Abe the Wizard 10 ออกเดินทาง!

Now you are reading Abe the Wizard Chapter 10 ออกเดินทาง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

AtW ตอนที่ 10 ออกเดินทาง!

 

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

 

เช้าวันใหม่ของเดือนธันวา มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่ปราสาทเบ็นเน็ตต์แห่งนี้ เหล่าคนรับใช้ทำความสะอาดคอกม้าทันทีที่พวกเขาตื่นขึ้น คนเลี้ยงม้าให้ถั่วกับม้าทั้งสองคันรถ เหล่าคนรับใช้คนอื่นๆ คอยเช็ดถูดาบ เกราะ และรองเท้าให้สภาพเหมือนใหม่และพร้อมใช้งานอยู่เสมอ บังเหียนใหม่สำหรับม้าของอัศวินเบ็นเน็ตต์ได้ถูกสวมขึ้น

 

อาเบลพร้อมกับคนรับใช้ได้ออกมาจากปราสาทพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ มีทหารม้าถือทวนรอต้อนรับอาเบลอยู่ที่หน้าประตูปราสาทก่อนแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่อะไรนัก แต่ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะถูกฝึกให้ทำหน้าที่เป็นอย่างดี ขบวนที่ถูกจัดนี้คือขบวนแห่อำลาสำหรับอาเบลนั่นเอง นายน้อยแห่งครอบครัวเบ็นเน็ตต์กำลังจะออกจากปราสาทหลังนี้ไป

 

ทหารม้าทั้งหมดสวมเกราะหนังสีน้ำเงิน พวกเขาสวมรองเท้าบูทสูงถึงเข่า และพวกเขายังสวมหมวกขนสัตว์ไว้บนหัวอีกด้วย นอกเหนือจากหอกที่ยาวกว่าสามเมตรดูเหมือนว่าพวกชุดทั้งหมดนี้เองจะนำมาจากปราสาทเบ็นเน็ตต์ทั้งหมด ถึงแม้ว่าหมวกขนสัตว์จะไม่สามารถกันลูกธนูได้ แต่มันก็สามารถดูดซับแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม

 

หมวกจากขนสัตว์พวกนี้ไม่ได้ถูกตกแต่งให้สวยงามมากนัก นอกเหนือจากทหารที่ถือธงประจำตระกูลเบ็นเน็ตต์ไว้ที่ปลายหอกทั้งสองคน คนอื่นอีกสี่คนไม่มีอะไรพิเศษนอกเหนือจากนี้ สีน้ำเงินเป็นเหมือนสีพื้นฐานประจำตระกูลเบ็นเน็ตต์ ดังนั้นเครื่องแต่งกายในขบวนแห่ขบวนนี้ทั้งหมดจึงมีสีออกแนวไปยังโทนน้ำเงิน

 

ในตอนนี้อาเบลกำลังพกกระเป๋าเดินทางไว้บนม้าศึกคู่ใจของเขา อาเบลขี่ม้าตัวนี้เดินรอบปราสาทจากนั้นก็ออกจากประตูปราสาทไปในที่สุด ข้างหลังของอาเบลมีนอร่าผู้เป็นแม่ยืนพิงไหล่ลูกชายคนโตคนนี้อยู่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

 

อัศวินเบ็นเน็ตต์ยังคงมีท่าทีที่ดูเคร่งขรึมเช่นเคย ภายใต้แสงของดวงตะวันเกราะสีเงินขาวของเขากำลังสะท้อนแสงส่องสว่างไปทั่ว อัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่ได้ใส่เกราะหมวกด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าหมวกและอาวุธของเขาจะถูกแขวนไว้ที่ด้านหลังอานม้า ผมยาวของเขาถูกมัดเป็นหางอย่างเรียบง่าย หางผมของอัศวินเบ็นเน็ตต์ถูกพัดให้ลอยไปตามลม

 

นอร่ายังคงไม่ได้พูดอะไรกับอาเบล เธอเอาแต่เฝ้าดูอาเบลราวกับว่าเธอได้บอกทุกสิ่งทุกอย่างกับอาเบลในคืนก่อนไปแล้ว ในตอนนี้เธอไม่มีความเสียใจเหลืออยู่อีกต่อไป ดวงตาที่แสนอ่อนโยนของผู้เป็นแม่กำลังมองลูกชายราวกับว่าลูกชายคนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดสำหรับเธอในโลกใบนี้

 

ส่วนซัคพี่ชายของอาเบลรู้อยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งอาเบลจะต้องออกจากปราสาทที่เป็นเหมือนบ้านหลังนี้ไป มันเป็นประเพณีที่มีอยู่อย่างช้านานแล้ว ไม่มีใครสามารถขัดขืนประเพณีนี้ได้ แน่นอนว่าทุกคนไม่อยากให้อาเบลจากไป ซัคไม่คิดว่าอาเบลจะออกเดินทางเร็วขนาดนี้ เขาต้องทนเจ็บปวดที่เห็นน้องชายกำลังเดินออกจากปราสาทไป

 

“นี้คือบ้านของนายเสมออาเบล นายจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้”

 

ซัควิ่งมากอดน้องชายคนเล็กของเขาไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะทนฝืนพูดกับอาเบลอย่างเข้มแข็ง แต่ลึกๆ อาเบลรู้ดีว่าพี่เขาคนนี้กำลังเสียใจอยู่ อาเบลพยายามที่จะสงบเยือกเย็นในวันนี้ทั้งวัน แต่เหมือนอาเบลกำลังจะสูญเสียความเยือกเย็นนี้ไปเมื่อใดก็ได้

 

พระอาทิตย์ในฤดูหนาวยามเช้าทำให้อาเบลไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเท่าไรนัก ลมแห่งฤดูหนาวที่พัดโบกให้ธงปลิวไสวราวกับว่ากำลังโบกมือลาอาเบล อาเบลไม่ได้นั่งอยู่ในรถม้าแต่อย่างใด เขากำลังขี่ม้าเพศเมียตัวหนึ่งอายุราว 3 ขวบท่ามกลางขบวนแห่ เนื่องจากชุดเกราะของพ่อที่ให้กับอาเบลมามันใหญ่เกินไป อาเบลจึงต้องสวมชุดเกราะตัวนี้ในตอนที่ออกจากปราสาทไป มันเป็นชุดเกราะหนังที่คลุมไปด้วยขนสัตว์อีกที อาเบลพกดาบเล่มหนึ่งไว้ที่หลังของเขา ถึงแม้ว่าดาบเล่มนี้จะดูไร้ประโยชน์สำหรับอัศวินฝึกหัดระดับสี่แต่อาเบลก็ยังพกมันไว้

 

อาเบลหันหลังกลับไปมองแม่และพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงต่อไป ทันทีที่เขามองไปรอบๆ ปราสาท ใบหน้าของอาเบลก็มีน้ำตาไหลเอ่อออกมา

 

นอกเหนือจากอัศวินที่มาทำหน้าที่ส่งอาเบล ในปราสาทเบ็นเน็ตต์เหลือคนอยู่ไม่มากนัก มีคนประมาณ 9 คนที่ต้องอยู่ปกป้องปราสาท ในฐานะที่เป็นนักสู้อันดับสองของตระกูลเบ็นเน็ตต์ นอร์แมนจะต้องอยู่ปกป้องปราสาทเบ็นเน็ตต์ต่อไป

 

ถึงแม้ว่าอัศวินจะเป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในบรรดาขุนนางและเหล่าราชวงศ์ทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทุกคนที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับใช้เหล่าอัศวินได้ สิ่งสำคัญที่ไม่แพ้กับความสามารถในการต่อสู้นั้นคือความซื่อสัตย์จงรักภักดีนั่นเอง คุณสมบัติเหล่านี้จะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่จะมารับใช้อัศวิน

 

บุคคลที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วนเป็นอย่างดีคือนอร์แมนนั่นเอง เขาเป็นเหมือนกับน้องชายของอัศวินเบ็นเน็ตต์ที่ผ่านสงครามมาด้วยกัน เขาได้รับแต่งตั้งให้กลายเป็นอัศวินหลังจากที่ชายคนนี้พิสูจน์ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่ออัศวินเบ็นเน็ตต์มาโดยตลอด แน่นอนว่าเขาได้รับการสอนเทคนิคลับจากตระกูลเบ็นเน็ตต์ไปด้วย ถึงแม้ว่าการเดินทางนี้จะเป็นเหมือนกับการเดินทางอันแสนยาวนานแต่มันก็คุ้มค่าแล้วสำหรับนอร์แมน เป็นเวลากว่าหลายสิบปีที่เขาอุทิศตนเพื่อรับใช้ครอบครัวเบ็นเน็ตต์เสมอมา สุดท้ายเขาจึงได้รับการเลื่อนขั้นจากผู้พิทักษ์ปกป้องประจำตระกูลเลื่อนขั้นเป็นอัศวินผู้มีเกียรติประจำตระกูลในที่สุด

 

มีอัศวินอีกมากมายที่ไม่ได้มีดินแดนเป็นของตนเอง ถ้าหากพวกเขาเหล่านั้นถูกหัวหน้าอัศวินยอมรับให้เป็นผู้รับใช้แล้ว พวกเขาจะได้ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตประจำวันนั่นเอง สิ่งนั้นรวมไปถึงอาวุธ ชุดเกราะ และม้าประจำตัวอีกด้วย ความเสี่ยงที่เป็นเหมือนกับการลงทุนนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากในการเลือกลูกน้องผู้ซึ่งสามารถไว้วางใจได้สักคน

 

ขบวนแห่ยังคงเดินทางต่อไปจนถึงหกชั่วโมง นอกเหนือจากการพักกลางวันในเวลาเที่ยง พวกเขาไม่หยุดเดินทางกันเลย โชคดีที่ไม่มีใครโจมตีขบวนเดินทางนี้ แม้แต่สัตว์ร้ายยังไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงโจมตีอัศวินในขบวนเดินทัพทั้งหมดนี้ พวกมันตระหนักได้ว่าอัศวินแห่งเบ็นเน็ตต์นั้นน่ากลัวขนาดไหน

 

นี้เป็นการเดินทางไกลที่สุดสำหรับอาเบลแล้ว อาเบลไม่มีความทรงจำในวัยเด็กอยู่เลยตั้งแต่อายุ 11 ขวบ นี้จะเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกที่แท้จริงของอาเบล  น่าเสียดายที่วิวทิวทัศน์รอบทางไม่ค่อยมีอะไรให้อาเบลดูนัก บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้อันเขียวชอุ่ม หากไม่ใช่วิวที่เป็นต้นไม้ก็มีเพียงถนนที่แสนน่าเบื่ออยู่บริเวณโดยรอบแทน

 

ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ไม่มีหิมะตก ถึงแม้ว่าการเดินบนดินที่แห้งกรังจะทำให้มีฝุ่นออกมาแต่มันก็ยังดีกว่าดินที่เปียกชื้น อาเบลเคยได้ยินมาว่าถนนในเมืองใหญ่นั้นจะปูไปด้วยหินขนาดใหญ่และดูราบเรียบ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้อาเบลนึกถึงถนนคอนกรีตในโลกที่เขาได้จากมาก

 

มันจะดีขนาดไหนถ้ามีถนนคอนกรีตในโลกใบนี้? ในขณะที่่อาเบลกำลังจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาได้จากมา เขาก็ได้สัญญากับตนเองไว้ว่าจะไม่ประดิษฐ์หรือสร้างอะไรขึ้นมาอีก อาเบลได้สร้างระบบชลประทานในโลกแห่งนี้ขึ้นมา หากไม่มีอำนาจที่มากเพียงพอเพื่อจะปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาพวกนี้ เขาและครอบครัวอาจจะเจอเรื่องอันตรายในภายหลังได้ ผู้มีอำนาจมากมายพร้อมที่จะเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างเหี้ยมโหดเพื่อครอบครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ประเมินค่าไม่ได้

 

ในฐานะที่อาเบลเคยโตมาในยุคสมัยใหม่ เขาถูกสอนให้มีความคิดความอ่านที่ฉับไวอยู่เสมอ แน่นอนว่าเขาจะต้องฉลาดและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลตอนที่อยู่ในโลกเก่าของเขาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ มารยาท รวมถึงวัฒนธรรมต่างๆ อาเบลสามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว อาเบลมีความสามารถในการปรับตัวเร็วกว่าคนทั่วไปมากนัก

 

ไม่นานถนนที่ใช้สำหรับการเดินทางที่เป็นพื้นดินทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นทางเดินแบบทางเท้าของชาวโปรตุเกส อัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้เท่าไร ราวกับว่าเขาเคยเห็นทางเดินพวกนี้มาแล้ว

 

“นี้เป็นสิ่งที่ทำให้มาร์แชลกลายเป็นคนที่เหนือกว่าผู้อื่น” อัศวินเบ็นเน็ตต์พูดพร้อมกับใช้นิ้วของเขาชี้ไปที่พื้นด้านล่าง “เขาเป็นคนที่ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น ถึงแม้ภูเขาที่เขาอยู่จะกว้างขนาดไหน มาร์แชลก็จะใช้หินขนาดใหญ่ปูทางเดินทั้งหมดรอบภูเขาบ้านเขา”

 

อาเบลฟังสิ่งที่พ่อของเขาพูดในขณะที่จ้องมองเกราะสีเงินเงางามของพ่อเขา แน่นอนว่าเขายังใส่เครื่องประดับชิ้นใหม่ให้กับม้าศึกของเขาอีกด้วย และยังมีอุปกรณ์ชุดเกราะใหม่ทั้งหมดสำหรับทหารม้าถือทวนทั้งหมดอีก 6 คน อาเบลรู้สึกว่าอัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่ควรจะพูดแบบนี้…

 

อาเบลคิดในใจว่า “ถ้าหากพ่อมีเงินพ่อก็คงไม่ยอมน้อยหน้าอัศวินมาร์แชลหรอก พ่อคงจะโชว์ทุกอย่างเพื่อแข่งขันกับเชาเหมือนกัน…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด