ย้อนชีวิตพิชิตเซียนบทที่ 80 : อู๋ซิน

Now you are reading ย้อนชีวิตพิชิตเซียน Chapter บทที่ 80 : อู๋ซิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 80 : อู๋ซิน

“อาวุโสเม่ย.. เมื่อไหร่เจ้าจะชดใช้หนี้ที่ติดค้างข้าเสียที?”

เสียงพูดของซูอานนั้นไม่เบาเลย และคําพูดประโยคนี้ก็ดังทะลุแก้วหูของทุกคนที่กําลังยืนดูเหตุการณ์

ทุกคนถึงกับจุนงงและตกตะลึง และคิดว่าพวกเขาคงจะหูฝาดไป น่าจะเป็นซูอานที่ติดหนี้อาวุโสเม่ยเสียมากกว่า ทุกคนต่างก็กําลังคิดเช่นนั้น เพราะการที่จะเชื่อว่าซูอานเป็นเจ้าหนี้อาวุโสเม่ยนั้นเป็นเรื่องที่น่าขบขันมากจนเกินไป

แล้วทุกคนที่มุงดูเหตุการณ์ก็พากันหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน..

“ฮ่าๆๆ สงสัยเด็กนี่กลัวจนเพี้ยน!”

“นั่นสิ! คนอย่างอาวุโสเม่ยนนะจะเป็นหนี้เจ้าเด็กนั่น!”

ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์และหัวเราะเยาะซูอานกันยกใหญ่ และไม่มีใครเชื่อค่าพูดซูอานเลยแม้แต่คนเดียว
ซูเทียนหลุนถึงกับยิ้มออกมาด้วยความสะใจ เพราะเขากําาลังคิดว่าซูอานหวาดกลัว จนทําอะไรไม่ถูก จึงได้พูดขึ้นว่า

“ซูอาน ถ้าแกคุกเข่าขอขมาฉันกับพ่อ ไม่แน่วันนี้ฉันอาจช่วยขอร้องอาวุโสเม่ยให้ก็ได้!”

“อย่าเลยเทียนหลุน เด็กสารเลวอย่างมันสมควรได้รับบทเรียนแบบนี้!” ซูปิงเซียนรีบค้านขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชา

แต่ในขณะที่ทุกคนกําลังหัวเราะเยาะซูอานอยู่นั้น มีเพียงผู้จัดการถึงคนเดียวที่สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น นั่นเพราะเวลานี้เขากําลังยืนอยู่ข้างอาวุโสเม่ย จึงเห็นชัดว่าขาทั้งสองข้างของอาวุโสเม่ยนั้นกาลังสั่นเทิ้ม ซึ่งเป็นลักษณะท่าทางของคนที่กําลังตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างที่สุด!

ผู้จัดการยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาวุโสเม่ยจึงต้องมีอาการหวาดกลัวเช่นนี้ เพราะไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องมีท่าทางอาการเช่นนี้ จึงได้แต่คิดว่า หรืออาวุโสเม่ยสั่นเพราะอาการเจ็บป่วยทางร่างกายอย่างกะทันหัน?

ผู้จัดการยังคิดหาเหตุผลเช่นใดก็คิดไม่ออก จึงได้แต่หันไปมองหน้าอาวุโสเม่ยซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ํา อีกทั้งขาทั้งสองข้างยังสั่นมากกว่าเดิม คล้ายกับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเหงื่อเม็ดโตก็ได้ไหลท่วมหน้า
ลักษณะท่าทางเช่นนี้ เป็นอาการของผู้ที่กําลังตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างที่สุด หาใช่เหงื่อตกเพราะอากาศร้อนไม่..

และก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะเวลานี้อาวุโสเม่ยกําลังอยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างที่สุด ราวกับว่ากาลังพบเจอกับปีศาจ หรืออสูรกายจากโลกอื่น

ผู้จัดการถังถึงกับหัวใจเต้นแรง และค่อยๆเหลือบมองซูอานด้วยความหวาดกลัว และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูอาน ต่อให้เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็ต้องเชื่อแล้ว..

“ว่าอย่างไร ตอบข้ามาเร็วเข้า!” ซูอานตะคอกถามเสียงดัง

“เอ่อ.. เรื่องนั้น.. เรื่องนั้น..”

อาวุโสเม่ยอึ้งและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที และภาพที่อาวุโสเม่ยคุกเข่าต่อหน้าซูอานนั้น ก็ทําให้แขกผู้หญิงที่ดูอยู่นั้นถึงกับตกใจ ส่วนแขกผู้ชายก็ถึงกับมีสีหน้าหวาดผวา..

“อาวุโสเม่ยครับ คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ?”

ใครบางคนร้องถามขึ้นเพราะคิดว่าอาวุโสเม่ยอาจจะป่วยขึ้นมากะทันหัน

“อาวุโสเม่ย คุณยังเป็นอะไรไม่ได้นะ ลุกขึ้นมาจัดการกับเจ้าเด็กโอหังนี่ก่อน!”

“หุบปาก!!”

อาวุโสเม่ยรู้ตัวว่าได้ล่วงเกินซูอานอีกครั้งแล้ว จึงใช้น้ําเสียงที่มีพลังของตนนั้น สะกดผู้คนที่มุงดูอยู่ให้เกิดความหวาดกลัว จากนั้นจึงพูดกับซูอานด้วยความนอบน้อมว่า

“ผู้น้อยมีตาแต่กลับมองไม่เห็นเขาเทียนซานที่สง่างาม ผู้น้อยไม่รู้เป็นอาวุโส ขออาวุโสซูได้โปรดลงโทษด้วย!”

ไม่เพียงอาวุโสเม่ยจะคุกเข่าต่อหน้าซูอานเท่านั้น แต่เขายังโขกศรีษะคาราวะหลิงหยุนหลายครั้ง จนหน้าผากถึงกับกลายเป็นสีแดง

ทุกคนในที่นั้นต่างพากันตกอกตกใจและหวาดกลัวจนแทบไม่กล้าหายใจออกมา และได้แต่คิดในใจว่าเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทําไมอาวุโสเว่ยต้องโขกศรีษะยอมรับผิดกับเด็กนั่นด้วย!”

“นั่นสิ! เกิดอะไรขึ้นกับอาวุโสเม่ยกันแน่?”

พ่อลูกสกุลซูเองก็ถึงกับงุนงง และตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน!

อาวุโสเม่ยไม่สนใจคําพูดของผู้คนรอบข้าง และยังคงพูดกับซอานต่อ “อาวุโส ผู้น้อยไม่รู้จริงๆว่าท่านจะมาที่นี่ด้วย!”

ซอานยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาจิบไวน์ก่อนจะตอบไปว่า “เจ้าอย่าได้กังวลใจไป! ข้าไม่ต่าหนิเจ้า ข้าเพียงแค่ต้องการรู้ว่าเจ้าจะใช้หนี้ที่ติดค้างข้าเมื่อใด?”

อาวุโสเม่ยเงยหน้าขึ้นมองซูอานด้วยความหวาดกลัว และตอบกลับไปว่า “อาวุโสซู ผู้น้อยกําลังรวบรวบเงินอยู่ ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย!”

“เฮ้อ.. เจ้าดูสิ! คนพวกนี้ต่างก็คิดว่าข้าไม่มีเงินห้าสิบล้าน และบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานประมูลในคืนนี้ เจ้าคงต้องนําเงินมาให้ข้าแล้วล่ะ ข้าจะได้อยู่ที่นี่ต่อได้..”

ทุกคนได้แต่ตกตะลึงอีกครั้ง และได้แต่คิดว่าอาวุโสเม่ยเป็นหนี้เด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง!
อาวุโสเม่ยเข้าใจความหมายในคําพูดของซูอานได้ทันที เขาหันไปมองผู้คนที่กําลังมุงดูเหตุการณ์อยู่พร้อมกับประกาศเสียงดัง

“ทุกคนในที่นี้กรุณาเปิดหูเปิดตาและฟังผมพูดให้ดี นี่คืออาวุโสซู เขาคือนักยุทธขั้นปรมาจารย์ในโลกของผู้ฝึกยุทธ หากใครยังกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามอาวุโสอีก ผมจะทําให้คนคนนั้นไปนอนในหลุมศพทันที!

“อาวุโสเม่ย ปรมาจารย์ทําไมถึงได้ยังเด็กนักล่ะ?! จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”

นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คนหนึ่งร้องถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ที่จู่ๆเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปีผู้นี้จะกลายเป็นนักยุทธระดับปรมาจารย์ไปได้

“วรยุทธและก่าลังภายในไม่สามารถดูได้จากใบหน้า เช่นเดียวกับท้องทะเลที่มิอาจหยั่งถึงความลึกด้วยสายตา อาวุโสซูเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ําเลิศอย่างไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้!”

“ถ้าพวกคุณไม่อยากอายุสั้น ก็รีบๆขอขมาอาวุโสซเดี๋ยวนี้ เพราะหากทําให้อาวุโสซูโกรธเกรี้ยวขึ้นมาล่ะก็ รับรองว่าที่นี่ต้องนองเลือดแน่!”

เวลานีใบหน้าของสองพ่อลูกสกุลซูกลับเปลี่ยนเป็นซีดเผือด และทรุดลงนั่งกับเก้าอื้อย่างหมดเรี่ยวแรง

“พ่อ.. ทําไมจู่ๆซอานถึงได้กลายเป็นคนแข็งแกร่งแบบนี้ไปได้?” ซูเทียนหลุนเอ่ยถามออกมาด้วยความงุนงง

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า? แต่ครั้งนี้พวกเราสองคนพ่อลูกคงไม่รอดแน่!”

แม้แต่กัวเว่ยเองก็ยังหน้าซีดเผือดไปเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงว่าซูอานจะแข็งแกร่ง และเก่งกาจถึงขนาดที่แม้แต่อาวุโสเม่ยยังต้องยอมศิโรราบให้เช่นนี้ และเหตุการณ์คืนนี้ก็ทําให้กัวเว่ยเริ่มเชื่อในข่าวลือเรื่องที่หลิวเหลียงถูกซูอานสั่งสอนว่าคงจะเป็นเรื่องจริงแน่..

เสียวเอ้อมอจ้องมองผู้มีพระคุณของเธอด้วยแววตาชื่นชม และมีความสุขอย่างมากที่ไม่ต้องเห็นซอานได้รับบาดเจ็บ

“อาวุโสเม่ย เหตุใดเจ้าต้องโมโหเช่นนั้นเล่า? พวกเขาหัวเราะเยาะข้า ไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้าไม่ใช่รี?”

“อาวุโสเม่ย นี่ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว รีบๆหาเงินสามสิบล้านมาใช้หนี้ข้า โดยเร็วล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าจะคิดดอกเบี้ยกับเจ้า!”

อาวุโสเม่ยรีบตอบกลับไปทันที “อาวุโส ข้าจะรีบหามาใช้ให้ท่านโดยเร็วที่สุด!”

มีหรือที่อาวุโสเม่ยจะกล้าโกรธหรือไม่พอใจซูอานแม้แต่น้อย เพราะเวลานี้เขาเองก็หวาดกลัวจนแทบจะปัสสาวะราดกางเกงอยู่แล้ว เขายังจําได้แม่นว่าเมื่อครั้งที่อยู่บน เขานั้น ซูอานน่ากลัวและโหดเหี้ยมมากเพียงใด?

“เอาล่ะ.. ลุกขึ้นได้แล้ว! เจ้าก็อายุมากแล้ว คุกเข่านานไปจะไม่เป็นผลดีนัก!”

อาวุโสเม่ยรีบลุกขึ้นยืนตามค่าสังของซูอานทันที และเขาก็เดินไปยืนข้างซูอานด้วยท่าที่นอบน้อมราวกับว่าเป็นบ่าวของเขาเลยที่เดียว

ซูอานกวาดสายตามองทุกคนโดยรอบ พร้อมกับถามขึ้นว่า “เอาล่ะ.. มีใครยังเห็นว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในงานประมูลนี้อีกบ้าง?”

ในขณะที่ทุกคนกําลังตกใจ และไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คําเดียวนั้น ซูปิงซานที่ไม่ต่างจากคนคลุ้มคลั่งก็ได้ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

“ซูอาน.. อาวุโสเม่ยติดหนี้แกแค่สามสิบล้าน ยังไงก็ยังไม่ถึงห้าสิบล้านอยู่ดี แกไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในงานนี้!”

“เจ้าผิดแล้ว! เฒ่าเมียติดหนี้ข้าแค่สามสิบล้านก็จริง แต่ยังมีอาวุโสคนอื่นๆที่ติดหนี้ ข้าอีกมากมาย ไม่เชื่อเจ้าก็ถามเขาดูเอาเองสิ!” ซูอานร้องบอกซูปิงเซียนด้วยน้ําเสียง นิ่งเรียบ

อาวุโสเม่ยรีบร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง “เวลานี้อาวุโสซมีลูกหนี้รวมกันกว่าห้าร้อยล้านหยวน!”

และนี่เพียงแค่เงินไถ่ชีวิตที่ซูอานได้รับจากบรรดาผู้ฝึกยุทธอาวุโสเท่านั้น ยังไม่รวมทรัพย์สินของสกุลหลิวอีก มิหนําซ้ํายังมีเงินค่ารักษาของเหอหลิงซีอีกสองพันล้านหยวน!

ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันตกอกตกใจและตกตะลึง และเวลานี้ซูปิงเซียนก็แทบจะล้มตึงลงไปกับพื้น ยิ่งเขาพยายามที่จะทําให้ซอานอับอายขายหน้ามากเท่าไหร่ ซูอานกลับยิ่งสง่างามมากขึ้นเท่านั้น

แต่ซเทียนหลนยังไม่ยอมแพ้ เขาร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “ต่อให้มีเงินก็ไม่มีบัตรเชิญอยู่ดี ยังไงก็อยู่ในงานไม่ได้!”

ซูอานกระโดดเข้าไปหาซูเทียนหลุนพร้อมกับหยิบบัตรเชิญในกระเป๋าเสื้อของเขามา จากนั้นจึงสะบัดปลายบัตรเชิญเข้าใส่นิ้วของซูเทียนหลุนที่กําลังชี้หน้าเขาอยู่จนเลือดไหล พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นี่บัตรเชิญของข้า เชิญพวกเจ้าสองคนพ่อลูกกลับไปได้แล้ว!”

ซูอานหันไปทางทางซูเทียนหลุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อ่อ.. แล้วก็อย่าลืมว่า หากไม่ใช่เพราะเจ้าแซ่ซ้ําแล้วล่ะก็ ป่านนี้นิ้วของเจ้าจะไม่เพียงแค่เลือด แต่คงขาดไปแล้ว!”

หลังจากเหตุการณ์สงบลง และสองพ่อลูกสกุลซูกลับออกไปแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป แต่ดูเหมือนศัตรูของซูอานจะยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะเวลานี้คนกลุ่มหนึ่งท่าทางน่ากลัวก็กาลังเดินตรงเข้าไปหาซูอาน

ผู้ที่เดินนํากลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามานั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณชายอู่ซินที่โกรธแค้นซูอานอย่างที่สุด!

หลายคนในงานก็คิดไม่ถึงว่าอู่ซินจะมาร่วมงานประมูลในครั้งนี้ด้วย เพราะงานประมูลนี้จัดขึ้นโดยตระกูลว่าน และสองตระกูลนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยกินเส้นกันนัก แต่ไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้นเอง!

และเมื่ออู๋ซินเห็นซอาน ก็รีบเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนจะเย็นชา หรืออาจจะเรียกว่าเป็นรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมอย่างพยัคฆ์ก็ไม่ผิดนัก..

“ฉันขอแนะนําตัวเองเลยก็แล้วกันนะ.. ฉันชื่ออู๋ซิน เป็นเจ้าของซึ่งยู่ KTV แล้วก็เป็นเจ้าของสถานบันเทิงหนานเฉิงที่มีชื่อเสียง!”

ซูอานเพียงแค่พยักหน้า และรู้จุดประสงค์ของอู๋ซินได้ในทันที เพียงแต่นึกประหลาดใจเท่านั้นว่า เรื่องที่ซิงกู้ KTV กับที่สถานบันเทิงก็เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว แต่เพราะเหตุใดอู๋ซินจึงเพิ่งจะมาเอาคืนตอนนี้ ซึ่งดูเหมือนจะช้าไปมาก!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนชีวิตพิชิตเซียนบทที่ 80 : อู๋ซิน

Now you are reading ย้อนชีวิตพิชิตเซียน Chapter บทที่ 80 : อู๋ซิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 80 : อู๋ซิน

“อาวุโสเม่ย.. เมื่อไหร่เจ้าจะชดใช้หนี้ที่ติดค้างข้าเสียที?”

เสียงพูดของซูอานนั้นไม่เบาเลย และคําพูดประโยคนี้ก็ดังทะลุแก้วหูของทุกคนที่กําลังยืนดูเหตุการณ์

ทุกคนถึงกับจุนงงและตกตะลึง และคิดว่าพวกเขาคงจะหูฝาดไป น่าจะเป็นซูอานที่ติดหนี้อาวุโสเม่ยเสียมากกว่า ทุกคนต่างก็กําลังคิดเช่นนั้น เพราะการที่จะเชื่อว่าซูอานเป็นเจ้าหนี้อาวุโสเม่ยนั้นเป็นเรื่องที่น่าขบขันมากจนเกินไป

แล้วทุกคนที่มุงดูเหตุการณ์ก็พากันหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน..

“ฮ่าๆๆ สงสัยเด็กนี่กลัวจนเพี้ยน!”

“นั่นสิ! คนอย่างอาวุโสเม่ยนนะจะเป็นหนี้เจ้าเด็กนั่น!”

ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์และหัวเราะเยาะซูอานกันยกใหญ่ และไม่มีใครเชื่อค่าพูดซูอานเลยแม้แต่คนเดียว
ซูเทียนหลุนถึงกับยิ้มออกมาด้วยความสะใจ เพราะเขากําาลังคิดว่าซูอานหวาดกลัว จนทําอะไรไม่ถูก จึงได้พูดขึ้นว่า

“ซูอาน ถ้าแกคุกเข่าขอขมาฉันกับพ่อ ไม่แน่วันนี้ฉันอาจช่วยขอร้องอาวุโสเม่ยให้ก็ได้!”

“อย่าเลยเทียนหลุน เด็กสารเลวอย่างมันสมควรได้รับบทเรียนแบบนี้!” ซูปิงเซียนรีบค้านขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชา

แต่ในขณะที่ทุกคนกําลังหัวเราะเยาะซูอานอยู่นั้น มีเพียงผู้จัดการถึงคนเดียวที่สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น นั่นเพราะเวลานี้เขากําลังยืนอยู่ข้างอาวุโสเม่ย จึงเห็นชัดว่าขาทั้งสองข้างของอาวุโสเม่ยนั้นกาลังสั่นเทิ้ม ซึ่งเป็นลักษณะท่าทางของคนที่กําลังตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างที่สุด!

ผู้จัดการยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาวุโสเม่ยจึงต้องมีอาการหวาดกลัวเช่นนี้ เพราะไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องมีท่าทางอาการเช่นนี้ จึงได้แต่คิดว่า หรืออาวุโสเม่ยสั่นเพราะอาการเจ็บป่วยทางร่างกายอย่างกะทันหัน?

ผู้จัดการยังคิดหาเหตุผลเช่นใดก็คิดไม่ออก จึงได้แต่หันไปมองหน้าอาวุโสเม่ยซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ํา อีกทั้งขาทั้งสองข้างยังสั่นมากกว่าเดิม คล้ายกับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเหงื่อเม็ดโตก็ได้ไหลท่วมหน้า
ลักษณะท่าทางเช่นนี้ เป็นอาการของผู้ที่กําลังตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างที่สุด หาใช่เหงื่อตกเพราะอากาศร้อนไม่..

และก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะเวลานี้อาวุโสเม่ยกําลังอยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างที่สุด ราวกับว่ากาลังพบเจอกับปีศาจ หรืออสูรกายจากโลกอื่น

ผู้จัดการถังถึงกับหัวใจเต้นแรง และค่อยๆเหลือบมองซูอานด้วยความหวาดกลัว และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูอาน ต่อให้เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็ต้องเชื่อแล้ว..

“ว่าอย่างไร ตอบข้ามาเร็วเข้า!” ซูอานตะคอกถามเสียงดัง

“เอ่อ.. เรื่องนั้น.. เรื่องนั้น..”

อาวุโสเม่ยอึ้งและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที และภาพที่อาวุโสเม่ยคุกเข่าต่อหน้าซูอานนั้น ก็ทําให้แขกผู้หญิงที่ดูอยู่นั้นถึงกับตกใจ ส่วนแขกผู้ชายก็ถึงกับมีสีหน้าหวาดผวา..

“อาวุโสเม่ยครับ คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ?”

ใครบางคนร้องถามขึ้นเพราะคิดว่าอาวุโสเม่ยอาจจะป่วยขึ้นมากะทันหัน

“อาวุโสเม่ย คุณยังเป็นอะไรไม่ได้นะ ลุกขึ้นมาจัดการกับเจ้าเด็กโอหังนี่ก่อน!”

“หุบปาก!!”

อาวุโสเม่ยรู้ตัวว่าได้ล่วงเกินซูอานอีกครั้งแล้ว จึงใช้น้ําเสียงที่มีพลังของตนนั้น สะกดผู้คนที่มุงดูอยู่ให้เกิดความหวาดกลัว จากนั้นจึงพูดกับซูอานด้วยความนอบน้อมว่า

“ผู้น้อยมีตาแต่กลับมองไม่เห็นเขาเทียนซานที่สง่างาม ผู้น้อยไม่รู้เป็นอาวุโส ขออาวุโสซูได้โปรดลงโทษด้วย!”

ไม่เพียงอาวุโสเม่ยจะคุกเข่าต่อหน้าซูอานเท่านั้น แต่เขายังโขกศรีษะคาราวะหลิงหยุนหลายครั้ง จนหน้าผากถึงกับกลายเป็นสีแดง

ทุกคนในที่นั้นต่างพากันตกอกตกใจและหวาดกลัวจนแทบไม่กล้าหายใจออกมา และได้แต่คิดในใจว่าเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทําไมอาวุโสเว่ยต้องโขกศรีษะยอมรับผิดกับเด็กนั่นด้วย!”

“นั่นสิ! เกิดอะไรขึ้นกับอาวุโสเม่ยกันแน่?”

พ่อลูกสกุลซูเองก็ถึงกับงุนงง และตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน!

อาวุโสเม่ยไม่สนใจคําพูดของผู้คนรอบข้าง และยังคงพูดกับซอานต่อ “อาวุโส ผู้น้อยไม่รู้จริงๆว่าท่านจะมาที่นี่ด้วย!”

ซอานยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาจิบไวน์ก่อนจะตอบไปว่า “เจ้าอย่าได้กังวลใจไป! ข้าไม่ต่าหนิเจ้า ข้าเพียงแค่ต้องการรู้ว่าเจ้าจะใช้หนี้ที่ติดค้างข้าเมื่อใด?”

อาวุโสเม่ยเงยหน้าขึ้นมองซูอานด้วยความหวาดกลัว และตอบกลับไปว่า “อาวุโสซู ผู้น้อยกําลังรวบรวบเงินอยู่ ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย!”

“เฮ้อ.. เจ้าดูสิ! คนพวกนี้ต่างก็คิดว่าข้าไม่มีเงินห้าสิบล้าน และบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานประมูลในคืนนี้ เจ้าคงต้องนําเงินมาให้ข้าแล้วล่ะ ข้าจะได้อยู่ที่นี่ต่อได้..”

ทุกคนได้แต่ตกตะลึงอีกครั้ง และได้แต่คิดว่าอาวุโสเม่ยเป็นหนี้เด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง!
อาวุโสเม่ยเข้าใจความหมายในคําพูดของซูอานได้ทันที เขาหันไปมองผู้คนที่กําลังมุงดูเหตุการณ์อยู่พร้อมกับประกาศเสียงดัง

“ทุกคนในที่นี้กรุณาเปิดหูเปิดตาและฟังผมพูดให้ดี นี่คืออาวุโสซู เขาคือนักยุทธขั้นปรมาจารย์ในโลกของผู้ฝึกยุทธ หากใครยังกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามอาวุโสอีก ผมจะทําให้คนคนนั้นไปนอนในหลุมศพทันที!

“อาวุโสเม่ย ปรมาจารย์ทําไมถึงได้ยังเด็กนักล่ะ?! จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”

นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คนหนึ่งร้องถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ที่จู่ๆเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปีผู้นี้จะกลายเป็นนักยุทธระดับปรมาจารย์ไปได้

“วรยุทธและก่าลังภายในไม่สามารถดูได้จากใบหน้า เช่นเดียวกับท้องทะเลที่มิอาจหยั่งถึงความลึกด้วยสายตา อาวุโสซูเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ําเลิศอย่างไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้!”

“ถ้าพวกคุณไม่อยากอายุสั้น ก็รีบๆขอขมาอาวุโสซเดี๋ยวนี้ เพราะหากทําให้อาวุโสซูโกรธเกรี้ยวขึ้นมาล่ะก็ รับรองว่าที่นี่ต้องนองเลือดแน่!”

เวลานีใบหน้าของสองพ่อลูกสกุลซูกลับเปลี่ยนเป็นซีดเผือด และทรุดลงนั่งกับเก้าอื้อย่างหมดเรี่ยวแรง

“พ่อ.. ทําไมจู่ๆซอานถึงได้กลายเป็นคนแข็งแกร่งแบบนี้ไปได้?” ซูเทียนหลุนเอ่ยถามออกมาด้วยความงุนงง

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า? แต่ครั้งนี้พวกเราสองคนพ่อลูกคงไม่รอดแน่!”

แม้แต่กัวเว่ยเองก็ยังหน้าซีดเผือดไปเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงว่าซูอานจะแข็งแกร่ง และเก่งกาจถึงขนาดที่แม้แต่อาวุโสเม่ยยังต้องยอมศิโรราบให้เช่นนี้ และเหตุการณ์คืนนี้ก็ทําให้กัวเว่ยเริ่มเชื่อในข่าวลือเรื่องที่หลิวเหลียงถูกซูอานสั่งสอนว่าคงจะเป็นเรื่องจริงแน่..

เสียวเอ้อมอจ้องมองผู้มีพระคุณของเธอด้วยแววตาชื่นชม และมีความสุขอย่างมากที่ไม่ต้องเห็นซอานได้รับบาดเจ็บ

“อาวุโสเม่ย เหตุใดเจ้าต้องโมโหเช่นนั้นเล่า? พวกเขาหัวเราะเยาะข้า ไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้าไม่ใช่รี?”

“อาวุโสเม่ย นี่ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว รีบๆหาเงินสามสิบล้านมาใช้หนี้ข้า โดยเร็วล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าจะคิดดอกเบี้ยกับเจ้า!”

อาวุโสเม่ยรีบตอบกลับไปทันที “อาวุโส ข้าจะรีบหามาใช้ให้ท่านโดยเร็วที่สุด!”

มีหรือที่อาวุโสเม่ยจะกล้าโกรธหรือไม่พอใจซูอานแม้แต่น้อย เพราะเวลานี้เขาเองก็หวาดกลัวจนแทบจะปัสสาวะราดกางเกงอยู่แล้ว เขายังจําได้แม่นว่าเมื่อครั้งที่อยู่บน เขานั้น ซูอานน่ากลัวและโหดเหี้ยมมากเพียงใด?

“เอาล่ะ.. ลุกขึ้นได้แล้ว! เจ้าก็อายุมากแล้ว คุกเข่านานไปจะไม่เป็นผลดีนัก!”

อาวุโสเม่ยรีบลุกขึ้นยืนตามค่าสังของซูอานทันที และเขาก็เดินไปยืนข้างซูอานด้วยท่าที่นอบน้อมราวกับว่าเป็นบ่าวของเขาเลยที่เดียว

ซูอานกวาดสายตามองทุกคนโดยรอบ พร้อมกับถามขึ้นว่า “เอาล่ะ.. มีใครยังเห็นว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในงานประมูลนี้อีกบ้าง?”

ในขณะที่ทุกคนกําลังตกใจ และไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คําเดียวนั้น ซูปิงซานที่ไม่ต่างจากคนคลุ้มคลั่งก็ได้ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

“ซูอาน.. อาวุโสเม่ยติดหนี้แกแค่สามสิบล้าน ยังไงก็ยังไม่ถึงห้าสิบล้านอยู่ดี แกไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในงานนี้!”

“เจ้าผิดแล้ว! เฒ่าเมียติดหนี้ข้าแค่สามสิบล้านก็จริง แต่ยังมีอาวุโสคนอื่นๆที่ติดหนี้ ข้าอีกมากมาย ไม่เชื่อเจ้าก็ถามเขาดูเอาเองสิ!” ซูอานร้องบอกซูปิงเซียนด้วยน้ําเสียง นิ่งเรียบ

อาวุโสเม่ยรีบร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง “เวลานี้อาวุโสซมีลูกหนี้รวมกันกว่าห้าร้อยล้านหยวน!”

และนี่เพียงแค่เงินไถ่ชีวิตที่ซูอานได้รับจากบรรดาผู้ฝึกยุทธอาวุโสเท่านั้น ยังไม่รวมทรัพย์สินของสกุลหลิวอีก มิหนําซ้ํายังมีเงินค่ารักษาของเหอหลิงซีอีกสองพันล้านหยวน!

ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันตกอกตกใจและตกตะลึง และเวลานี้ซูปิงเซียนก็แทบจะล้มตึงลงไปกับพื้น ยิ่งเขาพยายามที่จะทําให้ซอานอับอายขายหน้ามากเท่าไหร่ ซูอานกลับยิ่งสง่างามมากขึ้นเท่านั้น

แต่ซเทียนหลนยังไม่ยอมแพ้ เขาร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “ต่อให้มีเงินก็ไม่มีบัตรเชิญอยู่ดี ยังไงก็อยู่ในงานไม่ได้!”

ซูอานกระโดดเข้าไปหาซูเทียนหลุนพร้อมกับหยิบบัตรเชิญในกระเป๋าเสื้อของเขามา จากนั้นจึงสะบัดปลายบัตรเชิญเข้าใส่นิ้วของซูเทียนหลุนที่กําลังชี้หน้าเขาอยู่จนเลือดไหล พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นี่บัตรเชิญของข้า เชิญพวกเจ้าสองคนพ่อลูกกลับไปได้แล้ว!”

ซูอานหันไปทางทางซูเทียนหลุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อ่อ.. แล้วก็อย่าลืมว่า หากไม่ใช่เพราะเจ้าแซ่ซ้ําแล้วล่ะก็ ป่านนี้นิ้วของเจ้าจะไม่เพียงแค่เลือด แต่คงขาดไปแล้ว!”

หลังจากเหตุการณ์สงบลง และสองพ่อลูกสกุลซูกลับออกไปแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป แต่ดูเหมือนศัตรูของซูอานจะยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะเวลานี้คนกลุ่มหนึ่งท่าทางน่ากลัวก็กาลังเดินตรงเข้าไปหาซูอาน

ผู้ที่เดินนํากลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามานั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณชายอู่ซินที่โกรธแค้นซูอานอย่างที่สุด!

หลายคนในงานก็คิดไม่ถึงว่าอู่ซินจะมาร่วมงานประมูลในครั้งนี้ด้วย เพราะงานประมูลนี้จัดขึ้นโดยตระกูลว่าน และสองตระกูลนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยกินเส้นกันนัก แต่ไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้นเอง!

และเมื่ออู๋ซินเห็นซอาน ก็รีบเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนจะเย็นชา หรืออาจจะเรียกว่าเป็นรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมอย่างพยัคฆ์ก็ไม่ผิดนัก..

“ฉันขอแนะนําตัวเองเลยก็แล้วกันนะ.. ฉันชื่ออู๋ซิน เป็นเจ้าของซึ่งยู่ KTV แล้วก็เป็นเจ้าของสถานบันเทิงหนานเฉิงที่มีชื่อเสียง!”

ซูอานเพียงแค่พยักหน้า และรู้จุดประสงค์ของอู๋ซินได้ในทันที เพียงแต่นึกประหลาดใจเท่านั้นว่า เรื่องที่ซิงกู้ KTV กับที่สถานบันเทิงก็เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว แต่เพราะเหตุใดอู๋ซินจึงเพิ่งจะมาเอาคืนตอนนี้ ซึ่งดูเหมือนจะช้าไปมาก!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+