พันธกานต์ปราณอัคคี 534-1 เสน่ห์ของปีศาจ

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 534-1 เสน่ห์ของปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มั่วชิงเฉินหลบไปด้านข้าง ใยแมงมุมไฟตามติดมาข้างแก้มนาง แล้วหักเลี้ยวฉับพลัน คิดพันตัวนางไว้       กลางฝ่ามือนางผุดดอกบัวสีน้ำแข็งขึ้นหนึ่งดอก ส่องแสงวาบกลายเป็นกระบี่ยาวหนึ่งด้าม ฟันลงไปที่ใยแมงมุมไฟอย่างแรง       จุดที่เส้นใยสัมผัสกับคมกระบี่เปลี่ยนจากสีแดงเพลิงเป็นสีฟ้าทันที พร้อมเสียงแตกละเอียด แล้วทั้งหมดก็แตกหักพร้อมกัน หล่นลงบนพื้น       แมงมุมยักษ์โกรธจัด ช่วงอกหดตัว ก่อนปล่อยเส้นใยสีแดงนับไม่ถ้วนออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง       ใยแมงมุมเพิ่มขึ้นในพริบตา มั่วชิงเฉินรีบถอยหลัง แต่กลับรู้สึกว่าด้านหลังก็มีความร้อนกลุ่มหนึ่ง จึงรีบหันกลับ แต่ตาข่ายใยแมงมุมถูกขึงไว้ด้านหลังเบ็ดเสร็จ นางจึงถูกล้อมไว้ตรงกลาง       เห็นตาข่ายใยแมงมุมเปล่งแสงสีแดงวาว มั่วชิงเฉินจึงรีบเหาะไปด้านหน้า ฟันปราณโทสะแดงสายหนึ่งลง        แล้วหลบไปด้านข้าง ปราณโทสะอีกสายจึงพุ่งลงดิน เกิดเป็นหลุมลึกหนึ่งหลุม       ปราณโทสะมากมายพุ่งลงมา มั่วชิงเฉินถือเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่แปลงเป็นกระบี่ยาวต้านไว้ไม่หยุด ฟันปราณโทสะขาด ทยอยร่วงลงเส้นแล้วเส้นเล่าได้อย่างสวยสดงดงาม       ทว่าการที่ร่างอยู่กลางตาข่ายกลับไม่เป็นผลดี เพราะจะถูกคลื่นปราณโทสะระลอกแล้วระลอกเล่าซัดเข้าพันพัวซ้อนกันไปเรื่อยๆ       มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ตาข่ายแมงมุมนี้รับมือยากจริงๆ ถ้าตาข่ายไม่ขาด ปราณโทสะด้านในก็เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ดีที่ตนมีเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นอาวุธกำราบ ถ้าคนอื่นเข้ามา แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรกับปราณโทสะชั้นนอกยังมีตาข่ายแมงมุมขึงอยู่อีก หนีไปไหนก็ไม่ได้ ไม่แน่ว่าพอพลังวิญญาณหมด ก็ต้องพลีชีพในตาข่ายแมงมุมแล้ว       พอคิดว่าพลังวิญญาณในร่างตนใช่ว่าจะมีไม่จำกัด มั่วชิงเฉินจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ฟันปราณโทสะที่บดบังอยู่ด้านหน้า เข้าใกล้ใยแมงมุม แล้วใช้ปลายกระบี่เกี่ยวมันขึ้น       แมงมุมยักษ์สั่นใยอย่างแรง ก่อนพุ่งเข้าหานางอย่างเดือดดาล       มั่วชิงเฉินรีบหลบ แล้วเหาะติดไปกับใยแมงมุมต่อ ด้านหนึ่งเหาะ อีกด้านหนึ่งก็ใช้ปลายกระบี่สำรวจ ซึ่งหลังจากสำรวจปมตาข่ายถ้วนทั่วทั้งผืน ก็รู้แล้วว่าจะจัดการอย่างไรดี       นางหลับตาชั่วขณะ แล้วลืมตาดังเดิม ยกมือขึ้นสะบัด ปรากฏลูกหนามเหล็กออกมามากมาย แต่ละอันตกลงบนปมตาข่ายแมงมุม แล้วนิ้วทั้งสิบก็ดีดออก ปล่อยเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นกลุ่มๆ ตกลงบนลูกหนามเหล็ก       ตาข่ายแมงมุมไฟในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยเปลวไฟสีน้ำแข็ง กลับดูเหมือนดวงดาวที่เยือกเย็นกำลังส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้าสีแดงเข้ม สวยงามดั่งภาพในจินตนาการ       พอเห็นเปลวน้ำแข็งเหมันต์ปูเต็มตาข่ายแมงมุม มั่วชิงเฉินก็ใช้สองมือร่ายคาถา แล้วผลักออก “ทลาย!”       เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่กำลังเด้งขึ้นเด้งลงก็กระจายออกเกาะติดตาข่ายแมงมุมทันที ตาข่ายทั้งผืนจึงกลายเป็นสีน้ำแข็งในพริบตา ได้ยินเสียงปริแตก ต่อด้วยเสียง  ปัง  ตาข่ายแมงมุมที่แข็งเป็นน้ำแข็งก้อนร่วงหล่นลงเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อย       แมงมุมไฟอ่อนล้าจากการคายใยออกมา ส่วนหัวที่ติดกับขาหน้าทั้งสี่จึงหันมองด้านหลัง       มั่วชิงเฉินรีบหยิบธนูเขียวซ่อนเร้นออกมา ขึ้นคันธนู ลูกธนูน้ำแข็งเหมันต์พุ่งออกด้วยความเร็วสุดจะเปรียบ ปักเข้าที่ทรวงอกแมงมุมยักษ์ทันที       เสียงร้องโหยหวนแปลกๆ ดังขึ้น ร่างแมงมุมยักษ์หงายหลัง ทรวงอกอยู่ด้านบน ขาทั้งแปดเตะอากาศไปมา ก่อนแน่นิ่งไป       พอแมงมุมยักษ์ตาย แมงมุมตัวเท่ากำปั้นเหล่านั้นก็พลันถอยกลับดั่งสายน้ำไหล เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วหันมามองมั่วชิงเฉิน       มั่วชิงเฉินชี้ไปยังศพของแมงมุมยักษ์พลางหัวเราะ “ตัวนี้ เป็นของข้าสินะ”       นางเป็นผู้สังหารแมงมุมยักษ์เพียงลำพัง เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วจึงต้องพยักหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย       มั่วชิงเฉินค่อยเดินมาข้างศพแมงมุมยักษ์ ใช้กริชฟันปลาจิ้มสองสามครั้ง พอเห็นว่ามันตายสนิท ก็นั่งยองๆ แล้วลงมือผ่าอกเปิดท้อง หยิบต่อมผลิตเส้นใยออกมา       ในต่อมผลิตเส้นใยเต็มไปด้วยใยอัคคีแดง ซึ่งเป็นของสุดล้ำค่าชิ้นหนึ่งนอกเหนือจากแก่นปีศาจ โดยแก่นปีศาจของแมงมุมยักษ์อยู่ถัดจากต่อมผลิตเส้นใยอีก       มั่วชิงเฉินนำต่อมผลิตเส้นใยใส่ลงไปในกำไลเก็บวัตถุ และนำแก่นปีศาจทิ้งเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ       อีกาไฟกำลังรออย่างน้ำลายสอ พอเห็นแก่นปีศาจก็รีบอ้าปากงับแล้วกลืนลงไป ทำให้ตลอดทั้งร่างของมันบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวดำ ก่อนค่อยๆ หลับตาลง       เมื่อเก็บของล้ำค่าทั้งสองอย่างแล้ว ค่อยมองดูรูปลักษณ์อันน่าเกลียดน่ากลัวของแมงมุมยักษ์ มั่วชิงเฉินไม่สนใจอะไรในตัวมันแล้วจริงๆ จึงยืนขึ้น       พอเห็นนางเดินกลับมา เวยซิงลิ่วจึงชี้ไปที่ศพแมงมุมยักษ์ “สหายมั่ว สิ่งนี้เจ้าไม่เอาหรือ”       “ไม่เอา”       “เช่นนั้น…ให้ข้านะ” เวยซิงลิ่วตาวาวขณะจ้องมองมั่วชิงเฉิน       เห็นเขามีท่าทางหิว มั่วชิงเฉินก็หัวเราะ “เชิญสหายเวยซิงตามสบาย ถ้ามิใช่ทั้งสองท่านต้านทานแมงมุมตัวเล็กพวกนั้นไว้ละก็ ข้าน้อยก็ไม่มีทางใช้กำลังทั้งหมดต่อสู้กับแมงมุมหัวหน้าใหญ่ตัวนี้แล้ว”       เวยเซิงลิ่วยิ้มหน้าบาน ก่อนเดินตุปัดตุเป๋เข้าไป ด้วยไม่คุ้นชินกับการเดินแบบมนุษย์ ดูๆ ไปก็ตลกอยู่บ้าง พอไปถึงข้างศพแมงมุมยักษ์ เขาก็นั่งแหมะลง ฉีกขาแมงมุมยักษ์เสียงดัง  กรอบ  แล้วก็เริ่มกัดกิน       มั่วชิงเฉินกับเซี่ยหรันยืนอึ้งไปชั่วขณะ พริบตาเดียวก็ได้ยินแต่เสียง  กร้วมๆ  คล้ายเสียงขบเคี้ยวถั่วอย่างไรอย่างนั้น       เมื่อเห็นท่าทางเวยเซิงลิ่วกินอย่างเอร็ดอร่อย มุมปากของมั่วชิงเฉินก็กระตุก       นางไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงความกล้าหาญหรือโศกนาฏกรรมความรักระหว่างคนกับปีศาจ ถ้าเป็นความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ยังเน้นการลดความขัดแย้งของค่านิยมเอย มุมมองชีวิตเอย แต่คนกับปีศาจ ช่องว่างนี้ไม่ห่างไปหน่อยหรือ       พอเห็นมั่วชิงเฉินมองอย่างตะลึงงัน เวยเซิงลิ่วก็ชูขาแมงมุมในมือขึ้น “สหายมั่ว สักหน่อยไหม”       ว่าแล้วยังใช้หางตามองเซี่ยหรันอย่างระมัดระวัง เกรงว่าเขาจะอยากกินด้วย       เซี่ยหรันแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที ยกมือขึ้นกอดอก ไม่พูดไม่จา       มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะ แล้วว่า “ขอบคุณสหายเวยเซิงมาก ข้าน้อยไม่หิว”       เวยเซิงลิ่วคล้ายโล่งอก ไม่นานนักก็จัดการแมงมุมยักษ์เรียบร้อย ค่อยยืนขึ้น ยังไม่ลืมที่จะใช้หลังมือเช็ดปาก ก่อนก้าวยาวๆ กลับมา       เมื่อทั้งสามจัดการแมงมุมที่จู่ๆ โผล่ออกมาเสร็จสรรพ ก็หันมองรอบๆ พบว่าบนศีรษะไม่เห็นท้องฟ้า เท้าด้านล่างเป็นดินชื้นแฉะ คล้ายเป็นถ้ำว่างเปล่า ที่มีทางเดินทั้งสี่ทิศ แต่ไม่รู้ว่าทางนั้นไปถึงไหน ดูมืดมนอยู่บ้าง       “มีทางเดินมากมายเลย” เวยเซิงลิ่วเกาศีรษะตัวเอง       เซี่ยหรันพลันส่งเสียง “ครั้งนี้ข้าเอง”       ว่าแล้วสองมือก็ขยับไม่หยุด ร่ายคาถาบทแล้วบทเล่า แสงสีดำกะพริบรอบมือ ขับให้เห็นมือทั้งสองข้างที่ขาวเนียนดุจหยก       ค้างคาวสีดำบินออกจากแขนเสื้อเขาทีละตัว กระพือปีกบินไปตามทางเดินเหล่านั้น       เซี่ยหรันมีท่าทีเคร่งขรึม ขณะทำท่าเงี่ยหูฟัง       ผ่านไปสักพัก หูก็กระดิก ก่อนชี้ไปยังทางเดินสายหนึ่ง “ในนี้ มีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ”       พวกเขามาตามหาซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวากับดอกไม้พิสดารอยู่ ถ้าเป็นที่ที่มีดอกไม้พิสดาร ตามเหตุผลแล้ว ต้องมีอสูรปีศาจระดับสูงเฝ้าอยู่ ทางเดินสายนั้นมีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ความเป็นได้สูงที่จะเป็นจุดหมาย จึงมีมากหน่อย       “เป็นอย่างไรบ้าง ท่านทั้งสองจะเข้าทางนั้นไหม” เซี่ยหรันเลิกคิ้ว       เห็นที หากมั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วมีความคิดอื่น ทั้งสามก็ต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้ว       “แน่นอน ต้องไปตามทางที่สหายเซี่ยเลือกอยู่แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มตอบ       เซี่ยหรันมีความคิดเช่นนั้นในใจ จึงพยายามเลี่ยงที่จะพูดกับมั่วชิงเฉิน พอเห็นนางยิ้ม ก็หันไปทางอื่น       “เรื่องเช่นนี้ ข้าไม่เชี่ยวชาญเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าว่าไปทางไหน ก็ไปทางนั้น” เวยเซิงลิ่วยิ้มซื่อๆ        มั่วชิงเฉินแอบเบ้ปาก  โกหก ปีศาจบำเพ็ญเพียรแม้พูดได้ว่าชอบทำอะไรตรงไปตรงมา ตอนสำรวจก็มีลูกไม้ไม่มากเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียร แต่เพราะมีความสามารถของปีศาจ จึงมักว่องไวกว่ามนุษย์       พอทั้งสามบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ก็เข้าไปในทางนั้น       ทางเดินแคบ ลึก และเงียบ ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด จนสุดท้ายก็มองไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่น้อย       มั่วชิงเฉินหยิบตะเกียงฟักทองออกมา พอทิ้งหินวิญญาณลงไป แสงสีเหลืองขุ่นก็เปล่งออกทันทีพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ        ตะเกียงฟักทองนี้เป็นผลผลิตจากสวนสมุนไพรพกพา แม้แสงมิได้สว่างมาก แต่ชนะเลิศเรื่องความเสถียร แม้เจอลมแรงกะทันหัน หรือปราณวิญญาณวุ่นวาย ก็ล้วนไม่ดับในทันที จึงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าการนำมาใช้กับทางเดินที่ลึก เงียบ และคาดเดาไม่ได้นี้       แต่เห็นชัดว่าเซี่ยหรันไม่ชอบที่ตะเกียงฟักทองสว่างไม่พอ จึงพลิกมือ หยิบตะเกียงสนามอย่างดีออกมาดวงหนึ่ง       ของทั่วๆ ไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรใช้ส่องสว่างในตอนกลางคืน ก็คือตะเกียงเขาขาว ส่วนของที่ดีที่สุดคือตะเกียงเขาม่วง และดวงที่อยู่ในมือเซี่ยหรันก็มีสีม่วง       การให้ความสว่างของตะเกียงเขาม่วงไม่เหมือนกับตะเกียงฟักทองน่าขันในมือมั่วชิงเฉิน ที่ค่อยๆ ส่องสว่างรอบตัวเอง ทว่ามันรวมแสงเป็นจุดๆ เดียว แล้วส่องสว่างไปยังทางด้านหน้าคนทั้งสามได้ไกลนับสิบจั้ง       มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ในบันทึกหยกบอกว่า เซี่ยหรันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก แต่ดูลักษณะแล้ว ทางบ้านค่อนข้างร่ำรวยเลยทีเดียว       ทั้งสามเดินไปข้างหน้าเคียงข้างกัน แต่ทางเดินยิ่งมาก็ยิ่งแคบ สุดท้ายก็ให้เดินได้เพียงคนเดียว       เซี่ยหรันมองดูคนทั้งสอง ก่อนถือตะเกียงเขาม่วงอยู่หน้าสุด มั่วชิงเฉินอยู่ตรงกลาง เวยเซิงลิ่วรั้งท้าย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ทั้งสามจึงรักษาระห่างซึ่งกันและกัน       สภาพแวดล้อมเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วเป็นต้องขมวดคิ้ว       ที่คับแคบเช่นนี้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา จะปลีกตัวออกได้ยากสุด จึงไม่ประมาท หยิบระเบิดสะท้านฟ้าสองสามลูกมาคล้องมือไว้       เป็นอย่างที่ว่า กลัวสิ่งใด ได้สิ่งนั้น ขณะทั้งสามเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เซี่ยหรันก็หรี่ตา       ลูกไฟขนาดเท่าตระกร้าหวายลูกหนึ่งกลิ้งอย่างรวดเร็วมาจากด้านหน้า       เซี่ยหรันรีบแปะยันต์ไว้บนร่างตัวเอง แล้วร่างทั้งร่างก็ปรากฏเกราะน้ำแข็งป้องกันตัว พอลูกไฟใกล้เข้ามาในระยะประชิด ร่างก็กระโดดไปข้างหน้า       หินงอกหินย้อยบนเพดานถ้ำพลันส่องแสงสีแดงแวววาว ถ้าชนถูกมัน ก็เหมือนถูกที่คีบไฟแทงร่าง       เซี่ยหรันเหงื่อตก แต่พริบตานี้คิดอะไรมากไม่ได้ สองมือก่อปราณดำ แล้วจับเข้าที่หินงอกหินย้อยสีแดงโดยตรง ความร้อนทำให้เกราะป้องกันสามชั้นของเขาแตกออกทันที และเผาฝ่ามือจนเป็นแผลพุพอง       เซี่ยหรันไม่มีเวลาเจ็บปวด ควบคุมร่างให้ลงมายืนบนพื้น นับว่าหลบลูกไฟพ้นไปได้       พอเห็นเซี่ยหรันที่อยู่ข้างหน้าขยับ มั่วชิงเฉินก็เตรียมพร้อม เร่งโคจรพลังวิญญาณ โยกย้ายเปลวน้ำแข็งเหมันต์ให้ปกคลุมทั้งร่าง แสงสีน้ำเงินวนรอบตัวชั่วขณะ คลับคล้ายเปลี่ยนเป็นสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน       ทางเดินแคบเกิน กระทั่งเบี่ยงตัวหลบไม่ได้ บนศีรษะยังมีหินงอกหินย้อยคล้ายที่คีบไฟนับไม่ถ้วนแขวนอยู่ ตัวอย่างจากเซี่ยหรันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การกระโดดไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด พอเห็นลูกไฟเข้ามาใกล้ มั่วชิงเฉินก็เขย่งปลายเท้า ร่ายคาถาวารีตามรูป ร่างทั้งร่างจึงโค้งเป็นครึ่งวงกลม ทำให้ลูกไฟกลิ้งผ่านไปได้แบบเฉียดฉิว พอร่างตกถึงพื้น ก็ม้วนหน้าหนึ่งรอบ แล้วลุกขึ้นยืน ปลอดภัยหายห่วง       ส่วนเวยเซิงลิ่วที่ตามอยู่ท้ายสุด อยากจะร้องไห้แล้ว  

มั่วชิงเฉินหลบไปด้านข้าง ใยแมงมุมไฟตามติดมาข้างแก้มนาง แล้วหักเลี้ยวฉับพลัน คิดพันตัวนางไว้  

 

 

กลางฝ่ามือนางผุดดอกบัวสีน้ำแข็งขึ้นหนึ่งดอก ส่องแสงวาบกลายเป็นกระบี่ยาวหนึ่งด้าม ฟันลงไปที่ใยแมงมุมไฟอย่างแรง  

 

 

จุดที่เส้นใยสัมผัสกับคมกระบี่เปลี่ยนจากสีแดงเพลิงเป็นสีฟ้าทันที พร้อมเสียงแตกละเอียด แล้วทั้งหมดก็แตกหักพร้อมกัน หล่นลงบนพื้น  

 

 

แมงมุมยักษ์โกรธจัด ช่วงอกหดตัว ก่อนปล่อยเส้นใยสีแดงนับไม่ถ้วนออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง  

 

 

ใยแมงมุมเพิ่มขึ้นในพริบตา มั่วชิงเฉินรีบถอยหลัง แต่กลับรู้สึกว่าด้านหลังก็มีความร้อนกลุ่มหนึ่ง จึงรีบหันกลับ แต่ตาข่ายใยแมงมุมถูกขึงไว้ด้านหลังเบ็ดเสร็จ นางจึงถูกล้อมไว้ตรงกลาง  

 

 

เห็นตาข่ายใยแมงมุมเปล่งแสงสีแดงวาว มั่วชิงเฉินจึงรีบเหาะไปด้านหน้า ฟันปราณโทสะแดงสายหนึ่งลง   

 

 

แล้วหลบไปด้านข้าง ปราณโทสะอีกสายจึงพุ่งลงดิน เกิดเป็นหลุมลึกหนึ่งหลุม  

 

 

ปราณโทสะมากมายพุ่งลงมา มั่วชิงเฉินถือเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่แปลงเป็นกระบี่ยาวต้านไว้ไม่หยุด ฟันปราณโทสะขาด ทยอยร่วงลงเส้นแล้วเส้นเล่าได้อย่างสวยสดงดงาม  

 

 

ทว่าการที่ร่างอยู่กลางตาข่ายกลับไม่เป็นผลดี เพราะจะถูกคลื่นปราณโทสะระลอกแล้วระลอกเล่าซัดเข้าพันพัวซ้อนกันไปเรื่อยๆ  

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ตาข่ายแมงมุมนี้รับมือยากจริงๆ ถ้าตาข่ายไม่ขาด ปราณโทสะด้านในก็เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ดีที่ตนมีเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นอาวุธกำราบ ถ้าคนอื่นเข้ามา แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรกับปราณโทสะชั้นนอกยังมีตาข่ายแมงมุมขึงอยู่อีก หนีไปไหนก็ไม่ได้ ไม่แน่ว่าพอพลังวิญญาณหมด ก็ต้องพลีชีพในตาข่ายแมงมุมแล้ว  

 

 

พอคิดว่าพลังวิญญาณในร่างตนใช่ว่าจะมีไม่จำกัด มั่วชิงเฉินจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ฟันปราณโทสะที่บดบังอยู่ด้านหน้า เข้าใกล้ใยแมงมุม แล้วใช้ปลายกระบี่เกี่ยวมันขึ้น  

 

 

แมงมุมยักษ์สั่นใยอย่างแรง ก่อนพุ่งเข้าหานางอย่างเดือดดาล  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบหลบ แล้วเหาะติดไปกับใยแมงมุมต่อ ด้านหนึ่งเหาะ อีกด้านหนึ่งก็ใช้ปลายกระบี่สำรวจ ซึ่งหลังจากสำรวจปมตาข่ายถ้วนทั่วทั้งผืน ก็รู้แล้วว่าจะจัดการอย่างไรดี  

 

 

นางหลับตาชั่วขณะ แล้วลืมตาดังเดิม ยกมือขึ้นสะบัด ปรากฏลูกหนามเหล็กออกมามากมาย แต่ละอันตกลงบนปมตาข่ายแมงมุม แล้วนิ้วทั้งสิบก็ดีดออก ปล่อยเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นกลุ่มๆ ตกลงบนลูกหนามเหล็ก  

 

 

ตาข่ายแมงมุมไฟในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยเปลวไฟสีน้ำแข็ง กลับดูเหมือนดวงดาวที่เยือกเย็นกำลังส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้าสีแดงเข้ม สวยงามดั่งภาพในจินตนาการ  

 

 

พอเห็นเปลวน้ำแข็งเหมันต์ปูเต็มตาข่ายแมงมุม มั่วชิงเฉินก็ใช้สองมือร่ายคาถา แล้วผลักออก “ทลาย!”  

 

 

เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่กำลังเด้งขึ้นเด้งลงก็กระจายออกเกาะติดตาข่ายแมงมุมทันที ตาข่ายทั้งผืนจึงกลายเป็นสีน้ำแข็งในพริบตา ได้ยินเสียงปริแตก ต่อด้วยเสียง  ปัง  ตาข่ายแมงมุมที่แข็งเป็นน้ำแข็งก้อนร่วงหล่นลงเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อย  

 

 

แมงมุมไฟอ่อนล้าจากการคายใยออกมา ส่วนหัวที่ติดกับขาหน้าทั้งสี่จึงหันมองด้านหลัง  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบหยิบธนูเขียวซ่อนเร้นออกมา ขึ้นคันธนู ลูกธนูน้ำแข็งเหมันต์พุ่งออกด้วยความเร็วสุดจะเปรียบ ปักเข้าที่ทรวงอกแมงมุมยักษ์ทันที  

 

 

เสียงร้องโหยหวนแปลกๆ ดังขึ้น ร่างแมงมุมยักษ์หงายหลัง ทรวงอกอยู่ด้านบน ขาทั้งแปดเตะอากาศไปมา ก่อนแน่นิ่งไป  

 

 

พอแมงมุมยักษ์ตาย แมงมุมตัวเท่ากำปั้นเหล่านั้นก็พลันถอยกลับดั่งสายน้ำไหล เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วหันมามองมั่วชิงเฉิน  

 

 

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังศพของแมงมุมยักษ์พลางหัวเราะ “ตัวนี้ เป็นของข้าสินะ”  

 

 

นางเป็นผู้สังหารแมงมุมยักษ์เพียงลำพัง เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วจึงต้องพยักหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย  

 

 

มั่วชิงเฉินค่อยเดินมาข้างศพแมงมุมยักษ์ ใช้กริชฟันปลาจิ้มสองสามครั้ง พอเห็นว่ามันตายสนิท ก็นั่งยองๆ แล้วลงมือผ่าอกเปิดท้อง หยิบต่อมผลิตเส้นใยออกมา  

 

 

ในต่อมผลิตเส้นใยเต็มไปด้วยใยอัคคีแดง ซึ่งเป็นของสุดล้ำค่าชิ้นหนึ่งนอกเหนือจากแก่นปีศาจ โดยแก่นปีศาจของแมงมุมยักษ์อยู่ถัดจากต่อมผลิตเส้นใยอีก  

 

 

มั่วชิงเฉินนำต่อมผลิตเส้นใยใส่ลงไปในกำไลเก็บวัตถุ และนำแก่นปีศาจทิ้งเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ  

 

 

อีกาไฟกำลังรออย่างน้ำลายสอ พอเห็นแก่นปีศาจก็รีบอ้าปากงับแล้วกลืนลงไป ทำให้ตลอดทั้งร่างของมันบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวดำ ก่อนค่อยๆ หลับตาลง  

 

 

เมื่อเก็บของล้ำค่าทั้งสองอย่างแล้ว ค่อยมองดูรูปลักษณ์อันน่าเกลียดน่ากลัวของแมงมุมยักษ์ มั่วชิงเฉินไม่สนใจอะไรในตัวมันแล้วจริงๆ จึงยืนขึ้น  

 

 

พอเห็นนางเดินกลับมา เวยซิงลิ่วจึงชี้ไปที่ศพแมงมุมยักษ์ “สหายมั่ว สิ่งนี้เจ้าไม่เอาหรือ”  

 

 

“ไม่เอา”  

 

 

“เช่นนั้น…ให้ข้านะ” เวยซิงลิ่วตาวาวขณะจ้องมองมั่วชิงเฉิน  

 

 

เห็นเขามีท่าทางหิว มั่วชิงเฉินก็หัวเราะ “เชิญสหายเวยซิงตามสบาย ถ้ามิใช่ทั้งสองท่านต้านทานแมงมุมตัวเล็กพวกนั้นไว้ละก็ ข้าน้อยก็ไม่มีทางใช้กำลังทั้งหมดต่อสู้กับแมงมุมหัวหน้าใหญ่ตัวนี้แล้ว”  

 

 

เวยเซิงลิ่วยิ้มหน้าบาน ก่อนเดินตุปัดตุเป๋เข้าไป ด้วยไม่คุ้นชินกับการเดินแบบมนุษย์ ดูๆ ไปก็ตลกอยู่บ้าง พอไปถึงข้างศพแมงมุมยักษ์ เขาก็นั่งแหมะลง ฉีกขาแมงมุมยักษ์เสียงดัง  กรอบ  แล้วก็เริ่มกัดกิน  

 

 

มั่วชิงเฉินกับเซี่ยหรันยืนอึ้งไปชั่วขณะ พริบตาเดียวก็ได้ยินแต่เสียง  กร้วมๆ  คล้ายเสียงขบเคี้ยวถั่วอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

เมื่อเห็นท่าทางเวยเซิงลิ่วกินอย่างเอร็ดอร่อย มุมปากของมั่วชิงเฉินก็กระตุก  

 

 

นางไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงความกล้าหาญหรือโศกนาฏกรรมความรักระหว่างคนกับปีศาจ ถ้าเป็นความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ยังเน้นการลดความขัดแย้งของค่านิยมเอย มุมมองชีวิตเอย แต่คนกับปีศาจ ช่องว่างนี้ไม่ห่างไปหน่อยหรือ  

 

 

พอเห็นมั่วชิงเฉินมองอย่างตะลึงงัน เวยเซิงลิ่วก็ชูขาแมงมุมในมือขึ้น “สหายมั่ว สักหน่อยไหม”  

 

 

ว่าแล้วยังใช้หางตามองเซี่ยหรันอย่างระมัดระวัง เกรงว่าเขาจะอยากกินด้วย  

 

 

เซี่ยหรันแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที ยกมือขึ้นกอดอก ไม่พูดไม่จา  

 

 

มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะ แล้วว่า “ขอบคุณสหายเวยเซิงมาก ข้าน้อยไม่หิว”  

 

 

เวยเซิงลิ่วคล้ายโล่งอก ไม่นานนักก็จัดการแมงมุมยักษ์เรียบร้อย ค่อยยืนขึ้น ยังไม่ลืมที่จะใช้หลังมือเช็ดปาก ก่อนก้าวยาวๆ กลับมา  

 

 

เมื่อทั้งสามจัดการแมงมุมที่จู่ๆ โผล่ออกมาเสร็จสรรพ ก็หันมองรอบๆ พบว่าบนศีรษะไม่เห็นท้องฟ้า เท้าด้านล่างเป็นดินชื้นแฉะ คล้ายเป็นถ้ำว่างเปล่า ที่มีทางเดินทั้งสี่ทิศ แต่ไม่รู้ว่าทางนั้นไปถึงไหน ดูมืดมนอยู่บ้าง  

 

 

“มีทางเดินมากมายเลย” เวยเซิงลิ่วเกาศีรษะตัวเอง  

 

 

เซี่ยหรันพลันส่งเสียง “ครั้งนี้ข้าเอง”  

 

 

ว่าแล้วสองมือก็ขยับไม่หยุด ร่ายคาถาบทแล้วบทเล่า แสงสีดำกะพริบรอบมือ ขับให้เห็นมือทั้งสองข้างที่ขาวเนียนดุจหยก  

 

 

ค้างคาวสีดำบินออกจากแขนเสื้อเขาทีละตัว กระพือปีกบินไปตามทางเดินเหล่านั้น  

 

 

เซี่ยหรันมีท่าทีเคร่งขรึม ขณะทำท่าเงี่ยหูฟัง  

 

 

ผ่านไปสักพัก หูก็กระดิก ก่อนชี้ไปยังทางเดินสายหนึ่ง “ในนี้ มีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ”  

 

 

พวกเขามาตามหาซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวากับดอกไม้พิสดารอยู่ ถ้าเป็นที่ที่มีดอกไม้พิสดาร ตามเหตุผลแล้ว ต้องมีอสูรปีศาจระดับสูงเฝ้าอยู่ ทางเดินสายนั้นมีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ความเป็นได้สูงที่จะเป็นจุดหมาย จึงมีมากหน่อย  

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านทั้งสองจะเข้าทางนั้นไหม” เซี่ยหรันเลิกคิ้ว  

 

 

เห็นที หากมั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วมีความคิดอื่น ทั้งสามก็ต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้ว  

 

 

“แน่นอน ต้องไปตามทางที่สหายเซี่ยเลือกอยู่แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มตอบ  

 

 

เซี่ยหรันมีความคิดเช่นนั้นในใจ จึงพยายามเลี่ยงที่จะพูดกับมั่วชิงเฉิน พอเห็นนางยิ้ม ก็หันไปทางอื่น  

 

 

“เรื่องเช่นนี้ ข้าไม่เชี่ยวชาญเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าว่าไปทางไหน ก็ไปทางนั้น” เวยเซิงลิ่วยิ้มซื่อๆ   

 

 

มั่วชิงเฉินแอบเบ้ปาก  โกหก ปีศาจบำเพ็ญเพียรแม้พูดได้ว่าชอบทำอะไรตรงไปตรงมา ตอนสำรวจก็มีลูกไม้ไม่มากเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียร แต่เพราะมีความสามารถของปีศาจ จึงมักว่องไวกว่ามนุษย์  

 

 

พอทั้งสามบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ก็เข้าไปในทางนั้น  

 

 

ทางเดินแคบ ลึก และเงียบ ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด จนสุดท้ายก็มองไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่น้อย  

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบตะเกียงฟักทองออกมา พอทิ้งหินวิญญาณลงไป แสงสีเหลืองขุ่นก็เปล่งออกทันทีพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ   

 

 

ตะเกียงฟักทองนี้เป็นผลผลิตจากสวนสมุนไพรพกพา แม้แสงมิได้สว่างมาก แต่ชนะเลิศเรื่องความเสถียร แม้เจอลมแรงกะทันหัน หรือปราณวิญญาณวุ่นวาย ก็ล้วนไม่ดับในทันที จึงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าการนำมาใช้กับทางเดินที่ลึก เงียบ และคาดเดาไม่ได้นี้  

 

 

แต่เห็นชัดว่าเซี่ยหรันไม่ชอบที่ตะเกียงฟักทองสว่างไม่พอ จึงพลิกมือ หยิบตะเกียงสนามอย่างดีออกมาดวงหนึ่ง  

 

 

ของทั่วๆ ไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรใช้ส่องสว่างในตอนกลางคืน ก็คือตะเกียงเขาขาว ส่วนของที่ดีที่สุดคือตะเกียงเขาม่วง และดวงที่อยู่ในมือเซี่ยหรันก็มีสีม่วง  

 

 

การให้ความสว่างของตะเกียงเขาม่วงไม่เหมือนกับตะเกียงฟักทองน่าขันในมือมั่วชิงเฉิน ที่ค่อยๆ ส่องสว่างรอบตัวเอง ทว่ามันรวมแสงเป็นจุดๆ เดียว แล้วส่องสว่างไปยังทางด้านหน้าคนทั้งสามได้ไกลนับสิบจั้ง  

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ในบันทึกหยกบอกว่า เซี่ยหรันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก แต่ดูลักษณะแล้ว ทางบ้านค่อนข้างร่ำรวยเลยทีเดียว  

 

 

ทั้งสามเดินไปข้างหน้าเคียงข้างกัน แต่ทางเดินยิ่งมาก็ยิ่งแคบ สุดท้ายก็ให้เดินได้เพียงคนเดียว  

 

 

เซี่ยหรันมองดูคนทั้งสอง ก่อนถือตะเกียงเขาม่วงอยู่หน้าสุด มั่วชิงเฉินอยู่ตรงกลาง เวยเซิงลิ่วรั้งท้าย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ทั้งสามจึงรักษาระห่างซึ่งกันและกัน  

 

 

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วเป็นต้องขมวดคิ้ว  

 

 

ที่คับแคบเช่นนี้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา จะปลีกตัวออกได้ยากสุด จึงไม่ประมาท หยิบระเบิดสะท้านฟ้าสองสามลูกมาคล้องมือไว้  

 

 

เป็นอย่างที่ว่า กลัวสิ่งใด ได้สิ่งนั้น ขณะทั้งสามเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เซี่ยหรันก็หรี่ตา  

 

 

ลูกไฟขนาดเท่าตระกร้าหวายลูกหนึ่งกลิ้งอย่างรวดเร็วมาจากด้านหน้า  

 

 

เซี่ยหรันรีบแปะยันต์ไว้บนร่างตัวเอง แล้วร่างทั้งร่างก็ปรากฏเกราะน้ำแข็งป้องกันตัว พอลูกไฟใกล้เข้ามาในระยะประชิด ร่างก็กระโดดไปข้างหน้า  

 

 

หินงอกหินย้อยบนเพดานถ้ำพลันส่องแสงสีแดงแวววาว ถ้าชนถูกมัน ก็เหมือนถูกที่คีบไฟแทงร่าง  

 

 

เซี่ยหรันเหงื่อตก แต่พริบตานี้คิดอะไรมากไม่ได้ สองมือก่อปราณดำ แล้วจับเข้าที่หินงอกหินย้อยสีแดงโดยตรง ความร้อนทำให้เกราะป้องกันสามชั้นของเขาแตกออกทันที และเผาฝ่ามือจนเป็นแผลพุพอง  

 

 

เซี่ยหรันไม่มีเวลาเจ็บปวด ควบคุมร่างให้ลงมายืนบนพื้น นับว่าหลบลูกไฟพ้นไปได้  

 

 

พอเห็นเซี่ยหรันที่อยู่ข้างหน้าขยับ มั่วชิงเฉินก็เตรียมพร้อม เร่งโคจรพลังวิญญาณ โยกย้ายเปลวน้ำแข็งเหมันต์ให้ปกคลุมทั้งร่าง แสงสีน้ำเงินวนรอบตัวชั่วขณะ คลับคล้ายเปลี่ยนเป็นสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน  

 

 

ทางเดินแคบเกิน กระทั่งเบี่ยงตัวหลบไม่ได้ บนศีรษะยังมีหินงอกหินย้อยคล้ายที่คีบไฟนับไม่ถ้วนแขวนอยู่ ตัวอย่างจากเซี่ยหรันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การกระโดดไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด พอเห็นลูกไฟเข้ามาใกล้ มั่วชิงเฉินก็เขย่งปลายเท้า ร่ายคาถาวารีตามรูป ร่างทั้งร่างจึงโค้งเป็นครึ่งวงกลม ทำให้ลูกไฟกลิ้งผ่านไปได้แบบเฉียดฉิว พอร่างตกถึงพื้น ก็ม้วนหน้าหนึ่งรอบ แล้วลุกขึ้นยืน ปลอดภัยหายห่วง  

 

 

ส่วนเวยเซิงลิ่วที่ตามอยู่ท้ายสุด อยากจะร้องไห้แล้ว  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 534-1 เสน่ห์ของปีศาจ

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 534-1 เสน่ห์ของปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มั่วชิงเฉินหลบไปด้านข้าง ใยแมงมุมไฟตามติดมาข้างแก้มนาง แล้วหักเลี้ยวฉับพลัน คิดพันตัวนางไว้       กลางฝ่ามือนางผุดดอกบัวสีน้ำแข็งขึ้นหนึ่งดอก ส่องแสงวาบกลายเป็นกระบี่ยาวหนึ่งด้าม ฟันลงไปที่ใยแมงมุมไฟอย่างแรง       จุดที่เส้นใยสัมผัสกับคมกระบี่เปลี่ยนจากสีแดงเพลิงเป็นสีฟ้าทันที พร้อมเสียงแตกละเอียด แล้วทั้งหมดก็แตกหักพร้อมกัน หล่นลงบนพื้น       แมงมุมยักษ์โกรธจัด ช่วงอกหดตัว ก่อนปล่อยเส้นใยสีแดงนับไม่ถ้วนออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง       ใยแมงมุมเพิ่มขึ้นในพริบตา มั่วชิงเฉินรีบถอยหลัง แต่กลับรู้สึกว่าด้านหลังก็มีความร้อนกลุ่มหนึ่ง จึงรีบหันกลับ แต่ตาข่ายใยแมงมุมถูกขึงไว้ด้านหลังเบ็ดเสร็จ นางจึงถูกล้อมไว้ตรงกลาง       เห็นตาข่ายใยแมงมุมเปล่งแสงสีแดงวาว มั่วชิงเฉินจึงรีบเหาะไปด้านหน้า ฟันปราณโทสะแดงสายหนึ่งลง        แล้วหลบไปด้านข้าง ปราณโทสะอีกสายจึงพุ่งลงดิน เกิดเป็นหลุมลึกหนึ่งหลุม       ปราณโทสะมากมายพุ่งลงมา มั่วชิงเฉินถือเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่แปลงเป็นกระบี่ยาวต้านไว้ไม่หยุด ฟันปราณโทสะขาด ทยอยร่วงลงเส้นแล้วเส้นเล่าได้อย่างสวยสดงดงาม       ทว่าการที่ร่างอยู่กลางตาข่ายกลับไม่เป็นผลดี เพราะจะถูกคลื่นปราณโทสะระลอกแล้วระลอกเล่าซัดเข้าพันพัวซ้อนกันไปเรื่อยๆ       มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ตาข่ายแมงมุมนี้รับมือยากจริงๆ ถ้าตาข่ายไม่ขาด ปราณโทสะด้านในก็เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ดีที่ตนมีเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นอาวุธกำราบ ถ้าคนอื่นเข้ามา แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรกับปราณโทสะชั้นนอกยังมีตาข่ายแมงมุมขึงอยู่อีก หนีไปไหนก็ไม่ได้ ไม่แน่ว่าพอพลังวิญญาณหมด ก็ต้องพลีชีพในตาข่ายแมงมุมแล้ว       พอคิดว่าพลังวิญญาณในร่างตนใช่ว่าจะมีไม่จำกัด มั่วชิงเฉินจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ฟันปราณโทสะที่บดบังอยู่ด้านหน้า เข้าใกล้ใยแมงมุม แล้วใช้ปลายกระบี่เกี่ยวมันขึ้น       แมงมุมยักษ์สั่นใยอย่างแรง ก่อนพุ่งเข้าหานางอย่างเดือดดาล       มั่วชิงเฉินรีบหลบ แล้วเหาะติดไปกับใยแมงมุมต่อ ด้านหนึ่งเหาะ อีกด้านหนึ่งก็ใช้ปลายกระบี่สำรวจ ซึ่งหลังจากสำรวจปมตาข่ายถ้วนทั่วทั้งผืน ก็รู้แล้วว่าจะจัดการอย่างไรดี       นางหลับตาชั่วขณะ แล้วลืมตาดังเดิม ยกมือขึ้นสะบัด ปรากฏลูกหนามเหล็กออกมามากมาย แต่ละอันตกลงบนปมตาข่ายแมงมุม แล้วนิ้วทั้งสิบก็ดีดออก ปล่อยเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นกลุ่มๆ ตกลงบนลูกหนามเหล็ก       ตาข่ายแมงมุมไฟในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยเปลวไฟสีน้ำแข็ง กลับดูเหมือนดวงดาวที่เยือกเย็นกำลังส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้าสีแดงเข้ม สวยงามดั่งภาพในจินตนาการ       พอเห็นเปลวน้ำแข็งเหมันต์ปูเต็มตาข่ายแมงมุม มั่วชิงเฉินก็ใช้สองมือร่ายคาถา แล้วผลักออก “ทลาย!”       เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่กำลังเด้งขึ้นเด้งลงก็กระจายออกเกาะติดตาข่ายแมงมุมทันที ตาข่ายทั้งผืนจึงกลายเป็นสีน้ำแข็งในพริบตา ได้ยินเสียงปริแตก ต่อด้วยเสียง  ปัง  ตาข่ายแมงมุมที่แข็งเป็นน้ำแข็งก้อนร่วงหล่นลงเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อย       แมงมุมไฟอ่อนล้าจากการคายใยออกมา ส่วนหัวที่ติดกับขาหน้าทั้งสี่จึงหันมองด้านหลัง       มั่วชิงเฉินรีบหยิบธนูเขียวซ่อนเร้นออกมา ขึ้นคันธนู ลูกธนูน้ำแข็งเหมันต์พุ่งออกด้วยความเร็วสุดจะเปรียบ ปักเข้าที่ทรวงอกแมงมุมยักษ์ทันที       เสียงร้องโหยหวนแปลกๆ ดังขึ้น ร่างแมงมุมยักษ์หงายหลัง ทรวงอกอยู่ด้านบน ขาทั้งแปดเตะอากาศไปมา ก่อนแน่นิ่งไป       พอแมงมุมยักษ์ตาย แมงมุมตัวเท่ากำปั้นเหล่านั้นก็พลันถอยกลับดั่งสายน้ำไหล เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วหันมามองมั่วชิงเฉิน       มั่วชิงเฉินชี้ไปยังศพของแมงมุมยักษ์พลางหัวเราะ “ตัวนี้ เป็นของข้าสินะ”       นางเป็นผู้สังหารแมงมุมยักษ์เพียงลำพัง เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วจึงต้องพยักหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย       มั่วชิงเฉินค่อยเดินมาข้างศพแมงมุมยักษ์ ใช้กริชฟันปลาจิ้มสองสามครั้ง พอเห็นว่ามันตายสนิท ก็นั่งยองๆ แล้วลงมือผ่าอกเปิดท้อง หยิบต่อมผลิตเส้นใยออกมา       ในต่อมผลิตเส้นใยเต็มไปด้วยใยอัคคีแดง ซึ่งเป็นของสุดล้ำค่าชิ้นหนึ่งนอกเหนือจากแก่นปีศาจ โดยแก่นปีศาจของแมงมุมยักษ์อยู่ถัดจากต่อมผลิตเส้นใยอีก       มั่วชิงเฉินนำต่อมผลิตเส้นใยใส่ลงไปในกำไลเก็บวัตถุ และนำแก่นปีศาจทิ้งเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ       อีกาไฟกำลังรออย่างน้ำลายสอ พอเห็นแก่นปีศาจก็รีบอ้าปากงับแล้วกลืนลงไป ทำให้ตลอดทั้งร่างของมันบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวดำ ก่อนค่อยๆ หลับตาลง       เมื่อเก็บของล้ำค่าทั้งสองอย่างแล้ว ค่อยมองดูรูปลักษณ์อันน่าเกลียดน่ากลัวของแมงมุมยักษ์ มั่วชิงเฉินไม่สนใจอะไรในตัวมันแล้วจริงๆ จึงยืนขึ้น       พอเห็นนางเดินกลับมา เวยซิงลิ่วจึงชี้ไปที่ศพแมงมุมยักษ์ “สหายมั่ว สิ่งนี้เจ้าไม่เอาหรือ”       “ไม่เอา”       “เช่นนั้น…ให้ข้านะ” เวยซิงลิ่วตาวาวขณะจ้องมองมั่วชิงเฉิน       เห็นเขามีท่าทางหิว มั่วชิงเฉินก็หัวเราะ “เชิญสหายเวยซิงตามสบาย ถ้ามิใช่ทั้งสองท่านต้านทานแมงมุมตัวเล็กพวกนั้นไว้ละก็ ข้าน้อยก็ไม่มีทางใช้กำลังทั้งหมดต่อสู้กับแมงมุมหัวหน้าใหญ่ตัวนี้แล้ว”       เวยเซิงลิ่วยิ้มหน้าบาน ก่อนเดินตุปัดตุเป๋เข้าไป ด้วยไม่คุ้นชินกับการเดินแบบมนุษย์ ดูๆ ไปก็ตลกอยู่บ้าง พอไปถึงข้างศพแมงมุมยักษ์ เขาก็นั่งแหมะลง ฉีกขาแมงมุมยักษ์เสียงดัง  กรอบ  แล้วก็เริ่มกัดกิน       มั่วชิงเฉินกับเซี่ยหรันยืนอึ้งไปชั่วขณะ พริบตาเดียวก็ได้ยินแต่เสียง  กร้วมๆ  คล้ายเสียงขบเคี้ยวถั่วอย่างไรอย่างนั้น       เมื่อเห็นท่าทางเวยเซิงลิ่วกินอย่างเอร็ดอร่อย มุมปากของมั่วชิงเฉินก็กระตุก       นางไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงความกล้าหาญหรือโศกนาฏกรรมความรักระหว่างคนกับปีศาจ ถ้าเป็นความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ยังเน้นการลดความขัดแย้งของค่านิยมเอย มุมมองชีวิตเอย แต่คนกับปีศาจ ช่องว่างนี้ไม่ห่างไปหน่อยหรือ       พอเห็นมั่วชิงเฉินมองอย่างตะลึงงัน เวยเซิงลิ่วก็ชูขาแมงมุมในมือขึ้น “สหายมั่ว สักหน่อยไหม”       ว่าแล้วยังใช้หางตามองเซี่ยหรันอย่างระมัดระวัง เกรงว่าเขาจะอยากกินด้วย       เซี่ยหรันแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที ยกมือขึ้นกอดอก ไม่พูดไม่จา       มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะ แล้วว่า “ขอบคุณสหายเวยเซิงมาก ข้าน้อยไม่หิว”       เวยเซิงลิ่วคล้ายโล่งอก ไม่นานนักก็จัดการแมงมุมยักษ์เรียบร้อย ค่อยยืนขึ้น ยังไม่ลืมที่จะใช้หลังมือเช็ดปาก ก่อนก้าวยาวๆ กลับมา       เมื่อทั้งสามจัดการแมงมุมที่จู่ๆ โผล่ออกมาเสร็จสรรพ ก็หันมองรอบๆ พบว่าบนศีรษะไม่เห็นท้องฟ้า เท้าด้านล่างเป็นดินชื้นแฉะ คล้ายเป็นถ้ำว่างเปล่า ที่มีทางเดินทั้งสี่ทิศ แต่ไม่รู้ว่าทางนั้นไปถึงไหน ดูมืดมนอยู่บ้าง       “มีทางเดินมากมายเลย” เวยเซิงลิ่วเกาศีรษะตัวเอง       เซี่ยหรันพลันส่งเสียง “ครั้งนี้ข้าเอง”       ว่าแล้วสองมือก็ขยับไม่หยุด ร่ายคาถาบทแล้วบทเล่า แสงสีดำกะพริบรอบมือ ขับให้เห็นมือทั้งสองข้างที่ขาวเนียนดุจหยก       ค้างคาวสีดำบินออกจากแขนเสื้อเขาทีละตัว กระพือปีกบินไปตามทางเดินเหล่านั้น       เซี่ยหรันมีท่าทีเคร่งขรึม ขณะทำท่าเงี่ยหูฟัง       ผ่านไปสักพัก หูก็กระดิก ก่อนชี้ไปยังทางเดินสายหนึ่ง “ในนี้ มีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ”       พวกเขามาตามหาซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวากับดอกไม้พิสดารอยู่ ถ้าเป็นที่ที่มีดอกไม้พิสดาร ตามเหตุผลแล้ว ต้องมีอสูรปีศาจระดับสูงเฝ้าอยู่ ทางเดินสายนั้นมีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ความเป็นได้สูงที่จะเป็นจุดหมาย จึงมีมากหน่อย       “เป็นอย่างไรบ้าง ท่านทั้งสองจะเข้าทางนั้นไหม” เซี่ยหรันเลิกคิ้ว       เห็นที หากมั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วมีความคิดอื่น ทั้งสามก็ต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้ว       “แน่นอน ต้องไปตามทางที่สหายเซี่ยเลือกอยู่แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มตอบ       เซี่ยหรันมีความคิดเช่นนั้นในใจ จึงพยายามเลี่ยงที่จะพูดกับมั่วชิงเฉิน พอเห็นนางยิ้ม ก็หันไปทางอื่น       “เรื่องเช่นนี้ ข้าไม่เชี่ยวชาญเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าว่าไปทางไหน ก็ไปทางนั้น” เวยเซิงลิ่วยิ้มซื่อๆ        มั่วชิงเฉินแอบเบ้ปาก  โกหก ปีศาจบำเพ็ญเพียรแม้พูดได้ว่าชอบทำอะไรตรงไปตรงมา ตอนสำรวจก็มีลูกไม้ไม่มากเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียร แต่เพราะมีความสามารถของปีศาจ จึงมักว่องไวกว่ามนุษย์       พอทั้งสามบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ก็เข้าไปในทางนั้น       ทางเดินแคบ ลึก และเงียบ ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด จนสุดท้ายก็มองไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่น้อย       มั่วชิงเฉินหยิบตะเกียงฟักทองออกมา พอทิ้งหินวิญญาณลงไป แสงสีเหลืองขุ่นก็เปล่งออกทันทีพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ        ตะเกียงฟักทองนี้เป็นผลผลิตจากสวนสมุนไพรพกพา แม้แสงมิได้สว่างมาก แต่ชนะเลิศเรื่องความเสถียร แม้เจอลมแรงกะทันหัน หรือปราณวิญญาณวุ่นวาย ก็ล้วนไม่ดับในทันที จึงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าการนำมาใช้กับทางเดินที่ลึก เงียบ และคาดเดาไม่ได้นี้       แต่เห็นชัดว่าเซี่ยหรันไม่ชอบที่ตะเกียงฟักทองสว่างไม่พอ จึงพลิกมือ หยิบตะเกียงสนามอย่างดีออกมาดวงหนึ่ง       ของทั่วๆ ไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรใช้ส่องสว่างในตอนกลางคืน ก็คือตะเกียงเขาขาว ส่วนของที่ดีที่สุดคือตะเกียงเขาม่วง และดวงที่อยู่ในมือเซี่ยหรันก็มีสีม่วง       การให้ความสว่างของตะเกียงเขาม่วงไม่เหมือนกับตะเกียงฟักทองน่าขันในมือมั่วชิงเฉิน ที่ค่อยๆ ส่องสว่างรอบตัวเอง ทว่ามันรวมแสงเป็นจุดๆ เดียว แล้วส่องสว่างไปยังทางด้านหน้าคนทั้งสามได้ไกลนับสิบจั้ง       มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ในบันทึกหยกบอกว่า เซี่ยหรันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก แต่ดูลักษณะแล้ว ทางบ้านค่อนข้างร่ำรวยเลยทีเดียว       ทั้งสามเดินไปข้างหน้าเคียงข้างกัน แต่ทางเดินยิ่งมาก็ยิ่งแคบ สุดท้ายก็ให้เดินได้เพียงคนเดียว       เซี่ยหรันมองดูคนทั้งสอง ก่อนถือตะเกียงเขาม่วงอยู่หน้าสุด มั่วชิงเฉินอยู่ตรงกลาง เวยเซิงลิ่วรั้งท้าย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ทั้งสามจึงรักษาระห่างซึ่งกันและกัน       สภาพแวดล้อมเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วเป็นต้องขมวดคิ้ว       ที่คับแคบเช่นนี้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา จะปลีกตัวออกได้ยากสุด จึงไม่ประมาท หยิบระเบิดสะท้านฟ้าสองสามลูกมาคล้องมือไว้       เป็นอย่างที่ว่า กลัวสิ่งใด ได้สิ่งนั้น ขณะทั้งสามเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เซี่ยหรันก็หรี่ตา       ลูกไฟขนาดเท่าตระกร้าหวายลูกหนึ่งกลิ้งอย่างรวดเร็วมาจากด้านหน้า       เซี่ยหรันรีบแปะยันต์ไว้บนร่างตัวเอง แล้วร่างทั้งร่างก็ปรากฏเกราะน้ำแข็งป้องกันตัว พอลูกไฟใกล้เข้ามาในระยะประชิด ร่างก็กระโดดไปข้างหน้า       หินงอกหินย้อยบนเพดานถ้ำพลันส่องแสงสีแดงแวววาว ถ้าชนถูกมัน ก็เหมือนถูกที่คีบไฟแทงร่าง       เซี่ยหรันเหงื่อตก แต่พริบตานี้คิดอะไรมากไม่ได้ สองมือก่อปราณดำ แล้วจับเข้าที่หินงอกหินย้อยสีแดงโดยตรง ความร้อนทำให้เกราะป้องกันสามชั้นของเขาแตกออกทันที และเผาฝ่ามือจนเป็นแผลพุพอง       เซี่ยหรันไม่มีเวลาเจ็บปวด ควบคุมร่างให้ลงมายืนบนพื้น นับว่าหลบลูกไฟพ้นไปได้       พอเห็นเซี่ยหรันที่อยู่ข้างหน้าขยับ มั่วชิงเฉินก็เตรียมพร้อม เร่งโคจรพลังวิญญาณ โยกย้ายเปลวน้ำแข็งเหมันต์ให้ปกคลุมทั้งร่าง แสงสีน้ำเงินวนรอบตัวชั่วขณะ คลับคล้ายเปลี่ยนเป็นสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน       ทางเดินแคบเกิน กระทั่งเบี่ยงตัวหลบไม่ได้ บนศีรษะยังมีหินงอกหินย้อยคล้ายที่คีบไฟนับไม่ถ้วนแขวนอยู่ ตัวอย่างจากเซี่ยหรันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การกระโดดไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด พอเห็นลูกไฟเข้ามาใกล้ มั่วชิงเฉินก็เขย่งปลายเท้า ร่ายคาถาวารีตามรูป ร่างทั้งร่างจึงโค้งเป็นครึ่งวงกลม ทำให้ลูกไฟกลิ้งผ่านไปได้แบบเฉียดฉิว พอร่างตกถึงพื้น ก็ม้วนหน้าหนึ่งรอบ แล้วลุกขึ้นยืน ปลอดภัยหายห่วง       ส่วนเวยเซิงลิ่วที่ตามอยู่ท้ายสุด อยากจะร้องไห้แล้ว  

มั่วชิงเฉินหลบไปด้านข้าง ใยแมงมุมไฟตามติดมาข้างแก้มนาง แล้วหักเลี้ยวฉับพลัน คิดพันตัวนางไว้  

 

 

กลางฝ่ามือนางผุดดอกบัวสีน้ำแข็งขึ้นหนึ่งดอก ส่องแสงวาบกลายเป็นกระบี่ยาวหนึ่งด้าม ฟันลงไปที่ใยแมงมุมไฟอย่างแรง  

 

 

จุดที่เส้นใยสัมผัสกับคมกระบี่เปลี่ยนจากสีแดงเพลิงเป็นสีฟ้าทันที พร้อมเสียงแตกละเอียด แล้วทั้งหมดก็แตกหักพร้อมกัน หล่นลงบนพื้น  

 

 

แมงมุมยักษ์โกรธจัด ช่วงอกหดตัว ก่อนปล่อยเส้นใยสีแดงนับไม่ถ้วนออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง  

 

 

ใยแมงมุมเพิ่มขึ้นในพริบตา มั่วชิงเฉินรีบถอยหลัง แต่กลับรู้สึกว่าด้านหลังก็มีความร้อนกลุ่มหนึ่ง จึงรีบหันกลับ แต่ตาข่ายใยแมงมุมถูกขึงไว้ด้านหลังเบ็ดเสร็จ นางจึงถูกล้อมไว้ตรงกลาง  

 

 

เห็นตาข่ายใยแมงมุมเปล่งแสงสีแดงวาว มั่วชิงเฉินจึงรีบเหาะไปด้านหน้า ฟันปราณโทสะแดงสายหนึ่งลง   

 

 

แล้วหลบไปด้านข้าง ปราณโทสะอีกสายจึงพุ่งลงดิน เกิดเป็นหลุมลึกหนึ่งหลุม  

 

 

ปราณโทสะมากมายพุ่งลงมา มั่วชิงเฉินถือเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่แปลงเป็นกระบี่ยาวต้านไว้ไม่หยุด ฟันปราณโทสะขาด ทยอยร่วงลงเส้นแล้วเส้นเล่าได้อย่างสวยสดงดงาม  

 

 

ทว่าการที่ร่างอยู่กลางตาข่ายกลับไม่เป็นผลดี เพราะจะถูกคลื่นปราณโทสะระลอกแล้วระลอกเล่าซัดเข้าพันพัวซ้อนกันไปเรื่อยๆ  

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ตาข่ายแมงมุมนี้รับมือยากจริงๆ ถ้าตาข่ายไม่ขาด ปราณโทสะด้านในก็เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ดีที่ตนมีเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นอาวุธกำราบ ถ้าคนอื่นเข้ามา แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรกับปราณโทสะชั้นนอกยังมีตาข่ายแมงมุมขึงอยู่อีก หนีไปไหนก็ไม่ได้ ไม่แน่ว่าพอพลังวิญญาณหมด ก็ต้องพลีชีพในตาข่ายแมงมุมแล้ว  

 

 

พอคิดว่าพลังวิญญาณในร่างตนใช่ว่าจะมีไม่จำกัด มั่วชิงเฉินจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ฟันปราณโทสะที่บดบังอยู่ด้านหน้า เข้าใกล้ใยแมงมุม แล้วใช้ปลายกระบี่เกี่ยวมันขึ้น  

 

 

แมงมุมยักษ์สั่นใยอย่างแรง ก่อนพุ่งเข้าหานางอย่างเดือดดาล  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบหลบ แล้วเหาะติดไปกับใยแมงมุมต่อ ด้านหนึ่งเหาะ อีกด้านหนึ่งก็ใช้ปลายกระบี่สำรวจ ซึ่งหลังจากสำรวจปมตาข่ายถ้วนทั่วทั้งผืน ก็รู้แล้วว่าจะจัดการอย่างไรดี  

 

 

นางหลับตาชั่วขณะ แล้วลืมตาดังเดิม ยกมือขึ้นสะบัด ปรากฏลูกหนามเหล็กออกมามากมาย แต่ละอันตกลงบนปมตาข่ายแมงมุม แล้วนิ้วทั้งสิบก็ดีดออก ปล่อยเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นกลุ่มๆ ตกลงบนลูกหนามเหล็ก  

 

 

ตาข่ายแมงมุมไฟในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยเปลวไฟสีน้ำแข็ง กลับดูเหมือนดวงดาวที่เยือกเย็นกำลังส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้าสีแดงเข้ม สวยงามดั่งภาพในจินตนาการ  

 

 

พอเห็นเปลวน้ำแข็งเหมันต์ปูเต็มตาข่ายแมงมุม มั่วชิงเฉินก็ใช้สองมือร่ายคาถา แล้วผลักออก “ทลาย!”  

 

 

เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่กำลังเด้งขึ้นเด้งลงก็กระจายออกเกาะติดตาข่ายแมงมุมทันที ตาข่ายทั้งผืนจึงกลายเป็นสีน้ำแข็งในพริบตา ได้ยินเสียงปริแตก ต่อด้วยเสียง  ปัง  ตาข่ายแมงมุมที่แข็งเป็นน้ำแข็งก้อนร่วงหล่นลงเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อย  

 

 

แมงมุมไฟอ่อนล้าจากการคายใยออกมา ส่วนหัวที่ติดกับขาหน้าทั้งสี่จึงหันมองด้านหลัง  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบหยิบธนูเขียวซ่อนเร้นออกมา ขึ้นคันธนู ลูกธนูน้ำแข็งเหมันต์พุ่งออกด้วยความเร็วสุดจะเปรียบ ปักเข้าที่ทรวงอกแมงมุมยักษ์ทันที  

 

 

เสียงร้องโหยหวนแปลกๆ ดังขึ้น ร่างแมงมุมยักษ์หงายหลัง ทรวงอกอยู่ด้านบน ขาทั้งแปดเตะอากาศไปมา ก่อนแน่นิ่งไป  

 

 

พอแมงมุมยักษ์ตาย แมงมุมตัวเท่ากำปั้นเหล่านั้นก็พลันถอยกลับดั่งสายน้ำไหล เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วหันมามองมั่วชิงเฉิน  

 

 

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังศพของแมงมุมยักษ์พลางหัวเราะ “ตัวนี้ เป็นของข้าสินะ”  

 

 

นางเป็นผู้สังหารแมงมุมยักษ์เพียงลำพัง เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วจึงต้องพยักหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย  

 

 

มั่วชิงเฉินค่อยเดินมาข้างศพแมงมุมยักษ์ ใช้กริชฟันปลาจิ้มสองสามครั้ง พอเห็นว่ามันตายสนิท ก็นั่งยองๆ แล้วลงมือผ่าอกเปิดท้อง หยิบต่อมผลิตเส้นใยออกมา  

 

 

ในต่อมผลิตเส้นใยเต็มไปด้วยใยอัคคีแดง ซึ่งเป็นของสุดล้ำค่าชิ้นหนึ่งนอกเหนือจากแก่นปีศาจ โดยแก่นปีศาจของแมงมุมยักษ์อยู่ถัดจากต่อมผลิตเส้นใยอีก  

 

 

มั่วชิงเฉินนำต่อมผลิตเส้นใยใส่ลงไปในกำไลเก็บวัตถุ และนำแก่นปีศาจทิ้งเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ  

 

 

อีกาไฟกำลังรออย่างน้ำลายสอ พอเห็นแก่นปีศาจก็รีบอ้าปากงับแล้วกลืนลงไป ทำให้ตลอดทั้งร่างของมันบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวดำ ก่อนค่อยๆ หลับตาลง  

 

 

เมื่อเก็บของล้ำค่าทั้งสองอย่างแล้ว ค่อยมองดูรูปลักษณ์อันน่าเกลียดน่ากลัวของแมงมุมยักษ์ มั่วชิงเฉินไม่สนใจอะไรในตัวมันแล้วจริงๆ จึงยืนขึ้น  

 

 

พอเห็นนางเดินกลับมา เวยซิงลิ่วจึงชี้ไปที่ศพแมงมุมยักษ์ “สหายมั่ว สิ่งนี้เจ้าไม่เอาหรือ”  

 

 

“ไม่เอา”  

 

 

“เช่นนั้น…ให้ข้านะ” เวยซิงลิ่วตาวาวขณะจ้องมองมั่วชิงเฉิน  

 

 

เห็นเขามีท่าทางหิว มั่วชิงเฉินก็หัวเราะ “เชิญสหายเวยซิงตามสบาย ถ้ามิใช่ทั้งสองท่านต้านทานแมงมุมตัวเล็กพวกนั้นไว้ละก็ ข้าน้อยก็ไม่มีทางใช้กำลังทั้งหมดต่อสู้กับแมงมุมหัวหน้าใหญ่ตัวนี้แล้ว”  

 

 

เวยเซิงลิ่วยิ้มหน้าบาน ก่อนเดินตุปัดตุเป๋เข้าไป ด้วยไม่คุ้นชินกับการเดินแบบมนุษย์ ดูๆ ไปก็ตลกอยู่บ้าง พอไปถึงข้างศพแมงมุมยักษ์ เขาก็นั่งแหมะลง ฉีกขาแมงมุมยักษ์เสียงดัง  กรอบ  แล้วก็เริ่มกัดกิน  

 

 

มั่วชิงเฉินกับเซี่ยหรันยืนอึ้งไปชั่วขณะ พริบตาเดียวก็ได้ยินแต่เสียง  กร้วมๆ  คล้ายเสียงขบเคี้ยวถั่วอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

เมื่อเห็นท่าทางเวยเซิงลิ่วกินอย่างเอร็ดอร่อย มุมปากของมั่วชิงเฉินก็กระตุก  

 

 

นางไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงความกล้าหาญหรือโศกนาฏกรรมความรักระหว่างคนกับปีศาจ ถ้าเป็นความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ยังเน้นการลดความขัดแย้งของค่านิยมเอย มุมมองชีวิตเอย แต่คนกับปีศาจ ช่องว่างนี้ไม่ห่างไปหน่อยหรือ  

 

 

พอเห็นมั่วชิงเฉินมองอย่างตะลึงงัน เวยเซิงลิ่วก็ชูขาแมงมุมในมือขึ้น “สหายมั่ว สักหน่อยไหม”  

 

 

ว่าแล้วยังใช้หางตามองเซี่ยหรันอย่างระมัดระวัง เกรงว่าเขาจะอยากกินด้วย  

 

 

เซี่ยหรันแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที ยกมือขึ้นกอดอก ไม่พูดไม่จา  

 

 

มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะ แล้วว่า “ขอบคุณสหายเวยเซิงมาก ข้าน้อยไม่หิว”  

 

 

เวยเซิงลิ่วคล้ายโล่งอก ไม่นานนักก็จัดการแมงมุมยักษ์เรียบร้อย ค่อยยืนขึ้น ยังไม่ลืมที่จะใช้หลังมือเช็ดปาก ก่อนก้าวยาวๆ กลับมา  

 

 

เมื่อทั้งสามจัดการแมงมุมที่จู่ๆ โผล่ออกมาเสร็จสรรพ ก็หันมองรอบๆ พบว่าบนศีรษะไม่เห็นท้องฟ้า เท้าด้านล่างเป็นดินชื้นแฉะ คล้ายเป็นถ้ำว่างเปล่า ที่มีทางเดินทั้งสี่ทิศ แต่ไม่รู้ว่าทางนั้นไปถึงไหน ดูมืดมนอยู่บ้าง  

 

 

“มีทางเดินมากมายเลย” เวยเซิงลิ่วเกาศีรษะตัวเอง  

 

 

เซี่ยหรันพลันส่งเสียง “ครั้งนี้ข้าเอง”  

 

 

ว่าแล้วสองมือก็ขยับไม่หยุด ร่ายคาถาบทแล้วบทเล่า แสงสีดำกะพริบรอบมือ ขับให้เห็นมือทั้งสองข้างที่ขาวเนียนดุจหยก  

 

 

ค้างคาวสีดำบินออกจากแขนเสื้อเขาทีละตัว กระพือปีกบินไปตามทางเดินเหล่านั้น  

 

 

เซี่ยหรันมีท่าทีเคร่งขรึม ขณะทำท่าเงี่ยหูฟัง  

 

 

ผ่านไปสักพัก หูก็กระดิก ก่อนชี้ไปยังทางเดินสายหนึ่ง “ในนี้ มีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ”  

 

 

พวกเขามาตามหาซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวากับดอกไม้พิสดารอยู่ ถ้าเป็นที่ที่มีดอกไม้พิสดาร ตามเหตุผลแล้ว ต้องมีอสูรปีศาจระดับสูงเฝ้าอยู่ ทางเดินสายนั้นมีปราณรุนแรงของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ความเป็นได้สูงที่จะเป็นจุดหมาย จึงมีมากหน่อย  

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านทั้งสองจะเข้าทางนั้นไหม” เซี่ยหรันเลิกคิ้ว  

 

 

เห็นที หากมั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วมีความคิดอื่น ทั้งสามก็ต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้ว  

 

 

“แน่นอน ต้องไปตามทางที่สหายเซี่ยเลือกอยู่แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มตอบ  

 

 

เซี่ยหรันมีความคิดเช่นนั้นในใจ จึงพยายามเลี่ยงที่จะพูดกับมั่วชิงเฉิน พอเห็นนางยิ้ม ก็หันไปทางอื่น  

 

 

“เรื่องเช่นนี้ ข้าไม่เชี่ยวชาญเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าว่าไปทางไหน ก็ไปทางนั้น” เวยเซิงลิ่วยิ้มซื่อๆ   

 

 

มั่วชิงเฉินแอบเบ้ปาก  โกหก ปีศาจบำเพ็ญเพียรแม้พูดได้ว่าชอบทำอะไรตรงไปตรงมา ตอนสำรวจก็มีลูกไม้ไม่มากเท่ามนุษย์บำเพ็ญเพียร แต่เพราะมีความสามารถของปีศาจ จึงมักว่องไวกว่ามนุษย์  

 

 

พอทั้งสามบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ก็เข้าไปในทางนั้น  

 

 

ทางเดินแคบ ลึก และเงียบ ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด จนสุดท้ายก็มองไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่น้อย  

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบตะเกียงฟักทองออกมา พอทิ้งหินวิญญาณลงไป แสงสีเหลืองขุ่นก็เปล่งออกทันทีพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ   

 

 

ตะเกียงฟักทองนี้เป็นผลผลิตจากสวนสมุนไพรพกพา แม้แสงมิได้สว่างมาก แต่ชนะเลิศเรื่องความเสถียร แม้เจอลมแรงกะทันหัน หรือปราณวิญญาณวุ่นวาย ก็ล้วนไม่ดับในทันที จึงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าการนำมาใช้กับทางเดินที่ลึก เงียบ และคาดเดาไม่ได้นี้  

 

 

แต่เห็นชัดว่าเซี่ยหรันไม่ชอบที่ตะเกียงฟักทองสว่างไม่พอ จึงพลิกมือ หยิบตะเกียงสนามอย่างดีออกมาดวงหนึ่ง  

 

 

ของทั่วๆ ไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรใช้ส่องสว่างในตอนกลางคืน ก็คือตะเกียงเขาขาว ส่วนของที่ดีที่สุดคือตะเกียงเขาม่วง และดวงที่อยู่ในมือเซี่ยหรันก็มีสีม่วง  

 

 

การให้ความสว่างของตะเกียงเขาม่วงไม่เหมือนกับตะเกียงฟักทองน่าขันในมือมั่วชิงเฉิน ที่ค่อยๆ ส่องสว่างรอบตัวเอง ทว่ามันรวมแสงเป็นจุดๆ เดียว แล้วส่องสว่างไปยังทางด้านหน้าคนทั้งสามได้ไกลนับสิบจั้ง  

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว ในบันทึกหยกบอกว่า เซี่ยหรันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก แต่ดูลักษณะแล้ว ทางบ้านค่อนข้างร่ำรวยเลยทีเดียว  

 

 

ทั้งสามเดินไปข้างหน้าเคียงข้างกัน แต่ทางเดินยิ่งมาก็ยิ่งแคบ สุดท้ายก็ให้เดินได้เพียงคนเดียว  

 

 

เซี่ยหรันมองดูคนทั้งสอง ก่อนถือตะเกียงเขาม่วงอยู่หน้าสุด มั่วชิงเฉินอยู่ตรงกลาง เวยเซิงลิ่วรั้งท้าย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ทั้งสามจึงรักษาระห่างซึ่งกันและกัน  

 

 

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเห็นแล้วเป็นต้องขมวดคิ้ว  

 

 

ที่คับแคบเช่นนี้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา จะปลีกตัวออกได้ยากสุด จึงไม่ประมาท หยิบระเบิดสะท้านฟ้าสองสามลูกมาคล้องมือไว้  

 

 

เป็นอย่างที่ว่า กลัวสิ่งใด ได้สิ่งนั้น ขณะทั้งสามเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เซี่ยหรันก็หรี่ตา  

 

 

ลูกไฟขนาดเท่าตระกร้าหวายลูกหนึ่งกลิ้งอย่างรวดเร็วมาจากด้านหน้า  

 

 

เซี่ยหรันรีบแปะยันต์ไว้บนร่างตัวเอง แล้วร่างทั้งร่างก็ปรากฏเกราะน้ำแข็งป้องกันตัว พอลูกไฟใกล้เข้ามาในระยะประชิด ร่างก็กระโดดไปข้างหน้า  

 

 

หินงอกหินย้อยบนเพดานถ้ำพลันส่องแสงสีแดงแวววาว ถ้าชนถูกมัน ก็เหมือนถูกที่คีบไฟแทงร่าง  

 

 

เซี่ยหรันเหงื่อตก แต่พริบตานี้คิดอะไรมากไม่ได้ สองมือก่อปราณดำ แล้วจับเข้าที่หินงอกหินย้อยสีแดงโดยตรง ความร้อนทำให้เกราะป้องกันสามชั้นของเขาแตกออกทันที และเผาฝ่ามือจนเป็นแผลพุพอง  

 

 

เซี่ยหรันไม่มีเวลาเจ็บปวด ควบคุมร่างให้ลงมายืนบนพื้น นับว่าหลบลูกไฟพ้นไปได้  

 

 

พอเห็นเซี่ยหรันที่อยู่ข้างหน้าขยับ มั่วชิงเฉินก็เตรียมพร้อม เร่งโคจรพลังวิญญาณ โยกย้ายเปลวน้ำแข็งเหมันต์ให้ปกคลุมทั้งร่าง แสงสีน้ำเงินวนรอบตัวชั่วขณะ คลับคล้ายเปลี่ยนเป็นสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน  

 

 

ทางเดินแคบเกิน กระทั่งเบี่ยงตัวหลบไม่ได้ บนศีรษะยังมีหินงอกหินย้อยคล้ายที่คีบไฟนับไม่ถ้วนแขวนอยู่ ตัวอย่างจากเซี่ยหรันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การกระโดดไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด พอเห็นลูกไฟเข้ามาใกล้ มั่วชิงเฉินก็เขย่งปลายเท้า ร่ายคาถาวารีตามรูป ร่างทั้งร่างจึงโค้งเป็นครึ่งวงกลม ทำให้ลูกไฟกลิ้งผ่านไปได้แบบเฉียดฉิว พอร่างตกถึงพื้น ก็ม้วนหน้าหนึ่งรอบ แล้วลุกขึ้นยืน ปลอดภัยหายห่วง  

 

 

ส่วนเวยเซิงลิ่วที่ตามอยู่ท้ายสุด อยากจะร้องไห้แล้ว  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+