Scholar’s Advanced Technological System 1306 การแสดงความยินดีจากปักกิ่ง

Now you are reading Scholar’s Advanced Technological System Chapter 1306 การแสดงความยินดีจากปักกิ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดูเหมือนว่าลู่โจวจะรับมือสถานการณ์นี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่

หลังจากการประกาศครั้งใหญ่ เมื่อทั้งโลกรอคำอธิบายจากเขา เขากลับหายตัวไป

ถึงแม้ว่าเขาให้หลัวเหวินเซวียนทำหน้าที่แทน มันชัดเจนว่าหลัวเหวินเซวียนไม่สามารถรับแรงกดดันได้

ลืมหลัวเหวินเซวียนไปเลย

เมื่อเจอข่าวใหญ่แบบนี้ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก แม้แต่ ILHCRC ไม่สามารถรับแรงกดดันได้…

หนึ่งวันหลังจากงานแถลงของ ILHCRC จบลง…

หลังจากประธานาธิบดียืนยันข่าวนี้ มีสองข้อความแสดงความยินดีถูกส่งจากถนนฉางอานไปที่จุดปล่อยยานจินหลิงและสำนักงานใหญ่ ILHCRC ที่เซี่ยงไฮ้

ในข้อความแสดงความยินดี เบื้องบนชื่นชมวิศวกรอวกาศของจุดปล่อยยานจินหลิงและนักฟิสิกส์ทุกคนที่ ILHCRC สำหรับการทุ่มเทครั้งใหญ่เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ

นี่ไม่ใช่แค่จากฝั่งจีน

สิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศอื่นด้วย

ผู้นำระดับสูงจากกว่า 50 ประเทศ จากประเทศที่เข้าร่วมและไม่ได้เข้าร่วมในโปรเจกต์นี้ต่างได้บอกให้สาธารณชนให้ความสนใจกับเรื่องนี้ พวกเขายังได้ส่งจดหมายแสดงความยินดีไปหาทั้ง ILHCRC และตัวลู่โจวเอง

ไม่ว่ามันจะจริงใจหรือไม่ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีไปให้ ILHCRC เขากล่าวว่า ILHCRC เป็นรากฐานสำคัญของมนุษยชาติและเป็นความหวังสำหรับอนาคตของมวลมนุษย์

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นคำถามที่ทุกคนต่างกังวลถึง

นั่นคือมนุษยชาติใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเดินทางด้วยความเร็วกว่าแสงได้…

ณ จงซาน อินเตอร์เนชั่นแนล

ภายนอกประตูหน้า รถโฟล์คสวาเกนสีดำจอดอยู่ตรงทางเข้า ชายชราท่าทีตื่นเต้นหุ่นหนายืนอยู่ข้างประตูและมีคนขับรถยืนยิ้มอยู่

ผู้อำนวยการหลี่มองดูชายที่ยืนอยู่ตรงประตูเหมือนกำแพงเหล็ก ความดันของเขาพุ่งขึ้นทันทีเมื่อเขาพูด

“ผมมีเรื่องด่วน คุณอ่อนให้หน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้เลยครับ” หวังเผิงส่ายหน้าและพูดว่า “เขาบอกว่าเขาจะไม่พบปะใครเป็นเวลาสองวัน”

“แก!” ผู้อำนวยการหลี่พูดด้วยความโมโห “ทำไมถึงยืดหยุ่นไม่ได้ล่ะ? ผมไม่ได้มาหาเรื่องคุยนะ ผมกำลังรีบ! ถามเขาให้หน่อยได้ไหม? ถ้าเขาตกลง ผมขอแค่ห้านาที… มากสุดก็แค่สิบนาที ถ้าเขาปฏิเสธ ผมจะจากไปเลย!”

หวังเผิงส่ายหน้า เขายังคงจุดยืนเดิมไว้

“ถ้าเขาอยากจะพบคุณ เขาจะรับสายคุณ ผู้อำนวยการหลี่ กลับไปเถอะครับ”

ผู้อำนวยการหลี่กระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย “ท่านประธานาธิบดีสั่งให้ผมมา ให้ผมเข้าไปเถอะ!”

สีหน้าของหวังเผิงยังเหมือนเดิมในระหว่างที่เขาพูด “ผมต้องเชื่อฟังคำสั่งของลู่โจว คุณไปบอกให้ประธานาธิบดีไล่ผมออกไหมล่ะ?”

ผู้อำนวยการหลี่ส่ายหน้าและถอนหายใจด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาไม่สามารถทำอะไรได้

ถึงแม้ว่าเขาตำแหน่งสูงกว่าเจ้านายของหวังเผิง แต่ตำแหน่งเป็นคนละเรื่องกับอำนาจ แล้วก็การยืนเฝ้าที่นี่เป็นคำสั่งของลู่โจวตามที่หวังเผิงบอก ถ้าลู่โจวไม่อยากคุยด้วย เขาก็ทำอะไรไม่ได้

“ช่างเถอะ ไม่เถียงด้วยแล้ว เด็กคนนี้ เก็บตัวอะไรของมันวะ—”

หวังเผิงกระแอมลำคอ

ผู้อำนวยการหลี่รู้สึกฉงนใจ เขาเหลือบมองหวังเผิง

“อะไรนะ? ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ยืนบ่นตรงนี้งั้นเหรอ?”

“อืม…เรื่องนี้จริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกับผมเลย คือว่าถ้านักวิชาการลู่อยู่ในห้องทำงาน เขาอาจจะได้ยินเสียงคุณพูด” หวังเผิงมองหน้าผู้อำนวยการหลี่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ผมกังวลว่าถ้าคุณยังพูดถึงเขาอยู่ เขาอาจจะไม่ออกมา และเราต้องรอนานขึ้นกว่าจะได้เจอเขา”

ทันทีที่ผู้อำนวยการหลี่ได้ยินว่าลู่โจวอาจจะได้ยินเขา เขาหุบปากในทันที

เขารู้สึกกลัว

ถ้าลู่โจวตัดสินใจเก็บตัวนานขึ้นเพราะเรื่องนี้และตัดสินใจอยู่ในบ้านหลายเดือน ทุกคนที่ถนนฉางอานและทั้งโลกคงจะเสียสติกันหมด

“โอเค! คุณ…เมื่อวานเขาเริ่มเก็บตัวตอนไหนนะ?”

หวังเผิงตอบ “ห้าโมงเย็นครับ”

“โอเค โอเค! งั้นผมจะกลับมาอีกทีพรุ่งนี้ห้าโมงเย็น!”

หลังจากนั้นผู้อำนวยการหลี่ไม่ได้ป้วนเปี้ยนแถวนี้ต่อ เขาโบกมือให้คนขับและเดินกลับไปที่รถโฟล์คสวาเกน

ผ่านไปสักพักรถคันนี้ก็ลับหายไปที่สุดทางถนน…

หวังเผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ เขากำลังจะยืนเฝ้าประตูหน้าต่อแต่จู่ๆ ก็มีคนโทรมาหา

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเห็นว่าลู่โจวโทรมา

เขารับสายโดยไม่ลังเล

“สวัสดีครับ?”

“ผมเอง…เกิดอะไรขึ้นข้างนอกเหรอ?”

“ผู้อำนวยการหลี่เพิ่งแวะมา…” หวังเผิงลังเลไปสักพักก่อนที่จะพูดต่อ “ดูเหมือนว่ามีเรื่องด่วน”

“เขายังอยู่ข้างนอกไหม?”

“เขาไปแล้ว”

“โอเค ผมเข้าใจ”

เขาไม่รู้ว่าลู่โจวพอใจหรือไม่พอใจ หวังเผิงลังเลไปชั่วครู่แล้วถามว่า “ผมควรโทรเรียกเขากลับมาไหม?”

“เพื่ออะไรล่ะ? ผมบอกแล้วว่าจะไม่พบใครสองวัน”

หวังเผิงยิ้มและพูดว่า “โอเคครับ”

หลังจากวางสายลู่โจวก็เก็บโทรศัพท์ไป

เขาไม่สนใจว่าผู้อำนวยการหลี่เร่งรีบอยู่หรือไม่ เขามัวแต่ยุ่งกับเรื่องตัวเอง เขาไม่มีรับมือกับเรื่องของคนอื่น

ลู่โจวสูดลมหายใจเข้าลึกและหยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามทำใจให้นิ่งและโฟกัสต่อกับงานตรงหน้าที่ยังไม่เสร็จดี

ถึงเขาจะยุ่งน้อยลงจากไม่กี่วันก่อน เขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงจากฟิสิกส์เลเวล 10

พูดตามตรงว่าความรู้สึกของฟิสิกส์เลเวล 10 มันแปลกประหลาด

มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์จนยากที่จะคำบรรยายออกมา

เพิ่มเลเวลคณิตศาสตร์ไปเลเวล 10 ดูเหมือนบิดเบือนกฎเกณฑ์ของทุกอย่างเข้าสู่โลกแห่งตัวเลข การไปถึงฟิสิกส์เลเวล 10 เป็นเหมือนการใช้เหตุผลบริสุทธิ์เพื่อ ‘มอง’ ทุกอย่างในโลก

ทำไมน้ำถึงระเหิด?

บรรยากาศทำงานอย่างไร?

จะอธิบายคำถามสัญญาณลบในการจำลองควอนตัมมอนเต้ คาร์โลอย่างไร?

จากปัญหาโรงเรียนมัธยมไปสู่โจทย์ฟิสิกส์ระดับสูง ทุกอย่างถูกเขียนอย่างชัดเจนต่อหน้าเขา

ถึงแม้ว่าการหยั่งรู้ของเขาไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง การหยั่งรู้ของเขาเป็นเหมือนตัวหมากรุกที่ตกบนกระดาน ซึ่งมันทำให้โลกเรียบง่ายขึ้น

มันทำให้รู้สึกสุขใจเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักวิทยาศาสตร์แบบเขา

เวลาส่วนใหญ่สิ่งที่กวนใจผู้คนไม่ใช่ขั้นตอนการทดลองที่เหน็ดเหนื่อยหรือการคำนวณที่ชวนปวดหัว แต่มันคือความขัดใจที่ไม่รู้ว่าจะดำเนินโครงการวิจัยไปอย่างไร

ความรู้สึกที่เจอทางตันและไม่สามารถบีบคั้นแรงบันดาลใจออกมา… มันน่าเจ็บปวดมากกว่าสิ่งไหนๆ

แต่ตอนนี้…

อย่างน้อยก็สำหรับปัญหาที่มนุษยชาติรู้จักเว้นแต่ข้อคาดเดาและข้อคาดการณ์ที่หลุดโลก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาคำตอบสำหรับโจทย์พวกนี้ได้ทันที เขาก็สามารถแก้ปัญหาได้ ถ้ามีเวลามากเพียงพอ

นอกจากนี้สิ่งที่กินพลังงานของลู่โจวคือรางวัลที่เขาหยิบมาจากระบบเมื่อสองวันก่อน นอกเหนือจากการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงจากฟิสิกส์เลเวล 10

มันมีจากตั๋วชิงโชค ‘สีทอง’ จากระบบ

ที่ผ่านมาลู่โจวไม่เชื่อว่าระบบสามารถดึงสิ่งอย่างยานอวกาศมาได้ แต่มันได้เปลี่ยนไปแล้ว

เขายังไม่ได้รับของมหัศจรรย์อย่างยานอวกาศ แต่เขาได้รับพิมพ์เขียวของสถานีอวกาศ

บางคนอาจจะพูดว่าสถานีอวกาศไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไร

แต่สถานีอวกาศแห่งนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคนจำนวนหลายแสนหรือหลายล้านคน และสามารถให้ยานอวกาศเทียบจอดได้ถึงหลายพันลำ และรับมือวัสดุได้หลายล้านตัน คุณสมบัติเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนใจพวกเขา

ถึงแม้ว่าพิมพ์เขียวนี้ดูน่าทึ่งมาก มันไม่สามารถสร้างขึ้นได้สำเร็จด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ของมนุษยชาติ

ลืมอารยธรรมมนุษย์ไปเลย แม้แต่อารยธรรมคาลานก็ไม่สามารถทำงานใหญ่แบบนี้ได้โดยไม่มีการปรับเปลี่ยน

ลู่โจวมั่นใจว่าถึงแม้จะมีเทคโนโลยีก่อสร้างและเงื่อนไขทำงานที่เหมาะสม มันจะใช้เวลาอย่างหนึ่งครึ่งศตวรรษหรือหนึ่งศตวรรษเพื่อสร้างสถานีอวกาศแห่งนี้…

แต่ถึงแม้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ การที่บอกว่ามันไม่มีประโยชน์เลยก็ดูมองโลกในแง่ร้ายเกินไป

ปากกาในมือลู่โจวหยุดเขียน เขามองดูพิมพ์เขียวบนโต๊ะ อยู่ดีๆ ลู่โจวก็ยิ้มออกมา

เขานึกบางอย่างขึ้นได้

อยู่ดีๆ เขานึกไอเดียที่จะใช้พิมพ์เขียวนี้ได้…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Scholar’s Advanced Technological System 1306 การแสดงความยินดีจากปักกิ่ง

Now you are reading Scholar’s Advanced Technological System Chapter 1306 การแสดงความยินดีจากปักกิ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดูเหมือนว่าลู่โจวจะรับมือสถานการณ์นี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่

หลังจากการประกาศครั้งใหญ่ เมื่อทั้งโลกรอคำอธิบายจากเขา เขากลับหายตัวไป

ถึงแม้ว่าเขาให้หลัวเหวินเซวียนทำหน้าที่แทน มันชัดเจนว่าหลัวเหวินเซวียนไม่สามารถรับแรงกดดันได้

ลืมหลัวเหวินเซวียนไปเลย

เมื่อเจอข่าวใหญ่แบบนี้ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก แม้แต่ ILHCRC ไม่สามารถรับแรงกดดันได้…

หนึ่งวันหลังจากงานแถลงของ ILHCRC จบลง…

หลังจากประธานาธิบดียืนยันข่าวนี้ มีสองข้อความแสดงความยินดีถูกส่งจากถนนฉางอานไปที่จุดปล่อยยานจินหลิงและสำนักงานใหญ่ ILHCRC ที่เซี่ยงไฮ้

ในข้อความแสดงความยินดี เบื้องบนชื่นชมวิศวกรอวกาศของจุดปล่อยยานจินหลิงและนักฟิสิกส์ทุกคนที่ ILHCRC สำหรับการทุ่มเทครั้งใหญ่เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ

นี่ไม่ใช่แค่จากฝั่งจีน

สิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศอื่นด้วย

ผู้นำระดับสูงจากกว่า 50 ประเทศ จากประเทศที่เข้าร่วมและไม่ได้เข้าร่วมในโปรเจกต์นี้ต่างได้บอกให้สาธารณชนให้ความสนใจกับเรื่องนี้ พวกเขายังได้ส่งจดหมายแสดงความยินดีไปหาทั้ง ILHCRC และตัวลู่โจวเอง

ไม่ว่ามันจะจริงใจหรือไม่ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีไปให้ ILHCRC เขากล่าวว่า ILHCRC เป็นรากฐานสำคัญของมนุษยชาติและเป็นความหวังสำหรับอนาคตของมวลมนุษย์

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นคำถามที่ทุกคนต่างกังวลถึง

นั่นคือมนุษยชาติใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเดินทางด้วยความเร็วกว่าแสงได้…

ณ จงซาน อินเตอร์เนชั่นแนล

ภายนอกประตูหน้า รถโฟล์คสวาเกนสีดำจอดอยู่ตรงทางเข้า ชายชราท่าทีตื่นเต้นหุ่นหนายืนอยู่ข้างประตูและมีคนขับรถยืนยิ้มอยู่

ผู้อำนวยการหลี่มองดูชายที่ยืนอยู่ตรงประตูเหมือนกำแพงเหล็ก ความดันของเขาพุ่งขึ้นทันทีเมื่อเขาพูด

“ผมมีเรื่องด่วน คุณอ่อนให้หน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้เลยครับ” หวังเผิงส่ายหน้าและพูดว่า “เขาบอกว่าเขาจะไม่พบปะใครเป็นเวลาสองวัน”

“แก!” ผู้อำนวยการหลี่พูดด้วยความโมโห “ทำไมถึงยืดหยุ่นไม่ได้ล่ะ? ผมไม่ได้มาหาเรื่องคุยนะ ผมกำลังรีบ! ถามเขาให้หน่อยได้ไหม? ถ้าเขาตกลง ผมขอแค่ห้านาที… มากสุดก็แค่สิบนาที ถ้าเขาปฏิเสธ ผมจะจากไปเลย!”

หวังเผิงส่ายหน้า เขายังคงจุดยืนเดิมไว้

“ถ้าเขาอยากจะพบคุณ เขาจะรับสายคุณ ผู้อำนวยการหลี่ กลับไปเถอะครับ”

ผู้อำนวยการหลี่กระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย “ท่านประธานาธิบดีสั่งให้ผมมา ให้ผมเข้าไปเถอะ!”

สีหน้าของหวังเผิงยังเหมือนเดิมในระหว่างที่เขาพูด “ผมต้องเชื่อฟังคำสั่งของลู่โจว คุณไปบอกให้ประธานาธิบดีไล่ผมออกไหมล่ะ?”

ผู้อำนวยการหลี่ส่ายหน้าและถอนหายใจด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาไม่สามารถทำอะไรได้

ถึงแม้ว่าเขาตำแหน่งสูงกว่าเจ้านายของหวังเผิง แต่ตำแหน่งเป็นคนละเรื่องกับอำนาจ แล้วก็การยืนเฝ้าที่นี่เป็นคำสั่งของลู่โจวตามที่หวังเผิงบอก ถ้าลู่โจวไม่อยากคุยด้วย เขาก็ทำอะไรไม่ได้

“ช่างเถอะ ไม่เถียงด้วยแล้ว เด็กคนนี้ เก็บตัวอะไรของมันวะ—”

หวังเผิงกระแอมลำคอ

ผู้อำนวยการหลี่รู้สึกฉงนใจ เขาเหลือบมองหวังเผิง

“อะไรนะ? ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ยืนบ่นตรงนี้งั้นเหรอ?”

“อืม…เรื่องนี้จริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกับผมเลย คือว่าถ้านักวิชาการลู่อยู่ในห้องทำงาน เขาอาจจะได้ยินเสียงคุณพูด” หวังเผิงมองหน้าผู้อำนวยการหลี่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ผมกังวลว่าถ้าคุณยังพูดถึงเขาอยู่ เขาอาจจะไม่ออกมา และเราต้องรอนานขึ้นกว่าจะได้เจอเขา”

ทันทีที่ผู้อำนวยการหลี่ได้ยินว่าลู่โจวอาจจะได้ยินเขา เขาหุบปากในทันที

เขารู้สึกกลัว

ถ้าลู่โจวตัดสินใจเก็บตัวนานขึ้นเพราะเรื่องนี้และตัดสินใจอยู่ในบ้านหลายเดือน ทุกคนที่ถนนฉางอานและทั้งโลกคงจะเสียสติกันหมด

“โอเค! คุณ…เมื่อวานเขาเริ่มเก็บตัวตอนไหนนะ?”

หวังเผิงตอบ “ห้าโมงเย็นครับ”

“โอเค โอเค! งั้นผมจะกลับมาอีกทีพรุ่งนี้ห้าโมงเย็น!”

หลังจากนั้นผู้อำนวยการหลี่ไม่ได้ป้วนเปี้ยนแถวนี้ต่อ เขาโบกมือให้คนขับและเดินกลับไปที่รถโฟล์คสวาเกน

ผ่านไปสักพักรถคันนี้ก็ลับหายไปที่สุดทางถนน…

หวังเผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ เขากำลังจะยืนเฝ้าประตูหน้าต่อแต่จู่ๆ ก็มีคนโทรมาหา

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเห็นว่าลู่โจวโทรมา

เขารับสายโดยไม่ลังเล

“สวัสดีครับ?”

“ผมเอง…เกิดอะไรขึ้นข้างนอกเหรอ?”

“ผู้อำนวยการหลี่เพิ่งแวะมา…” หวังเผิงลังเลไปสักพักก่อนที่จะพูดต่อ “ดูเหมือนว่ามีเรื่องด่วน”

“เขายังอยู่ข้างนอกไหม?”

“เขาไปแล้ว”

“โอเค ผมเข้าใจ”

เขาไม่รู้ว่าลู่โจวพอใจหรือไม่พอใจ หวังเผิงลังเลไปชั่วครู่แล้วถามว่า “ผมควรโทรเรียกเขากลับมาไหม?”

“เพื่ออะไรล่ะ? ผมบอกแล้วว่าจะไม่พบใครสองวัน”

หวังเผิงยิ้มและพูดว่า “โอเคครับ”

หลังจากวางสายลู่โจวก็เก็บโทรศัพท์ไป

เขาไม่สนใจว่าผู้อำนวยการหลี่เร่งรีบอยู่หรือไม่ เขามัวแต่ยุ่งกับเรื่องตัวเอง เขาไม่มีรับมือกับเรื่องของคนอื่น

ลู่โจวสูดลมหายใจเข้าลึกและหยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามทำใจให้นิ่งและโฟกัสต่อกับงานตรงหน้าที่ยังไม่เสร็จดี

ถึงเขาจะยุ่งน้อยลงจากไม่กี่วันก่อน เขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงจากฟิสิกส์เลเวล 10

พูดตามตรงว่าความรู้สึกของฟิสิกส์เลเวล 10 มันแปลกประหลาด

มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์จนยากที่จะคำบรรยายออกมา

เพิ่มเลเวลคณิตศาสตร์ไปเลเวล 10 ดูเหมือนบิดเบือนกฎเกณฑ์ของทุกอย่างเข้าสู่โลกแห่งตัวเลข การไปถึงฟิสิกส์เลเวล 10 เป็นเหมือนการใช้เหตุผลบริสุทธิ์เพื่อ ‘มอง’ ทุกอย่างในโลก

ทำไมน้ำถึงระเหิด?

บรรยากาศทำงานอย่างไร?

จะอธิบายคำถามสัญญาณลบในการจำลองควอนตัมมอนเต้ คาร์โลอย่างไร?

จากปัญหาโรงเรียนมัธยมไปสู่โจทย์ฟิสิกส์ระดับสูง ทุกอย่างถูกเขียนอย่างชัดเจนต่อหน้าเขา

ถึงแม้ว่าการหยั่งรู้ของเขาไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง การหยั่งรู้ของเขาเป็นเหมือนตัวหมากรุกที่ตกบนกระดาน ซึ่งมันทำให้โลกเรียบง่ายขึ้น

มันทำให้รู้สึกสุขใจเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักวิทยาศาสตร์แบบเขา

เวลาส่วนใหญ่สิ่งที่กวนใจผู้คนไม่ใช่ขั้นตอนการทดลองที่เหน็ดเหนื่อยหรือการคำนวณที่ชวนปวดหัว แต่มันคือความขัดใจที่ไม่รู้ว่าจะดำเนินโครงการวิจัยไปอย่างไร

ความรู้สึกที่เจอทางตันและไม่สามารถบีบคั้นแรงบันดาลใจออกมา… มันน่าเจ็บปวดมากกว่าสิ่งไหนๆ

แต่ตอนนี้…

อย่างน้อยก็สำหรับปัญหาที่มนุษยชาติรู้จักเว้นแต่ข้อคาดเดาและข้อคาดการณ์ที่หลุดโลก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาคำตอบสำหรับโจทย์พวกนี้ได้ทันที เขาก็สามารถแก้ปัญหาได้ ถ้ามีเวลามากเพียงพอ

นอกจากนี้สิ่งที่กินพลังงานของลู่โจวคือรางวัลที่เขาหยิบมาจากระบบเมื่อสองวันก่อน นอกเหนือจากการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงจากฟิสิกส์เลเวล 10

มันมีจากตั๋วชิงโชค ‘สีทอง’ จากระบบ

ที่ผ่านมาลู่โจวไม่เชื่อว่าระบบสามารถดึงสิ่งอย่างยานอวกาศมาได้ แต่มันได้เปลี่ยนไปแล้ว

เขายังไม่ได้รับของมหัศจรรย์อย่างยานอวกาศ แต่เขาได้รับพิมพ์เขียวของสถานีอวกาศ

บางคนอาจจะพูดว่าสถานีอวกาศไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไร

แต่สถานีอวกาศแห่งนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคนจำนวนหลายแสนหรือหลายล้านคน และสามารถให้ยานอวกาศเทียบจอดได้ถึงหลายพันลำ และรับมือวัสดุได้หลายล้านตัน คุณสมบัติเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนใจพวกเขา

ถึงแม้ว่าพิมพ์เขียวนี้ดูน่าทึ่งมาก มันไม่สามารถสร้างขึ้นได้สำเร็จด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ของมนุษยชาติ

ลืมอารยธรรมมนุษย์ไปเลย แม้แต่อารยธรรมคาลานก็ไม่สามารถทำงานใหญ่แบบนี้ได้โดยไม่มีการปรับเปลี่ยน

ลู่โจวมั่นใจว่าถึงแม้จะมีเทคโนโลยีก่อสร้างและเงื่อนไขทำงานที่เหมาะสม มันจะใช้เวลาอย่างหนึ่งครึ่งศตวรรษหรือหนึ่งศตวรรษเพื่อสร้างสถานีอวกาศแห่งนี้…

แต่ถึงแม้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ การที่บอกว่ามันไม่มีประโยชน์เลยก็ดูมองโลกในแง่ร้ายเกินไป

ปากกาในมือลู่โจวหยุดเขียน เขามองดูพิมพ์เขียวบนโต๊ะ อยู่ดีๆ ลู่โจวก็ยิ้มออกมา

เขานึกบางอย่างขึ้นได้

อยู่ดีๆ เขานึกไอเดียที่จะใช้พิมพ์เขียวนี้ได้…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+