Abe the Wizard 96 เข้าสู่เมืองเบกอง

Now you are reading Abe the Wizard Chapter 96 เข้าสู่เมืองเบกอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย Abe the Wizard (AtW) AtW ตอนที่ 96 เข้าสู่เมืองเบกอง

AtW ตอนที่ 96 เข้าสู่เมืองเบกอง

“คนพวกนี้พยายามที่จะโจมตีเพื่อนของฉันไงละ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะตัดหัวพวกเขาออกเพื่อเป็นการลงโทษ!” หัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกินพูดอย่างเย้ยหยัน

อาเบลรู้ดีว่าพวกคนร้ายทั้งหมดทุกคนนี้สามารถถูกจับได้ภายในคืนเดียวเท่านั้น

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นการที่จะทําแบบนี้ได้จะต้องมีหน่วยข่าวกรองลับที่สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนี้มาได้ การจะโจมตีพวกทหารรับจ้างนั้นเป็นอะไรที่จะต้องใช้หลักฐานอยู่พอสมควร และถ้าหากหน่วยข่าวกรองที่สืบข่าวนี้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่งานจะสําเร็จรวดเร็วแบบนี้ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าลอร์ดคนนี้จะไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับอาเบลเลย เขาเป็นเพียงแค่ผู้ปล่อยข่าวเท่านั้น แต่ชายคนนี้ก็ถูกฮอปกินสังหารไปอยู่ดี

การที่จะลงโทษแบบนี้ได้หัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกินจะต้องส่งคําขอร้องไปยังศาลสําหรับเหล่าขุนนาง และเมื่อศาลขุนนางชั้นสูงได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว พวกเขาก็จะตรวจสอบเรื่องอย่างเร็วที่สุด เพื่อการดําเนินการคดีในครั้งนี้จะได้ดําเนินไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง สุดท้ายแล้วฮอปกินก็สามารถจัดการกับลอร์ดที่กล้ามาทําร้ายอาเบลได้ในที่สุด แต่ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นเพียงลอร์ดธรรมดาๆ เท่านั้น แต่การที่จะฆ่าเขาไปนั้น ก็ยังทําให้มีปัญหาในภายหลังอยู่ดี

“คุณเป็นคนที่มีน้ําใจมากเลยครับ หัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกิน สิ่งที่คุณทําให้ผมในวันนี้แสดงให้เห็นว่าคุณนั้นต้องการที่จะเป็นมิตรแท้ของผมจริงๆ” อาเบลได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะโค้งคํานับฮอปกินแทนคําขอบคุณ “ผมแน่ใจเลยว่า ของขวัญในครั้งนี้จะต้องถูกตอบแทนอย่างแน่นอน”

เมื่อถึงเวลานี้เองอาเบลก็ได้หยิบดาบเวทย์เพลิงเล่มหนึ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ในรถม้าก่อนที่จะมอบให้กับหัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกินไป ฮอปกินได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะรับดาบเวทย์เพลิงมาจากมือของอาเบล “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่มิตรภาพของเรานั้นได้พัฒนาขึ้นมาอีกก้าวแล้ว”

วิธีที่ดีที่สุดที่จะผูกมิตรกับอัศวินใน โลกใบนี้นั้นก็คือการมอบอาวุธให้กับอัศวินคนนั้นนั่นเอง เมื่ออัศวินได้ส่งมอบอาวุธให้กับอัศวินอีกคน นี้เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้นกําลังสนิทกันจนกลายเป็นเพื่อนแท้ของกันแล้วกันนั่นเอง พีธีการที่ศักดิ์สิทธิ์อันนี้เองเป็นพิธีการที่ได้รับสืบทอดมาหลายทศวรรศแล้ว

เมื่อฮอปกินได้รับอาวุธมาจากมือของอาเบล มิตรภาพของทั้งสองคนนั้นก็เริ่มที่จะเพิ่มพูนขึ้นไปในทางที่ดีขึ้นในทันที หัวหน้าผู้บัญชาการได้พูดกับอา เบลหลังจากที่รับอาวุธมาแล้ว “อาเบล ฉันแค่รู้ว่านายจะมาที่เมืองมาร์วาแห่งนี้เท่านั้น ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับของขวัญล้ําค่ามาแบบนี้”

ทันใดนั้นนั้นทหารยามที่ได้ตามฮอปกินมาหลายสิบคนนั้นก็ได้ตบมือขึ้นมาทันที “สถานการณ์ในเมืองเบกองตอนนี้ดูไม่ดีเท่าไรนัก ฉันไม่คิดว่าคนเพียงไม่กี่คนจะพานายไปถึงเมืองเบกองได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นแล้วฉันจะให้นักรบที่ติดตามฉันกว่า 10 คนนี้ติดตามนายไปด้วย ตอนนี้จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วล่ะอาเบล”

เมื่อเสียงแห่งการปรบมือได้หมดลง ผู้บัญชาการฮอบกินก็ได้มอบผู้ติดตามที่สวมชุดเกราะสีดํากว่า 10 คนให้อาเบลไป ตอนนี้พวกเขาทั้ง 10 คนกําลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าอาเบลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขากล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ท่านลอร์ดอาเบล พวกเราสาบานว่าพวกเราจะยอมตายแทนท่านลอร์ดเอง!”

แน่นอนว่าในตอนนี้อาเบลไม่สามารถที่จะปฏิเสธความใจดีของหัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกินคนนี้ได้เลย เพื่อมิตรภาพของพวกเขาทั้งสองคนแล้วการที่จะแลกเปลี่ยนของขวัญกันเช่นนี้จึงเป็นอะไรที่ธรรมดามาก หลังจากที่ได้ฟังคํากล่าวคําสัญญาของเหล่านักสู้ อาเบลก็ได้มองไปที่ใบหน้าของพวกเขาอย่างรวดเร็ว เหล่านักสู้ที่สวมใส่ชุดเกราะสีดํานี้มีหน้าตาที่ดุร้ายและดูข็งขังเป็นอย่างมาก ภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้นอาเบลก็จําใบหน้าของพวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว

อาเบลรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่หัวหน้าผู้ บัญชาการฮอปกินได้มอบนักสู้ให้แบบนี้ การที่จะฝึกฝนทหารหรือเหล่านักสู้ให้ยอมตายแทนตัวเองได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ถ้าดูจากอายุของพวกเขาแล้ว พวกเขาคงอายุน้อยกว่าอัศวินรับใช้ที่อาเบลมีด้วยซ้ําไป แต่การที่จะมีพลังแบบนี้ ในอายุที่น้อยได้แสดงว่าพวกเขานั้นต้องผ่านการฝึกฝนที่ยากลําบากมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ลอร์ดมาแชลที่ยืนดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ข้างๆ อาเบลไม่ได้ขยับไปแต่อย่างใด ตอนนี้ลอร์ดมาแชลอยู่ไกลเกินกว่าสถานะของพวกเขาทั้งสองคนแล้วนั่นเอง ดังนั้นลอร์ดมาแชลจึงทําได้เพียงแอบชื่นชมในตัวอาเบลผ่านรอยยิ้มบนใบหน้าเพียงเท่านั้น

เมื่อขบวนการเดินทางของอาเบลได้ออกจากเมืองมาร์วาไป ทหารรับจ้างที่อยู่ในเมืองเองก็ต่างโล่งใจขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เนื่องจากการปรากฏตัวของอาเบล เมื่อไม่นานมานี้ทําให้เมืองทั้งเมืองเกือบที่จะตกอยู่ในสภาวะสงครามก็ว่าได้ ตั้งแต่จากนี้เป็นต้นไปการที่ทหารรับจ้างจะลงมือทําอะไรนั้นก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นนั่นเอง และแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารรับจ้างที่คอยสะกดรอยตามอาเบล พวกเขาเหล่านั้นได้หายตัวไปจากเมืองมาร์วาภายในค่ําคืนเดียวเท่านั้น

การเดินทางสู่เมืองเบกองที่เหลือของอาเบลนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่น ตอนนี้ขบวนการเดินทางของเขาได้มีทหารเข้าร่วมกว่า 30 คนแล้ว ทหารเหล่านั้นปกป้องขบวนรถม้าของลอร์ดมาแชลอย่างแน่นหนา ตอนนี้ใครก็แล้วแต่ที่ต้องการพยายามจะโจมตีรถม้าคันนี้จะต้องคิดหนักอย่างแน่นอน หลังจาก 12 วัน ผ่านไป ขบวนการเดินทางของอาเบลก็ได้เดินทางถึงเมืองเบกอง เมืองหลวงที่อยู่ในการดูแลของท่านดยุคคาร์เมล

อาเบลไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเมืองเบกองนั้นจะเป็นเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ด้วยกําแพงที่มีความสูงเกินกว่า 50 เมตรนี้ทําให้ผู้ที่หวังจะโจมตีเมืองเบกองแห่งนี้จะต้องกลับไปพร้อมกับความผิดหวังอย่างแน่นอน ทุกๆความยาวของ กําแพงเมือง 100 เมตรจะมีทางเข้ารูปทรงกระบอกถูกติดตั้งเอาไว้ ทางเข้าอันนี้เองเป็นเหมือนกับทางที่ให้รถม้านั้นเข้าเมืองมานั่นเอง หลังจากที่ใกล้กับกําแพงมากยิ่งขึ้นอาเบลก็รู้ได้ทันทีว่า กําแพงพวกนี้ถูกสร้างมาจากหินก้อนใหญ่ยักษ์ที่ถูกประกอบเข้าด้วยกันอย่างบรรจงและปราณีต ถ้าอาเบลไม่จ้องไปที่กําแพงอย่างไม่ลดสายตา เขาก็ไม่มีทางที่จะมองเห็นรอยแตกของหินที่ถูกเชื่อมเข้าหากันได้เลย อาเบลรู้สึกประทับใจกับโครงสร้างกําแพงของกําแพงเมืองเมืองนี้มาก

ด้านนอกของประตูเมืองเบกองนั้นเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม ตอนนี้มีพ่อค้ามากมายหลายคนนั้นกําลังรอที่จะเข้าเมืองเบกองผ่านประตูเมืองอันนี้ แต่สําหรับพวกขุนนางทั้งหลายแล้ว พวกเขาจะได้รับสิทธิ์เข้าเมืองไปโดยทันที ในขณะที่พวกอาเบลได้เดินทางเข้ามา ได้มีกลุ่มทหารยามจํานวนหนึ่งตรวจสอบผู้ที่เข้าเมืองมาอย่างระมัดระวัง พวกขุนนางอย่างอาเบลเองก็ต้องถูกตรวจสอบเช่นกันโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

หลังจากที่การตรวจตรานั้นเสร็จสิ้น ในที่สุดอาเบลก็จะได้เห็นเมืองที่มีชื่อเสียง เมืองนี้สักที ตอนนี้ขบวนรถม้านั้นยังคงถูกนําโดยรถม้าของลอร์ดมาแชลเช่นเดิม อาเบลที่กําลังนั่งอยู่ในรถม้าของตัวเองได้เปิดหน้าต่างขึ้นมาก่อนที่จะมองไปรอบๆเมืองอย่างสงสัย

สิ่งที่ดูสะดุดตาอาเบลที่สุดเห็นจะเป็นถนนที่อยู่ภายในเมืองแห่งนี้ ดูเหมือนว่าถนนในเมืองจะกว้างใหญ่แถมยังใช้วัสดุเดียวกันกับกําแพงเมืองนั้นสร้างขึ้นมาอีกด้วย ถนนที่สุดแสนจะกว้างใหญ่นี้เองจะอนุญาตให้รถม้าจํานวนเพียง 8 คันเท่านั้นที่จะเดินผ่านไปได้ รอบๆถนนทั้ง 2 ข้างเองเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายหลายร้าน การออกแบบตกแต่งร้านแต่ละร้านนั้นแสดงให้เห็นว่าทุกๆ ร้านนั้นเต็มไปด้วยสินค้าคุณภาพดี ตอนนี้มี ผู้คนมากมายกําลังวุ่นวายไปกับการจับจ่ายใช้สอย ดูเหมือนว่าเมืองเมืองนี้จะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน และเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแล้วที่อาเบลเคยเห็นในโลกใบนี้

ผนังของร้านค้าต่างๆเองถูกสร้างจากหินสีขาว ทุกร้านค้านั้นเลือกที่จะใช้กระเบื้องสีแดงตกแต่งร้านอย่างพร้อมใจกัน นี้คงเป็นสไตล์การตกแต่งอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมืองเบกอง

สิ่งที่ทําให้อาเบลแปลกใจมากที่สุดก็คือระบบสุขาภิบาลของเมืองเมืองนี้ เกือบทุกเมืองที่อาเบลได้เคยไปเยี่ยมเยียนนั้นไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ล้วนแต่มีสุขอนามัที่ไม่ดีเท่าไรนัก แต่สําหรับเมืองเบกองนั้นต่างออกไป ระบบสุขาภิบาลของที่นี่นั้นดูสะอาดและเป็นระเบียบกว่าที่อื่นมาก และตามถนนคนเดินเอง ยังไม่มีเศษขยะที่ถูกทิ้งไว้ตามทางเดินอีกด้วย เมืองเมืองนี้เด็ฒไปด้วยอากาศที่บริสุทธิ์เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่อาเบลเคยมีโอกาสไปเยี่ยมชม

ขบวนรถม้าของอาเบลกําลังเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่ารถม้าที่ดูหรูหรานั้นจะหาได้ทั่วไปภายในเมืองเมืองนี้ รถม้าของขุนนางส่วนใหญ่ที่ได้มาเยือน เมืองเบกองแห่งนี้เองก็ยังดูหรูหราเป็นพิเศษอีกด้วย อาเบลได้เห็นรถม้าที่ถูกตกแต่งจนดูหรูหรามาแล้วมากมายหลายคัน แต่ตัวเขานั้นก็ต้องสะดุดตารถมาที่ถูกตกแต่งด้วยทองคํา เงิน และหินอัญมณีสุดล้ําค่ามากมายหลายชิ้นที่ได้เดินผ่านพ้นรถม้าของตัวเขาไป

ลอร์ดมาแชลที่ได้อยู่หน้าสุดของขบวนรถม้าเองได้มองไปที่ทางเข้าด้านหน้า ทางเข้าหนึ่งของถนนเส้นนี้ หลังจากที่มองไปทางนั้น รถม้าของลอร์ดมาแชลก็ได้เดินไปยังทางนั้นในทันที รถม้าของอาเบลเองที่ตามอยู่ก็ไปยังทางเข้านั้นด้วยเช่นกัน เมื่อรถม้าของอาเบลได้เดินผ่านทางเข้านั้นเข้ามาตัวเขานั้นก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆที่พัดโชยมาถูกตัวได้ในทันที อาเบลได้สํารวจสภาพแวดล้อมรอบๆตัวอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ารอบตัวของเขาในตอนนี้จะมีเพียงตึกที่ทํามาจากคอนกรีตสีแดงเล็กๆหลายๆตึก เรียงรายอยู่ใกล้ๆ บนพื้นของถนนเส้นใหม่เส้นนี้เต็มไปด้วยสีแพง และในแต่ละด้านของถนนเองยังมีถังทองแดงทรงสูงถูกวางเอาไว้ในแต่ละด้านอีกด้วย ถนนสายนี้สามารถให้รถม้าทั้ง 6 คันนั้นเดินทางผ่านไปพร้อมกันได้ นอกจากตึกเล็กๆ แล้วแถวๆนี้ยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้อีกด้วย

ทันทีที่ขบวนการเดินทางของอาเบลได้เข้าสู่ถนนเส้นนี้อย่างเต็มตัว อาเบลก็สามารถสัมผัสถึงกลุ่มทหารยามกลุ่มหนึ่งได้ แต่เมื่อพวกเขาทั้งหลายนั้นเห็นสัญลักษณ์บนรถม้าของรถลอร์ดมาแชลแล้ว พวกเขาก็ปล่อยให้วัวโลกันต์ที่ลากรถม้าอยู่นั้นผ่านไปได้ในทันที

ทั้งสองข้างทางของถนนสีแดงนี้เอง นอกจากจะมีต้นไม้อยู่เต็มไปหมดแล้ว อาเบลยังสามารถมองเห็นลานบ้านของหลายๆบ้านได้อีกด้วย นอกจากลานบ้านแล้ว ตึกทั้งหลายก็ยังคงมีผนังสีขาวและหลังคาสีแดง แต่ผนังของแต่ละบ้านนั้นจะเต็มไปด้วยศิลปะชั้นสูงที่ทําให้ถนนเส้นนี้ดูสูงส่งขึ้นมาทันที

หลังจากที่เดินทางอยู่บนถนนสีแดงได้ ไม่นานรถม้าของลอร์ดมาแชลก็ได้หยุดตัวลงต่อหน้าอาเบล รถม้าของเขาเองก็เริ่มจะชะลอความเร็วลงเช่นกัน ลอร์ดมาแชลที่ได้หยุดรถม้านั้นออกมายืนนอกรถม้าอยู่ก่อนแล้ว ในตอนที่อาเบล ลอเรน และลมทมิฬก้าวลงจากรถม้านั้น เขาก็สังเกตเห็นลอร์ดมาแชลรออยู่ก่อนแล้วนั่นเอง

“อาเบล นี่คือถนนไทรอัมพ์ไงล่ะ ที่ตรงนี้คือที่ที่ลูกได้มาจากเจ้าชายไวแอดต์ พ่อได้ส่งคนให้มาที่นี่เพื่อตกแต่งคฤหาสน์สุดยิ่งใหญ่ของพวกเราไว้ก่อนแล้วน่ะ” ลอร์ดมาแชลได้พูดออกไปอย่างภาคภูมิใจ

ที่ดินตรงนี้คือที่ดินที่อาเบลได้มาจากการแลกเปลี่ยนดาบเวทย์น้ําแข็งกับเจ้าชายไวแอดต์ในอดีตนั้นเอง ส่วนคฤหาสน์ที่อยู่ภายนอกกับเมืองเบกองนั้นเป็นเหมือนกับค่าชดเชยที่พวกอาเบลได้ถูกเจ้าชายไวแอดต์โจมตีนั่นเอง

“พ่อครับ บรรยากาศที่นี่ดีมากเลยนะครับ” อาเบลได้พูดออกมาหลังจากที่มองไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง

“แน่นอนอยู่แล้ว ถนนเส้นนี้เป็นเหมือนกับถนนที่ดีที่สุดในเมืองเบกองแห่งนี้แล้วละ เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็อาศัยอยู่ด้วยกันที่ถนนเส้นนี้ทั้งนั้น สุดสายปลายทางของถนนเส้นนี้ก็คือทางที่จะไปพระราชวังนั่นเอง” ลอร์ดมาแชลได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง ราวกับว่าการที่จะได้อาศัยอยู่ที่ถนนเส้นนี้นั้นเป็นเหมือนกับเกียรติยศของเขาก็ว่า

ลอเรนที่ได้มองไปรอบๆเองก็ชอบบรรยากาศนี้มาก เธอยิ้มทันทีหลังจากที่ได้มองดอกไม้กําลังเบ่งบาน แต่ถึงแม้เธอจะยิ้ม แต่ไม่นานมากนักสีหน้าของเธอก็แฝงไปด้วยความเศร้าอีกครั้ง

อาเบลที่เห็นสีหน้าท่าทองของลอเรนนั้นลูบหัวลอเรนอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะพูดออกไป “ลอเรน เธอไม่ชอบที่นี่อย่างงั้นหรอ?”

“ไม่ ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก ฉันชอบที่นี่มาก แต่ที่นี่ทําให้ฉันคิดถึงบ้านเกิดของฉัน” ลอเรนได้ตอบกลับด้วยเสียงที่แผ่วเบา

ลอร์ดมาแชลที่ได้ยินทุกอย่างได้พูดขึ้นมาในทันที “ที่นี่ถูกออกแบบและสร้างขึ้นในรูปแบบของพวกเอลฟ์ยังไงล่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด