้าอ่อนเพลียอย่างชัดเจน ร่างกายของมั่วเฟยเยียนพลันขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้นเพื่อส่งพลังวิญญาณให้ทางด้านหลังของนาง

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือขวางไว้ “กูอวิ๋นเจินจวินไม่ได้เด็ดขาด”

มั่วเฟยเยียนไม่ถามให้มากความ เพราะครั้งยังเด็กเรื่องผิดศีลธรรมที่ท่านพ่อและอาสะใภ้สิบกระทำ เป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่งของความสัมพันธ์หญิงชาย ทำให้ตนไม่ได้สนใจเรื่องของบุรุษมากนัก ทว่าเพียงไม่กี่ปีมานี้สามารถเข้ากันได้ดีสำหรับหลัวอวี้เฉิงที่ทั้งฉลาดและมองการณ์ไกลจึงเกิดความชื่นชม สีหน้าอ่อนลงถามกลับไป “เพราะเหตุใด”

“ห่วงวงนี้มีนามว่าหยั่งรู้ คือการรับรู้อารมณ์และความต้องการ การใช้ห่วงประตูต้องไม่มีดอกไม้แปลกชนิดใดขวางทาง แต่แท้จริงแล้วคือการหยั่งเชิงพละกำลังของผู้เคาะประตู หากระหว่างนั้นมีการช่วยเหลือเกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นห่วงแห่งความตาย ไม่ว่าเทพเซียนองค์ใดมาอยู่ตรงนี้ ก็มิอาจเปิดประตูใหญ่นี้ได้” หลัวอวี้เฉิงอธิบาย

มั่วเฟยเยียนแปลกใจเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าสหายหลัวถึงให้น้องสิบหกลงมือ”

ระหว่างสี่คนนี้ มั่วอีหรานอยู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย มั่วเฟยเยียนและหลัวอวี้เฉิงล้วนอยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นต้น มั่วชิงเฉินที่อยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นกลางจึงมีระดับบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดแล้ว

มั่วหรานอีอดใจไม่ไหวถามขึ้น “เจ้าทั้งสองคน เหตุใดถึงรู้จักห่วงหยั่งรู้ได้ ทั้งเทียนหยวนและแดนไท่ไป๋ก็ไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน”

หลัวอวี้เฉิงเห็นมั่วชิงเฉินหันหน้ามองมาคราหนึ่ง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “หลายปีก่อนพวกข้าทั้งสองหลงเข้าไปในแดนลึกลับ พบกับฝูเฟิงเจินจวินเข้า ได้ยินเขากล่าวถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในจงหลาง”

ก่อนหน้านี้เป็นค่ายกลหวนกลับ หลังจากนั้นเป็นห่วงหยั่งรู้ เกรงว่าเวินหนิงคงตั้งหน้าตั้งตารอการมาเยือนของฝูเฟิงเจินจวินเท่านั้นกระมัง

ครั้นบังเอิญเจอฝูเฟิงเจินจวินที่หุบเขาไร้วิญญาณ แม้เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี่ยวหนึ่ง แต่ระดับบำเพ็ญเพียรกลับสูงกว่าระดับก่อกำเนิดขั้นต้น ห่วงหยั่งรู้ที่ถูกสร้างขึ้นต้องใช้พลังอันแข็งแกร่งระดับก่อกำเนิดขั้นกลางเปิดออก ระหว่างสี่คนนี้มีเพียงมั่วชิงเฉิงลงมือเท่านั้นจึงเหมาะสมที่สุด

พวกนางทั้งสองเพิ่งเข้าใจ เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับจงหลางมากนัก ทั้งไม่รู้ว่าโลกผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนั้นมีอะไรดี

มั่วชิงเฉินที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้พละกำลังทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดดอกม่านถัวหลัวก็ล่าถอยออกไปจนไม่อาจพบได้อีกในตอนนี้ เมื่อได้เห็นห่วงสีน้ำตาลแก่ ทันใดนั้นก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน

เสียงเคาะประตูก้องกังวาลเพียงชั่วครู่ ราวกับเคาะอยู่ในส่วนลึกของหัวใจผู้คน

เสียงเคาะประตูครบสิบทีก่อนหยุดลง

บรรยากาศเงียบสงบสักพัก ทันใดนั้นประตูสีดำทมิฬก็สั่นไหวราวกับระลอกคลื่น ก่อนมีประโยคคำถามแถวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘ผู้มาเยือนคือใคร’

มั่วชิงเฉินคิดแล้วคิดอีก ยื่นมือขึ้นเมื่อจะเขียนคำตอบลงไปก็ถูกหลัวอวี้เฉิงห้ามไว้ “รอก่อน”

มั่วชิงเฉินเหลือบตามองเขา

หลัวอวี้เฉิงชี้ไปยังประตูใหญ่ “น่าจะมีตัวอักษรปรากฏออกมา”

เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นหลายสิบลมหายใจ ประตูใหญ่สั่นกระเพื่อมอยู่พักหนึ่ง ก่อนมีตัวเลือกปรากฏออกมา

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง ฝูเฟิงเจินจวิน’

‘ตัวเลือกที่สอง หลิวเฉิงเฟิง’

‘ตัวเลือกที่สาม ไอ้คนสารเลว!’

หลังจากนั้นมีตัวอักษรเล็กๆ อีกแถวหนึ่งโผล่ขึ้น ‘โปรดเลือกด้วยความระมัดระวัง หากเลือกผิด ผลลัพธ์ร้ายแรงยิ่งนัก…โปรดเชื่อใจว่าข้าหาได้ขู่ท่านแต่อย่างใด…’

มั่วชิงเฉิงถึงกับพูดไม่ออก

มั่วหรานอีถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่คือบรรพชนของเจ้าหรือ”

มั่วชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม

หลัวอวี้เฉิงกลับยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าผู้นี้ทำให้ต้องคิดหนักเสียแล้ว”

มั่วชิงเฉินถลึงตาจ้องเขาคราหนึ่ง ฝ่ามือปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณพุ่งไปยังตัวเลือกที่สาม “ยังต้องคิดอีกรึ แน่นอว่าต้องเป็นไอ้คนสารเลว!”

หลังจากนั้น ระหว่างที่ริมฝีปากแต่ละคนโค้งลง ตัวอักษรบนประตูได้เลือนหายไป ก่อนมีอีกประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ‘มีธุระอันใด’

ทั้งสี่คนที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างยืนอย่างเงียบๆ มีตัวเลือกปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง รับลูกสะใภ้กลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สอง มารับเด็กนรกกลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สาม หาที่พัก’

จากนั้นก็มีตัวอักษรเล็กๆ โผล่ขึ้นมาอีก ‘คำเตือนเหมือนด้านบน ขอบอกใบ้ด้วยไมตรีจิต หากเลือกคำตอบที่สามไม่ตายดีแน่นอน’

คำตอบที่ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

สตรีที่งดงามหาผู้ใดเปรียบนางนั้น เพราะนิสัยที่ไร้เดียงสาเอาแต่ใจถูกบ่มเพาะเป็นเวลานานเกินไป หล่อหลอมจนเกิดความคิดคำเขียนตัวเลือกแต่ละคำเหล่านี้ออกมาได้

บรรพบุรุษทางฝั่งท่านพ่อและนางเป็นเช่นนี้ ช่างแตกต่างจากสตรีนางอื่นอย่างสิ้นเชิง

ด้านหนึ่ง มั่วเฟยเยียนที่มองดูอย่างเงียบๆ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ เรื่องพวกนี้ดูเหมือนยากเกินจะสะกิดต่อมความรู้สึกอันลึกซึ้งของนาง

มั่วอีหรานกลับลงมาเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด เพียงจ้องมองประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินค่อยๆ ยกมือกดลงบนตัวเลือกที่สอง

ตัวอักษรจางลง ก่อนมีประโยคใหม่ปรากฏ ‘คำตอบอันลึกซึ้งเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าล้วนทายถูก…เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด’

เมื่อตัวอักษรเลือนหายไป ครั้งนี้มีร่างของสตรีนางหนึ่งสวมชุดคลุมยาว ตั้งตระหง่านยืนรับลม

ทันใดนั้นพบว่าดอกม่านถัวหลัวช่อใหญ่ปรากฏสีสันออกมา ทั้งม่วงทั้งแดงตระการตา บ้างเขียวบ้างน้ำเงิน แต่ละดอกสั่นระริกด้วยความเขินอาย ทั้งด้านบนดอกไม้มีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่ ก่อนกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ดึงดูดผู้คนให้เด็ดดม

มั่วชิงเฉินยืนอยู่ด้านหน้าไม่ขยับ เสียงวิญญาณอันเบาบางและอ่อนหวานของเวินหนิงราวกับพูดอยู่ในหูว่า “เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด”

มองดูดอกม่านถัวหลัวที่มีสีสันสวยงามไม่อาจละสายตาได้ ก่อนมั่วชิงเฉินหันหลังกลับมองทั้งสามคน “พวกท่านรู้สึกว่า เวินหนิงชอบดอกไม้สีไหน”

มั่วหรานอีเบ้ปาก “เรื่องนี้ใครจะรู้ ผู้อาวุโสของเจ้าช่างแปลกประหลาดเสียจริง”

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่แววตาที่มีแววประกายเจือจางทำให้มั่วชิงเฉินเผยรอยยิ้มออกมา

นิสัยที่น่าอัดอัดใจของพี่สิบจะเปลี่ยนไปเมื่อใดกัน

เมื่อมองมั่วเฟยเยียน มั่วเฟยเยียนตอบเบาๆ ว่า “ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกดูไม่มีอะไรเลย สีของดอกพวกนี้ก็เหมือนๆ กันหมด สุ่มเลือกสักดอกก็เป็นดอกไม้เหมือนกัน”

มุมปากมั่วชิงเฉินโค้งลง

พี่สิบ ท่านไม่ต้องเปลี่ยนอะไรแล้ว หากนิสัยกลายเป็นอย่างพี่เก้าเช่นนี้…

หู่โถ่ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่เก้านอกจากฝึกบำเพ็ญเพียร ก็ใช้ความพยายามอย่างมากเรื่องให้เจ้าลาสิกขา ทั้งสร้างปัญหาให้เจ้าค่อนวันตามขีดจำกัดของนาง

เห็นมั่วชิงเฉินถูกพี่น้องตัวเองพูดจาเสียหายจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงก็หัวเราะพูดว่า “สหายมั่ว คำถามลึกซึ้งเช่นนี้ เจ้าควรถามข้าถึงจะถูก”

มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากถอนหายใจ “เอาเถอะ สหายหลัว คำตอบของเจ้าคือ…”

ใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงยังคงเย้ยหยันตอบว่า “ข้าหาใช่สตรี ไหนเลยจะรู้ความคิดของสตรี แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ว่าคำถามครั้งนี้คือบททดสอบที่แท้จริง”

“อย่างไรเล่า” แม้มั่วชิงเฉินคาดเดาไว้อยู่บ้าง แต่ยังรอฟังคำอธิบายของหลัวอวี้เฉิง

หลัวอวี้เฉิงลูบคาง ก่อนตอบว่า “เจตจำนงสวรรค์ยากแท้หยั่งถึง แม้เวินหนิงมุ่งหวังไว้ว่าผู้ที่มาคือฝูเฟิงเจินจวิน ก็น่าจะคิดถึงเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่า นางยังคงมีความลังเลอยู่ข้อหนึ่ง สันนิฐานว่าจะให้โอกาสแก่ผู้มาเยือน หากผู้ที่มานั้นสามารถเดาความคิดของนางได้ ก็นับว่าเป็นทวยเทพแล้วกระมัง มีสหายจากแดนไกลเดินทางมา จะไม่ให้ปลื้มปีติได้อย่างไร”

มั่วหรานอีได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก บ่นพึมพำว่า “หากเลือกผิดเล่า”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มตอบ “แน่นอนว่า…ถึงแก่ความตาย”

ไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่!

มั่วชิงเฉินกระซิบในใจ ก่อนมองทั้งสามคน “สองหัวดีกว่าหัวเดียว มิสู้พวกเราลองทายดูเถอะ”

“หากให้เดาละก็ ข้าจะเลือกสีแดง” มั่วหรานอีตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เพราะเหตุใด”

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังร่างของเวินหนิง “เสื้อผ้าของนางเป็นสีดำขอบแดง ดอกม่านถัวหลัวสีแดงเหมาะสมที่สุดแล้ว”

มั่วชิงเฉินหันหัวกลับเงียบๆ มองมั่วเฟยเยียน

หน้าของมั่วเฟยเยียนไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาตอบว่า “สีขาว”

ไม่รอให้ผู้อื่นถาม ก็อธิบายทันที “ข้ารู้สึกว่ามันน่ามองที่สุด”

มั่วชิงเฉินพูดไม่ออก…

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเสียงต่ำ “อย่ามองข้า สหายมั่ว อวี้เฉิงขอเตือนอีกประโยค หาใช่เพราะข้าสวมชุดสตรีของเจ้า จะทำให้ข้ากลายเป็นผู้หญิง…”

มั่วชิงเฉินเริ่มมีโทสะแล้ว คนพวกนี้ล้วนเป็นคนประเภทไหนกัน!

หลัวอวี้เฉิงตอบอย่างใจเย็น “บนประตูมีดอกม่านถัวหลัวอยู่สิบกว่าสี สหายมั่ว เกรงว่าครั้งนี้ต้องพึ่งโชคจริงๆ แล้ว”

มั่วชิงเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด อีกาไฟที่อยู่ในกระเป๋าอสูรวิญญาณร้องขึ้น “ข้ารู้ ข้ารู้ ต้องเป็นสีดำแน่นอน!”

ในใจของมั่วชิงเฉินมีหวัง “เพราะเหตุใด”

อีกาไฟกระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องมันชัดขนาดนี้ยังมองไม่ออกอีกรึ ท่านไม่รู้สึกว่า สีดำคือสีที่น่าลึกลับมากที่สุดในโลกหรือ”

“หุบปาก!”

ในที่สุดมั่วชิงเฉิงทนไม่ไหว จ้องมองร่างของเวินหนิงอย่างใคร่ครวญ

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จึงยื่นมือออกไปเด็ดดอกม่านถัวหลัวสีเขียวตูม ก่อนเสียบทัดหูเวินหนิง

เมื่อได้ยินเสียงร้องดังขึ้น ประตูใหญ่สีดำค่อยๆ เปิดออก

เดินเข้าไปพักหนึ่ง หลัวอวี้เฉิงถามขึ้นเสียงเบาว่า “เหตุใดเจ้าถึงเดาถูก”

มั่วชิงเฉินเว้นระยะก่อนตอบกลับไป “ม่านฉาหลัว[4]มรกต หมายถึงความหวังอันเป็นนิรันดร์…”

[1] ดอกลำโพง หรือดอกมันดาหลา พืชล้มลุกชนิดหนึ่งสูงประมาณ2เมตร ลำต้นตรงตั้งกลม แตกกิ่งก้านไปรอบๆ ออกดอกเดี่ยวลักษณะเป็นรูปแตรขนาดใหญ่หรือลำโพงความยาว 3.5-3.5นิ้ว เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอกยาวครึ่งหนึ่งของก้านหลอด แตกออกเป็น5แฉก มีหลายหลายสี ทั้งมีสรรพคุณด้านการรักษาและทำพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

[2] จวนห่านรำลึก มาจากบทความที่ว่า 大雁春天北飞, 秋天南飞, 候时去来。แปลว่า ห่านป่าจะบินขึ้นเหนือในฤดูใบไม้ผลิ และบินลงใต้ในฤดูใบไม้ร่วง

[3] 归心似箭เป็นสำนวน แปลว่า คิดถึงบ้านมาก อยากกลับบ้านมาก

[4] 曼茶罗 อีกชื่อหนึ่งของดอกม่านถัวหลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 610 มวลผกาเบ่งบาน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 610 มวลผกาเบ่งบาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลัวอวี้เฉิงสามารถใช้ปราณวิญญาณจำลองค่ายกลหวนกลับบริเวณทางเข้าจวนถ้ำเวินหนิงได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่ารู้วิธีการเข้าไปได้เป็นอย่างดี ตามคำชี้แนะของเขา ทำให้ทั้งสี่คนเดินผ่านค่ายกลภาพลวงตามาได้จนถึงประตูจวนถ้ำอย่างแท้จริง

การตกแต่งแตกต่างจากภายนอกที่หรูหราและงดงาม ประตูมีสีหมึกดำ แสดงถึงความโบราณและเรียบง่าย บริเวณขอบประตูด้านบนแกะสลักลายดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ มีทั้งดอกที่กำลังตูม ดอกที่เบ่งบาน และดอกที่สั่นไหวร่วงโรย

ดอกไม้ชนิดนี้คือดอกม่านถัวหลัว[1] แต่กลับไร้สีสันใดๆ

แผ่นป้ายกลางประตูขนาดใหญ่ ล้วนเป็นสีดำเช่นเดียวกัน ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นทำให้บรรยากาศดีขึ้นและผ่อนคลายลงโดยปริยาย “จวนกุยเยี่ยน[2]”

“จวนกุยเยี่ยนหรือ” หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ หันกลับไปมองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าจะเป็นพวกลูกธนูพุ่งกลับบ้าน[3]สินะ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ในคราแรกไยต้อง…”

มั่วชิงเฉินค้อนขวัก คนวาจาเช่นนี้ แม้แต่คนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนล้วนอยากเข้าไปชกปากเขา

“สหายหลัวพูดเช่นนี้ ข้ากลับไม่เห็นด้วย บนโลกใบนี้ มีสิ่งใดบ้างที่เรารู้ก่อนนานแล้ว หาใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสคาดเดาสิ่งต่างๆ ได้อย่างสหายหลัว”

ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงไม่ได้รู้สึกเสียหน้าแม้แต่น้อย กลับยิ้มอย่างเจียมตัวตอบว่า “อวี้เฉิงก็ไม่อาจคาดการณ์เรื่องราวได้ทั้งหมด”

ในปีนั้น เวินหนิงได้ใช้ภาพมายาให้ฝูเฟิงเจินจวินหยั่งเชิงตน หากเขาให้คำตอบผิด เช่นนั้นก่อนหน้านั้นที่เจอกัน ด้วยระยะเวลานานเช่นนี้ ผลลัพธ์คงออกมาเป็นอีกแบบใช่หรือไม่

ความรู้สึกที่หลบซ่อนและขื่นข่มปรากฏออกมาเพียงชั่วครู่ เมื่อทั้งกายและใจได้สติกลับมาเช่นเดิมก็ยกมือไขว้หลังพิจารณาประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินยังคงยืนดูอยู่ ใช้จิตสัมผัสสำรวจเข้าไปอย่างละเอียด

ชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งสองร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ห่วงเคาะประตู!”

พูดจบ ทั้งหมดล้วนสะดุ้งตกใจ ก่อนชำเลืองมองกันคราหนึ่ง

“นี่คือห่วงหยั่งรู้ใช่หรือไม่” เห็นหลัวอวี้เฉิงพูดกับตัวเองออกมาเช่นนี้ มั่วชิงเฉินจึงมั่นใจในการคาดเดาของตน

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูง”

ทางด้านของมั่วเฟยเยียนทั้งสองต่างมีสีหน้าสงสัย

หลัวอวี้เฉิงที่ดูไม่ใส่ใจมากนัก ยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ที่จริงแล้วห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของสตรี เจ้าเป็นคนเคาะประตูจะดีกว่า”

มั่วชิงเฉินไม่มีท่าทีปฏิเสธ เดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหน้า ใช้นิ้วมือรวบรวมแสงวิญญาณจับห่วงเคาะประตู

ทันใดนั้นเมื่อสัมผัสกับห่วงเคาะประตู เกิดแสงสว่างวาบหนึ่ง ดอกม่านถัวหลัวบนขอบประตูกลายเป็นดอกไม้ของจริงขึ้นมาทันใด มันคดเคี้ยวคืบคลานประตูทั้งบานอย่างเย้ายวน แม้ไม่มีสีสัน แต่กลับดูมีเสน่ห์มาก

ขณะที่ดอกม่านถัวหลัวกำลังคลุมทับห่วงเคาะประตู มั่วชิงเฉินใช้แสงวิญญาณโจมตีออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อกำจัดก้านดอกไม้ เคลื่อนไหวไปได้ไม่นาน ปราณวิญญาณในร่างกายลดลงถึงครึ่งหนึ่ง

เห็นมั่วชิงเฉินมีสีหน้าอ่อนเพลียอย่างชัดเจน ร่างกายของมั่วเฟยเยียนพลันขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้นเพื่อส่งพลังวิญญาณให้ทางด้านหลังของนาง

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือขวางไว้ “กูอวิ๋นเจินจวินไม่ได้เด็ดขาด”

มั่วเฟยเยียนไม่ถามให้มากความ เพราะครั้งยังเด็กเรื่องผิดศีลธรรมที่ท่านพ่อและอาสะใภ้สิบกระทำ เป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่งของความสัมพันธ์หญิงชาย ทำให้ตนไม่ได้สนใจเรื่องของบุรุษมากนัก ทว่าเพียงไม่กี่ปีมานี้สามารถเข้ากันได้ดีสำหรับหลัวอวี้เฉิงที่ทั้งฉลาดและมองการณ์ไกลจึงเกิดความชื่นชม สีหน้าอ่อนลงถามกลับไป “เพราะเหตุใด”

“ห่วงวงนี้มีนามว่าหยั่งรู้ คือการรับรู้อารมณ์และความต้องการ การใช้ห่วงประตูต้องไม่มีดอกไม้แปลกชนิดใดขวางทาง แต่แท้จริงแล้วคือการหยั่งเชิงพละกำลังของผู้เคาะประตู หากระหว่างนั้นมีการช่วยเหลือเกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นห่วงแห่งความตาย ไม่ว่าเทพเซียนองค์ใดมาอยู่ตรงนี้ ก็มิอาจเปิดประตูใหญ่นี้ได้” หลัวอวี้เฉิงอธิบาย

มั่วเฟยเยียนแปลกใจเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าสหายหลัวถึงให้น้องสิบหกลงมือ”

ระหว่างสี่คนนี้ มั่วอีหรานอยู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย มั่วเฟยเยียนและหลัวอวี้เฉิงล้วนอยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นต้น มั่วชิงเฉินที่อยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นกลางจึงมีระดับบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดแล้ว

มั่วหรานอีอดใจไม่ไหวถามขึ้น “เจ้าทั้งสองคน เหตุใดถึงรู้จักห่วงหยั่งรู้ได้ ทั้งเทียนหยวนและแดนไท่ไป๋ก็ไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน”

หลัวอวี้เฉิงเห็นมั่วชิงเฉินหันหน้ามองมาคราหนึ่ง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “หลายปีก่อนพวกข้าทั้งสองหลงเข้าไปในแดนลึกลับ พบกับฝูเฟิงเจินจวินเข้า ได้ยินเขากล่าวถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในจงหลาง”

ก่อนหน้านี้เป็นค่ายกลหวนกลับ หลังจากนั้นเป็นห่วงหยั่งรู้ เกรงว่าเวินหนิงคงตั้งหน้าตั้งตารอการมาเยือนของฝูเฟิงเจินจวินเท่านั้นกระมัง

ครั้นบังเอิญเจอฝูเฟิงเจินจวินที่หุบเขาไร้วิญญาณ แม้เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี่ยวหนึ่ง แต่ระดับบำเพ็ญเพียรกลับสูงกว่าระดับก่อกำเนิดขั้นต้น ห่วงหยั่งรู้ที่ถูกสร้างขึ้นต้องใช้พลังอันแข็งแกร่งระดับก่อกำเนิดขั้นกลางเปิดออก ระหว่างสี่คนนี้มีเพียงมั่วชิงเฉิงลงมือเท่านั้นจึงเหมาะสมที่สุด

พวกนางทั้งสองเพิ่งเข้าใจ เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับจงหลางมากนัก ทั้งไม่รู้ว่าโลกผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนั้นมีอะไรดี

มั่วชิงเฉินที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้พละกำลังทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดดอกม่านถัวหลัวก็ล่าถอยออกไปจนไม่อาจพบได้อีกในตอนนี้ เมื่อได้เห็นห่วงสีน้ำตาลแก่ ทันใดนั้นก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน

เสียงเคาะประตูก้องกังวาลเพียงชั่วครู่ ราวกับเคาะอยู่ในส่วนลึกของหัวใจผู้คน

เสียงเคาะประตูครบสิบทีก่อนหยุดลง

บรรยากาศเงียบสงบสักพัก ทันใดนั้นประตูสีดำทมิฬก็สั่นไหวราวกับระลอกคลื่น ก่อนมีประโยคคำถามแถวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘ผู้มาเยือนคือใคร’

มั่วชิงเฉินคิดแล้วคิดอีก ยื่นมือขึ้นเมื่อจะเขียนคำตอบลงไปก็ถูกหลัวอวี้เฉิงห้ามไว้ “รอก่อน”

มั่วชิงเฉินเหลือบตามองเขา

หลัวอวี้เฉิงชี้ไปยังประตูใหญ่ “น่าจะมีตัวอักษรปรากฏออกมา”

เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นหลายสิบลมหายใจ ประตูใหญ่สั่นกระเพื่อมอยู่พักหนึ่ง ก่อนมีตัวเลือกปรากฏออกมา

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง ฝูเฟิงเจินจวิน’

‘ตัวเลือกที่สอง หลิวเฉิงเฟิง’

‘ตัวเลือกที่สาม ไอ้คนสารเลว!’

หลังจากนั้นมีตัวอักษรเล็กๆ อีกแถวหนึ่งโผล่ขึ้น ‘โปรดเลือกด้วยความระมัดระวัง หากเลือกผิด ผลลัพธ์ร้ายแรงยิ่งนัก…โปรดเชื่อใจว่าข้าหาได้ขู่ท่านแต่อย่างใด…’

มั่วชิงเฉิงถึงกับพูดไม่ออก

มั่วหรานอีถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่คือบรรพชนของเจ้าหรือ”

มั่วชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม

หลัวอวี้เฉิงกลับยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าผู้นี้ทำให้ต้องคิดหนักเสียแล้ว”

มั่วชิงเฉินถลึงตาจ้องเขาคราหนึ่ง ฝ่ามือปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณพุ่งไปยังตัวเลือกที่สาม “ยังต้องคิดอีกรึ แน่นอว่าต้องเป็นไอ้คนสารเลว!”

หลังจากนั้น ระหว่างที่ริมฝีปากแต่ละคนโค้งลง ตัวอักษรบนประตูได้เลือนหายไป ก่อนมีอีกประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ‘มีธุระอันใด’

ทั้งสี่คนที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างยืนอย่างเงียบๆ มีตัวเลือกปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง รับลูกสะใภ้กลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สอง มารับเด็กนรกกลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สาม หาที่พัก’

จากนั้นก็มีตัวอักษรเล็กๆ โผล่ขึ้นมาอีก ‘คำเตือนเหมือนด้านบน ขอบอกใบ้ด้วยไมตรีจิต หากเลือกคำตอบที่สามไม่ตายดีแน่นอน’

คำตอบที่ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

สตรีที่งดงามหาผู้ใดเปรียบนางนั้น เพราะนิสัยที่ไร้เดียงสาเอาแต่ใจถูกบ่มเพาะเป็นเวลานานเกินไป หล่อหลอมจนเกิดความคิดคำเขียนตัวเลือกแต่ละคำเหล่านี้ออกมาได้

บรรพบุรุษทางฝั่งท่านพ่อและนางเป็นเช่นนี้ ช่างแตกต่างจากสตรีนางอื่นอย่างสิ้นเชิง

ด้านหนึ่ง มั่วเฟยเยียนที่มองดูอย่างเงียบๆ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ เรื่องพวกนี้ดูเหมือนยากเกินจะสะกิดต่อมความรู้สึกอันลึกซึ้งของนาง

มั่วอีหรานกลับลงมาเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด เพียงจ้องมองประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินค่อยๆ ยกมือกดลงบนตัวเลือกที่สอง

ตัวอักษรจางลง ก่อนมีประโยคใหม่ปรากฏ ‘คำตอบอันลึกซึ้งเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าล้วนทายถูก…เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด’

เมื่อตัวอักษรเลือนหายไป ครั้งนี้มีร่างของสตรีนางหนึ่งสวมชุดคลุมยาว ตั้งตระหง่านยืนรับลม

ทันใดนั้นพบว่าดอกม่านถัวหลัวช่อใหญ่ปรากฏสีสันออกมา ทั้งม่วงทั้งแดงตระการตา บ้างเขียวบ้างน้ำเงิน แต่ละดอกสั่นระริกด้วยความเขินอาย ทั้งด้านบนดอกไม้มีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่ ก่อนกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ดึงดูดผู้คนให้เด็ดดม

มั่วชิงเฉินยืนอยู่ด้านหน้าไม่ขยับ เสียงวิญญาณอันเบาบางและอ่อนหวานของเวินหนิงราวกับพูดอยู่ในหูว่า “เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด”

มองดูดอกม่านถัวหลัวที่มีสีสันสวยงามไม่อาจละสายตาได้ ก่อนมั่วชิงเฉินหันหลังกลับมองทั้งสามคน “พวกท่านรู้สึกว่า เวินหนิงชอบดอกไม้สีไหน”

มั่วหรานอีเบ้ปาก “เรื่องนี้ใครจะรู้ ผู้อาวุโสของเจ้าช่างแปลกประหลาดเสียจริง”

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่แววตาที่มีแววประกายเจือจางทำให้มั่วชิงเฉินเผยรอยยิ้มออกมา

นิสัยที่น่าอัดอัดใจของพี่สิบจะเปลี่ยนไปเมื่อใดกัน

เมื่อมองมั่วเฟยเยียน มั่วเฟยเยียนตอบเบาๆ ว่า “ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกดูไม่มีอะไรเลย สีของดอกพวกนี้ก็เหมือนๆ กันหมด สุ่มเลือกสักดอกก็เป็นดอกไม้เหมือนกัน”

มุมปากมั่วชิงเฉินโค้งลง

พี่สิบ ท่านไม่ต้องเปลี่ยนอะไรแล้ว หากนิสัยกลายเป็นอย่างพี่เก้าเช่นนี้…

หู่โถ่ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่เก้านอกจากฝึกบำเพ็ญเพียร ก็ใช้ความพยายามอย่างมากเรื่องให้เจ้าลาสิกขา ทั้งสร้างปัญหาให้เจ้าค่อนวันตามขีดจำกัดของนาง

เห็นมั่วชิงเฉินถูกพี่น้องตัวเองพูดจาเสียหายจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงก็หัวเราะพูดว่า “สหายมั่ว คำถามลึกซึ้งเช่นนี้ เจ้าควรถามข้าถึงจะถูก”

มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากถอนหายใจ “เอาเถอะ สหายหลัว คำตอบของเจ้าคือ…”

ใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงยังคงเย้ยหยันตอบว่า “ข้าหาใช่สตรี ไหนเลยจะรู้ความคิดของสตรี แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ว่าคำถามครั้งนี้คือบททดสอบที่แท้จริง”

“อย่างไรเล่า” แม้มั่วชิงเฉินคาดเดาไว้อยู่บ้าง แต่ยังรอฟังคำอธิบายของหลัวอวี้เฉิง

หลัวอวี้เฉิงลูบคาง ก่อนตอบว่า “เจตจำนงสวรรค์ยากแท้หยั่งถึง แม้เวินหนิงมุ่งหวังไว้ว่าผู้ที่มาคือฝูเฟิงเจินจวิน ก็น่าจะคิดถึงเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่า นางยังคงมีความลังเลอยู่ข้อหนึ่ง สันนิฐานว่าจะให้โอกาสแก่ผู้มาเยือน หากผู้ที่มานั้นสามารถเดาความคิดของนางได้ ก็นับว่าเป็นทวยเทพแล้วกระมัง มีสหายจากแดนไกลเดินทางมา จะไม่ให้ปลื้มปีติได้อย่างไร”

มั่วหรานอีได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก บ่นพึมพำว่า “หากเลือกผิดเล่า”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มตอบ “แน่นอนว่า…ถึงแก่ความตาย”

ไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่!

มั่วชิงเฉินกระซิบในใจ ก่อนมองทั้งสามคน “สองหัวดีกว่าหัวเดียว มิสู้พวกเราลองทายดูเถอะ”

“หากให้เดาละก็ ข้าจะเลือกสีแดง” มั่วหรานอีตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เพราะเหตุใด”

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังร่างของเวินหนิง “เสื้อผ้าของนางเป็นสีดำขอบแดง ดอกม่านถัวหลัวสีแดงเหมาะสมที่สุดแล้ว”

มั่วชิงเฉินหันหัวกลับเงียบๆ มองมั่วเฟยเยียน

หน้าของมั่วเฟยเยียนไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาตอบว่า “สีขาว”

ไม่รอให้ผู้อื่นถาม ก็อธิบายทันที “ข้ารู้สึกว่ามันน่ามองที่สุด”

มั่วชิงเฉินพูดไม่ออก…

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเสียงต่ำ “อย่ามองข้า สหายมั่ว อวี้เฉิงขอเตือนอีกประโยค หาใช่เพราะข้าสวมชุดสตรีของเจ้า จะทำให้ข้ากลายเป็นผู้หญิง…”

มั่วชิงเฉินเริ่มมีโทสะแล้ว คนพวกนี้ล้วนเป็นคนประเภทไหนกัน!

หลัวอวี้เฉิงตอบอย่างใจเย็น “บนประตูมีดอกม่านถัวหลัวอยู่สิบกว่าสี สหายมั่ว เกรงว่าครั้งนี้ต้องพึ่งโชคจริงๆ แล้ว”

มั่วชิงเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด อีกาไฟที่อยู่ในกระเป๋าอสูรวิญญาณร้องขึ้น “ข้ารู้ ข้ารู้ ต้องเป็นสีดำแน่นอน!”

ในใจของมั่วชิงเฉินมีหวัง “เพราะเหตุใด”

อีกาไฟกระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องมันชัดขนาดนี้ยังมองไม่ออกอีกรึ ท่านไม่รู้สึกว่า สีดำคือสีที่น่าลึกลับมากที่สุดในโลกหรือ”

“หุบปาก!”

ในที่สุดมั่วชิงเฉิงทนไม่ไหว จ้องมองร่างของเวินหนิงอย่างใคร่ครวญ

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จึงยื่นมือออกไปเด็ดดอกม่านถัวหลัวสีเขียวตูม ก่อนเสียบทัดหูเวินหนิง

เมื่อได้ยินเสียงร้องดังขึ้น ประตูใหญ่สีดำค่อยๆ เปิดออก

เดินเข้าไปพักหนึ่ง หลัวอวี้เฉิงถามขึ้นเสียงเบาว่า “เหตุใดเจ้าถึงเดาถูก”

มั่วชิงเฉินเว้นระยะก่อนตอบกลับไป “ม่านฉาหลัว[4]มรกต หมายถึงความหวังอันเป็นนิรันดร์…”

[1] ดอกลำโพง หรือดอกมันดาหลา พืชล้มลุกชนิดหนึ่งสูงประมาณ2เมตร ลำต้นตรงตั้งกลม แตกกิ่งก้านไปรอบๆ ออกดอกเดี่ยวลักษณะเป็นรูปแตรขนาดใหญ่หรือลำโพงความยาว 3.5-3.5นิ้ว เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอกยาวครึ่งหนึ่งของก้านหลอด แตกออกเป็น5แฉก มีหลายหลายสี ทั้งมีสรรพคุณด้านการรักษาและทำพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

[2] จวนห่านรำลึก มาจากบทความที่ว่า 大雁春天北飞, 秋天南飞, 候时去来。แปลว่า ห่านป่าจะบินขึ้นเหนือในฤดูใบไม้ผลิ และบินลงใต้ในฤดูใบไม้ร่วง

[3] 归心似箭เป็นสำนวน แปลว่า คิดถึงบ้านมาก อยากกลับบ้านมาก

[4] 曼茶罗 อีกชื่อหนึ่งของดอกม่านถัวหลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 610 มวลผกาเบ่งบาน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 610 มวลผกาเบ่งบาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลัวอวี้เฉิงสามารถใช้ปราณวิญญาณจำลองค่ายกลหวนกลับบริเวณทางเข้าจวนถ้ำเวินหนิงได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่ารู้วิธีการเข้าไปได้เป็นอย่างดี ตามคำชี้แนะของเขา ทำให้ทั้งสี่คนเดินผ่านค่ายกลภาพลวงตามาได้จนถึงประตูจวนถ้ำอย่างแท้จริง

การตกแต่งแตกต่างจากภายนอกที่หรูหราและงดงาม ประตูมีสีหมึกดำ แสดงถึงความโบราณและเรียบง่าย บริเวณขอบประตูด้านบนแกะสลักลายดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ มีทั้งดอกที่กำลังตูม ดอกที่เบ่งบาน และดอกที่สั่นไหวร่วงโรย

ดอกไม้ชนิดนี้คือดอกม่านถัวหลัว[1] แต่กลับไร้สีสันใดๆ

แผ่นป้ายกลางประตูขนาดใหญ่ ล้วนเป็นสีดำเช่นเดียวกัน ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นทำให้บรรยากาศดีขึ้นและผ่อนคลายลงโดยปริยาย “จวนกุยเยี่ยน[2]”

“จวนกุยเยี่ยนหรือ” หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ หันกลับไปมองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าจะเป็นพวกลูกธนูพุ่งกลับบ้าน[3]สินะ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ในคราแรกไยต้อง…”

มั่วชิงเฉินค้อนขวัก คนวาจาเช่นนี้ แม้แต่คนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนล้วนอยากเข้าไปชกปากเขา

“สหายหลัวพูดเช่นนี้ ข้ากลับไม่เห็นด้วย บนโลกใบนี้ มีสิ่งใดบ้างที่เรารู้ก่อนนานแล้ว หาใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสคาดเดาสิ่งต่างๆ ได้อย่างสหายหลัว”

ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงไม่ได้รู้สึกเสียหน้าแม้แต่น้อย กลับยิ้มอย่างเจียมตัวตอบว่า “อวี้เฉิงก็ไม่อาจคาดการณ์เรื่องราวได้ทั้งหมด”

ในปีนั้น เวินหนิงได้ใช้ภาพมายาให้ฝูเฟิงเจินจวินหยั่งเชิงตน หากเขาให้คำตอบผิด เช่นนั้นก่อนหน้านั้นที่เจอกัน ด้วยระยะเวลานานเช่นนี้ ผลลัพธ์คงออกมาเป็นอีกแบบใช่หรือไม่

ความรู้สึกที่หลบซ่อนและขื่นข่มปรากฏออกมาเพียงชั่วครู่ เมื่อทั้งกายและใจได้สติกลับมาเช่นเดิมก็ยกมือไขว้หลังพิจารณาประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินยังคงยืนดูอยู่ ใช้จิตสัมผัสสำรวจเข้าไปอย่างละเอียด

ชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งสองร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ห่วงเคาะประตู!”

พูดจบ ทั้งหมดล้วนสะดุ้งตกใจ ก่อนชำเลืองมองกันคราหนึ่ง

“นี่คือห่วงหยั่งรู้ใช่หรือไม่” เห็นหลัวอวี้เฉิงพูดกับตัวเองออกมาเช่นนี้ มั่วชิงเฉินจึงมั่นใจในการคาดเดาของตน

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูง”

ทางด้านของมั่วเฟยเยียนทั้งสองต่างมีสีหน้าสงสัย

หลัวอวี้เฉิงที่ดูไม่ใส่ใจมากนัก ยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ที่จริงแล้วห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของสตรี เจ้าเป็นคนเคาะประตูจะดีกว่า”

มั่วชิงเฉินไม่มีท่าทีปฏิเสธ เดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหน้า ใช้นิ้วมือรวบรวมแสงวิญญาณจับห่วงเคาะประตู

ทันใดนั้นเมื่อสัมผัสกับห่วงเคาะประตู เกิดแสงสว่างวาบหนึ่ง ดอกม่านถัวหลัวบนขอบประตูกลายเป็นดอกไม้ของจริงขึ้นมาทันใด มันคดเคี้ยวคืบคลานประตูทั้งบานอย่างเย้ายวน แม้ไม่มีสีสัน แต่กลับดูมีเสน่ห์มาก

ขณะที่ดอกม่านถัวหลัวกำลังคลุมทับห่วงเคาะประตู มั่วชิงเฉินใช้แสงวิญญาณโจมตีออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อกำจัดก้านดอกไม้ เคลื่อนไหวไปได้ไม่นาน ปราณวิญญาณในร่างกายลดลงถึงครึ่งหนึ่ง

เห็นมั่วชิงเฉินมีสีหน้าอ่อนเพลียอย่างชัดเจน ร่างกายของมั่วเฟยเยียนพลันขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้นเพื่อส่งพลังวิญญาณให้ทางด้านหลังของนาง

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือขวางไว้ “กูอวิ๋นเจินจวินไม่ได้เด็ดขาด”

มั่วเฟยเยียนไม่ถามให้มากความ เพราะครั้งยังเด็กเรื่องผิดศีลธรรมที่ท่านพ่อและอาสะใภ้สิบกระทำ เป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่งของความสัมพันธ์หญิงชาย ทำให้ตนไม่ได้สนใจเรื่องของบุรุษมากนัก ทว่าเพียงไม่กี่ปีมานี้สามารถเข้ากันได้ดีสำหรับหลัวอวี้เฉิงที่ทั้งฉลาดและมองการณ์ไกลจึงเกิดความชื่นชม สีหน้าอ่อนลงถามกลับไป “เพราะเหตุใด”

“ห่วงวงนี้มีนามว่าหยั่งรู้ คือการรับรู้อารมณ์และความต้องการ การใช้ห่วงประตูต้องไม่มีดอกไม้แปลกชนิดใดขวางทาง แต่แท้จริงแล้วคือการหยั่งเชิงพละกำลังของผู้เคาะประตู หากระหว่างนั้นมีการช่วยเหลือเกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นห่วงแห่งความตาย ไม่ว่าเทพเซียนองค์ใดมาอยู่ตรงนี้ ก็มิอาจเปิดประตูใหญ่นี้ได้” หลัวอวี้เฉิงอธิบาย

มั่วเฟยเยียนแปลกใจเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าสหายหลัวถึงให้น้องสิบหกลงมือ”

ระหว่างสี่คนนี้ มั่วอีหรานอยู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย มั่วเฟยเยียนและหลัวอวี้เฉิงล้วนอยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นต้น มั่วชิงเฉินที่อยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นกลางจึงมีระดับบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดแล้ว

มั่วหรานอีอดใจไม่ไหวถามขึ้น “เจ้าทั้งสองคน เหตุใดถึงรู้จักห่วงหยั่งรู้ได้ ทั้งเทียนหยวนและแดนไท่ไป๋ก็ไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน”

หลัวอวี้เฉิงเห็นมั่วชิงเฉินหันหน้ามองมาคราหนึ่ง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “หลายปีก่อนพวกข้าทั้งสองหลงเข้าไปในแดนลึกลับ พบกับฝูเฟิงเจินจวินเข้า ได้ยินเขากล่าวถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในจงหลาง”

ก่อนหน้านี้เป็นค่ายกลหวนกลับ หลังจากนั้นเป็นห่วงหยั่งรู้ เกรงว่าเวินหนิงคงตั้งหน้าตั้งตารอการมาเยือนของฝูเฟิงเจินจวินเท่านั้นกระมัง

ครั้นบังเอิญเจอฝูเฟิงเจินจวินที่หุบเขาไร้วิญญาณ แม้เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี่ยวหนึ่ง แต่ระดับบำเพ็ญเพียรกลับสูงกว่าระดับก่อกำเนิดขั้นต้น ห่วงหยั่งรู้ที่ถูกสร้างขึ้นต้องใช้พลังอันแข็งแกร่งระดับก่อกำเนิดขั้นกลางเปิดออก ระหว่างสี่คนนี้มีเพียงมั่วชิงเฉิงลงมือเท่านั้นจึงเหมาะสมที่สุด

พวกนางทั้งสองเพิ่งเข้าใจ เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับจงหลางมากนัก ทั้งไม่รู้ว่าโลกผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนั้นมีอะไรดี

มั่วชิงเฉินที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้พละกำลังทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดดอกม่านถัวหลัวก็ล่าถอยออกไปจนไม่อาจพบได้อีกในตอนนี้ เมื่อได้เห็นห่วงสีน้ำตาลแก่ ทันใดนั้นก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน

เสียงเคาะประตูก้องกังวาลเพียงชั่วครู่ ราวกับเคาะอยู่ในส่วนลึกของหัวใจผู้คน

เสียงเคาะประตูครบสิบทีก่อนหยุดลง

บรรยากาศเงียบสงบสักพัก ทันใดนั้นประตูสีดำทมิฬก็สั่นไหวราวกับระลอกคลื่น ก่อนมีประโยคคำถามแถวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘ผู้มาเยือนคือใคร’

มั่วชิงเฉินคิดแล้วคิดอีก ยื่นมือขึ้นเมื่อจะเขียนคำตอบลงไปก็ถูกหลัวอวี้เฉิงห้ามไว้ “รอก่อน”

มั่วชิงเฉินเหลือบตามองเขา

หลัวอวี้เฉิงชี้ไปยังประตูใหญ่ “น่าจะมีตัวอักษรปรากฏออกมา”

เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นหลายสิบลมหายใจ ประตูใหญ่สั่นกระเพื่อมอยู่พักหนึ่ง ก่อนมีตัวเลือกปรากฏออกมา

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง ฝูเฟิงเจินจวิน’

‘ตัวเลือกที่สอง หลิวเฉิงเฟิง’

‘ตัวเลือกที่สาม ไอ้คนสารเลว!’

หลังจากนั้นมีตัวอักษรเล็กๆ อีกแถวหนึ่งโผล่ขึ้น ‘โปรดเลือกด้วยความระมัดระวัง หากเลือกผิด ผลลัพธ์ร้ายแรงยิ่งนัก…โปรดเชื่อใจว่าข้าหาได้ขู่ท่านแต่อย่างใด…’

มั่วชิงเฉิงถึงกับพูดไม่ออก

มั่วหรานอีถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่คือบรรพชนของเจ้าหรือ”

มั่วชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม

หลัวอวี้เฉิงกลับยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าผู้นี้ทำให้ต้องคิดหนักเสียแล้ว”

มั่วชิงเฉินถลึงตาจ้องเขาคราหนึ่ง ฝ่ามือปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณพุ่งไปยังตัวเลือกที่สาม “ยังต้องคิดอีกรึ แน่นอว่าต้องเป็นไอ้คนสารเลว!”

หลังจากนั้น ระหว่างที่ริมฝีปากแต่ละคนโค้งลง ตัวอักษรบนประตูได้เลือนหายไป ก่อนมีอีกประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ‘มีธุระอันใด’

ทั้งสี่คนที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างยืนอย่างเงียบๆ มีตัวเลือกปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง รับลูกสะใภ้กลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สอง มารับเด็กนรกกลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สาม หาที่พัก’

จากนั้นก็มีตัวอักษรเล็กๆ โผล่ขึ้นมาอีก ‘คำเตือนเหมือนด้านบน ขอบอกใบ้ด้วยไมตรีจิต หากเลือกคำตอบที่สามไม่ตายดีแน่นอน’

คำตอบที่ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

สตรีที่งดงามหาผู้ใดเปรียบนางนั้น เพราะนิสัยที่ไร้เดียงสาเอาแต่ใจถูกบ่มเพาะเป็นเวลานานเกินไป หล่อหลอมจนเกิดความคิดคำเขียนตัวเลือกแต่ละคำเหล่านี้ออกมาได้

บรรพบุรุษทางฝั่งท่านพ่อและนางเป็นเช่นนี้ ช่างแตกต่างจากสตรีนางอื่นอย่างสิ้นเชิง

ด้านหนึ่ง มั่วเฟยเยียนที่มองดูอย่างเงียบๆ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ เรื่องพวกนี้ดูเหมือนยากเกินจะสะกิดต่อมความรู้สึกอันลึกซึ้งของนาง

มั่วอีหรานกลับลงมาเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด เพียงจ้องมองประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินค่อยๆ ยกมือกดลงบนตัวเลือกที่สอง

ตัวอักษรจางลง ก่อนมีประโยคใหม่ปรากฏ ‘คำตอบอันลึกซึ้งเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าล้วนทายถูก…เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด’

เมื่อตัวอักษรเลือนหายไป ครั้งนี้มีร่างของสตรีนางหนึ่งสวมชุดคลุมยาว ตั้งตระหง่านยืนรับลม

ทันใดนั้นพบว่าดอกม่านถัวหลัวช่อใหญ่ปรากฏสีสันออกมา ทั้งม่วงทั้งแดงตระการตา บ้างเขียวบ้างน้ำเงิน แต่ละดอกสั่นระริกด้วยความเขินอาย ทั้งด้านบนดอกไม้มีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่ ก่อนกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ดึงดูดผู้คนให้เด็ดดม

มั่วชิงเฉินยืนอยู่ด้านหน้าไม่ขยับ เสียงวิญญาณอันเบาบางและอ่อนหวานของเวินหนิงราวกับพูดอยู่ในหูว่า “เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด”

มองดูดอกม่านถัวหลัวที่มีสีสันสวยงามไม่อาจละสายตาได้ ก่อนมั่วชิงเฉินหันหลังกลับมองทั้งสามคน “พวกท่านรู้สึกว่า เวินหนิงชอบดอกไม้สีไหน”

มั่วหรานอีเบ้ปาก “เรื่องนี้ใครจะรู้ ผู้อาวุโสของเจ้าช่างแปลกประหลาดเสียจริง”

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่แววตาที่มีแววประกายเจือจางทำให้มั่วชิงเฉินเผยรอยยิ้มออกมา

นิสัยที่น่าอัดอัดใจของพี่สิบจะเปลี่ยนไปเมื่อใดกัน

เมื่อมองมั่วเฟยเยียน มั่วเฟยเยียนตอบเบาๆ ว่า “ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกดูไม่มีอะไรเลย สีของดอกพวกนี้ก็เหมือนๆ กันหมด สุ่มเลือกสักดอกก็เป็นดอกไม้เหมือนกัน”

มุมปากมั่วชิงเฉินโค้งลง

พี่สิบ ท่านไม่ต้องเปลี่ยนอะไรแล้ว หากนิสัยกลายเป็นอย่างพี่เก้าเช่นนี้…

หู่โถ่ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่เก้านอกจากฝึกบำเพ็ญเพียร ก็ใช้ความพยายามอย่างมากเรื่องให้เจ้าลาสิกขา ทั้งสร้างปัญหาให้เจ้าค่อนวันตามขีดจำกัดของนาง

เห็นมั่วชิงเฉินถูกพี่น้องตัวเองพูดจาเสียหายจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงก็หัวเราะพูดว่า “สหายมั่ว คำถามลึกซึ้งเช่นนี้ เจ้าควรถามข้าถึงจะถูก”

มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากถอนหายใจ “เอาเถอะ สหายหลัว คำตอบของเจ้าคือ…”

ใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงยังคงเย้ยหยันตอบว่า “ข้าหาใช่สตรี ไหนเลยจะรู้ความคิดของสตรี แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ว่าคำถามครั้งนี้คือบททดสอบที่แท้จริง”

“อย่างไรเล่า” แม้มั่วชิงเฉินคาดเดาไว้อยู่บ้าง แต่ยังรอฟังคำอธิบายของหลัวอวี้เฉิง

หลัวอวี้เฉิงลูบคาง ก่อนตอบว่า “เจตจำนงสวรรค์ยากแท้หยั่งถึง แม้เวินหนิงมุ่งหวังไว้ว่าผู้ที่มาคือฝูเฟิงเจินจวิน ก็น่าจะคิดถึงเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่า นางยังคงมีความลังเลอยู่ข้อหนึ่ง สันนิฐานว่าจะให้โอกาสแก่ผู้มาเยือน หากผู้ที่มานั้นสามารถเดาความคิดของนางได้ ก็นับว่าเป็นทวยเทพแล้วกระมัง มีสหายจากแดนไกลเดินทางมา จะไม่ให้ปลื้มปีติได้อย่างไร”

มั่วหรานอีได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก บ่นพึมพำว่า “หากเลือกผิดเล่า”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มตอบ “แน่นอนว่า…ถึงแก่ความตาย”

ไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่!

มั่วชิงเฉินกระซิบในใจ ก่อนมองทั้งสามคน “สองหัวดีกว่าหัวเดียว มิสู้พวกเราลองทายดูเถอะ”

“หากให้เดาละก็ ข้าจะเลือกสีแดง” มั่วหรานอีตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เพราะเหตุใด”

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังร่างของเวินหนิง “เสื้อผ้าของนางเป็นสีดำขอบแดง ดอกม่านถัวหลัวสีแดงเหมาะสมที่สุดแล้ว”

มั่วชิงเฉินหันหัวกลับเงียบๆ มองมั่วเฟยเยียน

หน้าของมั่วเฟยเยียนไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาตอบว่า “สีขาว”

ไม่รอให้ผู้อื่นถาม ก็อธิบายทันที “ข้ารู้สึกว่ามันน่ามองที่สุด”

มั่วชิงเฉินพูดไม่ออก…

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเสียงต่ำ “อย่ามองข้า สหายมั่ว อวี้เฉิงขอเตือนอีกประโยค หาใช่เพราะข้าสวมชุดสตรีของเจ้า จะทำให้ข้ากลายเป็นผู้หญิง…”

มั่วชิงเฉินเริ่มมีโทสะแล้ว คนพวกนี้ล้วนเป็นคนประเภทไหนกัน!

หลัวอวี้เฉิงตอบอย่างใจเย็น “บนประตูมีดอกม่านถัวหลัวอยู่สิบกว่าสี สหายมั่ว เกรงว่าครั้งนี้ต้องพึ่งโชคจริงๆ แล้ว”

มั่วชิงเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด อีกาไฟที่อยู่ในกระเป๋าอสูรวิญญาณร้องขึ้น “ข้ารู้ ข้ารู้ ต้องเป็นสีดำแน่นอน!”

ในใจของมั่วชิงเฉินมีหวัง “เพราะเหตุใด”

อีกาไฟกระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องมันชัดขนาดนี้ยังมองไม่ออกอีกรึ ท่านไม่รู้สึกว่า สีดำคือสีที่น่าลึกลับมากที่สุดในโลกหรือ”

“หุบปาก!”

ในที่สุดมั่วชิงเฉิงทนไม่ไหว จ้องมองร่างของเวินหนิงอย่างใคร่ครวญ

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จึงยื่นมือออกไปเด็ดดอกม่านถัวหลัวสีเขียวตูม ก่อนเสียบทัดหูเวินหนิง

เมื่อได้ยินเสียงร้องดังขึ้น ประตูใหญ่สีดำค่อยๆ เปิดออก

เดินเข้าไปพักหนึ่ง หลัวอวี้เฉิงถามขึ้นเสียงเบาว่า “เหตุใดเจ้าถึงเดาถูก”

มั่วชิงเฉินเว้นระยะก่อนตอบกลับไป “ม่านฉาหลัว[4]มรกต หมายถึงความหวังอันเป็นนิรันดร์…”

[1] ดอกลำโพง หรือดอกมันดาหลา พืชล้มลุกชนิดหนึ่งสูงประมาณ2เมตร ลำต้นตรงตั้งกลม แตกกิ่งก้านไปรอบๆ ออกดอกเดี่ยวลักษณะเป็นรูปแตรขนาดใหญ่หรือลำโพงความยาว 3.5-3.5นิ้ว เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอกยาวครึ่งหนึ่งของก้านหลอด แตกออกเป็น5แฉก มีหลายหลายสี ทั้งมีสรรพคุณด้านการรักษาและทำพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

[2] จวนห่านรำลึก มาจากบทความที่ว่า 大雁春天北飞, 秋天南飞, 候时去来。แปลว่า ห่านป่าจะบินขึ้นเหนือในฤดูใบไม้ผลิ และบินลงใต้ในฤดูใบไม้ร่วง

[3] 归心似箭เป็นสำนวน แปลว่า คิดถึงบ้านมาก อยากกลับบ้านมาก

[4] 曼茶罗 อีกชื่อหนึ่งของดอกม่านถัวหลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 610 มวลผกาเบ่งบาน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 610 มวลผกาเบ่งบาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลัวอวี้เฉิงสามารถใช้ปราณวิญญาณจำลองค่ายกลหวนกลับบริเวณทางเข้าจวนถ้ำเวินหนิงได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่ารู้วิธีการเข้าไปได้เป็นอย่างดี ตามคำชี้แนะของเขา ทำให้ทั้งสี่คนเดินผ่านค่ายกลภาพลวงตามาได้จนถึงประตูจวนถ้ำอย่างแท้จริง

การตกแต่งแตกต่างจากภายนอกที่หรูหราและงดงาม ประตูมีสีหมึกดำ แสดงถึงความโบราณและเรียบง่าย บริเวณขอบประตูด้านบนแกะสลักลายดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ มีทั้งดอกที่กำลังตูม ดอกที่เบ่งบาน และดอกที่สั่นไหวร่วงโรย

ดอกไม้ชนิดนี้คือดอกม่านถัวหลัว[1] แต่กลับไร้สีสันใดๆ

แผ่นป้ายกลางประตูขนาดใหญ่ ล้วนเป็นสีดำเช่นเดียวกัน ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นทำให้บรรยากาศดีขึ้นและผ่อนคลายลงโดยปริยาย “จวนกุยเยี่ยน[2]”

“จวนกุยเยี่ยนหรือ” หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ หันกลับไปมองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าจะเป็นพวกลูกธนูพุ่งกลับบ้าน[3]สินะ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ในคราแรกไยต้อง…”

มั่วชิงเฉินค้อนขวัก คนวาจาเช่นนี้ แม้แต่คนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนล้วนอยากเข้าไปชกปากเขา

“สหายหลัวพูดเช่นนี้ ข้ากลับไม่เห็นด้วย บนโลกใบนี้ มีสิ่งใดบ้างที่เรารู้ก่อนนานแล้ว หาใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสคาดเดาสิ่งต่างๆ ได้อย่างสหายหลัว”

ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงไม่ได้รู้สึกเสียหน้าแม้แต่น้อย กลับยิ้มอย่างเจียมตัวตอบว่า “อวี้เฉิงก็ไม่อาจคาดการณ์เรื่องราวได้ทั้งหมด”

ในปีนั้น เวินหนิงได้ใช้ภาพมายาให้ฝูเฟิงเจินจวินหยั่งเชิงตน หากเขาให้คำตอบผิด เช่นนั้นก่อนหน้านั้นที่เจอกัน ด้วยระยะเวลานานเช่นนี้ ผลลัพธ์คงออกมาเป็นอีกแบบใช่หรือไม่

ความรู้สึกที่หลบซ่อนและขื่นข่มปรากฏออกมาเพียงชั่วครู่ เมื่อทั้งกายและใจได้สติกลับมาเช่นเดิมก็ยกมือไขว้หลังพิจารณาประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินยังคงยืนดูอยู่ ใช้จิตสัมผัสสำรวจเข้าไปอย่างละเอียด

ชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งสองร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ห่วงเคาะประตู!”

พูดจบ ทั้งหมดล้วนสะดุ้งตกใจ ก่อนชำเลืองมองกันคราหนึ่ง

“นี่คือห่วงหยั่งรู้ใช่หรือไม่” เห็นหลัวอวี้เฉิงพูดกับตัวเองออกมาเช่นนี้ มั่วชิงเฉินจึงมั่นใจในการคาดเดาของตน

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูง”

ทางด้านของมั่วเฟยเยียนทั้งสองต่างมีสีหน้าสงสัย

หลัวอวี้เฉิงที่ดูไม่ใส่ใจมากนัก ยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ที่จริงแล้วห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของสตรี เจ้าเป็นคนเคาะประตูจะดีกว่า”

มั่วชิงเฉินไม่มีท่าทีปฏิเสธ เดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหน้า ใช้นิ้วมือรวบรวมแสงวิญญาณจับห่วงเคาะประตู

ทันใดนั้นเมื่อสัมผัสกับห่วงเคาะประตู เกิดแสงสว่างวาบหนึ่ง ดอกม่านถัวหลัวบนขอบประตูกลายเป็นดอกไม้ของจริงขึ้นมาทันใด มันคดเคี้ยวคืบคลานประตูทั้งบานอย่างเย้ายวน แม้ไม่มีสีสัน แต่กลับดูมีเสน่ห์มาก

ขณะที่ดอกม่านถัวหลัวกำลังคลุมทับห่วงเคาะประตู มั่วชิงเฉินใช้แสงวิญญาณโจมตีออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อกำจัดก้านดอกไม้ เคลื่อนไหวไปได้ไม่นาน ปราณวิญญาณในร่างกายลดลงถึงครึ่งหนึ่ง

เห็นมั่วชิงเฉินมีสีหน้าอ่อนเพลียอย่างชัดเจน ร่างกายของมั่วเฟยเยียนพลันขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้นเพื่อส่งพลังวิญญาณให้ทางด้านหลังของนาง

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือขวางไว้ “กูอวิ๋นเจินจวินไม่ได้เด็ดขาด”

มั่วเฟยเยียนไม่ถามให้มากความ เพราะครั้งยังเด็กเรื่องผิดศีลธรรมที่ท่านพ่อและอาสะใภ้สิบกระทำ เป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่งของความสัมพันธ์หญิงชาย ทำให้ตนไม่ได้สนใจเรื่องของบุรุษมากนัก ทว่าเพียงไม่กี่ปีมานี้สามารถเข้ากันได้ดีสำหรับหลัวอวี้เฉิงที่ทั้งฉลาดและมองการณ์ไกลจึงเกิดความชื่นชม สีหน้าอ่อนลงถามกลับไป “เพราะเหตุใด”

“ห่วงวงนี้มีนามว่าหยั่งรู้ คือการรับรู้อารมณ์และความต้องการ การใช้ห่วงประตูต้องไม่มีดอกไม้แปลกชนิดใดขวางทาง แต่แท้จริงแล้วคือการหยั่งเชิงพละกำลังของผู้เคาะประตู หากระหว่างนั้นมีการช่วยเหลือเกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นห่วงแห่งความตาย ไม่ว่าเทพเซียนองค์ใดมาอยู่ตรงนี้ ก็มิอาจเปิดประตูใหญ่นี้ได้” หลัวอวี้เฉิงอธิบาย

มั่วเฟยเยียนแปลกใจเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าสหายหลัวถึงให้น้องสิบหกลงมือ”

ระหว่างสี่คนนี้ มั่วอีหรานอยู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย มั่วเฟยเยียนและหลัวอวี้เฉิงล้วนอยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นต้น มั่วชิงเฉินที่อยู่ระดับก่อกำเนิดขั้นกลางจึงมีระดับบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดแล้ว

มั่วหรานอีอดใจไม่ไหวถามขึ้น “เจ้าทั้งสองคน เหตุใดถึงรู้จักห่วงหยั่งรู้ได้ ทั้งเทียนหยวนและแดนไท่ไป๋ก็ไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน”

หลัวอวี้เฉิงเห็นมั่วชิงเฉินหันหน้ามองมาคราหนึ่ง ก่อนตอบช้าๆ ว่า “หลายปีก่อนพวกข้าทั้งสองหลงเข้าไปในแดนลึกลับ พบกับฝูเฟิงเจินจวินเข้า ได้ยินเขากล่าวถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในจงหลาง”

ก่อนหน้านี้เป็นค่ายกลหวนกลับ หลังจากนั้นเป็นห่วงหยั่งรู้ เกรงว่าเวินหนิงคงตั้งหน้าตั้งตารอการมาเยือนของฝูเฟิงเจินจวินเท่านั้นกระมัง

ครั้นบังเอิญเจอฝูเฟิงเจินจวินที่หุบเขาไร้วิญญาณ แม้เป็นเพียงแค่จิตสัมผัสเสี่ยวหนึ่ง แต่ระดับบำเพ็ญเพียรกลับสูงกว่าระดับก่อกำเนิดขั้นต้น ห่วงหยั่งรู้ที่ถูกสร้างขึ้นต้องใช้พลังอันแข็งแกร่งระดับก่อกำเนิดขั้นกลางเปิดออก ระหว่างสี่คนนี้มีเพียงมั่วชิงเฉิงลงมือเท่านั้นจึงเหมาะสมที่สุด

พวกนางทั้งสองเพิ่งเข้าใจ เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับจงหลางมากนัก ทั้งไม่รู้ว่าโลกผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนั้นมีอะไรดี

มั่วชิงเฉินที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้พละกำลังทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดดอกม่านถัวหลัวก็ล่าถอยออกไปจนไม่อาจพบได้อีกในตอนนี้ เมื่อได้เห็นห่วงสีน้ำตาลแก่ ทันใดนั้นก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน

เสียงเคาะประตูก้องกังวาลเพียงชั่วครู่ ราวกับเคาะอยู่ในส่วนลึกของหัวใจผู้คน

เสียงเคาะประตูครบสิบทีก่อนหยุดลง

บรรยากาศเงียบสงบสักพัก ทันใดนั้นประตูสีดำทมิฬก็สั่นไหวราวกับระลอกคลื่น ก่อนมีประโยคคำถามแถวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘ผู้มาเยือนคือใคร’

มั่วชิงเฉินคิดแล้วคิดอีก ยื่นมือขึ้นเมื่อจะเขียนคำตอบลงไปก็ถูกหลัวอวี้เฉิงห้ามไว้ “รอก่อน”

มั่วชิงเฉินเหลือบตามองเขา

หลัวอวี้เฉิงชี้ไปยังประตูใหญ่ “น่าจะมีตัวอักษรปรากฏออกมา”

เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นหลายสิบลมหายใจ ประตูใหญ่สั่นกระเพื่อมอยู่พักหนึ่ง ก่อนมีตัวเลือกปรากฏออกมา

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง ฝูเฟิงเจินจวิน’

‘ตัวเลือกที่สอง หลิวเฉิงเฟิง’

‘ตัวเลือกที่สาม ไอ้คนสารเลว!’

หลังจากนั้นมีตัวอักษรเล็กๆ อีกแถวหนึ่งโผล่ขึ้น ‘โปรดเลือกด้วยความระมัดระวัง หากเลือกผิด ผลลัพธ์ร้ายแรงยิ่งนัก…โปรดเชื่อใจว่าข้าหาได้ขู่ท่านแต่อย่างใด…’

มั่วชิงเฉิงถึงกับพูดไม่ออก

มั่วหรานอีถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่คือบรรพชนของเจ้าหรือ”

มั่วชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม

หลัวอวี้เฉิงกลับยิ้มตอบว่า “สหายมั่ว ดูท่าผู้อาวุโสของเจ้าผู้นี้ทำให้ต้องคิดหนักเสียแล้ว”

มั่วชิงเฉินถลึงตาจ้องเขาคราหนึ่ง ฝ่ามือปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณพุ่งไปยังตัวเลือกที่สาม “ยังต้องคิดอีกรึ แน่นอว่าต้องเป็นไอ้คนสารเลว!”

หลังจากนั้น ระหว่างที่ริมฝีปากแต่ละคนโค้งลง ตัวอักษรบนประตูได้เลือนหายไป ก่อนมีอีกประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ‘มีธุระอันใด’

ทั้งสี่คนที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างยืนอย่างเงียบๆ มีตัวเลือกปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว

‘ตัวเลือกที่หนึ่ง รับลูกสะใภ้กลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สอง มารับเด็กนรกกลับบ้าน’

‘ตัวเลือกที่สาม หาที่พัก’

จากนั้นก็มีตัวอักษรเล็กๆ โผล่ขึ้นมาอีก ‘คำเตือนเหมือนด้านบน ขอบอกใบ้ด้วยไมตรีจิต หากเลือกคำตอบที่สามไม่ตายดีแน่นอน’

คำตอบที่ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

สตรีที่งดงามหาผู้ใดเปรียบนางนั้น เพราะนิสัยที่ไร้เดียงสาเอาแต่ใจถูกบ่มเพาะเป็นเวลานานเกินไป หล่อหลอมจนเกิดความคิดคำเขียนตัวเลือกแต่ละคำเหล่านี้ออกมาได้

บรรพบุรุษทางฝั่งท่านพ่อและนางเป็นเช่นนี้ ช่างแตกต่างจากสตรีนางอื่นอย่างสิ้นเชิง

ด้านหนึ่ง มั่วเฟยเยียนที่มองดูอย่างเงียบๆ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ เรื่องพวกนี้ดูเหมือนยากเกินจะสะกิดต่อมความรู้สึกอันลึกซึ้งของนาง

มั่วอีหรานกลับลงมาเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด เพียงจ้องมองประตูบานใหญ่

มั่วชิงเฉินค่อยๆ ยกมือกดลงบนตัวเลือกที่สอง

ตัวอักษรจางลง ก่อนมีประโยคใหม่ปรากฏ ‘คำตอบอันลึกซึ้งเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าล้วนทายถูก…เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด’

เมื่อตัวอักษรเลือนหายไป ครั้งนี้มีร่างของสตรีนางหนึ่งสวมชุดคลุมยาว ตั้งตระหง่านยืนรับลม

ทันใดนั้นพบว่าดอกม่านถัวหลัวช่อใหญ่ปรากฏสีสันออกมา ทั้งม่วงทั้งแดงตระการตา บ้างเขียวบ้างน้ำเงิน แต่ละดอกสั่นระริกด้วยความเขินอาย ทั้งด้านบนดอกไม้มีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่ ก่อนกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ดึงดูดผู้คนให้เด็ดดม

มั่วชิงเฉินยืนอยู่ด้านหน้าไม่ขยับ เสียงวิญญาณอันเบาบางและอ่อนหวานของเวินหนิงราวกับพูดอยู่ในหูว่า “เมื่อมวลผกาเบ่งบาน ท่านทัดดอกไม้แทนข้า จากนั้นกลับบ้านของพวกเราเถิด”

มองดูดอกม่านถัวหลัวที่มีสีสันสวยงามไม่อาจละสายตาได้ ก่อนมั่วชิงเฉินหันหลังกลับมองทั้งสามคน “พวกท่านรู้สึกว่า เวินหนิงชอบดอกไม้สีไหน”

มั่วหรานอีเบ้ปาก “เรื่องนี้ใครจะรู้ ผู้อาวุโสของเจ้าช่างแปลกประหลาดเสียจริง”

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่แววตาที่มีแววประกายเจือจางทำให้มั่วชิงเฉินเผยรอยยิ้มออกมา

นิสัยที่น่าอัดอัดใจของพี่สิบจะเปลี่ยนไปเมื่อใดกัน

เมื่อมองมั่วเฟยเยียน มั่วเฟยเยียนตอบเบาๆ ว่า “ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกดูไม่มีอะไรเลย สีของดอกพวกนี้ก็เหมือนๆ กันหมด สุ่มเลือกสักดอกก็เป็นดอกไม้เหมือนกัน”

มุมปากมั่วชิงเฉินโค้งลง

พี่สิบ ท่านไม่ต้องเปลี่ยนอะไรแล้ว หากนิสัยกลายเป็นอย่างพี่เก้าเช่นนี้…

หู่โถ่ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่เก้านอกจากฝึกบำเพ็ญเพียร ก็ใช้ความพยายามอย่างมากเรื่องให้เจ้าลาสิกขา ทั้งสร้างปัญหาให้เจ้าค่อนวันตามขีดจำกัดของนาง

เห็นมั่วชิงเฉินถูกพี่น้องตัวเองพูดจาเสียหายจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ หลัวอวี้เฉิงก็หัวเราะพูดว่า “สหายมั่ว คำถามลึกซึ้งเช่นนี้ เจ้าควรถามข้าถึงจะถูก”

มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากถอนหายใจ “เอาเถอะ สหายหลัว คำตอบของเจ้าคือ…”

ใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงยังคงเย้ยหยันตอบว่า “ข้าหาใช่สตรี ไหนเลยจะรู้ความคิดของสตรี แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ว่าคำถามครั้งนี้คือบททดสอบที่แท้จริง”

“อย่างไรเล่า” แม้มั่วชิงเฉินคาดเดาไว้อยู่บ้าง แต่ยังรอฟังคำอธิบายของหลัวอวี้เฉิง

หลัวอวี้เฉิงลูบคาง ก่อนตอบว่า “เจตจำนงสวรรค์ยากแท้หยั่งถึง แม้เวินหนิงมุ่งหวังไว้ว่าผู้ที่มาคือฝูเฟิงเจินจวิน ก็น่าจะคิดถึงเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่า นางยังคงมีความลังเลอยู่ข้อหนึ่ง สันนิฐานว่าจะให้โอกาสแก่ผู้มาเยือน หากผู้ที่มานั้นสามารถเดาความคิดของนางได้ ก็นับว่าเป็นทวยเทพแล้วกระมัง มีสหายจากแดนไกลเดินทางมา จะไม่ให้ปลื้มปีติได้อย่างไร”

มั่วหรานอีได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก บ่นพึมพำว่า “หากเลือกผิดเล่า”

หลัวอวี้เฉิงยิ้มตอบ “แน่นอนว่า…ถึงแก่ความตาย”

ไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่!

มั่วชิงเฉินกระซิบในใจ ก่อนมองทั้งสามคน “สองหัวดีกว่าหัวเดียว มิสู้พวกเราลองทายดูเถอะ”

“หากให้เดาละก็ ข้าจะเลือกสีแดง” มั่วหรานอีตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เพราะเหตุใด”

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังร่างของเวินหนิง “เสื้อผ้าของนางเป็นสีดำขอบแดง ดอกม่านถัวหลัวสีแดงเหมาะสมที่สุดแล้ว”

มั่วชิงเฉินหันหัวกลับเงียบๆ มองมั่วเฟยเยียน

หน้าของมั่วเฟยเยียนไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาตอบว่า “สีขาว”

ไม่รอให้ผู้อื่นถาม ก็อธิบายทันที “ข้ารู้สึกว่ามันน่ามองที่สุด”

มั่วชิงเฉินพูดไม่ออก…

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเสียงต่ำ “อย่ามองข้า สหายมั่ว อวี้เฉิงขอเตือนอีกประโยค หาใช่เพราะข้าสวมชุดสตรีของเจ้า จะทำให้ข้ากลายเป็นผู้หญิง…”

มั่วชิงเฉินเริ่มมีโทสะแล้ว คนพวกนี้ล้วนเป็นคนประเภทไหนกัน!

หลัวอวี้เฉิงตอบอย่างใจเย็น “บนประตูมีดอกม่านถัวหลัวอยู่สิบกว่าสี สหายมั่ว เกรงว่าครั้งนี้ต้องพึ่งโชคจริงๆ แล้ว”

มั่วชิงเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด อีกาไฟที่อยู่ในกระเป๋าอสูรวิญญาณร้องขึ้น “ข้ารู้ ข้ารู้ ต้องเป็นสีดำแน่นอน!”

ในใจของมั่วชิงเฉินมีหวัง “เพราะเหตุใด”

อีกาไฟกระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องมันชัดขนาดนี้ยังมองไม่ออกอีกรึ ท่านไม่รู้สึกว่า สีดำคือสีที่น่าลึกลับมากที่สุดในโลกหรือ”

“หุบปาก!”

ในที่สุดมั่วชิงเฉิงทนไม่ไหว จ้องมองร่างของเวินหนิงอย่างใคร่ครวญ

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จึงยื่นมือออกไปเด็ดดอกม่านถัวหลัวสีเขียวตูม ก่อนเสียบทัดหูเวินหนิง

เมื่อได้ยินเสียงร้องดังขึ้น ประตูใหญ่สีดำค่อยๆ เปิดออก

เดินเข้าไปพักหนึ่ง หลัวอวี้เฉิงถามขึ้นเสียงเบาว่า “เหตุใดเจ้าถึงเดาถูก”

มั่วชิงเฉินเว้นระยะก่อนตอบกลับไป “ม่านฉาหลัว[4]มรกต หมายถึงความหวังอันเป็นนิรันดร์…”

[1] ดอกลำโพง หรือดอกมันดาหลา พืชล้มลุกชนิดหนึ่งสูงประมาณ2เมตร ลำต้นตรงตั้งกลม แตกกิ่งก้านไปรอบๆ ออกดอกเดี่ยวลักษณะเป็นรูปแตรขนาดใหญ่หรือลำโพงความยาว 3.5-3.5นิ้ว เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอกยาวครึ่งหนึ่งของก้านหลอด แตกออกเป็น5แฉก มีหลายหลายสี ทั้งมีสรรพคุณด้านการรักษาและทำพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

[2] จวนห่านรำลึก มาจากบทความที่ว่า 大雁春天北飞, 秋天南飞, 候时去来。แปลว่า ห่านป่าจะบินขึ้นเหนือในฤดูใบไม้ผลิ และบินลงใต้ในฤดูใบไม้ร่วง

[3] 归心似箭เป็นสำนวน แปลว่า คิดถึงบ้านมาก อยากกลับบ้านมาก

[4] 曼茶罗 อีกชื่อหนึ่งของดอกม่านถัวหลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+