พันธกานต์ปราณอัคคี 565 วิญญาณกลางค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 565 วิญญาณกลางค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นักพรตจื่อซีในที่สุดก็ไม่ได้บรรลุระดับกำเนิด แต่กลับให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดคู่หนึ่งออกมา

มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าจะยินดีหรือว่าเสียใจกับนางดี

เห็นสีหน้าคิดไม่ตกของมั่วชิงเฉิน ตรงข้ามนักพรตจื่อซีกลับหัวเราะออกมาอย่างสง่าผ่าเผย มือแต่ละข้างอุ้มลูกสาวไว้ข้างละคน “ให้กำเนิดหนูน้อยรากวิญญาณสวรรค์สองคน นับว่าข้าได้กำไรยิ่งนัก ฮ่าๆ ครั้งนี้ทะลวงระดับกำเนิดไม่สำเร็จไว้รอข้าพักฟื้นดีแล้วค่อยมาใหม่ ข้ายังไม่เชื่อหรอกว่า ด้วยความสามารถของข้าจะล้มเหลวติดกันได้ถึงสี่ครั้ง ครั้งนี้ก่อนบรรลุระดับกำเนิด ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าบื้อหมิงจ้าวเข้าห้องข้าอย่างเด็ดขาด”

ด้วยท่าทีมองโลกในแง่ดีของนักพรตจื่อซี มั่วชิงเฉินเองก็หัวเราะขึ้นมา แล้วมองไปยังเด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนกันทั้งสองคนด้วยความเอ็นดู พลันพูดขึ้นด้วยความอิจฉา “จื่อซี พูดแล้วทั้งโลกบำเพ็ญเพียร ผู้บําเพ็ญเพียรหญิงบรรลุระดับกำเนิดใช่ว่าจะหายาก แต่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีบุตรสาวเป็นรากวิญญาณสวรรค์ถึงสองคน ก็มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นไม่มีใครใดอีก”

นักพรตจื่อซีหรี่ตามองนางปราดหนึ่ง “อะไรกัน อิจฉาหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนยังไม่รีบพยายามอีก อย่างไรเสียพวกเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ต้องไม่ผิดพลาดเช่นข้าแน่นอน”

มั่วชิงเฉินหน้าเห่อร้อน เหลียวมองไปเห็นเยี่ยเทียนหยวนที่กำลังบังคับสมบัติวิเศษเหินหาวอย่างตั้งใจเข้าพอดี ก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องเหล่านั้น ไว้กลับถึงพรรคข้าก็จะกักตัวฝึกบําเพ็ญให้เข้าที่ก่อน หลังจากนั้นยังมีธุระส่วนตัวที่ต้องสะสาง”

นักพรตจื่อซีถอนหายใจยาวหนึ่งที “เจ้านี่นะ อย่ารังแกคนซื่อสัตย์สิ” พูดจบก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก จากนั้นก็ก้มหน้ากล่อมเด็กทารกทั้งสอง

สมบัติวิเศษเหินหาวรูปใบไม้ของเยี่ยเทียนหยวนราบเรียบและคงที่ ทั้งยังมีพลังวิญญาณโอบล้อมปกป้อง เมื่อนั่งอยู่บนนั้นจะรู้สึกสบายอย่างที่สุด

นักพรตจื่อซีถึงแม้จะเพิ่งคลอด เพราะว่านั่งบนสมบัติวิเศษเหินหาวของเขาร่างกายจึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือน

ทั้งหมดเดินทางกลับสู่เหยากวงโดยไม่ล่าช้า

หลิวซางเจินจวินเบียดผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่รออยู่หน้าประตูจนล้ม เมื่อได้เห็นนักพรตจื่อซีด้วยตาตนเองว่าปลอดภัยก็รู้สึกโล่งอก

นักพรตหมิงจ้าวที่รออยู่หน้าประตูวิ่งออกไป เมื่อได้รู้ว่าตนมีลูกสาวฝาแฝดคู่หนึ่งก็ยิ้มจนปากไม่หุบ ไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นครรภ์เร้นหรือไม่ทั้งนั้น

หลิวซางเจินจวินเมื่อรู้ว่าทารกทั้งสองมีรากวิญญาณสวรรค์ ก็อึ้งไปชั่วครู่จากนั้นก็อุทานออกมาว่า “ลิขิตสวรรค์ ลิขิตสวรรค์”

รากวิญญาณสวรรค์ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเวลานี้คือคุณลักษณะที่เป็นพรสวรรค์โดดเด่น แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากสวรรค์นั้นกลับหาได้ยากมาก

คุณสมบัติของนักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าวก็ไม่ได้นับว่าชั้นยอด สามารถให้กำเนิดบุตรสาวที่มีรากสวรรค์คู่นี้ได้ เหตุที่เป็นไปได้น่าจะเป็นเพราะนักพรตจื่อซีตั้งครรภ์เร้นแล้วได้ทะลวงระดับก่อกำเนิด

พวกนางไม่สูญเสียปราณแท้ก่อนกำเนิดระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา หนำซ้ำยังได้ดูดซับพลังวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม กลายเป็นครรภ์พรสวรรค์ก่อนกำเนิด จึงได้มีรากวิญญาณสวรรค์ดังนี้

ทั้งหมดนี้คือความบังเอิญ และเป็นเหตุเป็นผลอย่างแน่นอน ต้องแลกกับการที่นักพรตจื่อซีไม่สามารถบรรลุระดับก่อกำเนิดได้ จะว่าไปแล้ว ฟ้าดินยังคงยุติธรรม ลิขิตสวรรค์กำหนดมาไว้เช่นนี้แล้ว

พิธีบรรลุระดับก่อกำเนิดของมั่วชิงเฉิน ถูกจัดขึ้นอย่างครึกครื้น ผู้บำเพ็ญเพียรจากทุกสารทิศต่างๆ แห่กันมาร่วมยินดี

กู้หลี เยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉิน อาจจะนับได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่อายุน้อยที่สุดในโลกของการบำเพ็ญเพียรปัจจุบันนี้ หากไม่ผิดตามชาติ พวกเขาอย่างน้อยก็สามารถค้ำชูเกียรติยศของเหยากวงได้นับพันปี

บวกด้วยต้วนชิงเกอผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่นับวันชื่อเสียงเรียงนามยิ่งฉายแสงมากขึ้น รวมถึงมั่วหลีลั่วปรมาจารย์ค่ายกลผู้ซึ่งได้ม้วนคัมภีร์หยกจากบรรพบุรุษทำให้ทักษะด้านค่ายกลเวทย์มีพัฒนาการอย่างมาก คำเล่าลือถึงความเกรงใจของพรรคเหยากวงค่อยๆ แพร่ไป ตั้งสถานะได้ขึ้นเหนือกว่าผู้นำสี่พรรคแปดนิกายอย่างสำนักไท่ซวีไปแล้ว

เมื่อเปิดประตูรับศิษย์ ผู้คนที่หมายจะขอเข้าสู่สำนักต่างแห่แหนเข้ามา ต้องทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่ประจำหน้าที่คอยดูแลเรื่องการรับเหล่านั้นได้กลัดกลุ้ม

สำนักพรรคต่างๆ เห็นตัวเองนับวันจะซบเซาลง ก็อดไม่ได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตัดสินใจอย่างเจ็บปวดเปลี่ยนวันรับศิษย์ ไม่ให้ชนกับพรรคเหยากวงเด็ดขาด

หลิวซางเจินจวินกลับเข้าใจแจ่มแจ้งว่า เมื่อพระจันทร์เต็มดวงเต็มที่แล้วก็จะเริ่มเว้าแหว่ง น้ำเมื่อเต็มแล้วก็จะล้นออกมา จึงกำชับลูกศิษย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่และสั่งให้หัวหน้าโถงกวดขันลูกศิษย์ในสำนัก ไม่ให้ทำตัวผยองยโส

ชั่วเวลาหนึ่ง ลูกศิษย์เหยากวงที่พนันขันต่อและจับกลุ่มนินทาก็น้อยลง ถูกผู้บังคับบัญชาผู้ปฏิบัติหน้าที่ลากตัวไปฝึกซ้อมที่โถงฝึกประลอง เสียงโอดครวญระงมไปทั่ว

หลังพิธีบรรลุระดับก่อกำเนิด มั่วชิงเฉินก็ได้เป็นชิงเฉิงเจินจวินอย่างเป็นทางการ ได้บุกเบิกยอดเขาแห่งใหม่ขึ้นมาด้วยกันกับเยี่ยเทียนหยวน อยู่ตรงข้ามกับยอดเขาชิงมู่ ให้ชื่อว่าลั่วเฉิน

มอบเรื่องการย้ายที่อยู่ให้เหลียงเฉินเหมยจิ่งเป็นธุระจัดการ มั่วชิงเฉินในที่สุดก็หมดภาระ แนะนำตู้รั่วเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ไล่ลูกศิษย์ลงเขาออกไปเดินทางพเนจร

เยี่ยเทียนหยวนกักตัวอยู่หลายปี รากฐานจึงได้มั่นคงในที่สุด และก็ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางพเนจรไกลแล้ว

เมื่อพวกเขามาถึงระดับนี้ การออกพเนจรหาประสบการณ์แล้วกลับมาก็ไม่ใช่เพียงเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว เยี่ยเทียนหยวนย่อมอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากลาภรรยาที่รัก ทั้งสองคนเข้าคู่บำเพ็ญร่วมกัน กอดกระหวัดรัดเกี่ยวกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

มั่วชิงเฉินค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่า เมื่อระดับของทั้งสองเท่าเทียมกันแล้ว ผลลัพธ์ของการเข้าคู่บำเพ็ญนั้นช่างน่าตกใจ ระดับการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นเร็วเสียยิ่งกว่ากินโอสถ น่าเสียดายก็เพียงแต่การเพิ่มระดับการบำเพ็ญไม่ได้สามารถแทนที่การทำให้รากฐานมั่นคงได้ หลังจากกอดกระหวัดรัดเกี่ยวกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง นางก็ตัดใจไล่เยี่ยเทียนหยวนออกห้องไป แล้วจึงเริ่มกักตัว

การกักตัวครั้งนี้ ผ่านไปสิบปี

ในวันหนึ่ง แสงวิญญาณในห้องส่องประกายฟุ้งไปทั่ว ดูราวกับปราณมงคลเจ็ดสี มั่วชิงเฉินค่อยๆ พ่นปราณขุ่นมัวออกมา ลืมตาขึ้น แล้วพูดอู้อี้ว่า “เวลาสิบปี ในที่สุดรากฐานก็มั่นคง หรือว่านี่จะเป็นผลของรากวิญญาณเจ็ดสี”

นางลุกขึ้นขยับเนื้อขยับตัวเพียงชั่วครู่ ไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่กลับจดจ่ออยู่กับการศึกษารากวิญญาณที่ชนิดใหม่ของตน

สำหรับรากวิญญาณเจ็ดสีที่เกิดขึ้นใหม่นี้ เดิมทีนางคิดว่าไม่ได้ต่างจากรากวิญญาณสวรรค์ แต่ความจริงแล้วกลับต่างกันอย่างมาก

ในฐานะสะพานเชื่อมตันเถียนและฟ้าดิน ความเร็วในการดูดซึมพลังวิญญาณของรากวิญญาณเจ็ดสีภายนอกนับว่ายอดเยี่ยมเท่าเทียมกับรากวิญญาณสวรรค์ แต่ความเร็วในการแปรสภาพนั้นกลับเทียบไม่ติด แม้กระทั่งนางเมื่อก่อนเป็นเพราะฤทธิ์ของไฟหน่อไม้หิน ความเร็วของสามรากวิญญาณจึงเทียบไม่ติด แต่ต่างกับสี่รากวิญญาณที่แท้จริงไม่มาก

มั่วชิงเฉินซึ่งสภาพจิตใจสงบนิ่งแล้วก็ไม่ได้รู้สึกหดหู่แต่อย่างใด เมื่อมาถึงระดับของนางในตอนนี้ ระดับการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นช้าหรือเร็วย่อมกลายเป็นเรื่องรอง

มิหนำซ้ำหากการบำเพ็ญเพียรของนางเร็วขึ้น การเข้าคู่บำเพ็ญกับเยี่ยเทียนหยวนก็จะสบายขึ้นบ้าง

สิ่งที่ทำให้นางยินดีก็คือ หลังจากตันเถียนแปรพลังวิญญาณฟ้าดินที่รากวิญญาณเจ็ดสีถ่ายทอดออกมาแล้ว กลับไม่ได้กลายเป็นพลังวิญญาณธรรมดา แต่เป็นพลังที่ใกล้เคียงกับต้นกำเนิดฟ้าดิน

เมื่อค้นพบเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ดึงเอากระสวยคืนปราณดั้งเดิมที่ใช้แถบไหมพันไว้อยู่บนเอวออกมา คลึงเล่นอยู่ในมือครู่หนึ่ง พลังต้นกำเนิดอันบริสุทธิ์ก็ค่อยๆ ซึมแทรก จนกระสวยคืนปราณดั้งเดิมสว่างวาบ แล้วสั่นคลอนขึ้นมา

มั่วชิงเฉินสีหน้ายินดี

ตอนแรกที่กระสวยคืนปราณดั้งเดิมมีปฏิกิริยาต่อนาง ก็เป็นเพียงปฏิกิริยาที่อ่อนเบาอยากมาก แต่สภาพในตอนนี้ กลับเป็นการถูกกระตุ้นอย่างแท้จริง

ใช้เวลาอีกสามปีเต็มๆ ในที่สุดก็ฝึกฝนกระสวยคืนปราณดั้งเดิมได้อย่างแท้จริง เพียงแค่ขยับความคิดก็สามารถเก็บเข้าสู่ในกายได้

มั่วชิงเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก

ในที่สุดก็ได้มาแล้ว กระสวยคืนปราณดั้งเดิมเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถมุดดินได้

ต้องรู้ว่าในโลกของการบำเพ็ญ สมบัติวิเศษสำหรับหลีกหนีนั้นมีน้อยมาก และในประดาเคล็ดวิชาหลีกหนีห้าธาตุนั้น วิชาดำดินนั้นถือเป็นขั้นสูง

สมบัติวิเศษมุดดินหนีไม่พ้นสื่อกลางธาตุที่เหมือนกัน ในธาตุทั้งห้า สมบัติวิเศษมุดดินถูกใช้อย่างแพร่หลายที่สุด และมีความเร็วมากที่สุด

เอาสมบัติวิเศษโบราณเก็บไว้ มั่วชิงเฉินก็เริ่มจัดระเบียบกำไลเก็บวัตถุ

กริชฟันปลา ร่มไผ่เหมันต์ ต่างหูปะการังแดงที่ใช้เมื่อก่อนไม่เหมาะสมจะใช้แล้ว เอาของเหล่านี้เก็บกวาดใส่ในถุงใบหนึ่ง ไว้ในวันหลังค่อยมอบให้กับผู้ที่เหมาะสม

ก้อนอิฐแหวกฟ้าเป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง ถึงตอนนี้ใช้พลังต้นกำเนิดกระตุ้น สามารถแสดงพลังอานุภาพอันน่าเกรงขาม สามารถใช้เป็นสมบัติวิเศษในการต่อสู้แบบปะทะได้

ไหมเกล็ดน้ำแข็งสมบัติวิเศษธรรมชาติและธนูเขียวซ่อนเร้นสมบัติวิเศษเจ้าชะตา ล้วนแต่เป็นสมบัติวิเศษที่พัฒนาอานุภาพเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มระดับการบำเพ็ญ จะอยู่เคียงข้างกายนางไปตลอด

ที่เหลือนอกจากนี้ สิ่งที่อาจจะใช้ประโยชน์ได้ก็น่าจะมีหุ่นเชิดห้าธาตุที่หลัวอวี้เฉิงให้ หุ่นเชิดที่มีความสามารถระดับก่อแก่นปราณห้าตัวในเวลาจวนตัวคงใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อย

ระเบิดแหวกมิติที่หลิวซางเจินจวินมอบให้สามารถแยกมิติได้ เป็นของดีสำหรับคุ้มครองชีวิต เสียแต่ก็เพียงเป็นสมบัติวิเศษที่ต้องสูญเสียพลังในการใช้มาก ตอนนี้เก็บใส่กล่องไปก่อน

ไฟสะท้อนหทัยเป็นสมบัติวิเศษที่ช่วยในการสร้างเขตแดน หลังจากระดับบำเพ็ญเพิ่มขึ้นก็ใช้ประโยชน์ได้มาก มั่วชิงเฉินคิดว่า ในอนาคตหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ใช้ปทุมหยกอริยะหอมร่วมกับไฟสะท้อนหทัย ไม่แน่ว่าอาจจะได้อิทธิฤทธิ์อันวิเศษก็ได้

เมื่อจัดการดังนี้แล้ว สายตามั่วชิงเฉินก็หันไปมองที่ค่ายกลกระบี่ชุดหนึ่ง

ค่ายกลกระบี่โบราณชุดนี้ได้มาตอนปลีกวิเวกอยู่ที่ป่าดอกสาลี่ดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออก แต่เพราะว่าไม่สมประกอบ หลายปีมานี้จึงเกือบถูกนางลืม

แต่ในเวลานี้ คำว่า ‘โบราณ’ ดึงดูดความสนใจของนาง

เมื่อก่อน เยี่ยเทียนหยวนเคยช่วยนางซ่อมแซมค่ายกลกระบี่ชุดนี้  เพียงแต่วิธีการหลอมอาวุธในสมัยโบราณกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน วิธีการใช้งานก็ต่างกัน จึงไม่ค่อยมีประโยชน์เมื่ออยู่กับนาง

แล้วถ้าใช้พลังต้นกำเนิดกระตุ้นล่ะ

มั่วชิงเฉินถ่ายพลังต้นกำเนิดกระแสหนึ่งลงไปในกระบี่เล่มเล็ก กระบี่เล่มเล็กนั้นก็ส่องแสงวิญญาณออกมาเล็กน้อย

นางขบฟัน เพิ่มพลังต้นกำเนิดลงไป

กระบี่ส่องสว่างยิ่งขึ้นตามพลังต้นกำเนิดที่ถูกถ่ายทอดลงไป พลังต้นกำเนิดในกายมั่วชิงเฉินหายไปกว่าครึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อนางกำลังจะหยุดถ่ายพลังก็พบว่าไม่สามารถหยุดมันได้เลย

เมื่อเห็นว่าพลังต้นกำเนิดกำลังจะหมดไป มั่วชิงเฉินก็ตัดใจฝืนโคจรพลังสวนทางกับตันเถียน เช่นนี้ถึงแม้จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ก็ดีกว่าถูกดูดพลังไปจนหมดตัว

และในขณะที่นางตัดสินใจสวนทางตันเถียน แสงกระบี่เล็กก็ดูเหมือนจะกลายเป็นพลังของจริง ส่องสว่างเจิดจ้าจนตานางพร่ามัวไปทันที

ภาพฉากเปลี่ยนไป นางปรากฏขึ้นตัวในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

“ที่นี่ที่ไหนกัน”

ไม่รอให้มั่วชิงเฉินเข้าใจ จิตสัมผัสก็ถูกฉากที่เห็นตราตรึงเอาไว้มั่น

ท่ามกลางเมฆหมอกมีกำแพงอยู่แนวหนึ่ง เงาบุรุษร่างหนึ่งสะท้อนอยู่บนกำแพง ในมือถือดาบ ร่ายรำอย่างคล่องแคล่วพลิ้วไหว

มั่วชิงเฉินรู้สึกอื้ออึงไปทั้งศีรษะ สิ่งที่เห็นเต็มตานั้น คือเงาบุรุษที่กำลังรำกระบี่

นางรู้สึกมึนงง บางทีอาจเพียงชั่ววินาที หรือบางทีอาจนานนับหมื่นปี เมื่อได้สติกลับ ก็พบว่าตนยังอยู่ในห้องที่ปิดสนิท

มองไปยังกระบี่เล่มเล็กที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ มั่วชิงเฉินก็เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน ภาพหลอนเมื่อครู่เป็นเพราะจิตสัมผัสนางถูกกระบี่เล่มเล็กดูดเข้าไปในค่ายกลกระบี่ กำแพงเงาและบุรุษที่รำกระบี่กลางค่ายกลกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นภาพมายาที่เหลือทิ้งไว้ก่อนที่วิญญาณกระบี่จะสลายไป

นางพลันครุ่นคิดอย่างอดไมได้ มั่วชิงเฉินหวนนึกถึงท่วงท่ากระบี่เหล่านั้น แต่ก็พบว่าต่อให้อาศัยความสามารถในการหยั่งรู้ของผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดของนาง ก็ยังลืมไปกว่าครึ่ง

ตามปกติแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย

มั่วชิงเฉินนึกได้โดยทันที ภาพมายากลางค่ายกลกระบี่นั้นต้องไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณกระบี่ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทิ้งไว้อย่างแน่นอน นางลองเดาอย่างไม่เกรงกลัว เคล็ดวิชากระบี่เช่นนั้น อย่างน้อยต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่านางสองระดับเป็นผู้ใช้!

มั่วชิงเฉินลองใช้จิตสัมผัสสำรวจเข้าไปในกระบี่เล็กอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีกำแพงเงาและเงาร่างของบุรุษผู้นั้น

นางรู้สึกเสียใจอย่างห้ามมิได้ มั่วชิงเฉินรวบรวมจิตสัมผัสทั้งหมดฝืนหวนจดจำเหตุการณ์ในกระบี่เล็ก

ใคร่ครวญความทรงจำจนลืมตัวตน ในที่สุดเวลาก็ผ่านไปสิบปี ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฝ่าทะลุด่านออกมาได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 565 วิญญาณกลางค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 565 วิญญาณกลางค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นักพรตจื่อซีในที่สุดก็ไม่ได้บรรลุระดับกำเนิด แต่กลับให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดคู่หนึ่งออกมา

มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าจะยินดีหรือว่าเสียใจกับนางดี

เห็นสีหน้าคิดไม่ตกของมั่วชิงเฉิน ตรงข้ามนักพรตจื่อซีกลับหัวเราะออกมาอย่างสง่าผ่าเผย มือแต่ละข้างอุ้มลูกสาวไว้ข้างละคน “ให้กำเนิดหนูน้อยรากวิญญาณสวรรค์สองคน นับว่าข้าได้กำไรยิ่งนัก ฮ่าๆ ครั้งนี้ทะลวงระดับกำเนิดไม่สำเร็จไว้รอข้าพักฟื้นดีแล้วค่อยมาใหม่ ข้ายังไม่เชื่อหรอกว่า ด้วยความสามารถของข้าจะล้มเหลวติดกันได้ถึงสี่ครั้ง ครั้งนี้ก่อนบรรลุระดับกำเนิด ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าบื้อหมิงจ้าวเข้าห้องข้าอย่างเด็ดขาด”

ด้วยท่าทีมองโลกในแง่ดีของนักพรตจื่อซี มั่วชิงเฉินเองก็หัวเราะขึ้นมา แล้วมองไปยังเด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนกันทั้งสองคนด้วยความเอ็นดู พลันพูดขึ้นด้วยความอิจฉา “จื่อซี พูดแล้วทั้งโลกบำเพ็ญเพียร ผู้บําเพ็ญเพียรหญิงบรรลุระดับกำเนิดใช่ว่าจะหายาก แต่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีบุตรสาวเป็นรากวิญญาณสวรรค์ถึงสองคน ก็มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นไม่มีใครใดอีก”

นักพรตจื่อซีหรี่ตามองนางปราดหนึ่ง “อะไรกัน อิจฉาหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนยังไม่รีบพยายามอีก อย่างไรเสียพวกเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ต้องไม่ผิดพลาดเช่นข้าแน่นอน”

มั่วชิงเฉินหน้าเห่อร้อน เหลียวมองไปเห็นเยี่ยเทียนหยวนที่กำลังบังคับสมบัติวิเศษเหินหาวอย่างตั้งใจเข้าพอดี ก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องเหล่านั้น ไว้กลับถึงพรรคข้าก็จะกักตัวฝึกบําเพ็ญให้เข้าที่ก่อน หลังจากนั้นยังมีธุระส่วนตัวที่ต้องสะสาง”

นักพรตจื่อซีถอนหายใจยาวหนึ่งที “เจ้านี่นะ อย่ารังแกคนซื่อสัตย์สิ” พูดจบก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก จากนั้นก็ก้มหน้ากล่อมเด็กทารกทั้งสอง

สมบัติวิเศษเหินหาวรูปใบไม้ของเยี่ยเทียนหยวนราบเรียบและคงที่ ทั้งยังมีพลังวิญญาณโอบล้อมปกป้อง เมื่อนั่งอยู่บนนั้นจะรู้สึกสบายอย่างที่สุด

นักพรตจื่อซีถึงแม้จะเพิ่งคลอด เพราะว่านั่งบนสมบัติวิเศษเหินหาวของเขาร่างกายจึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือน

ทั้งหมดเดินทางกลับสู่เหยากวงโดยไม่ล่าช้า

หลิวซางเจินจวินเบียดผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่รออยู่หน้าประตูจนล้ม เมื่อได้เห็นนักพรตจื่อซีด้วยตาตนเองว่าปลอดภัยก็รู้สึกโล่งอก

นักพรตหมิงจ้าวที่รออยู่หน้าประตูวิ่งออกไป เมื่อได้รู้ว่าตนมีลูกสาวฝาแฝดคู่หนึ่งก็ยิ้มจนปากไม่หุบ ไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นครรภ์เร้นหรือไม่ทั้งนั้น

หลิวซางเจินจวินเมื่อรู้ว่าทารกทั้งสองมีรากวิญญาณสวรรค์ ก็อึ้งไปชั่วครู่จากนั้นก็อุทานออกมาว่า “ลิขิตสวรรค์ ลิขิตสวรรค์”

รากวิญญาณสวรรค์ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเวลานี้คือคุณลักษณะที่เป็นพรสวรรค์โดดเด่น แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากสวรรค์นั้นกลับหาได้ยากมาก

คุณสมบัติของนักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าวก็ไม่ได้นับว่าชั้นยอด สามารถให้กำเนิดบุตรสาวที่มีรากสวรรค์คู่นี้ได้ เหตุที่เป็นไปได้น่าจะเป็นเพราะนักพรตจื่อซีตั้งครรภ์เร้นแล้วได้ทะลวงระดับก่อกำเนิด

พวกนางไม่สูญเสียปราณแท้ก่อนกำเนิดระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา หนำซ้ำยังได้ดูดซับพลังวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม กลายเป็นครรภ์พรสวรรค์ก่อนกำเนิด จึงได้มีรากวิญญาณสวรรค์ดังนี้

ทั้งหมดนี้คือความบังเอิญ และเป็นเหตุเป็นผลอย่างแน่นอน ต้องแลกกับการที่นักพรตจื่อซีไม่สามารถบรรลุระดับก่อกำเนิดได้ จะว่าไปแล้ว ฟ้าดินยังคงยุติธรรม ลิขิตสวรรค์กำหนดมาไว้เช่นนี้แล้ว

พิธีบรรลุระดับก่อกำเนิดของมั่วชิงเฉิน ถูกจัดขึ้นอย่างครึกครื้น ผู้บำเพ็ญเพียรจากทุกสารทิศต่างๆ แห่กันมาร่วมยินดี

กู้หลี เยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉิน อาจจะนับได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่อายุน้อยที่สุดในโลกของการบำเพ็ญเพียรปัจจุบันนี้ หากไม่ผิดตามชาติ พวกเขาอย่างน้อยก็สามารถค้ำชูเกียรติยศของเหยากวงได้นับพันปี

บวกด้วยต้วนชิงเกอผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่นับวันชื่อเสียงเรียงนามยิ่งฉายแสงมากขึ้น รวมถึงมั่วหลีลั่วปรมาจารย์ค่ายกลผู้ซึ่งได้ม้วนคัมภีร์หยกจากบรรพบุรุษทำให้ทักษะด้านค่ายกลเวทย์มีพัฒนาการอย่างมาก คำเล่าลือถึงความเกรงใจของพรรคเหยากวงค่อยๆ แพร่ไป ตั้งสถานะได้ขึ้นเหนือกว่าผู้นำสี่พรรคแปดนิกายอย่างสำนักไท่ซวีไปแล้ว

เมื่อเปิดประตูรับศิษย์ ผู้คนที่หมายจะขอเข้าสู่สำนักต่างแห่แหนเข้ามา ต้องทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่ประจำหน้าที่คอยดูแลเรื่องการรับเหล่านั้นได้กลัดกลุ้ม

สำนักพรรคต่างๆ เห็นตัวเองนับวันจะซบเซาลง ก็อดไม่ได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตัดสินใจอย่างเจ็บปวดเปลี่ยนวันรับศิษย์ ไม่ให้ชนกับพรรคเหยากวงเด็ดขาด

หลิวซางเจินจวินกลับเข้าใจแจ่มแจ้งว่า เมื่อพระจันทร์เต็มดวงเต็มที่แล้วก็จะเริ่มเว้าแหว่ง น้ำเมื่อเต็มแล้วก็จะล้นออกมา จึงกำชับลูกศิษย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่และสั่งให้หัวหน้าโถงกวดขันลูกศิษย์ในสำนัก ไม่ให้ทำตัวผยองยโส

ชั่วเวลาหนึ่ง ลูกศิษย์เหยากวงที่พนันขันต่อและจับกลุ่มนินทาก็น้อยลง ถูกผู้บังคับบัญชาผู้ปฏิบัติหน้าที่ลากตัวไปฝึกซ้อมที่โถงฝึกประลอง เสียงโอดครวญระงมไปทั่ว

หลังพิธีบรรลุระดับก่อกำเนิด มั่วชิงเฉินก็ได้เป็นชิงเฉิงเจินจวินอย่างเป็นทางการ ได้บุกเบิกยอดเขาแห่งใหม่ขึ้นมาด้วยกันกับเยี่ยเทียนหยวน อยู่ตรงข้ามกับยอดเขาชิงมู่ ให้ชื่อว่าลั่วเฉิน

มอบเรื่องการย้ายที่อยู่ให้เหลียงเฉินเหมยจิ่งเป็นธุระจัดการ มั่วชิงเฉินในที่สุดก็หมดภาระ แนะนำตู้รั่วเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ไล่ลูกศิษย์ลงเขาออกไปเดินทางพเนจร

เยี่ยเทียนหยวนกักตัวอยู่หลายปี รากฐานจึงได้มั่นคงในที่สุด และก็ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางพเนจรไกลแล้ว

เมื่อพวกเขามาถึงระดับนี้ การออกพเนจรหาประสบการณ์แล้วกลับมาก็ไม่ใช่เพียงเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว เยี่ยเทียนหยวนย่อมอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากลาภรรยาที่รัก ทั้งสองคนเข้าคู่บำเพ็ญร่วมกัน กอดกระหวัดรัดเกี่ยวกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

มั่วชิงเฉินค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่า เมื่อระดับของทั้งสองเท่าเทียมกันแล้ว ผลลัพธ์ของการเข้าคู่บำเพ็ญนั้นช่างน่าตกใจ ระดับการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นเร็วเสียยิ่งกว่ากินโอสถ น่าเสียดายก็เพียงแต่การเพิ่มระดับการบำเพ็ญไม่ได้สามารถแทนที่การทำให้รากฐานมั่นคงได้ หลังจากกอดกระหวัดรัดเกี่ยวกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง นางก็ตัดใจไล่เยี่ยเทียนหยวนออกห้องไป แล้วจึงเริ่มกักตัว

การกักตัวครั้งนี้ ผ่านไปสิบปี

ในวันหนึ่ง แสงวิญญาณในห้องส่องประกายฟุ้งไปทั่ว ดูราวกับปราณมงคลเจ็ดสี มั่วชิงเฉินค่อยๆ พ่นปราณขุ่นมัวออกมา ลืมตาขึ้น แล้วพูดอู้อี้ว่า “เวลาสิบปี ในที่สุดรากฐานก็มั่นคง หรือว่านี่จะเป็นผลของรากวิญญาณเจ็ดสี”

นางลุกขึ้นขยับเนื้อขยับตัวเพียงชั่วครู่ ไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่กลับจดจ่ออยู่กับการศึกษารากวิญญาณที่ชนิดใหม่ของตน

สำหรับรากวิญญาณเจ็ดสีที่เกิดขึ้นใหม่นี้ เดิมทีนางคิดว่าไม่ได้ต่างจากรากวิญญาณสวรรค์ แต่ความจริงแล้วกลับต่างกันอย่างมาก

ในฐานะสะพานเชื่อมตันเถียนและฟ้าดิน ความเร็วในการดูดซึมพลังวิญญาณของรากวิญญาณเจ็ดสีภายนอกนับว่ายอดเยี่ยมเท่าเทียมกับรากวิญญาณสวรรค์ แต่ความเร็วในการแปรสภาพนั้นกลับเทียบไม่ติด แม้กระทั่งนางเมื่อก่อนเป็นเพราะฤทธิ์ของไฟหน่อไม้หิน ความเร็วของสามรากวิญญาณจึงเทียบไม่ติด แต่ต่างกับสี่รากวิญญาณที่แท้จริงไม่มาก

มั่วชิงเฉินซึ่งสภาพจิตใจสงบนิ่งแล้วก็ไม่ได้รู้สึกหดหู่แต่อย่างใด เมื่อมาถึงระดับของนางในตอนนี้ ระดับการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นช้าหรือเร็วย่อมกลายเป็นเรื่องรอง

มิหนำซ้ำหากการบำเพ็ญเพียรของนางเร็วขึ้น การเข้าคู่บำเพ็ญกับเยี่ยเทียนหยวนก็จะสบายขึ้นบ้าง

สิ่งที่ทำให้นางยินดีก็คือ หลังจากตันเถียนแปรพลังวิญญาณฟ้าดินที่รากวิญญาณเจ็ดสีถ่ายทอดออกมาแล้ว กลับไม่ได้กลายเป็นพลังวิญญาณธรรมดา แต่เป็นพลังที่ใกล้เคียงกับต้นกำเนิดฟ้าดิน

เมื่อค้นพบเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ดึงเอากระสวยคืนปราณดั้งเดิมที่ใช้แถบไหมพันไว้อยู่บนเอวออกมา คลึงเล่นอยู่ในมือครู่หนึ่ง พลังต้นกำเนิดอันบริสุทธิ์ก็ค่อยๆ ซึมแทรก จนกระสวยคืนปราณดั้งเดิมสว่างวาบ แล้วสั่นคลอนขึ้นมา

มั่วชิงเฉินสีหน้ายินดี

ตอนแรกที่กระสวยคืนปราณดั้งเดิมมีปฏิกิริยาต่อนาง ก็เป็นเพียงปฏิกิริยาที่อ่อนเบาอยากมาก แต่สภาพในตอนนี้ กลับเป็นการถูกกระตุ้นอย่างแท้จริง

ใช้เวลาอีกสามปีเต็มๆ ในที่สุดก็ฝึกฝนกระสวยคืนปราณดั้งเดิมได้อย่างแท้จริง เพียงแค่ขยับความคิดก็สามารถเก็บเข้าสู่ในกายได้

มั่วชิงเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก

ในที่สุดก็ได้มาแล้ว กระสวยคืนปราณดั้งเดิมเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถมุดดินได้

ต้องรู้ว่าในโลกของการบำเพ็ญ สมบัติวิเศษสำหรับหลีกหนีนั้นมีน้อยมาก และในประดาเคล็ดวิชาหลีกหนีห้าธาตุนั้น วิชาดำดินนั้นถือเป็นขั้นสูง

สมบัติวิเศษมุดดินหนีไม่พ้นสื่อกลางธาตุที่เหมือนกัน ในธาตุทั้งห้า สมบัติวิเศษมุดดินถูกใช้อย่างแพร่หลายที่สุด และมีความเร็วมากที่สุด

เอาสมบัติวิเศษโบราณเก็บไว้ มั่วชิงเฉินก็เริ่มจัดระเบียบกำไลเก็บวัตถุ

กริชฟันปลา ร่มไผ่เหมันต์ ต่างหูปะการังแดงที่ใช้เมื่อก่อนไม่เหมาะสมจะใช้แล้ว เอาของเหล่านี้เก็บกวาดใส่ในถุงใบหนึ่ง ไว้ในวันหลังค่อยมอบให้กับผู้ที่เหมาะสม

ก้อนอิฐแหวกฟ้าเป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง ถึงตอนนี้ใช้พลังต้นกำเนิดกระตุ้น สามารถแสดงพลังอานุภาพอันน่าเกรงขาม สามารถใช้เป็นสมบัติวิเศษในการต่อสู้แบบปะทะได้

ไหมเกล็ดน้ำแข็งสมบัติวิเศษธรรมชาติและธนูเขียวซ่อนเร้นสมบัติวิเศษเจ้าชะตา ล้วนแต่เป็นสมบัติวิเศษที่พัฒนาอานุภาพเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มระดับการบำเพ็ญ จะอยู่เคียงข้างกายนางไปตลอด

ที่เหลือนอกจากนี้ สิ่งที่อาจจะใช้ประโยชน์ได้ก็น่าจะมีหุ่นเชิดห้าธาตุที่หลัวอวี้เฉิงให้ หุ่นเชิดที่มีความสามารถระดับก่อแก่นปราณห้าตัวในเวลาจวนตัวคงใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อย

ระเบิดแหวกมิติที่หลิวซางเจินจวินมอบให้สามารถแยกมิติได้ เป็นของดีสำหรับคุ้มครองชีวิต เสียแต่ก็เพียงเป็นสมบัติวิเศษที่ต้องสูญเสียพลังในการใช้มาก ตอนนี้เก็บใส่กล่องไปก่อน

ไฟสะท้อนหทัยเป็นสมบัติวิเศษที่ช่วยในการสร้างเขตแดน หลังจากระดับบำเพ็ญเพิ่มขึ้นก็ใช้ประโยชน์ได้มาก มั่วชิงเฉินคิดว่า ในอนาคตหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ใช้ปทุมหยกอริยะหอมร่วมกับไฟสะท้อนหทัย ไม่แน่ว่าอาจจะได้อิทธิฤทธิ์อันวิเศษก็ได้

เมื่อจัดการดังนี้แล้ว สายตามั่วชิงเฉินก็หันไปมองที่ค่ายกลกระบี่ชุดหนึ่ง

ค่ายกลกระบี่โบราณชุดนี้ได้มาตอนปลีกวิเวกอยู่ที่ป่าดอกสาลี่ดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออก แต่เพราะว่าไม่สมประกอบ หลายปีมานี้จึงเกือบถูกนางลืม

แต่ในเวลานี้ คำว่า ‘โบราณ’ ดึงดูดความสนใจของนาง

เมื่อก่อน เยี่ยเทียนหยวนเคยช่วยนางซ่อมแซมค่ายกลกระบี่ชุดนี้  เพียงแต่วิธีการหลอมอาวุธในสมัยโบราณกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน วิธีการใช้งานก็ต่างกัน จึงไม่ค่อยมีประโยชน์เมื่ออยู่กับนาง

แล้วถ้าใช้พลังต้นกำเนิดกระตุ้นล่ะ

มั่วชิงเฉินถ่ายพลังต้นกำเนิดกระแสหนึ่งลงไปในกระบี่เล่มเล็ก กระบี่เล่มเล็กนั้นก็ส่องแสงวิญญาณออกมาเล็กน้อย

นางขบฟัน เพิ่มพลังต้นกำเนิดลงไป

กระบี่ส่องสว่างยิ่งขึ้นตามพลังต้นกำเนิดที่ถูกถ่ายทอดลงไป พลังต้นกำเนิดในกายมั่วชิงเฉินหายไปกว่าครึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อนางกำลังจะหยุดถ่ายพลังก็พบว่าไม่สามารถหยุดมันได้เลย

เมื่อเห็นว่าพลังต้นกำเนิดกำลังจะหมดไป มั่วชิงเฉินก็ตัดใจฝืนโคจรพลังสวนทางกับตันเถียน เช่นนี้ถึงแม้จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ก็ดีกว่าถูกดูดพลังไปจนหมดตัว

และในขณะที่นางตัดสินใจสวนทางตันเถียน แสงกระบี่เล็กก็ดูเหมือนจะกลายเป็นพลังของจริง ส่องสว่างเจิดจ้าจนตานางพร่ามัวไปทันที

ภาพฉากเปลี่ยนไป นางปรากฏขึ้นตัวในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

“ที่นี่ที่ไหนกัน”

ไม่รอให้มั่วชิงเฉินเข้าใจ จิตสัมผัสก็ถูกฉากที่เห็นตราตรึงเอาไว้มั่น

ท่ามกลางเมฆหมอกมีกำแพงอยู่แนวหนึ่ง เงาบุรุษร่างหนึ่งสะท้อนอยู่บนกำแพง ในมือถือดาบ ร่ายรำอย่างคล่องแคล่วพลิ้วไหว

มั่วชิงเฉินรู้สึกอื้ออึงไปทั้งศีรษะ สิ่งที่เห็นเต็มตานั้น คือเงาบุรุษที่กำลังรำกระบี่

นางรู้สึกมึนงง บางทีอาจเพียงชั่ววินาที หรือบางทีอาจนานนับหมื่นปี เมื่อได้สติกลับ ก็พบว่าตนยังอยู่ในห้องที่ปิดสนิท

มองไปยังกระบี่เล่มเล็กที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ มั่วชิงเฉินก็เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน ภาพหลอนเมื่อครู่เป็นเพราะจิตสัมผัสนางถูกกระบี่เล่มเล็กดูดเข้าไปในค่ายกลกระบี่ กำแพงเงาและบุรุษที่รำกระบี่กลางค่ายกลกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นภาพมายาที่เหลือทิ้งไว้ก่อนที่วิญญาณกระบี่จะสลายไป

นางพลันครุ่นคิดอย่างอดไมได้ มั่วชิงเฉินหวนนึกถึงท่วงท่ากระบี่เหล่านั้น แต่ก็พบว่าต่อให้อาศัยความสามารถในการหยั่งรู้ของผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดของนาง ก็ยังลืมไปกว่าครึ่ง

ตามปกติแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย

มั่วชิงเฉินนึกได้โดยทันที ภาพมายากลางค่ายกลกระบี่นั้นต้องไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณกระบี่ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทิ้งไว้อย่างแน่นอน นางลองเดาอย่างไม่เกรงกลัว เคล็ดวิชากระบี่เช่นนั้น อย่างน้อยต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่านางสองระดับเป็นผู้ใช้!

มั่วชิงเฉินลองใช้จิตสัมผัสสำรวจเข้าไปในกระบี่เล็กอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีกำแพงเงาและเงาร่างของบุรุษผู้นั้น

นางรู้สึกเสียใจอย่างห้ามมิได้ มั่วชิงเฉินรวบรวมจิตสัมผัสทั้งหมดฝืนหวนจดจำเหตุการณ์ในกระบี่เล็ก

ใคร่ครวญความทรงจำจนลืมตัวตน ในที่สุดเวลาก็ผ่านไปสิบปี ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฝ่าทะลุด่านออกมาได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+