Abe the Wizard 54 พลังลมปราณในการต่อสู้ของเทพพระเจ้า

Now you are reading Abe the Wizard Chapter 54 พลังลมปราณในการต่อสู้ของเทพพระเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

AtW ตอนที่ 54 พลังลมปราณในการต่อสู้ของเทพพระเจ้า

 

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

 

ทันทีที่การระเบิดหยุดลงอาเบลก็รู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้าต่อไปอย่างแน่นอน ทันใดนั้นเองเมฆาสีขาวก็ได้บินโฉบลมงมาด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อนกตัวนี้เห็นว่าเจ้านายของมันอย่างอาเบลนั้นปลอดภัยดี เมฆาสีขาวก็ดูสงบลงอีกครั้ง

 

นกกระจอกแห่งท้องนภานั้นเป็นสัตว์ที่ขี้ขลาดเป็นอย่างมาก แต่การที่เมฆาสีขาวจะบินลงมาในทิศทางที่มีการระเบิดเกิดขึ้นเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของอาเบลนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก หรือนี่อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของมันกัน

 

อาเบลมองไปที่เมฆาสีขาวที่กำลังยืนอยู่บนพื้น ตอนนี้อาเบลได้เอื้อมมือของตัวเองไปจับที่ขนนกของมันเอาไว้ราวกับว่าอาเบลนั้นเข้าใจความเป็นห่วงของนกตัวนี้ดี ทั้งสองคนเป็นเหมือนกั้บคู่หูที่ยอดเยี่ยมซึ่งกันและกันไปแล้ว

 

ย้อนกลับไปที่ขอบหน้าผาที่อาเบลได้ขว้างดาบของเขาลงไป ในเวลานี้หน้าผาทรุดตัวลงไปกว่าหลาย 10 เมตรด้วยความเสียหายจากแรงระเบิดของดาบอาเบล ถ้าหากอาเบลไม่ได้ขว้างดาบระเบิดลงไปในหน้าผาที่ไร้ซึ่งผู้คนแบบนี้อาจจะต้องมีคนตายจากการระเบิดก็เป็นได้

 

ถ้าหากอาเบลสามารถขยายระยะเวลาสำหรับการระเบิดได้เป็น 6 วินาทีหรือมากกว่านี้แล้วละก็อาเบลจะสามารถใช้การโจมตีที่เป็นระเบิดนี้ในตอนที่บินอยู่กับเมฆาสีขาวได้ ตอนนี้อาเบลกำลังอยู่ในจินตนาการอี่กครั้ง

 

“กลับบ้านกัน!” อาเบลกระโดดขึ้นหลังของเมฆาสีขาวก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งอีกครั้ง เมฆาสีขาวที่มีขนาดตัวที่ใหญ่มากกำลังจะออกบินอีกครั้ง ในตอนนี้หน้าผาที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดไปนั้นกำลังแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อไป

 

ในขณะที่การเดินทางด้วยการใช้ม้านั้นจะต้องใช้เวลาถึง 6-7 ชั่วโมง แต่การที่อาเบลเดินทางด้วยการขี่เมฆาสีขาวนั้นจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น อาเบลได้สั่งให้เมฆาสีขาวนั้นส่งอาเบลที่ป่าหลังปราสาทแฮรี่ ในระหว่างนั้นเองอาเบลก็ได้ลงมาจากเมฆาสีขาวพร้อมกับศพของโวร์แกนทั้ง 2 ตัวพร้อมกับม้าศึกทั้งสองตัวเพื่อเดินกลับปราสาทแฮรี่

 

“ท่านปรมาจารย์อาเบลกลับมาแล้ว!”

 

เมื่ออาเบลกับม้าศึกไปถึงประตูหน้าปราสาทประตูก็ได้ถูกเปิดขึ้นทันที ดูเหมือนว่าตอนนี้ความตื่นตระหนกจากการถูกพวกออร์คบุกโจมตีนั้นจะได้หายไปหมดแล้ว ผู้นำของชาวบ้านนั้นดูกระตือรือร้นมากที่เห็นการกลับมาของอาเบล

 

“อาเบล ทำไมลูกถึงกลับมาช้าล่ะ?” อัศวินมาแชลถามในขณะที่อาเบลเดินเข้าประตูปราสาทมา

 

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เอ่อ..บังเอิญใช้เวลามากไปหน่อย แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะเลื่อนระดับในระหว่างทางด้วย”

 

อาเบลได้คิดหาเหตุผลสำหรับแก้ตัวในตอนที่กลับมาแล้ว แม้ว่าเหตุผลจะไม่เพียงพอแต่อาเบลก็เตรียมคำโกหกเสริมเติมแต่งเอาไว้แล้ว

 

“ลูกเป็นอัศวินอย่างเป็นทางการแล้วหรอ?”

 

ตอนนี้ใบหน้าของอัศวินมาแชลได้เปลี่ยนไปในทันที มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่อัศวินฝึกหัดระดับ 4 นั้นจะเลื่อนขั้นกลายเป็นอัศวินฝึกหัดระดับ 5 ได้ แต่การเลื่อนขั้นครั้งยิ่งใหญ่จริงๆ จะทำให้พลังทางร่างกายและพลังจิตใจนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเป็นมหาศาล

 

อัศวินมาแชลกำลังรู้สึกอายในตอนนี้ อัศวินมาแชลกำลังคิดถึงช่วงอายุของตัวเองในการเป็นอัศวินมือใหม่ครั้งแรก เมื่อเปรียบเทียบกับอัจฉริยะอย่างอาเบลนั้นทำให้อัศวินมาแชลนั้นสูญเสียความมั่นใจเป็นอย่างมาก

 

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์หมาป่ากัน?” อัศวินมาแชลถามต่อไปหลังจากที่เห็นศพของมนุษย์หมาป่าทั้งสองตัวที่อยู่บนม้าของอาเบล

 

“ผมเห็นพวกมันระหว่างการเดินทางหน่ะ ผมเลยต้องฆ่าพวกมันก่อนที่พวกมันจะฆ่าผม”

 

อาเบลไม่ได้อธิบายอะไรทุกอย่างมากไปกว่านี้ อาเบลไม่ได้พูดเลยว่าในการต่อสู้นั้นอาเบลได้ใช้อะไรสังหารพวกมัน ยิ่งอาเบลได้ให้ข้อมูลกับอัศวินมาแชลน้อยเท่าไรแน่นอนว่าเรื่องราวการเดินทางในครั้งนี้จะต้องยิ่งน่าประทับใจมากขึ้นเท่านั้น

 

อัศวินมาแชลได้โบกมือเพื่อส่งสัญญาณเรียกพ่อบ้านลินด์เซ่ออกมา “ส่งซากศพของพวกมนุษย์หมาป่าทั้ง 2 ตัวนี้ไปที่คฤหาสน์ในเมืองซะ บอกพวกเขาว่าเป็นฝีมือของอาเบล”

 

“ได้เลยครับนายท่าน” พ่อบ้านลินด์เซ่สั่งให้คนรับใช้ยกซากศพของมนุษย์หมาป่าทั้ง 2 ตัวลงจากม้า

 

อาเบลได้พูดกับอัศวินมาแชลต่อไป “พ่อครับ เราไปคุยกันถึงเรื่องอัศวินได้ไหมครับ ผมมีบางอย่างอยากจะถามพ่อ”

 

“เกี่ยวกับการเลื่อนระดับของลูกสินะ?” อัศวินมาแชลถามอาเบลก่อนที่จะพาอาเบลไปที่ห้อง

 

เมื่อถึงห้องอ่านหนังสือที่เป็นเหมือนกับสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในปราสาทอีกครั้ง ตั้งแต่อาเบลได้อยากที่จะถามอะไรบางอย่างห้องแรกที่อัศวินมาแชลคิดถึงนั้นก็คือห้องอ่านหนังสือนั่นเอง

 

“เอาล่ะ บอกมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อัศวินมาแชลได้พูดทันทีที่เข้ามาในห้องอ่านหนังสือ

 

อาเบลยังคงนั่งเงียบโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่ตอนนี้อาเบลกำลังใช้พลังลมปราณสำหรับการต่อสู้ขึ้นมา พลังลมปราณที่ใช้สำหรับต่อสู้ของอาเบลนั้นมีสีทองอ่อนๆ สะท้อนออกมาจากตัวของอาเบล

 

อัศวินมาแชลรู้สึกตกตะลึงทันทีที่เห็นพลังลมปราณในการต่อสู้ของอาเบลนั้นเป็นสีทองอ่อนๆ ทันทีที่อัศวินมาแชลต้องการที่จะสัมผัสลมปราณสีทองอ่อนๆ แต่มือของอัศวินมาแชลก็ต้องหยุดลงกลางอากาศซะก่อน

 

“ตำนานเป็นเรื่องจริงสินะ” อัศวินมาแชลได้กล่างพึมพำกับตัวเอง “เคยมีสิ่งหนึ่งที่มีพลังลมปราณในการต่อสู้สีทองแบบนี้”

 

อาเบลถามออกไปทันทีด้วยความอยากรู้ “แล้วถ้าพลังลมปราณในการต่อสู้เป็นสีทองจริงๆ แล้วจะมีผลกระทบอะไรไหมครับ? ทำไมพลังลมปราณถึงเป็นสีแบบนี้ไปได้”

 

“หมายความว่ายังไงกัน ทำไมถึงพูดว่าเป็นสีแบบนี้ได้ นี่มันพลังลมปราณสำหรับการต่อสู้ระดับพระเจ้า แสงสีทองเป็นเหมือนกับสีของตัวแทนพระเจ้านั่นเอง ตำนานเคยเล่าเอาไว้ว่าเลือดของเหล่าพระเจ้านั้นเป็นสีทอง และมีเพียงผู้ที่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเท่านั้นที่จะมีพลังลมปราณสีทองแบบนี้ได้”

 

การมีพลังลมปราณระดับพระเจ้านี้ได้ดูเหมือนอัศวินมาแชลจะไม่ได้ตกใจเท่าไรนัก ตอนที่อัศวินมาแชลได้รู้แล้วว่าอาเบลได้เลื่อนระดับอีกครั้งในไม่กี่นาทีก่อนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรอีกต่อไปแล้วถ้าเด็กคนนี้อย่างอาเบลนั้นจะมีพลังอะไรแอบแฝงอยู่อีก

 

“แล้วพลังลมปราณแบบนี้มันดียังไงหรอครับ” อาเบลได้ถามต่อไป ตอนนี้อาเบลไม่แน่ใจเลยว่าการที่มีพลังลมปราณสีทองนั้นเป็นอะไรที่ดีไหม แต่ถ้าหากเป็นไปตามที่อัศวินมาแชลได้พูดเอาไว้แล้วละก็การที่มีพลังลมปราณในการต่อสู้สีทองนั้นเป็นสีของเทพพระเจ้าจริงจะต้องเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

 

“ลูกถามอะไรออกมานะอาเบล? การที่ลูกมีพลังแบบนั้นแน่นอนว่าจะไม่มีใครที่เอาชนะลูกได้อย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะมีพลังแบบเดียวกับลูกละนะ นั้นฟังดูดีไหมละอาเบล?” อัศวินมาแชลตอบกลับอย่างกระวนกระวาย ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะเกิดมาโดยที่มีพลังติดตัวมามากจนเกินไป อาเบลดูเหมือนเด็กที่มีความสามารถถูกซ่อนเอาไว้ในตัวอีกมากมาย

 

“แล้วมันดียังไงกัน? ผมก็สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีใครเอาชนะได้ด้วยพลังของธนูแฮรี่อยู่แล้ว” อาเบลได้พูดออกมาพร้อมกับความผิดหวัง

 

“ดูเหมือนลูกจะโลภมากเกินไปละนะ ถ้าหากลูกเป็นถึงอัศวินชั้นสูงแล้วละก็ลูกจะรู้เองว่าการที่จะพึ่งพลังของธนูแฮรี่อย่างเดียวนั้นก็คงจะไม่เพียงพออีกต่ไป การต่อสู้ในระดับของผู้บัญชาการนั้นการใช้ธนูแฮรี่จะต้องเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน ด้วยพลังลมปราณในการต่อสู้ในตำนานของลูกนั้น พลังลมปราณในการต่อสู้ของลูกอาจจะมีมากขึ้นถึง 4 เท่าก็เป็นได้ แล้วทำไมลูกถึงยังไม่พอใจกันอีกล่ะ?”

 

“ผมสามารถเพิ่มพลังลมปราณในการต่อสู้ด้วยการใช้พลังลมปราณสีทองในการต่อสู้อย่างงั้นหรอครับ” อาเบลถามด้วยความอยากรู้ที่มากขึ้น

 

“ลองดูด้วยตัวเองซะสิ ไม่ต้องใช้พลังลมปราณในการโจมตีฉันก็ได้ ใช้แค่พละกำลังกายเท่านั้นก็พอ แค่นี้ก็จะรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของลูกนั้นเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน หลังจากนั้นค่อยโจมตีพ่อด้วยพลังลมปราณอีกครั้ง”

 

“ห้องนี้จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

 

อาเบลหันไปมองรอบๆ ห้องอ่านหนังสือ ห้องอ่านหนังสือห้องนี้กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ภายในห้องถูกวางไปด้วยชั้นหนังสือมากมาย และในใจกลางของห้องเองก็มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกใช้งานไว้อยู่ด้วย

 

“ไม่เป็นไรหรอกหน่า” อัศวินมาแชลพูดออกมาอย่างมั่นใจ

 

“ผมพร้อมแล้วนะครับ” อาเบลได้พูดเตือนอัศวินมาแชล ตอนนี้อาเบลกำลังจะต่อยไปที่อัศวินมาแชลโดยใช้พละกำลังกายของตัวเองเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ภายในระยะเวลาไม่ีกี่วินาทีเท่านั้นอัศวินมาแชลก็ได้ใช้พละกำลังของตัวเองในการป้องกันการโจมตีของอาเบลเอาไว้

 

อัศวินมาแชลต้องถึงกับเพิ่มพละกำลังสำหรับการป้องกันอย่างรวดเร็วทันที ในตอนนี้อัศวินมาแชลได้ใช้พละกำลังทั้งหมดสำหรับป้องกันไปถึง 80 เปอร์เซ็นต์แล้วแต่ก็ดูเหมือนว่าการป้องกันของอัศวินมาแชลจะไร้ประโยชน์อยู่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีของอาเบล ด้วยเหตุผลที่ตัวอัศวินมาแชลก็ไม่เข้าใจเท่าไรนักตอนนี้เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังเหมือนลูกบอลที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ

 

จริงๆ แล้วอัศวินมาแชลได้กระเด็นลอยไปกว่าสิบเมตรด้วยกัน ตอนนี้ชั้นหนังสือที่อัศวินมาแชลลอยไปชนนั้นได้แตกออกในทันที

 

“อาเบล!” อัศวินมาแชลตะโกนขึ้นมา โชคดีที่อาเบลไม่ได้ใช้พลังลมปราณในการต่อสู้โจมตีอัศวินมาแชล ด้วยความแข็งแกร่งของพละกำลังของตัวเขาเองทำให้อัศวินมาแชลไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่แน่นอนว่าข้าวของในห้องอ่านหนังสือเองก็ได้เสียหายไปแล้ว ในตอนนี้อัศวินมาแชลยังไม่ต้องการให้คนภายนอกรับรู้ถึงความลับในเรื่องนี้ อัศวินมาแชลจึงตัดสินใจที่จะทำความสะอาดห้องอ่านหนังสือด้วยตัวเอง

 

“พ่อบอกให้ลูกใช้แรงเพียงครึ่งเดียว! ทำไมลูกถึงใช้แรงทั้งหมดกัน?” อัศวินมาแชลส่งเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ

 

“แต่ผมใช้แรงแค่ครึ่งเดียวเองนะครับ” อาเบลได้ตอบกลับไปอย่างใสซื่อ

 

“อะไรกัน? พ่อคิดว่าลูกใช้พลังลมปราณในการต่อสู้โจมตีมาซะอีก นี่ล้อเล่นกันใช่ไหม? “

 

อัศวินมาแชลดูไม่เชื่อสิ่งที่อาเบลพูดเท่าไรนัก อัศวินมาแชลยังคงถามต่อไปว่า “ลูกยกระดับพลังนานแค่ไหนกัน?”

 

“ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไรครับ” อาเบลไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเขานั้นใช้เวลานานแค่ไหน อาเบลรู้แต่ว่าเขาต้องใช้เวลาในการรอเมฆาสีขาวฟื้นตัวจนสามารถเลื่อนระดับตัวเองแบบนี้ได้

 

“ลูกไม่รู้ได้ยังไงกัน?” อัศวินมาแชลกำลังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่การที่เห็นอาเบลได้แสดงท่าทีที่ใสซื่อออกมาก็ทำให้อัศวินมาแชลรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น

 

“ผมคิดแต่ว่าผมจะต้องเลื่อนระดับเท่านั้นในตอนนั้น ผมก็เลยไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหนกันแน่” อาเบลอธิบายต่อไป

 

อัศวินมาแชลรู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำให้อาเบลรู้สึกผิดอยู่นั่นเอง แต่อัศวินมาแชลก็ห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้เลยเมื่อได้ยินอาเบลพูดว่า “ไม่รู้ออกมา”

 

“งั้นลองต่อยมาที่พ่ออีกครั้งโดยใช้แรงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะ จำไว้นะว่าแค่ 10 เปอร์เซ็นต์น่ะ อย่าพลาดอีกนะอาเบล” อัศวินมาแชลพูดเตือนอย่างระมัดระวัง

 

“มั่นใจได้เลยครับว่าผมจะไม่พลาด ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนที่ควบคุมพลังได้ดีอะไรมากนักแต่ผมไม่พลาดแน่ครับ” น้ำเสียงที่อาเบลตอบกลับมานั้นจริงจังเป็นอย่างมาก

 

เมื่ออัศวินมาแชลได้ฟังคำพูดของอาเบลอัศวินมาแชลก็ได้เพิ่มพลังป้องกันของตัวเองอย่างเงียบๆ จาก 60 เปอร์เซ็นต์ไปจนถึง 100 เปอร์เซ็นต์

 

หมัดในการต่อยของอาเบลในครั้งนี้ดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ความแรงของหมัดที่อาเบลได้ปล่อยออกมานั้นใช้แรงเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อกำปั้นของอาเบลได้ต่อยไปโดยอัศวินมาแชล ร่างกายของอัศวินมาแชลก็ได้สั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด