Abe the Wizard 81 ที่หลบภัยแห่งความลับ

Now you are reading Abe the Wizard Chapter 81 ที่หลบภัยแห่งความลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Abe the Wizard (AtW) AtW ตอนที่ 81 ที่หลบภัยแห่งความลับ

AtW ตอนที่ 81 ที่หลบภัยแห่งความลับ

 

ในที่สุดวูฟไรเดอร์ทั้งหมดก็ได้สูญเสียความสงบเยือกเย็นไป ตอนนี้พวกมันถูกกองกําลังที่ตามมาข้างหลังโจมตีเข้าด้วยอาวุธหนักที่มี

วูฟไรเดอร์ทั้งหมดในตอนนี้รู้สึกไร้พลังจากก้นบึงของหัวใจของพวกมันเอง สุดท้ายแล้ววูฟไรเดอร์ระดับสูงผู้ที่คอยนําทัพนั้นได้เห่าหอนส่งสัญญาณให้วูฟไรเดอร์ตัวอื่นๆหนีไปในที่สุด ตอนนี้มีวูฟไรเดอร์กว่า 50 ชีวิตด้วยกันได้ตายจากไปแล้ว

 

” เก็บกวาดพวกมันซะ!”

ลอร์ดมาแชลออกคําสั่งก่อนที่อัศวินทั้งหมดที่อยู่ในสนามรบนั้น จะออกเดินหน้าไปอีกครั้ง ตอนนี้พวกอัศวินทั้งหมดจะต้องเก็บกวาดพวกวูฟไรเดอร์ที่กําลังอยู่ในสนามรบนนั่นเอง ไม่ว่าพวกวูฟไรเดอร์จะตายหรือไม่พวกอัศวินทั้งหลายก็จะใช้ดาบของพวกเขาที่มแทงไปที่อกของพวกมันอย่างไร้ปราณี ดูเหมือนว่าทหารผ่านศึก ทุกคนจะคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้เป็นอย่างดี สุดท้ายแล้วใบหน้าของพวกเขาก็มีแต่ความว่างเปล่า สุดท้ายแล้วเหล่าอัศวินทุกคนจะต้องสังหารหมาป่าที่เป็นสัตว์ขี่ของพวกวูฟไรเดอร์ให้ตาย ตามไปกับเจ้านายของพวกมัน

อาเบลรู้สึกไม่ดีเท่าไรนักเมื่อเห็นภาพนี้ ในระหว่างที่เหล่าหมาป่าทั้งหลายพยายามที่จะปกป้องศพของผู้เป็นนาย อาเบลคิดเอาไว้ว่าพวกมันอาจจะมีโอกาสที่จะหาเจ้านายใหม่อีกครั้งก็เป็นได้ แต่สุดท้ายแล้ววิธีที่เหล่าอัศวินเลือกใช้คือการสังหารพวกมันทั้งหมดไป อาเบลรู้เรื่องแบบนี้มานานแล้ว แต่ถึงแบบนั้นหัวใจของตัวเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ดีเมื่อคิดว่าลมทมิฬจะต้องมีชะตากรรมเดียวกับหมาปาพวกนี้

 

“อัศวินทั้งหลายจะไม่ยอมทิ้งม้าของตัวเองหรอกนะ” ลอร์ดมาแชลได้เดินมาพูดกับอาเบลด้วยน้ําเสียงที่ไม่พึงพอใจเท่าไรนัก

” แต่พวกมันกําลังจะถูกฆ่านะครับ ถ้าผมไม่ช่วยพวกมันไว้” อาเบลไม่ยอมเขาพูดสวนกลับในทันที

ลอร์ดมาแชลที่ได้ยืนฟังอยู่ได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่พึงพอใจเช่นเดิม ” นั่นเป็นเพราะลูกไม่มีประสบการณ์การเป็นอัศวินยังไงล่ะ ถ้าหากลูกยังมัวแต่ปกป้องม้าของตัวเองแบบนี้แน่นอนว่าชีวิตของลูกเองก็จะต้องถูกพรากไปด้วยเช่นกัน เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเหมือนกับพื้นฐานที่อัศวินควรจะมี”

 

ตอนนี้อาเบลได้นึกย้อนไปในวันที่ตัวเขานั้นกําลังฝึกฝนอยู่ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้อาเบลจะเคลื่อนไหวเยอะเกินความจําเป็นจนเกินไป จนสุดท้ายแล้วม้าของเขาเองจึงถูกเพ่งเล็งแทนตัวเขาไปในที่สุด

“ผมขอโทษครับ” อาเบลพูดขอโทษออกมา ” ผมไม่รู้เข้าใจว่าการเป็นอัศวินที่แท้จริงนั้นจะต้องทําอะไรกันแน่”

“ลูกเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์นะอาเบล แต่จําเอาไว้ว่าอย่างหลงในพลังของตัวเองจนมากไป สุดท้ายแล้วสิ่งที่สําคัญที่สุด ก็คือพื้นฐานนั่นแหละ ลูกยังต้องมีทางให้เดินอีกไกลในวันข้างหน้านะ”

ในตอนนี้ลอร์ดมาแชลก็ไม่ได้คิดจะโทษอาเบลไปซะทุกอย่าง เขาดีใจที่อาเบลรู้ว่าตัวเองนั้นทําผิดอะไรกันแน่ สําหรับเหล่าอัจฉริยะ ทั้งหลายแล้วความเย่อหยิ่งและทะนงตนนั้นถือเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับพวกเขานั่นเอง

 

หลังจากสงครามได้สงบลงลอร์ดมาแชลและอาเบลก็กลับไปที่ปราสาทแฮรี่ผ่านประตูด้านหน้าในทันที ตอนนั้นเองทุกคนที่เฝ้ามองดูการต่อสู้ต่างก็ส่งเสียงให้กําลังใจพวกเขาทั้งหมด ไม่เพียงแต่พวกอัศวินทั้งหลายจะได้รับชัยชนะมา ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้เองจะมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่เสียชีวิตเป็นศูนย์อีกด้วย ความสําเร็จแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก ถ้าหากทุกๆคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้แข็งแกร่งพอแน่นอนว่าการจะทําแบบนี้ได้จึงเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้เองประชาชนพลเมืองทั้งหลายจึงคิดว่าการที่มีท่านลอร์ดที่แข็งแกร่งแบบนี้คอยปกป้องพวกเขา นั่นเป็นเรื่องที่แสนภาคภูมิใจมากแค่ไหนนั่นเอง

 

“คําว่าลูกผู้ชายตัวจริงแก้แค้น 10 ปีก็ยังไม่สาย” อาเบลไม่ได้เห็นกับคําๆนี้แม้แต่อย่างน้อย สําหรับเขาเองนั้นเชื่อว่า “การทําทุกอย่างให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน” มากกว่า

เมื่ออาเบลโบกมืออําลาให้กับลอร์ดมาแชลเสร็จแล้วเขาก็ได้สวมใส่ชุดเกราะเต็มชุด ก่อนที่จะเดินไปหลังปาของปราสาทแฮรี่ในทันที

 

“เฮ้ เมฆาสีขาว!”

 

อาเบลได้เดินมาถึงจุดที่ไม่มีต้นไม้ภายในปาแห่งนี้ ในตอนที่เรียกเมฆาขาวนั้นเอง นกกระจอกแห่งท้องนภาตัวนี้ ก็ได้ตอบสนองคําพูดของอาเบลผ่านทางจิตใจของมัน ไม่นานนักเมฆาสีขาวก็ได้บินลงมาบนพื้นดินใกล้ๆกับที่อาเบลยืนอยู่

เมฆาสีขาวส่งเสียงดังออกมาทันทีเมื่อเห็นอาเบล ดูเหมือนว่ามันจะบ่นว่าอาเบลนั้นไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับมันเลยนั่นเอง อาเบลซึ่งเข้าใจความหมายดีได้แต่ลูบหัวของเมฆาสีขาวเพื่อที่จะทําให้มันสงบลงไปในที่สุด

 

อาเบลหัวเราะในขณะที่จ้องตาของเมฆาสีขาวที่อยู่ตรงหน้า ”มาเร็ว ไปเที่ยวเล่นกัน”

หลังจากที่อาเบลพูดเสร็จเขาก็กระโดดขึ้นไปบนเมฆาสีขาว เพื่อที่จะเตรียมบินในทันที เมฆาสีขาวได้ส่งเสียงออกมาก่อนที่ตัวมันเองนั้นจะบินขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า ในตอนที่เมฆาสีขาวบินขึ้นสูงอาเบลได้สั่งให้มันบินขึ้นไปสูงกว่าในตอนนี้อีก ในไม่ช้าทั้งอาเบลและเมฆาสีขาวก็ได้อยู่สูงถึงระดับเมฆแล้ว ความสูงระดับนี้เป็นความสูงสูงสุดที่เมฆาสีขาวจะบินได้แล้วนั่นเอง

ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนพื้นดินกลายเป็นสิ่งของที่มีเพียงขนาดเล็กไปแล้วในสายตาของอาเบล จริงๆแล้วที่ตัวเขานั้นต้องการที่จะบินสูงแบบนี้เพื่อที่จะสามารถหาเป้าหมายที่มีอยู่มากให้ง่ายขึ้นนั่นเอง ตอนนี้อาเบลต้องการที่จะตามล่ารูฟไรเดอร์ทั้ง 100 ตัวนั่นเอง ดังนั้นแล้ววิธีที่ตัวเขาใช้ในตอนนี้จึงเป็นวิธีที่จะหาพวกรูฟไรเดอร์ได้ง่ายที่สุดแล้ว

 

อาเบลใช้เวลาอยู่บนหลังของเมฆาสีขาวไม่นานมากนักก่อนที่เขาจะหาตัวพวกวูฟไรเดอร์พบ วูฟไรเดอร์ในตอนนี้กําลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกที่อาเบลเห็นนั้นเขาคิดว่าพวกวูฟไรเดอร์รีบจะเคลื่อนทัพเพื่อที่จะพาพวกที่ได้รับบาดเจ็บไปยังที่ปลอดภัย แต่จากที่ดูแล้วไม่ว่าจุดหมายปลายทางของพวกมันจะเป็นยังไง อาเบลก็อยากที่จะรู้นั้นเองว่าพวกมันนั้นจะไปไหนกันแน่

” ตามพวกมันไป เมฆาสีขาว” อาเบลสั่งให้เมฆาสีขาวตามพวกมันไป หลังจากที่ได้ยินคําสั่งของอาเบลแล้วเมฆาสีขาวก็ได้ลดความเร็วลงก่อนที่จะบินตามฝูงวูฟไรเดอร์ต่อไป หลังจากที่ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ในที่สุดพวกวูฟไรเดอร์ก็ได้พบกับสวนผลไม้ที่มีมนุษย์เป็นเจ้าของ

อาเบลไม่เห็นเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่จากที่เขาได้คิดไว้คงไม่มีมนุษย์คนไหนที่เปิดประตูต้อนรับพวกวูฟไรเดอร์อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วที่นี่จะต้องเป็นฐานลับของพวกโวร์แกนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ใครกันที่จะกล้าร่วมมือกับพวกออร์คในดินแดนมนุษย์แบบนี้?

อาเบลได้หยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง ตอนนี้ที่ที่ตัวอาเบลอยู่คือสวนผลไม้ที่อยู่ภายในเมืองฮาเวสในทางเทคนิคนั่นเอง ที่แห่งนี้ใกล้ๆกับเมืองไซเดอร์เป็นอย่างมาก โดยพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างจนไม่มีบันทึกอะไรบันทึกอยู่เลย แม้แต่แผนที่ของอาเบลนั้นก็ยังไม่มีข้อมูลที่แสดงอะไรถึงกับที่ตรงนี้มากนัก

อาเบลได้ตบไปที่หลังของเมฆาสีขาว ในทันใดนั้นเองมันก็ลดระดับการบินลงจนสุดท้ายแล้วมันก็บินลงไปตรงภูเขาด้านหลังสวนผลไม้สวนนั้น หลังจากที่เมฆาสีขาวบินถึงพื้นแล้วอาเบลก็ได้กระโดดลงมาจากหลังของมันในทันที ตอนนี้เมฆาสีขาวเป็นอิสระแล้วนั่นเอง ถ้าหากมันต้องการที่จะบินไปไหนอาเบลเองก็จะตามใจมัน

โชคดีที่อาเบลนั้นไม่ต้องดูแลหรือทําอะไรมากเพื่อที่จะดูแลเมฆาสีขาว นกกระจอกแห่งท้องนภาเป็นเหมือนกับสัตว์ขี้ตกใจและขี้หวาดระแวง นอกเหนือจากเวลาในการกินอาหารแล้วมันจะไม่บินมาใกล้ๆ กับพื้นดินเลยนั่นเอง แน่นอนว่ามันยังเป็นสัตว์ที่บินสูงมากอีกด้วย ดังนั้นแล้วการที่จะจับตัวมันได้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

 

หลังจากที่เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จแล้ว อาเบลก็ได้รับวิ่งไปที่สวนผลไม้สวนนั้นในทันที ในขณะที่เขาวิ่งอยู่ ตอนนั้นอาเบลก็ได้แต่คิดว่าเมื่อไรกันที่เขาจะไม่ต้องวิ่งแบบนี้อีกต่อไป คงจะเป็นตอนที่ลมทมิฬนั้นเติบโตมากพอจนสามารถพาอาเบลไปในที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย

 

อาเบลวางแผนที่จะใช้ลมทมิฬในการเดินทางระยะสั้น ส่วนในการเดินทางระยะยาวนั้นอาเบลวางแผนที่จะใช้เมฆาสีขาวนั่นเอง ถ้าหากตัวอาเบลนั้นจะไปไหนก็แล้วแต่เขาก็แค่จะต้องอาศัยเมฆาสีขาวในระยะทางไกลๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาขี่ลมทมิฬเพื่อที่จะไปยังจุดหมายได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพวกม้าศึกเองจะสามารถทําได้เช่นเดียวกับหมาปา แต่พวกมันจะต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นพลังมากกว่านั่นเอง ดังนั้นแล้วพวกหมาป่าจึงเป็นเหมือนกับทางเลือกที่ดีที่สุดสําหรับอาเบลอย่างไม่ต้องสงสัย

 

อาเบลต้องหยุดวิ่งหลังจากที่ตัวเข้านั้นอยู่ห่างจากสวนผลไม้ในระยะทาง 1 กิโลเมตร ภายในสวนผลไม้มีโวร์แกนรวมตัวกันอยู่มากเกินไป ความสามารถในการดมกลิ่นของพวกมนุษย์หมาป่าพวกนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้วเพื่อที่จะซ่อนตัวจากพวกมันการรักษาระยะห่างเอาไว้จึงเป็นอะไรที่ดีที่สุดในตอนนี้

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วอาเบลก็ได้วางหอกของตัวเองลงก่อนที่จะเป็นต้นไม้เพื่อที่จะสังเกตการณ์สวนผลไม้ที่เป็นเป้าหมายของเขา ในตอนนี้อาเบลไม่ได้รีบร้อนที่จะโจมตีพวกมันในทันที เขาสนใจมากกว่าว่าพวกโวร์แกนนั้นทําไมถึงมีที่รวมตัวอยู่ในดินแดนของพวกมนุษย์ได้

 

แต่สิ่งที่อาเบลจะได้เห็นต่อจากนี้คือภาพที่เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็น ภายในสวนผลไม้นี้มีมนุษย์และโวร์แกนกําลังอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง ดูเหมือนว่าทั้งมนุษย์และโวร์แกนนั้นจะเข้ากันได้ดี และนอกเหนือจากนี้เองพวกมนุษย์ยังเป็นคนให้อาหารพวกโวร์แกนอีกด้วย

 

สําหรับหมาปาที่เป็นสัตว์ขี่ทั้ง 100 ตัวเองก็อยู่ในสวนผลไม้ด้วยเช่นกัน ภายในสวนผลไม้ตอนนี้ได้มีมนุษย์ที่เป็นเหมือนกับบริวาร รับใช้กําลังเข็นรถที่เต็มไปด้วยหมูเพื่อที่จะให้อาหารกับพวกหมาป่านั่นเอง ในอีกด้านหนึ่งเองพวกโวร์แกนก็กําลังนั่งกินอาหารอยู่บนพื้นเช่นเดียวกัน มีเพียงโวร์แกนระดับสูงเท่านั้นที่ไม่ได้นั่งอยู่ด้วย เนื่องจากจํานวนของพวกโวร์แกนนั้นมีมากเกินไป การที่พวกมันจะนั่งอยู่บนโต๊ะหรือบนเก้าอี้นั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

ทันใดนั้นเองประตูของลานแห่งหนึ่งก็ได้ถูกเปิดออก เท่าที่อาเบลสังเกตเห็นมีมนุษย์ลักษณะอ้วนท้วมคนหนึ่งและโวร์แกนอีกสองตัวได้ออกมาจากประตูแห่งนั้น อาเบลรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นภาพในตอนนี้ เขาจําได้ดีว่ามนุษุย์ที่มีลักษณะอ้วนท้วมคนนี้เป็นใคร เขาเป็นเจ้าของร้านขายน้ํายาเสริมพลังแกรี่ที่อยู่ภายในเมืองฮาเวสนั่นเอง

 

อาเบลไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วชายคนนี้มีชื่อว่าอะไรกันแน่ แต่เขาจําได้ดีว่าชายคนนี้เป็นคนที่ขายน้ํายาเสริมพลังให้กับตัวเขาเองในร้านแกรี่ ถึงจะเป็นตอนนี้อาเบลก็ยังไม่คุ้นชินกับเมืองฮาเวสเท่าไรนัก แต่เมื่อตอนนั้นอาเบลจําได้ดีว่าชายคนนี้ได้ทําอะไรบางอย่างกับตัวเขาเองอยู่ที่เคาน์เตอร์ของร้านแกรี่ เนื่องจากอาเบลเป็นคนที่มีความจําดีดังนั้นแล้วเขาจึงมั่นใจมากว่าเขาจะไม่มีทางจําผิด

ทันใดนั้นเองโวร์แกนที่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ตัวหนึ่งก็เริ่มมองหาอะไรบางอย่างมาที่ที่ทิศทางที่อาเบลกําลังซ่อนอยู่ อาเบลรีบหลับตาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกลั้นหายใจในทันที ตอนนี้อาเบลพยายามที่จะลบตัวตนของตัวเองให้ได้มากที่สุด

“มีอะไรอย่างงั้นหรอ ท่านฟาวเลอร์?” ชายอ้วนที่ชื่อว่าดาเรนได้เอ่ยถามขึ้นมาก่อนที่จะมองไปที่หน้าของฟาวเลอร์

“โวร์แกนตัวที่ถูกเรียกว่าฟาวเลอร์ได้ตอบกลับ “ไม่มีอะไรหรอก คุณดาเรน ฉันแค่เข้าใจอะไรผิดไปเอง”

“ข้อตกลงของพวกเราจะต้องเป็นไปได้ดีแน่นอนท่านฟาวเลอร์” ตอนนี้รอยยิ้มที่แสนกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของดาเรน ”ผมกําลังรอการแลกเปลี่ยนในครั้งหน้าของพวกเราอยู่นะ”

ฟาวเลอร์ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับดาเรน เขาไม่คิดว่าในครั้งหน้าพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง ตอนนี้ดาเรนได้ทํากําไรจากข้อตกลงที่พวกเขาได้ตกลงกันเมื่อไม่นานมานี้ไปมากแล้ว แต่สําหรับดาเรนแล้วเขาคงไม่เกลียดลูกค้าของตัวเองที่สร้างผลกําไรให้กับตัวเขาอย่างแน่นอน

ฟาวเลอร์ได้เผยให้เห็นรอยยิ้มปลอมๆ ของตัวเองก่อนเขาจะตอบกลับไป “เป็นเรื่องที่ดีสําหรับฉันนะที่ได้ทําธุรกิจกับคุณนะ คุณดาเรน แน่นอนว่าตระกูลวูลฟของเราจะต้องดูแลคุณอย่างดีแน่นอน เมื่อถึงครั้งหน้าพวกเราจะหาอะไรมาแลกเปลี่ยนให้สมน้ําสมเนื้อกว่านี้เอง”

“เมื่อครั้งหน้ามาถึง ผมจะจัดไวน์อย่างดีไว้ให้ท่านฟาวเลอร์เอง” ดาเรนพูดพร้อมกับโค้งคํานับให้ สําหรับดาเรนในตอนนี้แล้ว เขาต้องการเพียงที่จะออกจากสวนผลไม้แห่งนี้ให้เร็วที่สุด ตอนนี้มีโวร์แกนอยู่ที่นี่เยอะเกินไปแล้วนั่นเอง ถ้าหากดาเรนพูดอะไรที่พวกโวร์แกนพวกนี้จะไม่พอใจออกไป แน่นอนว่าหัวของเขาจะต้องหลุดออกมาอย่างแน่นอน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด