Abe the Wizard 38 ปราสาทแมธริว

Now you are reading Abe the Wizard Chapter 38 ปราสาทแมธริว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

AtW ตอนที่ 38 ปราสาทแมธริว

 

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

 

เมื่ออาเบลและอัศวินมาแชลกลับมาจากการเดินทางอาเบลก็สังเกตเห็นไฟจากระยะไกลขึ้นมา

 

อาเบลไม่รอช้าเขารีบเรียกให้อัศวินมาแชลหันไปมองในทันที “พ่อครับ ตรงนั้นมีไฟอะไรอยู่ด้วย”

 

อัศวินมาแชลมองไปที่ทิศทางที่มีไฟก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ไฟนั้นมาจากทางของปราสาทแมธริวนิ”

 

ดินแดนของลอร์ดแมธริวอยู่ระหว่างปราสาทแฮรี่และปราสาทเบ็นเน็ตต์นั่นเอง ความสัมพันธ์ระหว่างอัศวินมาแชลกับลอร์ดแมธริวนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะลอร์ดแมธริวไม่ยอมรับอัศวินวินที่อยู่ในฐานะของขุนนางชั้นสูงนั่นเอง แม้ว่าส่วนใหญ่ของผู้คนในโลกใบนี้จะนับถืออัศวินที่เป็นขุนนางแต่ลอร์ดแมธริวไม่ใช่ผู้คนส่วนมากในโลกใบนี้นั่นเอง

 

แม้ว่าลอร์ดแมธริวและอัศวินมาแชลจะเป็นเพื่อนบ้านกันแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทักทายกันแต่เพียงเท่านั้น ตอนนี้อัศวินมาแชลเห็นไฟที่มาจากปราสาทของลอร์ดแมธริวแล้ว อัศวินมาแชลลังเลว่าเขาควรจะไปช่วยเหลือดีไหม

 

มีหลายเหตุผลด้วยกันที่ทำให้อัศวินมาแชลนั้นลังเลในการจะช่วยเหลือปราสาทของลอร์ดแมธริว เหตุผลประการแรกอัศวินมาแชลนั้นไม่สามารถที่จะเปิดเผยตัวเองได้นั่นเอง ถ้าหากอัศวินมาแชลถูกจับได้ว่าได้ละทิ้งดินแดนของตัวเองไปจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน

 

เหตุผลประการที่สองอัศวินมาแชลจะต้องปกป้องอาเบลนั่นเอง ถ้าหากอัศวินมาแชลไปช่วยเหลือแมธริว อัศวินมาแชลไม่มั่นใจได้เลยว่าอาเบลนั้นจะอยู่อย่างปลอดภัยไหม

 

อาเบลยังคงนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกไป ตอนนี้อาเบลได้จ้องมองไปที่อัศวินมาแชลที่กำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว อาเบลตัดสินใจที่จะให้อัศวินมาแชลตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง ยังไงอาเบลเองก็ไม่เคยเจอกับลอร์ดแมธริวมาก่อน และแน่นอนว่าอาเบลนั้นยังไม่เคยได้ยินใครก็แล้วแต่พูดถึงลอร์ดแมธริวอีกด้วย ถ้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คืออาเบลนั้นไม่รู้เลยว่าแมธริวเป็นคนยังไงกันแน่ แต่สำหรับอาเบลแล้วการที่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปช่วยเหลือปราสาทที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็จะเป็นอะไรที่เกินความจำเป็นจนเกินไป เว้นแต่ว่าจะสามารถรับประกันความปลอดภัยได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นการที่จะไปช่วยเหลือพวกเขาก็คงจะไม่ใช่เรื่องอะไรที่เหนือบากกว่าแรง

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นอัศวินมาแชลก็ได้ตัดสินใจที่จะช่วยเหลือปราสาทแมธริวในที่สุด “พวกเราจะไปช่วยพวกเขากัน แต่ลูกจะต้องอยู่กับพ่อตลอดเวลา พ่อไม่อยากที่จะเปิดเผยตัวตนของพ่อ และลูกจะต้องใช้สถานนะในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กในตอนนี้แล้ว” อัศวินมาแชลพูดแผนการทั้งหมดอย่างอาเบลด้วยความจริงจัง

 

อาเบลตอบรับแผนที่อัศวินมาแชลคิดในทันที “ได้ครับ ผมจะทำตามทุกอย่างเอง”

 

อาเบลหยิบธนูแฮรี่ของเขาใส่ไว้บนอานม้าของเขาเอง… แม้ว่าอาเบลจะพยายามแค่ไหนอาเบลก็สามารถที่จะใช้ธนูแฮรี่ยิงได้เพียงแค่ 3-4 นัดเท่านั้น

 

ในเวลานี้อัศวินมาแชลได้ถือธนูแฮรี่ของเขาไว้แล้ว ในขณะที่อัศวินมาแชลใส่ลูกธนูไปที่คันธนูของเขาและกำลังทำท่าทางที่จะยิงธนูออกไป อัศวินมาแชลก็พบข้อดีอีกข้อหนึ่งของธนูแฮรี่ได้ในทันที ดูเหมือนว่าธนูคันนี้จะเหมาะสำหรับการขี่ม้าแล้วยิงเป็นอย่างมาก

 

เมื่อใช้ธนูธรรมดาการจะยิงธนูได้อย่างแม่นยำนั้นจะต้องอาศัยความมั่นคงของขาทั้งสองข้างนั่นเอง การที่จะทรงตัวอยู่บนม้าได้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยิงธนูธรรมดาๆ ได้ การจะยิงธนูได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะต้องใส่พลังและอาศัยพลังในการดึงธนูอย่างมหาศาล

 

แต่ธนูของแฮรี่นั้นไม่ได้มีข้อจำกัดแบบธนูธรรมดา การยิงธนูแฮรี่นั้นไม่ต้องใช้ความมั่นคงของขาเหมือนกับธนูธรรมดาแถมการยิงธนูแฮรี่นั้นไม่ต้องใช้แรงอะไรมากในการยิงอีกด้วย ด้วยข้อดีทั้งหมดนี้เองจึงทำให้การทรงตัวอยู่บนหลังม้านั้นสามารถที่จะเล็งยิงธนูแฮรี่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

 

อาเบลและอัศวินมาแชลขี่ม้าศึกของพวกเขาเดินทางไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนได้เดินทางมาจนใกล้ถึงปราสาทแล้ว แต่เมื่อทั้งสองคนใกล้ถึงมากเท่าไรอาเบลก็สังเกตเห็นความวุ่นวายในปราสาททันที อาเบลเห็นวูฟไรเดอร์ 4 ตัวพยายามที่จะโจมตีฝูงคนที่กำลังจะหลบหนีอยู่

 

วูฟไรเดอร์ทั้ง 4 ตัวได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่กำลังเข้าใกล้พวกมันมาเรื่อยๆ แล้ว ทันทีที่วูฟไรเดอร์รู้ตัววูฟไรเดอร์ทั้ง 2 ตัวก็ได้ถือมีดยาวของพวกมันก่อนที่จะโจมตีอาเบลและอัศวินมาแชลทันที

 

“ระวัง! ศัตรูมาแล้ว ตอนนี้มันอยู่หน้าลูกตัวหนึ่งแล้วก็หน้าพ่อตัวหนึ่ง” อัศวินมาแชลพูดขึ้น

 

อาเบลเล็งธนูของเขาไปที่วูฟไรเดอร์ตัวหนึ่งที่พุ่งตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นเองอาเบลตัดสินใจปล่อยธนูไปในที่สุด ลูกธนูที่อาเบลปล่อยออกไปนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ลูกธนูสามารถเจาะทะลุผ่านสมองของวูฟไรเดอร์ตัวนั้นในทันที ไม่นานนักวูฟไรเดอร์ตัวที่สองก็ถูกยิงโดยอัศวินมาแชลเช่นกัน

 

วูฟไรเดอร์อีกสองตัวนั้นยังคงไล่ตามฝูงคนต่อไป แต่กว่าพวกมันมันจะรู้แล้วว่าเพื่อนของมันอีกสองตัวนั้นถูกจัดการไปแล้วมันก็โดนอาเบลและอัศวินมาแชลยิงธนูใส่ ทันทีที่วูฟไรเดอร์ทั้งสองตัวถูกยิงมันก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยเสียงที่ดังมาก… อาเบลที่เข้าใจภาษาออร์ครู้ได้ทันทีว่าพวกมันกำลังจะเรียกกำลังเสริมมานั่นเอง ตอนนี้อาเบลและอัศวินมาแชลต้องเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับพวกออร์คที่เป็นกำลังเสริม

 

อาเบลและอัศวินมาแชลยังคงสังหารวูฟไรเดอร์ไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้วูฟไรเดอร์ที่พยายามไล่ทำร้ายประชาชนในตอนแรกนั้นได้ถูกสังหารตายจนหมดแล้ว แต่กลับมีวูฟไรเดอร์ตัวใหม่อีกสองตัวพยายามไล่ทำร้ายประชาชนต่อไป แต่พวกมันเปลี่ยนใจกลางคัน พวกมันทั้ง 2 ตัวตัดสินใจที่จะวิ่งพุ่งตรงมาทางอาเบลและอัศวินมาแชลแทน

 

อัศวินมาแชลยิงธนูออกไปที่โวร์แกนทั้ง 4 ตัว จากนั้นอัศวินมาแชลก็หันกลับมาหาอาเบลก่อนจะพูดว่า “ดูสิลูก นี้คือธรรมชาติของพวกโวร์แกนยังไงล่ะ พวกมันซื่อสัตย์จงรักภักดีเป็นอย่างมาก”

 

อาเบลพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า “ขอบคุณนะครับที่บอกให้ผมรู้” ในขณะที่อาเบลกำลังมองโวร์แกนทั้ง 4 ตัวกำลังถูกลูกธนูของอัศวินมาแชลยิง อาเบลก็ไม่ได้ยิงธนูใส่พวกหมาป่าและโวร์แกน ตอนนี้อาเบลรู้สึกไม่อยากที่จะเข่นฆ่าพวกออร์คอีกต่อไป แต่ถึงอาเบลจะไม่ได้ฆ่าพวกออร์คในตอนนี้อาเบลก็เชื่อว่าอัศวินมาแชลสามารถจัดการพวกออร์คได้อยู่ดี

 

ในตอนนั้นเองวูฟไรเดอร์ทั้้ง 6 ตัว ก็ได้ออกมาจากปราสาทแมธริว พวกมันทั้งหมดกำลังสะพายสัมภาระอันใหญ่ไว้ที่ด้านหลังของพวกมัน…

 

เมื่ออัศวินมาแชลเห็นวูฟไรเดอร์ทั้ง 6 ตัวออกมาจากปราสาท ดวงตาของอัศวินมาแชลก็เต็มไปด้วยแสงประกายอะไรบางอย่างก่อนจะพูดว่า “ตายซะ!”

 

เหล่าวูฟไรเดอร์ทั้ง 6 ตัวได้พุ่งเข้าใส่อาเบลและอัศวินมาแชลในขณะที่พวกมันนั้นกำลังถือของมีค่าจากในปราสาทอยู่ ด้วยความโลภของพวกมันเองสุดท้ายแล้วพวกมันก็ได้ช้าลงเป็นอย่างมากเพราะในตอนนี้พวกมันกำลังถือของมีค่าเอาไว้นั่นเอง

 

อาเบลและอัศวินมาแชลทั้งสองคนยิงธนูไปที่ศัตรูของพวกเขาอย่างไม่ลังเล ลูกธนูลูกสุดท้ายที่ถูกยิงออกไปในระยะไกลกว่า 30 เมตร วูฟไรเดอร์ทั้ง 6 ตัวถูกสังหารตายในทันที

 

อัศวินมาแชลที่กำลังเฝ้ามองพวกวูฟไรเดอร์ที่ถูกสังหารตายในขณะที่พวกมันพยายามที่จะพุ่งโจมตีพวกเขาเองก็ถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “นี่ก็สิบตัวมาแล้วนะ พวกออร์คเหล่านี้ล้วนแต่แข็งแกร่งกันมาก แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันต้องพ่ายแพ้ให้กับพวกเราก็เพราะว่าพวกมันไม่มีชุดเกราะนั่นเอง…” จากนั้นอัศวินมาแชลก็ได้จ้องมองมาทางอาเบลก่อนจะพูดต่อไปว่า “สหพันธ์ช่างตีเหล็กสั่งห้ามให้ช่างตีเหล็กในสหพันธ์ผลิตชุดเกราะให้กับพวกออร์คเด็ดขาด เดิมทีพวกออร์คนั้นเป็นเผ่าพันธ์ที่ขาดทักษะการสร้างชุดเกราะเป็นเดิมทีอยู่แล้ว ทางเดียวที่พวกมันจะป้องกันการโจมตีได้ก็คือใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีปัดป้องการโจมตีจากลูกธนูของพวกเรา”

 

ฝูงชนที่กำลังหนีจากปราสาทแมธริวในตอนนี้พวกเขาได้รู้ตัวแล้วว่าพวกวูฟไรเดอร์ที่ไล่ตามพวกเขาตอนนี้ถูกจัดการไปหมดแล้ว เมื่อฝูงชนมารวมตัวกันอย่างช้าๆ ชายวัยกลางคนที่เป็นเหมือนกับตัวแทนของฝูงชนที่กำลังสวมเสื้อสูทอยู่ก็เดินเข้ามาหาอัศวินมาแชลและอาเบล… อัศวินมาแชลพยายามทำตัวเป็นผู้ช่วยของอาเบลและหลบหลังเขาอยู่นั่นเอง ตอนนี้อาเบลเป็นเหมือนกับผู้ที่มาช่วยเหลือพวกเขาไปแทนแล้ว

 

“สวัสดีครับท่านอัศวิน ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ ผมชื่อว่าเคน เป็นพ่อบ้านของปราสาทแมธริวเองครับ” แม้ว่าชายวัยกลางคนคนนี้จะดูหวาดกลัวในตอนที่พูดแต่เขากลับที่จะไม่ลืมพูดคุยโดยใช้มารยาทที่ได้รับการฝึกฝนมา ทุกคำพูดของชายคนนี้จึงเต็มไปด้วยความสุภาพนั่นเอง…

 

“ผมชื่ออาเบล แฮรี่ แล้วเจ้านายของพวกคุณอยู่ไหนกันล่ะ?”

 

อาเบลรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ลอร์ดแมธริวนั้นไม่มาขอบคุณอาเบลด้วยตัวของเขาเองหลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว อาเบลและอัศวินมาแชลได้เสี่ยงชีวิตของตัวเองในการช่วยเหลือลอร์ดแมธริวถึงขนาดนี้ แต่ตอนนี้ลอร์ดแมธริวกลับไม่ปรากฏตัวออกมาด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุนี้เองอาเบลจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

“ท่านอาเบล เจ้านายของพวกเรา…” เมื่อพ่อบ้านได้ยินคำถามของอาเบล ตัวพ่อบ้านและคนอื่นๆ เองก็ได้แต่ตกใจก่อนที่จะมีน้ำตาไหลออกมาจนทำให้พวกเขาพูดต่อไปไม่ไหว… มารยาทของพ่อบ้านเคนคนนี้หายไป นี้เป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับพ่อบ้านที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีจากพวกขุนนาง

 

ชื่อของอาเบลนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองฮาเวส ขุนนางทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่ามีปรมาจารย์ช่างตีเหล็กหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับเมืองฮาเวส

 

เมื่ออาเบลเห็นน้ำตาของพ่อบ้านคนนี้อาเบลก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับลอร์ดแมธริวแล้วอย่างแน่นอน อาเบลไม่รอช้าเขาลงจากหลังม้าก่อนที่จะไปปลอบใจพ่อบ้านเคนด้วยการจับมือของเขาไว้ ถีงแม้อาเบลจะมีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้นแต่ตอนนี้อาเบลก็สูง 1.7 เมตรแล้ว

 

อาเบลเพิ่งจะช่วยเหลือปราสาทแมธริวเอาไว้ ตอนนี้อาเบลจึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้นำของเหล่าบริวารต่างๆ ชั่วคราวเพื่อที่จะออกคำสั่งไปก่อน นี่เป็นเหมือนกับกฏของขุนนาง ถ้าหากขุนนางคนไหนได้รับการช่วยเหลือจากขุนนางจากปราสาทอื่น ขุนนางคนนั้นจะสามารถที่จะออกคำสั่งชั่วคราวได้นั่นเอง

 

“เอาล่ะ ก่อนอื่นผมขอให้พวกคุณจัดการเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับปราสาทของพวกคุณก่อน เรื่องที่ลอร์ดแมธริวถูกโจมตีในวันนี้จะต้องถูกรายงานไปที่เมืองฮาเวส จนถึงตอนนั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท่านลอร์ดก็คงจะตัดสินเอง” อาเบลพูดกับพ่อบ้านเคน

 

“ได้ครับท่าน” พ่อบ้านเคนกำลังกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ ตอนนี้อาเบลตัดสินใจที่จะทำให้ปราสาทแมธริวปลอดภัยไว้จากปีศาจชั่วร้ายและเหล่าโจรเอาไว้ก่อน คำสั่งของอาเบลจะทำให้ไม่ว่าใครก็ตามไม่มีสิทธิ์ที่จะปล้นหรือฆ่าคนในปราสาทแมธริวในช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ได้นั่นเอง

 

อาเบลไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่นานจนเกินไป หลังจากที่อาเบลและอัศวินมาแชลจัดการพวกออร์คไปภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาปราสาทแมธริวก็กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ร่างของพวกออร์คนั้นถูกกองเอาไว้ตรงลานกว้างด้านหน้าปราสาท ร่างของสมาชิกคนอื่นๆ ของครอบครัวแมธริวเองถูกวางเอาไว้ในห้องโถงของปราสาท และร่างของพลเรือนคนอื่นๆ เองก็ถูกวางเอาไว้ที่ห้องข้างๆ เช่นกัน

 

ห้องที่เก็บของมีค่าต่างๆ ของปราสาทเองถูกเสริมความแข็งแกร่งจึงทำให้ห้องพวกนั้นถูกล็อคและป้องกันอย่างแน่นหนาแล้วนั่นเอง อาเบลได้แต่งตั้งพ่อบ้านเคนพร้อมกับทหารยามทั้ง 5 คนคอยปกป้องของมีค่าของปราสาทตระกูลแมธริวเอาไว้จนกว่าเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะกลับมาจัดการกับของมีค่าทั้งหมดเอง

 

สมาชิกทั้งหมดในตระกูลแมธริวนั้นถูกสังหารตายในระหว่างที่ถูกพวกออร์คโจมตี เมื่อพวกออร์คทั้งหลายสามารถบุกเข้ามาในปราสาทได้สิ่งแรกที่พวกมันจะมองหาก็คือของมีค่านั้นเอง ของมีค่าทั้งหลายจะถูกปล้นชิงไปจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว แน่นอนว่าการฆ่าเองก็อยู่ในตัวเลือกของมันด้วย ตระกูลแมธริวเป็นเจ้าของปราสาทแมธริวนี้ นี่หมายความว่าตระกูลแมธริวเป็นขุนนางกลุ่มแรกที่ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีและถูกสังหารหมู่ทั้งหมด

 

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วอาเบลก็ได้ขอแยกตัวออกจากปราสาทไป พ่อบ้านเคนอยากที่จะให้อาเบลอยู่กับพวกเขาด้วยจนกว่าปราสาทหลังนี้จะมีเจ้าของคนใหม่แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะคัดค้านหรือปฏิเสธสิ่งที่อาเบลตัดสินใจได้ พ่อบ้านเคนรู้ดีว่าอาเบลนั้นเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กแถมยังเป็นขุนนางอีกด้วย ลำพังพ่อบ้านธรรมดาๆ คงไม่อาจที่จะคัดค้านอะไรได้…

 

เมื่ออาเบลออกจากปราสาทแมธริวไป อาเบลและอัศวินมาแชลก็สบสายตากัน.. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันมานี้ทำให้พวกเขาทั้งสองคนรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ตระกูลแมธริวนั้นถูกบุกโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแต่พวกเขาทั้งหมดกลับถูกสังหารตายไป

 

ถ้าหากเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับอัศวินเบ็นเน็ตต์และอัศวินมาแชล อาเบลไม่อาจจะจินตนาการถึงผลที่จะตามมาได้เลย จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้อาเบลรู้แล้วว่าแท้จริงนั้นโลกใบนี้มันโหดร้ายขนาดไหน

 

ร่างของอาเบลและอัศวินมาแชลค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ ในค่ำคืนที่พวกเขาทั้งสองนั้นกำลังเดินทางกลับปราสาทแฮรี่นั่นเอง เคนและพ่อบ้านคนอื่นๆ ได้แต่มองอาเบลจากระยะไกล หัวใจของเขาเต็มไปด้วยคำขอบคุณที่มีต่ออาเบลและอัศวินมาแชล ถ้าหากทั้งสองคนไม่ได้เข้ามาช่วยแล้วละก็พวกเขาทั้งหมดอาจจะต้องตายไปแล้วก็ได้

 

อาเบลคิดกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าโลกใบนี้ยังต้องการอัศวินที่คอยปกป้องผู้อ่อนแออีกมากสินะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด